Tongrob Sunontalad เรื่องนี้ทหารต้องตอบคำถามให้เคลียร์ เพราะแม้แต่สลิ่มหลายคนก็ยังคาใจ จะตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงข้อมูลมาก็ได้ แสดงหลักฐานมา จะได้จบที่ข้อมูล ไม่ใช่คำตอบจากปากว่าจบ ส่วนพวกเสี้ยมให้ผิดใจ ก็ไปไกลๆ นะ
ส่วนตัว ผมยังเชื่อใจท่านผบ.ทบ.และอดีตผบ.ทบ.อยู่ เพราะอย่างน้อยเขายังรายงานจำนวนยอดเงินที่เหลืออยู่ และยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้น และฝ่ายที่กล่าวหาไม่สามรถแสดงหลักฐานการทุจริตที่อ้างว่าเกิดขึ้นได้เลย สำหรับ ผม ผมเคลียร์ที่ผบ.ทบ.ชี้แจงนะครับ ยิ่งฝ่ายตรงข้ามทำเอกสารปลอมออกมา ยิ่งชัดเจนว่าเต้าข่าวขึ้นมา แต่ยังไงก็เกี่ยวกับกองทัพบกแน่นอนครับ เพียงแต่ผมไม่หลงกลพวกควายแดง ถึงแม้จะคาใจบ้าง เพราะบ้านเมืองต้องการปฏิรูป และท่านไพบูลย์ก็พูดออกมาเองว่า ถ้ามีหลักฐานจะสอบเอง
ทหารกัดกันเอง คนใหม่ซัดคนเก่า แบบแค้นคราบฝังลึก เคลียร์ไม่ลง แต่ยอมให้คนไกล่เกลี่ย ทิ้งปริศนาไว้ให้ไปเล่นกันต่อ เดี๋ยวคงจัดแถวทหารกันใหม่ ว่าแต่คนเก่ากะคนใหม่มีเรื่องอะไรกันแบบแค้นฝังหุ่นมากเลยเนี่ย
รอลุงตู่กลับมาครับ น่าจะพรุ่งนี้ คงชัดเจนขึ้น เพราะหากลุงตู่ต้องการปฎิรูปประเทศจริงอย่างที่ประกาศไว้ ต้องจัดการเรื่องที่เกิดภายในองค์กรของ คสช.ให้ได้ เพราะงั้นความน่าเชื่อถือในเรื่องอื่นๆจะลดลงไปและจะส่งผลกระทบกับความตั้งใจปฎิรูปประเทศแน่ๆ
ความจริง ผบ ทบ ก็ตอบชัดนะ คือตอบชัดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับท่าน เพราะท่านก็บอกแล้วว่า ท่านตรวจสอบเพราะต้องเข้าไปรับมอบงาน ซึ่งเรื่องนี้ถ้าคนที่คุ้นเคยกับระบบราชการจะรู้ดีว่า ระบบราชการนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความรับผิดชอบก็ต้องมีการการส่งมอบรับมอบงานให้คนใหม่ไปรับผิดชอบ ซึ่งจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของเรื่องที่จะรับมอบมาดำเนินการด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเขาตรวจสอบในส่วนที่เขาจะต้องรับผิดชอบแล้ว เห็นว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีทุจริต เขาก็รับมอบงานมา แล้วก็ให้สัมภาษณ์ไปตามที่เขาตรวจสอบ ประเด็นมันก็คือ คนฟังต้องการรู้เรื่องทั้งหมดซึ่งมันมีทั้งเกี่ยวบ้างพูดเอาเองบ้างเป็นเรื่องของเอกชนบ้าง เอาเรื่องเหล่านี้มาตั้งคำถามกับผู้ที่เขารับผิดชอบเฉพาะในส่วนของเขา แล้วเขาจะไปตอบแทนคนอื่นได้อย่างไร อย่างเช่นเรื่อง หัวคิว ไปถามเขา เขาจะรู้ไหม เพราะ หัวคิว มันเป็นเรื่องของมูลนิธิ หรือเรื่องทหารที่สื่ออ้างว่าเกี่ยวข้อง ก็ไปถามเขา ทั้ง ๆ ที่ตำรวจออกหมายจับแล้ว ทำไมไม่ไปถามตำรวจล่ะว่ามันเกี่ยวกันไหม ออกหมายจับเขาเรื่องอะไร กรณีนี้ ผบ ทบ คงไม่ได้ตอบวกวนหรอก แต่คนถามถามวกวนเพราะไม่เข้าใจมากกว่า เรื่อง หัวคิว ดู ๆ แล้ว น่าจะเป็นเรื่องระหว่าง เอกชนกับเอกชน คือ เซียนพระกับโรงหล่อ แต่สื่อไทยชอบคุ้ยลวก ๆ ง่าย ๆ แล้วเอามาตั้ง มโน เพราะยังไม่เห็นมีสื่อไหนไปคุ้ย เซียนพระ กับ โรงหล่อ เลยว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายัง ได้มาแค่นี้ก็นั่งท่อง มโน เขียนไปเรื่อย ผิดถูกไม่ขอรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น คำว่า หัวคิว ก็เป็นคำที่สื่อเขียนขึ้นมา แต่ถ้าไปดูในเนื้อหาแล้วจะเห็นว่าเป็นการไปขอรับเงินบริจาค มันก็ส่อให้เห็นเจตนาของสื่อแล้ว ถ้าสื่อใช้คำพูดแบบนี้ ต่อไปวัดไหนขอรับเงินบริจาคก็ต้องเรียกว่า วัดนั้นไปเรียกเก็บหัวคิวด้วยหรือไม่ มันต้องดูที่เจตนาประกอบว่า เขาไปขอรับเงินบริจาคนั้น เป็นการหลอกลวง ทุจริตหรือไม่ ไปอ้างอะไรต่ออะไรให้เกิดการบริจาคแล้วเอามาเข้าพกเข้าห่อตนเองหรือไม่ ทำไมไม่ไปตามคุ้ย เซียน กับ โรงหล่อ ล่ะ ถ้าเขาทำด้วยเจตนาดี ต้องการช่วยเหลือจริง แต่ไม่ได้เป็นความต้องการของมูลนิธิที่ให้ไปทำแบบนั้น มูลนิธิจึงปฏิเสธ และคืนเงินไป บางรายที่เขาต้องการช่วยเหลือ เขาก็ขอบริจาคเองเลยไม่เอาเงินคืน แบบนี้จะไปเอาผิดกับใคร เพราะฉะนั้น ถ้าสื่อสงสัย ก็ควรไปขุดคุ้ยมา อย่ามาขายข่าวไปวัน ๆ อย่างที่ทำอยู่
วาทะหลอกควาย วันไหนที่เสียงปืนแตก ผมจะเดินนำพี่น่้องเข้ากรุงเทพฯ ผมมาถึงฝั่งแล้ว พี่น้องไม่ต้องตามผมขึ้นบนภูเขา
ไหนว่าตรวจสอบได้ “พท.” ออกแถลงการณ์ 8 ข้อ คัดค้านการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ | เดลินิวส์ „“พท.” ออกแถลงการณ์ 8 ข้อ คัดค้านการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ“ อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/politics/223851
ผมว่าไม่ต้องไปเถียงกับพวกบัตรเติมเงินจะดีกว่าครับ อันใหนที่รัฐบาลหรือทำทำแล้วสมควรโดนด่าเราก็ควรยอมรับ ไม่ใช่เข้าข้างไปหมดเหมือนเสื้อแดง อย่างกรณีนี้ถ้ามีข้อสงสัยก็ควรเปิดเผยตัวเลขทุกอย่างให้เห็นชัดๆไปเลย แล้วไม่ต้องเกี่ยงว่าเป็นหน้าที่ใครที่ต้องตอบคำถามด้วย สงสัยมา 100 ตอบกลับไป 120 เลยก็ได้ แล้วอันใหนที่ไม่สามารถตอบประชาชนได้ก็ต้องไปจัดการ ก็แค่นั้นเอง การตอบคำถามแนวบ้าอำนาจแบบไร้สมองแบบปิ๊กป้อมนี่มีแต่จะทำให้คนเสื่อมศรัทธา