ไปสมัครมาเมื่อหลายเดือนแล้ว พอดีไปเจอข่าวที่ตรงกับวันที่เราไปสมัครพอดี http://social.tnews.co.th/content/122041/ -------------------------------- เห็นกระทู้https://xn--12c4db3b2bb9h.net/threads/การศึกษา-อ-มหาลัย.2797/ บอกว่าเป็นเพราะอาจารย์มหาลัยโดนให้ออกง่าย แต่ผมว่าไม่ใช้ หลักๆคือคุณภาพนักศึกษาต่ำเกินไป จนไม่ควรได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ผลคืออาจารย์ต้องปล่อยเกรดไม่งั้นตกยกชั้น ผมว่าระบบคัดกรองต้องเข้มกว่านี้ ใครไปต่อไม่ได้ก็ให้ไปศึกษา สายอาชีวะแทน
แนวคิดด้านจำนวนของ paleto 20% เก่ง 30% ปานกลาง 50% ห่วย อยู่ที่ว่าได้คนกลุ่มไหนมา แนะนำให้ข้ามไปเรียนมหาลัยเลยครับ รร ประถม มัธยม บ้านเราหาดีๆยาก ที่ดีๆก็เข้ายากโพดๆ
ห้องเรียนไม่น่าจะพอรับทั้งเด็กเข้าใหม่และเด็กที่ตก และจะเป็นปัญหาตอน ม ปลาย เด็กจะไม่ครบตามจำนวนขั้นต่ำ ตกก็ยิงทิ้งไปเลยดีกว่า ถือเป็นการกำจัดพลเมืองด้อยคุณภาพ หลบตรีนแป๊บ อิอิ
ดราม่าแผนที่ ตามนี้ครับ http://pantip.com/topic/33025253 มันเริ่มที่ประถมจริงๆครับ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดเลขพื้นๆไม่ถูก พอขึ้นชั้นโตมาไม่รู้จะพาไปต่อยังไง ม.ต้นยังอ่านเขียนไม่คล่องก็เจอครับ ม.4ยังอ่านตะกุกตะกักก็เจอ ไม่กี่วันนี้ยังเจอเด็กม.ปลายสายวิทย์ หารเศษส่วนไม่เป็น ไม่ใช่แค่1-2คน ประถมต้นก็เข็นขึ้นประถมปลาย โตตามอายุก็ได้ขึ้นม.ต้น พ่อแม่ยอมก็ได้เรียนม.ปลาย บางคนก็กลัวลูกจะโดนลูกหลงตายถ้าส่งไปอาชีวะ ฯลฯ มหาลัยก็พร้อมเปิดหลักสูตรตาม"ตลาด"ต้องการ ไม่ใช่ตลาดแรงงานนะ แต่เป็นตลาดปริญญา จ่ายไม่ครบไม่จบแน่ เนื้อหาที่เรียน ผมว่าเยอะ-ลึกเกินไป วิชาเสริม(ที่ไม่ใช่วิชาการหลักอย่างคณิต-ไทย)ก็จะเอากันเป็นอาชีพเลยมั๊งไม่ใช่แค่รู้แค่เพลินๆแล้ว เนื้อหาอัดแน่นเปี่ยมคุณภาพ แต่เด็กยังอ่านคำไม่คล่องเลย หนังสือวิทย์ป.1ถามเพื่อนดร.หลายคนหลายสาขา กว่าจะช่วยตอบกันได้เข้าใจ(ว่าเขาต้องการจะให้เด็กได้อะไร ตอบอะไร) ดนตรี-นาฎศิลป์ โผล่มาบทแรกๆก็เจอจังหวะสองชั้น-สามชั้น ชื่อดนตรีพื้นบ้านที่ผู้ใหญ่หลายๆคนไม่เคยได้ยิน(ผมคนนึงละ) อ่านตัวโน๊ตตัวกลมตัวขาวตัวดำ(ยังดีว่าหน้าที่เปิดดูยังเจอแค่โน๊ตC-D-E) ภาษาอังกฤษ ชีทการบ้าน ศัพท์ยากโคตร อีหนูถามทีอาป๊าอาอี๊ร้องกันเลย หนังสือเรียนไม่รู้เป็นไง ผมไม่ได้ดู อ้อ แบบเรียนกลางธรรมดาๆนะครับ รร.วัดในกทม. แถม แท็ปเล็ตป.1 มีโปรแกรมอักษรไทย มีอนิเมชั่นให้ลากเส้นตาม ผมเห็นเด็กถือเครื่องแบบ landscape ก.ไก่ก็เลยนอกจิกพื้นอยู่ เอานิ้วโป้งขวายืดชี้มาด้านซ้ายแล้วเขียนตาม(อีก4นิ้วงอคล้ายๆมะเหงกน่ะ) แถมอีก
เอาจริงๆนะครับ เรียนจนจบ ป.โท สายวิทย์เหมือนกัน ให้ผมกลับไปทำโจทย์แบบในรูปผมก็ทำไม่ถูกเหมือนกันนะครับ (ยกเว้นวาดแผนที่อาจจะดีกว่า ) พวกพื้นฐานพวกนี้พอนานๆเข้าลืม แต่มันจะฝังเป็นหลักการคิดในหัวไว้ใช้กับเรื่องอื่นๆแทนครับ ถ้าให้ไปทำโจทย์เลขแบบนี้ก็ลืม อยู่ดีๆมีเด็กมาถามเรื่องจำนวนเต็มไรงี้ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
ถ้าทิ้งไปนาน ก็หลงๆบ้างแหละครับ แต่แค่พื้นๆนี่ก็คงขุดฟื้นได้ไม่ยากนัก กรณีรร.นี้ เขาพูดถึง"คนจบ ป.ตรีมาสมัครเป็นครูที่ รร.อมาตยกุล" ดูจากข้อมูลวุฒิก็เป็นคณะ/สาขาที่ยังไม่น่าจะทิ้งไปนานน่ะครับ และก็ควร/คงเตรียมพร้อมมาแล้วประมาณนึงก่อนที่จะมาสมัคร
ประเด็นหนึ่งที่ครูต้องเข็นเด็กให้ผ่านชั้นเพราะครูงานจรเยอะเกินไม่มีสมาธิสอนเด็กสมัยก่อนครูแค่สอนตามตำราที่กระทรวงส่งมาให้เดี๋ยวนี้ครูต้องมานั่งทำแผนสอนว่าจะสอนอะไรอย่างไงทุกเทอมพอว่างหน่อยต้องทำผลงานส่งเพื่อเลื่อนขั้นปรับเงินเดือนใครไม่ส่งผลงานเงินก็จะแป๊กถ้าส่งครั้งเดียวไม่ผ่านก็ทำส่งไปเรื่อยๆจนกว่าจะผ่านการส่งผลงานมีครูหลายคนบอกว่ายากมากบางคนส่งสามสี่ครั้งก็ยังไม่ผ่านแล่วจะเอาสมองเอาเวลาที่ใหนไปสอนเด็กคะแนนในสมุดประจำตัวเด็กส่วนมากเป็นคะแนนนั่งเทียนใส่ไม่ใช่คะแนนดิบ ถ้าครูคนใหนเข็มงวดใช้คะแนนดิบมากๆเด็กสอบผ่านน้อยบ่อยครั้งจะถูกมองว่าสอนไม่มีประสิทธิภาพจะมีปัญหากับตัวเองดีที่สุดก็ปัดสวะให้พ้นตัวปรับคะแนนให้เด็กได้เกรดดีๆเพื่อสร้างภาพครูภาษาอังกฤษบางคนเด็กอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้เลยก็ให้คะแนนดีจนเว่อร์หลายๆโรงเรียนก็เป็นอย่างโดยเฉพาะโรงเรียนหลวง
ต้องโทษนโยบายเรียนฟรียัน ม6 ของพรรคแมลงวาปครับ เน้นจบแต่ไม่เน้นคุณภาพ เราเลยได้นักเรียนบริษัทพ่อกับแม่จ้างมาเรียนจำกัด เยอะแยะ
พูดเรื่องนี้แล้วเหนื่อยสุดๆเลยนะครับ ไม่ทราบว่าเรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร ครูบาอาจารย์ในอดีตเป็นพวกครีมของสังคม คืออยู่บนสุด ส่วนใหญ่จะเป็นบัณฑิตจากคณะอักษรศาสตร์ ครุศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ จากมหาวิทยาลัยซึ่งแต่ก่อนเปี่ยมคุณภาพทุกแห่ง ปัจจุบันครูคือบัณฑิตระดับต่ำที่ไม่มีที่ไป เพราะการจบมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในปัจจุบันง่ายกว่าการจบม.ศ.๓เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว
ยังดีครับ หนักกว่านี้คือ ครูบางคนอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่(น่าจะเรียกว่า)ได้ ได้สอนอังกฤษ นศ.ครูเอกอังกฤษสะกดคำว่าเครื่องบินไม่ถูก ถ้าคนสอนความรู้ไม่แข็งพอ จะเขียนเทคนิคการสอนยังไง จะประเมินแค่ไหน จะตัดเกณฑ์อะไร บังคับทำแผน ฯลฯ ก็แก้ยากครับ จะได้ระบบประเมินๆๆๆๆๆกระดาษๆๆๆๆๆอย่างทุกวันนี้แหละ ยิ่งเรื่องทำแผนนี่ผมว่ากุ๊กไก่มากเลย แต่ผมว่าวิธีตามคลิปด้านล่างนี้พอช่วยได้ครับ "แผนการสอนกลาง" ไม่ได้หมายความว่าครูทุกคนเป็นหุ่นยนต์สอนไปตามแผนสำเร็จรูป หรือสอนเหมือนกันหมดให้เด็กเป็นหุ่นยนต์นะ แต่มันจะช่วยให้ครูที่รู้ไม่แตก-ที่คิดวิธีสอนไม่แตก เขาจะได้มีไม้ตายไว้ใช้ในระดับนึง คนที่ความรู้ไม่แข็งอย่างน้อยจะสอนตัวเองได้ดีขึ้น รู้มากขึ้นก็ถ่ายทอดได้มากขึ้น คนที่รู้วิชามากแต่ถ่ายทอดไม่คล่องก็ได้รู้กระบวนท่า ส่วนครูที่มีสเต็ปเทพด้วยตัวเองแล้วย่อมสอนเด็กได้อยู่แล้ว แต่ครูทั้งระบบตั้งหลายๆๆแสนคน จะหาครูเทพล้วนจากที่ไหนครับ มีคนมากพอให้ระบบรันไหม จึงต้องใช้ครูหลายเกรดมาร่วมกันทั้งเก่งมากเก่งน้อยหรือไม่ค่อยเก่งและต้องติดอาวุธให้เขา ไม่ใช้อ้างแต่ว่าเงินน้อย คนเก่งไม่มาหรอก ต้องขึ้นเงินๆๆๆๆ แล้วคนไม่เก่งก็ได้เหมารวมขึ้นเงินไปด้วย เงินเดือนครูรวมเงินเพิ่มน่ะจัดว่ามากกว่ากว่าขรก.พลเรือนอื่นๆแล้วครับ แพ้แค่หมอ อัยการ ผู้พิพากษา http://www.thairath.co.th/content/443932 แก้กฎหมายดึงนักวิทย์สอน ร.ร.มัธยม โดย ไทยรัฐออนไลน์ 18 ส.ค. 2557 05:30 จวกคุรุสภาต้านอ้างไร้ “ตั๋วครู” ชี้ต่างชาติส่งเทียบเชิญแต่ไทยกลับห้าม รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์อย่างหนัก เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่านักเรียนเก่งระดับหัวกะทิส่วนมากจะเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อไปสอบเข้าเป็นแพทย์ เภสัชกรหรือวิศวกร เนื่องจากเห็นว่ามีความมั่นคงในวิชาชีพและมีรายได้ค่อนข้างดี ในขณะที่มีเด็กจำนวนน้อยมากที่มุ่งมั่นเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อออกมาเป็นนักวิทยาศาสตร์จริงๆ ดังนั้น วท.จึงจัดทำโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (วมว.) โดยสนับสนุนให้มหาวิทยาลัย เป็นผู้สนับสนุนและดูแลการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในโรงเรียนที่เป็นเครือข่ายหรือกำกับของมหาวิทยาลัย โดยมีโรงเรียน 16 แห่ง ที่จะเปิดห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย ภาคเหนือ 3 โรง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี 5 โรง ภาคกลางและภาคตะวันออก มี 5 โรง และภาคใต้ มี 3 โรง มีจำนวน 18 ห้องเรียน ห้องเรียน ละ 30 คน รศ.ดร.วีระพงษ์กล่าวอีกว่า ที่สำคัญตนได้เสนอให้มีการแก้กฎหมาย เรื่องการห้ามนักวิทยาศาสตร์ไปสอนวิชาวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา เพราะไม่มีประเทศใดทำกัน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พยายามที่จะเสนอคุรุสภาเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์เข้าไปสอนในโรงเรียนได้ แต่ถูกต่อต้านโดยคุรุสภาอ้างว่านักวิทยาศาสตร์ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู ดังนั้นตนจะเสนอเรื่องนี้ใหม่ เพราะนักวิทยาศาสตร์สามารถสอนวิทยาศาสตร์ได้สนุกเหมือนเล่านิทาน[ขอแทรก อันนี้ไม่เชื่อครับ] เด็กจะได้ความรู้ เพราะวัยเด็กสำคัญมากที่สุดคือเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจ หากได้นักวิทยาศาสตร์และผู้รู้เฉพาะด้านจริงๆเข้าไปสอน จะมีประโยชน์กับเด็กอย่างมาก ประเทศที่เจริญแล้วหลายแห่ง โรงเรียนมัธยมหลายแห่ง ถึงกับทำหนังสือขอเชิญให้นักวิทยาศาสตร์เข้าไปเป็นครูประจำให้เด็กมัธยมของเขา แต่น่าแปลกใจว่าทำไมประเทศของเรากลับห้าม. ========== แต่เท่าที่ผมเจอ(ไม่เยอะนะ ไม่อาจนับเป็นตัวแทนหรือกลุ่มตัวอย่าง) ครูที่มีปัญหาคุณภาพทางวิชาการ-ทัศนคติ-ลักษณะนิสัย จะเจอมากสุดในหมวดวิชาภาษาไทย ส่วนคนที่ดีก็ดีใจหาย ทำงานลืมตาย กับผู้บริหารที่มาจากครูภาษาไทย-สังคม หรือจบป.เอก มักจะมีวิสัยทัศน์และการทำงานแบ่บ..... (ไม่นานมานี้เหมือนจะสอบผอ.ได้หลายคน สาธุ อย่าให้เกิดคลิปแบบรร.เสิงสางบ่อยๆน่ะ)
ปัจจุบันอาจารย์มหาลัยยังเจอบังคับให้ทำผลงานวิชาการขั้นต่ำปีละสองเรื่องเลยครับ แล้วจะมีเวลาไปหาเนื้อหามาสอนเด็กเหลือเท่าไหร่เชียว นี่ยังไม่พูดถึงงานอื่นที่นอกเหนืองานสอนปกติอีกนะครับ งานประกันคุณภาพฯลฯ ผมเห็นด้วยที่ว่าไม่จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูถึงจะเข้าไปสอนเด็กมัธยมได้ ผมว่านักวิทย์เวลาสอนหรือพูดอธิบายหลักการวิทย์บางอย่างสามารถอธิบายให้มันง่ายๆโดยการยกตัวอย่างเปรียบเทียบได้นะครับ เพราะถ้าพื้นฐานมันมีมาจะยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบง่ายกว่า เหมือนเวลามีใครมาถามผมเรื่องสารพิษแต่ไม่มีพื้นมาเลยอะไรแบบนี้ ก็ต้องหาเรื่องอะไรง่ายๆที่พูดแล้วเขาเข้าใจไม่ใช่ใส่แต่ข้อมูลตูมไปเลย
เข้าใจที่คุณสื่อความหมายครับ อัจฉริยะภาพ ความฉลาด ปัจจุบัน ไม่ได้วัดกันที่สูตร ที่ตัวแปร นะครับ เราเดินมาผิดทาง ญี่ปุ่น คนโง่ก็เยอะ แต่ทำไมมันพัฒนา ผมว่า การจะวัดการสอนเด็ก เอาที่ให้สามารถดำรงชีวีต ประจำวันไห้ได้ดีเสียก่อน ระเบียบ วินัย ปลูกฝังเข้าไป เอามาทำไมแท๊ปเล็ต เอามาทำไมแช็ท ทุบทิ้งเลย เบี้ย คือ เบี้ย แม้เก่ง แค่ หงาย ขุน คือ ขุน ไม่เก่ง ยังคุม
ผ่านวันเวลา ก็พอควร อย่าให้เห็นอีกเลยครับ โฆษณา ผ่า คาง เด็ก วัยรุ่น ที่อ่อนโลก จะเห็นตาม แล้ว ทำ ให้กลับมาเหมือนเดิน ไม่ได้ด้วย โบท๊อก เอาไว้เพื่อ ??? ลดความอ้วน จน เหลือกระดูก มันสวย ตรงใหน ???
ห้ามนักวิทยาศาสตร์ไปสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ตลกดีสำหรับเมืองไทย นักวิทย์ใช่ว่าจะสอนเก่งกันทุกคน บางคนก็สอนไม่เก่งก็มี แต่ไม่ได้หมายความว่าพื้นฐานความรู้จะต่ำกว่าครูวิทย์ ไอ้พวกสอนไม่เก่งจะมีกี่คนเชียวที่จะมาเป็นครู จะมีก็พวกสอนเก่งด้วยนั่นแหละ หากเอาพวกนักวิทย์มาเป็นครู พวกครูวิทย์ก็โดนแย่งงานสิครับ คุรุสภาต้องกีดกันอยู่แล้ว
เอ่อ อ่านแล้วพูดไม่ออกครับ ผมว่าทุกอย่างมันเกิดจากความ......มักง่าย ยังไงชอบกลครับ สมัยก่อน ต้องพยายยามกันแทบตายเพื่อที่จะได้ศึกษา จบออกมาก็มีคุณภาพ แต่สมัยนี้ การเรียนเป็นของตาย ชิวๆ เรื่อยๆ เล่นสนุกไปวันๆ ไม่ต้องอะไร? ก็จบได้ มันคงเริ่มมาจากการตอบสนองค่านิยมแย่ๆของประชาชน โดยนักการเมืองรึเปล่าว?? ค่านิยมปริญญา เลยทำให้มันจบปริญญากันง่ายๆ คุณภาพไม่ต้องสนใจ ค่านิยมไม่อยากซ้ำชั้น เลยทำให้นักเรียนเลื่อนชั้นได้ แม้จะตกแล้วตกอีก ค่านิยมไม่อยากให้ลูกถูกลงโทษ นักเรียนสมัยนี้เลยกลายเป็นเทวดา อาจารย์สอนสั่งไม่ได้อีกต่อไป....... หากมีคนพยายามทำให้มันเข้ารูปเข้ารอย ทำให้การศึกษามีคุณภาพมากขึ้น เข้มงวดขึ้น สุดท้ายจะมีคนมาต่อต้าน ข้อหาทำให้ประชาชนเดือดร้อน ตัดโอกาสลูกหลานอีก มันก็แนวเดียวกับโกง จนกลายเป็นวัฒนธรรม ไม่ให้โกง ก็ทำเหี้ยอะไรกันไม่เป็น ในแวดวงข้าราชการไทยนั่ยล่ะ
"แต่ถูกต่อต้านโดยคุรุสภาอ้างว่านักวิทยาศาสตร์ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู" อันนี้จริงครับ อันที่จริงไม่ควรจะมีแค่นักวิทย์หรอกนะ วิชาอื่นๆ คนเก่งๆ มีเยอะ แต่สอนไม่ได้ เลยต้องไปเปิดโรงเรียนกวดวิชาแทน ไอ้ใบประกอบนี่โหดมากครับ ถ้าไม่ได้เรียนสายครูต้องไปสอบให้ผ่าน 9 วิชา ถึงจะได้
ไอ้ข้อสมการนี่มันยังไงน่ะครับ x-5/10 = 20 ปกติเขาย้าย 10 ไปอีกฝั่งก่อน แล้วค่อยย้าย -5 ไปเป็นบวกไม่ใช่เหรอครับ ออกมา 205-5/10 = 20 ใช่ป่าว
คน ที่ ออกความคิด แท็ปเล็ต แจกเด็ก ผมเสนอเอาไปประหารชีวิตครับ ทักษิณ แม้ จะ ถึงขนาด โจร มันก็ยังมีหัวใจ ไม่ทำกับเด็ก และพ่อแม่ ผู้ยากไร้ เกินพอดี
รร.กวด เดี๋ยวนี้ก็กฎหมายออกมาบังคับเงื่อนไขมากขึ้นครับ ที่ยังพอสะดวกจริงก็พวกติวเตอร์อิสระ ที่จริงแล้วเขาก็ตั้งใจจะให้มีครับ เพียงแต่ปล่อยผ่านนานไปหน่อย (ตั้งแต่ปี47จนมาถึงปัจจุบัน) แม้คราวที่จัดระบบไปรอบนึง(คดีม.อีสาน และเหมายุบหลักสูตรป.บัณฑิต[ที่เปิดให้คนป.ตรีอื่นๆมาเรียนเอาวุฒิครู ตามแนวบทเฉพาะกาล])ก็ยังไม่ทำให้ครบๆ เว้นลูบหน้าปะจมูกไว้ แต่ก็พอรับได้(เพราะไม่งั้นจะมีนศ./สถาบันถูกกระทบจำนวนมากกกก) ทันทีที่มีข่าวว่าจะต้องสอบกันทั้งสิ้น จำได้ว่ามีข่าวนศ./อ./สถาบันบางส่วนคัดค้านด้วย ว่าควรให้ใบอนุญาตโดยอัตโนมัติกับเฉพาะกลุ่มอย่างนี้ต่อไป แต่กูเกิลไม่เจอลิ้งที่เนื้อหาครบๆครับ ขอติดไว้ก่อน http://education.kapook.com/view14475.html ทั้งนี้ตนมองว่าครูที่จะขอใบอนุญาตฯ คงไม่ต้องสอบทุกคน เพราะต้องยอมรับว่ากลุ่มครูหลักสูตร 5 ปีนั้น เป็นการผลิตตามหลักสูตรที่คุรุสภารับรองจึงอาจไม่จำเป็นต้องสอบ http://www.dailynews.co.th/education/203028/ รูปแบบใหม่คือนักศึกษาที่จบปริญญาตรีสาขาดังกล่าวจะยังไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพครูโดยอัตโนมัติเหมือนที่ผ่านมา...... ......จะไม่ออกรับรองการสอนชั่วคราวให้ไม่ว่ากรณีใดๆ http://www.enn.co.th/9758 การลดจำนวนนิสิตนักศึกษาของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ จะต้องให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เห็นด้วย เพราะอาจจะกระทบกับความอยู่รอดของมหาวิทยาลัย เนื่องจากจะทำให้รายได้ของมหาวิทยาลัยลดลง http://www.dailynews.co.th/education/242585/ จากเดิมบางคณะเคยรับสูงมากถึง 10,000 คน ลดเหลือเพียง 200-400 คน http://www.dailynews.co.th/education/259433/ คุรุสภาใช้มาตรฐานสากลให้ตั๋วครูต่างชาติ | ย้ำให้ตั๋วครูต่างชาติยึดหลักความมั่นคง แจงขั้นตอนที่ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกับนานาประเทศ ฯลฯ http://www.kroothaiban.com/back_wed/news-id3602.html ความเห็นของนศ.บางส่วน http://pantip.com/topic/30961779 อันนี้มีความเห็นเยอะพอควรครับ ความจริงแล้วที่หลายคน(รวมถึงจนท.ประจำหรือคนในวงการศึกษา)มักจะติว่า รมต.แย่ รมต.เปลี่ยนบ่อย ฯลฯ นโยบายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลักๆแล้วมาจากฝ่ายจนท.ประจำนะครับ รมต.จะทำเพียงแค่ปล่อยผ่านเลยหรือรอไว้อีก เท่านั้นเอง รมต.ที่คัดค้าน/ไม่โอนตามคุรุสภาเต็มที่ จำได้ว่ามีแค่จาตุรนต์กับดร.สุชาติ (และทันทีที่ 2 คนนี้ให้ข่าวอะไรขัดกับหน่วยงานประจำ 1-2วันต่อมาหน่วยงานนั้นก็จะมีข่าวคัดค้านอย่างทันควัน) (แต่ผลงานโบว์แดง(ดำ)อื่นๆของ2คนนี้ก็ไม่น่าชื่นชมหรอกนะ เช่นเรื่องปชต.ในรร. คกก.การศึกษาแห่งชาติ แท็บเล็ต เป็นต้น) ส่วนคนอื่นๆจะผ่านนโยบายไปตามรูทีนหรือเร่งนโยบายให้สอดรับอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสมัยชินวรณ์ (ปล.ถ้าจำผิดก็ขออภัย) จริงๆแล้วผมเห็นด้วย ว่า "ไม่ใช่ให้ใครก็ได้มาเป็นครู" แต่ครูก็ไม่ต้องเป็นพิมพ์เดียวกัน ครูป.ต้น ป.โต ม.ต้น ม.ปลาย สเปคต่างกันได้ครับ เลือกคนตามชนิดงาน อย่าใช้นโยยายเหมารวมถึงกับว่า "จะเป็นครูต้องเรียนครู" ครูใช้คนเยอะกว่าตำรวจทหารอีกครับ ยังไงก็ต้องหาคัดจากคนกลุ่มใหญ่ย่อมดีกว่าจำกัดเฉพาะกลุ่ม ไม่เหมือนสายหมอ/กฎหมายซึ่งระบบใช้คนน้อยกว่า คัดยังไงก็ได้หัวกะทิเยอะ/ง่าย ไม่เหลือที่ว่างตั๋วฟรีให้เข้าซักเท่าไร ที่จริงแล้ว เหตุใหญ่ข้อนึงมันเกิดจาก ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ว่าอาชีพ/วิชาชีพนี้เป็นช่องทางในการได้เป็นขรก.น่ะแหละ แต่ต่างฝ่ายไม่ยอมรับ บางทีก็อ้างอุดมการณ์แค่บังหน้า แต่นโยบายเหมาๆ มันกระทบเอกชนด้วยนะครับ ตัวอย่าง http://pantip.com/topic/33069998 ปล. ถกเรื่องแบบนี้ทีไรต้องระวังดราม่าครับ ขอมาร์คไว้ก่อนว่าต้องระลึกว่าแยกแยะ for all vs for some ด้วยครับ ในทุกๆประโยคเลย
อย่าลืม นะครับ นักเต้น นักศิลป์ สมัยโบราณ อังกฤษ มัน ก็แค่ เครื่องมือ ทุกวันนี้ เรายังเถียง กันไม่ออกว่า ลิโป้ เป็นคนดี กตัญญู หรือเป็นคนธรรมดาทั่วไป หรือเปล่า ฆ่าพ่อ เพื่อ ไม่ให้พ่อ ทำชั่ว แต่ไม่ยึด กำลังไว้เอง ฆ่าพ่อ เพื่อเป็นใหญ่ แต่ไม่เห็นเป็นเจ้าแคว้น เป็นได้แค่ขุนพล หัวหน้า ทหาร
อยากจะรู้พื้นฐานการศึกษาของไทย ผมอยากให้ลองไปอ่านดูใน Line ใน Facebook โดยเฉพาะของพวกวัยรุ่น(ไม่ว่าจะจบระดับไหน) แล้วจะรู้ว่าขนาดภาษาไทยของเราเองแท้ๆ ยังเพี้ยนไปหมดแล้ว แต่พวกเขาก็สื่อสาร เข้าใจกันดีนะ
ระบบมันแย่ เพราะส่งเสริมแต่สิ่งแย่ๆ เอาคนที่แย่กว่ามาเป็นฐานเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้า คนเป็นฐานจะไม่สามารถก้าวข้ามได้ เพราะความสามารถไม่ถึง พอจะรื้อระบบ ก็จะต่อต้านกลัวเสียประโยชน์
พอดีลูกเล็กเลยสนใจระบบการศึกษาของหลายๆประเทศ ระบบของยุโรปเข้าจะเน้น ให้รักที่จะมาโรงเรียน กับค้นหาในสิ่งที่ตัวเองชอบ ฝึกการเข้าสังคม เรียนรู้จากการเล่น ซึ่งผมว่าเป็นพื้นฐานที่ดี ต่างกับทางเอเชียที่เน้นวิชาการ อายุแค่อนุบาลต้องจับดินสอ อายุ3ขวบต้องมานั่งทำโจทย์จากกระดาษ ต้องอ่านออกเขียนได้ ซึ่งขัดธรรมชาติเด็กเล็ก พอโตขึ้นเด็กเอเชียก็จะไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ที่ร้ายคือเลือกอาชีพจากเงิน ทำให้ทำได้ไม่ดี หรือถึงดีก็ขาดความสุข ต่างกับระบบที่สอนให้ค้นหาตัวตน พอเขาทำในสิ่งที่รักจริงๆ เขาก็จะทำสิ่งนั้นได้ดี เพราะเขาจะสนใจ ใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แปลกที่ทางพุทธท่านก็สอนอิทธิบาท4 www.learntripitaka.com/scruple/Itibaht4.html ๑.ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น ๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น ๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น. ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน เรามีศาสนาพุทธ แต่การศึกษาบ้านเราดันไม่ยึดหลักการนี้ ไปติดแต่พิธีกรรม ถ้าเอาอิทธิบาท4มาเป็นแกน เราก็ต้องเริ่มที่ ทำอย่างไรให้เด็กค้นพบว่า ตัวเองรักใคร่พอใจที่จะทำอะไรเมื่อโตขึ้น
ลองตามไปดูเพจ ดูท่าจะมีน่าห่วงอีกหลายสถาบันเลยมั๊ง ส่วนไอ้คลิกล้วยทับนี่ ผู้ใหญ่ดูแลแล้วครับ อ.โดนด้วย http://news.bugaboo.tv/watch/206991/อธิการบดี_ม.ราชภัฏสวนสุนันทา_ลงโทษรับน้องไม่เหมาะสม.html (ไอ้ที่แห่กันมาซ้อนทับกันเยอะๆก็ดูว่ากะเอาสนุกแหละ ประมาณว่าแกล้งคนล่างให้หนัก แต่อีกคู่นี่มีหลายช็อตที่เอ็งมันส์กันอยู่สองคน ดูเกินไปว่ะ) เพิ่ม: เห็นนศ.เขาบอกว่า กิจกรรมนี้ไม่มีน้องผู้หญิงนะครับ ผมคงต้องไปเข้าศูนย์เช็คเรดาห์หน่อยแล้วครับ ปล. มีอีกรูป กองเชียร์กดหัวเลยแฮะ เดาว่าเป็นเพลงกล้วยปั่นหรือไม่ก็เปิดตู้เย็นกินน้ำเก็กฮวย
¿¿¿ ปิ๊งเปิดมหาลัยผลิตครูเฉพาะด้าน ??? www.facebook.com/komsarn.pokong/posts/1042905729084594 http://www.kroobannok.com/article-77713-ปิ๊งเปิดมหาลัยผลิตครูเฉพาะด้าน.html
ภาษาอังกฤษต้องพัฒนาด่วนครับ ไทยด้อยอย่างเห็นได้ชัด ผมทำงานกับพวก ปินส์ อินโด พม่า มาเลย์ สิงคโปร์ เห็นชัดว่าพวกนั้นดีกว่า ทั้งๆที่คนไทยมีความรู้ด้านอื่นดีนะครับ
