----------------------------------------------------------------------- ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการปกครองจากระบอบราชาธิปไตย หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย 83 ปีแล้ว บ้างก็ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า บ้างก็ว่าเป็นการปล้นอำนาจกษัตริย์ บ้างก็ว่าชิงสุกก่อนห่าม บ้างก็ว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้ได้สิทธิ เสรีภาพ สู่มือประชาชน ฯลฯ ประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลานมาตลอด บางทีก็ใช้เป็นข้ออ้างในการเคลมความชอบธรรมของตัวเอง บางทีก็มีรัฐบาลเลือกตั้งที่กลายเป็นผู้ร้ายเพราะคดโกง จนประชาชนเรือนแสนออกมาขับไล่ พอๆ กับรัฐบาลรัฐประหารในสมัยก่อน ประชาธิปไตยไทยได้มาจากรัฐประหาร ใช้กำลังทหารยึดอำนาจมาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ไม่ต้องแปลกใจกับรัฐประหารที่มีมาหลายครั้งหลายหน ต่างวาระและต่างข้ออ้าง
กระพ๊มเรียกวันสถาปนาความอัปปรีย์ดีให้แผ่นดินขอรับ... เริ่มต้นหมากาพย์ความชิหายในแผ่นดิน... ... เสียกษัตริย์ไปสองพระองค์ ... กษัตริย์ทรงงานจนแก่ชรา แต่ก็ยังโดนไอ้พวกอัปปรีย์ใจบอดบิดเบือน... แต่ก็ยังอ้างชื่อสถาบันไว้หาแดร๊ก ... บ้านเมืองสงบแบบลุ่มๆดอนๆ ... การเติบโตของบ้านเมืองเป็นไปแบบมะเร็งลุกลาม ... นักแดร๊กเมืองครองอำนาจเป็นมรดกตกทอด รุ่นแล้วรุ่นเล่า ... สมบัติชาติกลายเป็นสมบัติผลัดกันแดร๊กของอัปปรีย์ไม่กี่ตระกูล ไอ้พวกภาคภูมิใจในวันนี้... มึงยินดีอะไรกัน?????
ของจริงครับ น่าจะตัดมาจากหนังสือพิมพ์สมัยนั้น ?? http://thaiinfonet.com/การเมือง/รำลึก-รัชกาลที่-7/ ประกาศฉบับเต็มของคณะราษฎร เนื้อหาเจ็บมาก ล่วงเกินจาบจ้วงเบื้องสูงหลายอย่าง ลงในนี้ไม่ได้ครับ
อดีต เราเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ แต่เราเรียนรู้จากอดีต และทำ วันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่า เพราะมีอดีต จึงมีวันนี้ เมื่อเรามีวันนี้ วันที่พวกเรายังอยู่กันได้ ยังพูดคุยกันได้ ก็แสดงว่าอดีต ไม่ได้เลวร้ายเกินไป วันนี้อาจจะดีกว่านี้ก็ได้ หรือ วันนี้อาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ ถ้าอดีต ไม่ได้เป็นอย่างที่มันเป็นมา ขอให้มีสติ รำลึกถึงวันที่ บ้านเมืองเราเปลี่ยนแปลงการปกครอง การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 https://th.wikipedia.org/wiki/การปฏิวัติสยาม_พ.ศ._2475
ขอบคุณครับ ไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยครับ ถึงเบื้องลึกเช่นนี้ อ่านเฉพาะใบประกาศ ก็สะท้อนให้เห็นความคิดและการกระทำของผู้นั้นได้เป็นอย่างดี
เมื่อถึง พ.ศ. 2473 สถานการณ์โลกหนักหนาเกินกว่าประเทศจะรับได้เมื่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีทล่มและความล่มสลายทางเศรษฐกิจมาถึงสยามในที่สุด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสนอให้จัดเก็บภาษีรายได้ทั่วไปและภาษีอสังหาริมทรัพย์เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนยากจน แต่นโยบายดังกล่าวถูกสภาปฏิเสธอย่างรุนแรง ซึ่งสภาเกรงว่าทรัพย์สินของพวกตนจะลดลง สภาหันไปลดค่าตอบแทนของข้าราชการพลเรือนและลดงบประมาณทางทหารแทน ทำให้อภิชนผู้ได้รับการศึกษาในประเทศส่วนใหญ่โกรธ https://th.wikipedia.org/wiki/การปฏิวัติสยาม_พ.ศ._2475 ..................................................................................... ตามไปอ่านจากโพยท่านหงส์เฒ่าฯ ผ่านมาเกือบ 100 ปี ลักษณะนิสัยของผู้มีอำนาจยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลย โดยเฉพาะการเก็บภาษีคนรวย เป็นไปได้ยากยิ่ง
คนพวกนี้คือคนที่ King ส่งไปเรียนเมืองนอก คนที่กินภาษีแผ่นดิน สุดท้าย ทรยศ แผ่นดิน สุดท้ายอีกที ไม่ตายดี คล้าย ๆ คนมีชีวิต ปัจจุบัน
24 มิถุนายน 2475 เป็นวันยัดเยียดคำว่า ประชาธิปไตย ใส่มือคนไทยของพวกบ้าอำนาจกลุ่มหนึ่ง โดยไม่ได้ศึกษาดูว่าคนไทยพร้อมมั๊ย รู้จักมั๊ย อยากได้มั๊ย ผ่านมา 80 กว่าปี จนบัดนี้ พวกมันก็ยังเอา ประชาธิปไตย มาหากินกับคนไทยเหมือนเดิม
24 มิ.ย. วันที่ขี้ทาสเหลืองแสนเสียดาย แสนเสียดายที่พากันพ้นทาส พวกไม่มีกระดูกสันหลังเสียดาย เป็นทาสที่ปล่อยแล้วไม่ไป
เขาพ้นเป็นทาสตั้งแต่ รัชกาลที่ 5 ควายแท้ๆแสดงความโง่ไม่เจียมตน แต่ยุคนี้ควายแดงยังอยากเป็นไพร่ แถมไพร่จัญไรเนรคุณเผาแผ่นดินเกิด 5555 จัญไรได้โล่ห์
ทุกวันนี้ พวกร่านโดยเฉพาะพวกที่เรียกตัวว่านักวิชาการพยายามหาว่า รัชกาลที่ ๗ ไม่ได้คิดจะพระราชทานรัฐธรรมนูญจริง หรือหาว่าช้าไปบ้าง หรือโย้เย้อ้างอย่างนู้นอย่างนี้ เพราะปัจจุบัน รัชกาลที่ ๗ ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น กษัตริย์นักประชาธิปไตย เป็นผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง เป็นผู้ที่ให้กำเนิดระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทยอย่างแท้จริง มิใช่คณะราษฎร มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า รัชกาลที่ ๗ มีพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญแล้วจริง แต่พวกคณะราษฎรมาฉกฉวยยึดกุมอำนาจไปซะก่อน ปรากฏอยู่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ๑. ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนเป็นบันทึกเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2475 เวลา 17.15 น. ที่โปรดฯให้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาศรีวิสารวาจา พระยาพหลฯ พระยาปรีชาชลยุทธ และหลวงประดิษฐ์ฯ เข้าเฝ้าที่วังศุโขทัย เป็นพระราชดำรัส ซึ่งราชเลขาธิการในตอนนั้น คือ พระยามหิธรเป็นผู้บันทึกเอาไว้ ความตอนหนึ่งว่า "ทรงเห็นว่าควรจะต้องให้ Constitution มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แล้ว และเมื่อทรงรับราชสมบัติ ก็มั่นพระราชหฤทัยว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ Constitution แก่สยามประเทศ ครั้งเมื่อพระยากัลยา ณ ไมตรี (F.B. Sayre) เข้ามา ได้ทรงปรึกษาวางโครงขึ้นก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากอภิรัฐมนตรีในส่วนพระราชดำริ ในชั้นต้นอยากทำเป็น ๒ ทาง ทั้งล่าง ทั้งบน ข้างล่างให้มีเทศบาลเพื่อนสอนราษฎรให้รู้จักเลือกผู้แทน จึงโปรดให้กรมร่างกฎหมายร่างขึ้น ดั่งที่หลวงประดิษฐ์ฯทราบอยู่แล้ว แต่การณ์ก็ช้าไป ในส่วนข้างบนได้ทรงตั้งกรรมการองคมนตรีขึ้นเพื่อฝึกสอนข้าราชการ เพราะเห็นพูดจาไม่ค่อยเป็น จึงตั้งที่ประชุมขึ้น หวังให้มีที่คิดอ่านและพูด ครั้งเสด็จไปอเมริกาก็ได้ให้ interview ว่าจะได้ให้ Constitution เมื่อเสด็จกลับมาก็ยิ่งรู้สึกแน่ว่าจะกักไว้อีกไม่สมควรเป็นแท้ จึงให้ปรึกษานายสตีเวนส์ นายสตีเวนส์กลับว่ายังไม่ถึงเวลา ฝ่ายพระยาศรีวิสารฯที่โปรดให้เป็นที่ปรึกษาด้วยอีกผู้หนึ่งก็ influence ไปด้วยกับนายสตีเวนส์ เมื่อพระยาศรีวิสารฯ และนายสตีเวนส์ขัดข้องเสียดังนี้การก็เลยเหลวอีก ต่อมาได้เตรียมว่าจะไม่ประกาศก่อนงานสมโภชพระนคร ๑๕๐ ปีแล้ว" ๒. เป็นบทสนทนากันระหว่างสมาชิกคณะราษฎร กับนายกรัฐมนตรี คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ณ วังปารุสกวัน ที่ใช้เป็นที่ประชุมว่าด้วยเรื่อง "เค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ" ฉบับที่หลวงประดิษฐ์ฯ หรือนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้เสนอ ซึ่งต่อมาไอ้เค้าโครงฉบับนี้แหละเป็นต้นตอของความวุ่นวายหรือว่ายป่วงในเวลาต่อมา ดั่งที่รู้กันอยู่ การประชุมในวันนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ (จริง ๆ ก็คือ ๒๔๗๖ นั่นแหละ แต่สมัยนั้นวันขึ้นปีใหม่หรือเปลี่ยนศักราช ยังยึดเอาวันที่ ๑ เมษายน อยู่ หนังสือทางราชการอะไรก็ลงตามนั้น) คำพูดของนายปรีดีเอง ซึ่งก็ยอมรับว่า รัชกาลที่ ๗ จะทรงพระราชรัฐธรรมนูญจริง ๆ หลวงประดิษฐ์ฯ: "การที่เราเปลี่ยนแปลงคราวนี้ยังไม่ได้แสดงพอว่า เราจะบำรุงเศรษฐกิจไปในทางใด มีหลายคนอยากทราบ เช่นพวกคณะชาติ การที่ทำอะไรปิด ๆ บัง ๆ นั้นทำให้คนระแวงและอาจจะเกิดผลร้ายได้ ดังเช่นพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริจะพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ราษฎรส่งให้พระยาศรีวิสารวาจา แต่ไม่ประกาศให้ประชาชนทราบจึงเกิดมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น อย่างเดียวกันถ้าเราได้ประกาศโครงการให้ทราบแล้ว เรื่องระแวงคงไม่มี เราประกาศให้ทราบทั้งโครงการใหญ่และทั้งการที่จัดเป็นลำดับ และบอกให้เขาทราบเป็นระยะทุกขั้นไป ชี้แจ้งผลที่ได้ทำทุกสัปดาห์" ผลการประชุมวันนั้น ไม่มีข้อสรุป ไม่มีข้อยุติ และตอนท้ายก็เป็นการทุ่มเถียงกัน ที่สุดก็ปิดประชุมลงโดยไม่มีอะไรคืบหน้า เพราะเห็นไม่ตรงกันของ ๒ ฝ่าย จนกระทั่งบานปลายกลายมาเป็นปิดสภาฯ ในอีกไม่กี่วันต่อมา แล้วถัดมาอีก ๘๔ วัน ก็มีการยึดอำนาจกันเป็นหนที่ ๒ โดย พระยาพหลฯ แต่เห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ ๗ นั้น ทรงให้ค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า ไม่ปัจจุบันทันด่วน ไม่ radical เหมือนอย่างพวกคณะราษฎรทำอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็ก่อให้เกิดผลเสีย เป็นผลไม้พิษต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ถ้าทรงเตรียมการให้เป็นจริง พวกพ่องปรีดีนี่มาเคลมตีกินเหมือนพ่องทักษิณเจงเจง ที่รีบทำคงเห็นว่าประชาชนไม่พร้อมจะได้กุมอำนาจนานๆ หน้าประวัติศาสตร์เวียนกลับมาให้เห็นอีกรอบ
ผมมีหนังสือเก่าหายากอยู่เล่มหนึ่ง เก็บไว้ที่ไหนสักแห่งในห้องหนังสือ วันนี้จะกลับไปค้นที่บ้านให้เจอ ผมอ่านแล้วทำคั่นหน้าไว้ด้วยว่าร.7ท่านทรงร่างกฏหมายเรื่องการเลือกตั้งสภาเทศบาลของกรุงเทพฯไว้เรียบร้อยแล้ว ที่ทรงเริ่มที่สภาเทศบาลเพราะ เริ่มจากแวดวงเล็กๆให้ประชาชนคุ้นเคยกับการเลือกตั้งเสียก่อน จากนั้นค่อยจัดเลือกตั้งระดับชาติ หากเลือกตั้งแล้วไม่ได้ผลดีดังหวังเพราะคนไทยอาจยังไม่คุ้นเคยกับการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ความเสียหายจะได้อยู่ในวงแคบ นายปรีดีมีร่างกฏหมายนี้อยู่ในมือนานกว่าหนึ่งปีแต่ไม่ยอมประกาศและน่าจะไม่ได้บอกคณะราษฎร์ด้วย เพราะถ้าคณะราษฎร์รู้ว่าร.7จะทรงเริ่มให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกหลายคนอาจไม่ยอมทำรัฐประหารโค่นล้มร.7ก็ได้ ถ้าค้นหนังสือเล่มนี้เจอจะคัดลอกมาแบ่งกันอ่านครับ
กระพ๊มเข้าใจขอรับ คว๊ายควาย... พยายามจะคิดแบบคน พูดแบบคน จะเลียนแบบคน อันดับแรกก็พูดกะเค้าดีๆหน่อยสิขอรับ ทำหูลู่ๆ หางดุ๊กดิ๊กๆๆ ให้เค้าเอ็นดู.... พยายามแบบนี้ ก็โดนน้ำร้อนสาดแค่นั้นแหละขอรับ... มาม๊ะ นั่งลงจิ๊... ขอมือหน่อยๆๆ โม๊ะๆๆๆ
แปลกนะ รัชกาลที่ 5 เลิกทาสมานาน แต่ทำไมควายแดงยุคปัจจุบันอยากกลับไปเป็นทาสแม้ว ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ
ครับก็รู้ว่านายเวรโง่ดักดานครับ ถึงได้เป็นทาส เป็นขี้ข้าทักษิณ ทำได้แค่ป่วนบอร์ดไปวันๆ ทำประโยชน์อะไรไม่ได้
ยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้อ่านพระราชหัตเลขาหมดทั้งฉบับ เคยอ่านเป็นบางตอนเท่านั้น เป็นต้นฉบับจริงทั้งหมดใช่มั๊ยครับ
ผมพยายามอ่านและตีความในพระราชหัตเลขาทุกประโยคและทุกคำ สรุป พวกเรามองและศึกษามาไม่ผิด จุดประสงค์ของพวกมันเมื่อวันนั้น กับวันนี้ที่อ้าง ประชาธิปไตย ไม่มีผิดเพี้ยนกันเลย เหมือนมันกลับชาติมาเกิด
ได้อ่านพระราชหัตถเลขาครั้งแรกครับ รับรู้ถึงการเสียพระทัยจากการที่ไม่สามารถปกป้องประชาชนจากกลุ่มคนที่เหิมเกริม ก่อการครั้งนี้ ทรงผิดหวังที่ตั้งพระทัยว่าจะมอบรัฐธรรมนูญที่สมบูรณืให้คนไทย ผ่านไปเกือบร้อยปี การแต่งตั้งพวกพ้องตัวเองขึ้นมีอำนาจแทนที่จะแต่งตั้งจากความรู้ความสามารถ ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ขอน้อมนำพระราชหัตเลขาบางตอน มาศึกษาและเปรียบเทียบครับ " โดยเหตุที่ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หาได้กระทำให้บังเกิดมีความเสรีภาพในการเมืองอย่างบริบูรณ์ขึ้นไม่ และมิได้ฟังความเห็นของราษฎรโดยแท้จริง " " และจากรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ จะพึงเห็นได้ว่า อำนาจที่จะดำเนินนโยบายต่างๆนั้น จะตกอยู่แก่คณะผู้ก่อการและผู้ที่สนับสนุน เป็นพวกพ้องเท่านั้น มิได้ตกอยู่แก่ผู้แทน ซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือก " " แสดงให้เห็นว่า ถ้าผู้ใด ไม่ได้รับความเห็นชอบของผู้ก่อการ จะไม่ให้เป็นผู้แทนราษฎรเลย " " ข้าพเจ้าได้ร้องขอให้ราษฎรได้มีโอกาศออกเสียง ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงหลักการและนโยบายอันสำคัญ มีผลได้เสียแก่พลเมือง รัฐบาลก็ไม่ยินยอม " " และแม้แต่การประชุมในสภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องสำคัญ สมาชิกก็มิได้มีโอกาศพิจารณาเรื่องโดยถ่องแท้และละเอียดละออเสียก่อน เพราะถูกเร่งรัดให้ลงมติอย่างรีบด่วน ภายในวาระประชุมเดียว " " นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกกฏหหมาย ใช้วิธีปราบปรามบุคคล ซึ่งถูกหาว่าทำความผิดทางการเมือง ในทางที่ผิดยุติธรรมของโลก คือไม่ให้โอกาศต่อสู้คดีในศาล มีการชำระโดยคณะกรรมการอย่างลับ ไม่เปิดเผย และข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เลิกใช้วิธีนี้ รัฐบาลก็ไม่ยอม " ขอน้อมนำมาแค่นี้ครับ ลองศึกษาและพิจารณากันดูนะครับ
พระราชหัตถเลขาที่ ร.7 ท่านทรงพระอักษรมาจากอังกฤษฉบับนั้น ผมเคยอ่านฉบับเต็มที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ร.7 แยกผ่านฟ้า ถ้าจำไม่ผิดเป็นฉบับสำเนา ที่โพสต์ในนี้ก็ตามนี้เลย เหมือนที่เคยอ่าน มีหลายคน หลายหน่วยงาน ยกย่อหน้าหนึ่งของพระราชหัตถเลขาที่ ร.7 ทรงพระอักษรบนกระดาษในหน้ารองสุดท้าย มาเผยแพร่บ่อยมาก คุ้นเคยกันดี ที่ขึ้นต้นว่า "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ ... ฯลฯ" หนังสือ เอกสาร เนื้อหาการเมืองที่ตีพิมพ์ในหมู่นักศึกษาก่อนเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 ก็อัญเชิญส่วนหนึ่งของพระราชหัตถเลขาดังกล่าวลงปก แม้แต่แผ่นจารึกบนฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.7 หน้าตึกรัฐสภาก็มีส่วนหนึ่งของพระราชหัตถเลขาจารึกอยู่ด้วย เนื้อหาในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัตินั้น บ่งบอกความรู้สึกที่มีต่อบ้านเมืองและคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะผู้ก่อการที่ยึดอำนาจจากราชวงศ์ ได้รับผลกรรมกันไปแล้ว อย่างที่เห็นที่อ่านอยู่
หากบางที วันที่ 24 ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเสียก่อน ประเทศไทยของเราอาจจะติดหล่มประชาธิปไตยแบบทุกวันนี้ก็ได้ครับ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน พ่อแซม ยุรนันท์ บอก ปรีดีฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ http://chaoprayanews.com/blog/thaiflag/2015/06/24/พล-ท-ประยูร-ภมรมนตรี-1-ในผู/
นี่คือหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าคนอย่างอัปปรีย์ดี เป็นจอมเนรคุณชาติอย่างไร เจ้าพระยาฯอย่าโชว์โง่เลย
ต้องดู บริบท ของสังคมโลก ตอนนี้ เศรษฐกิจโลก มีปัญหา เป็นช่วง Great Depression https://en.wikipedia.org/?title=Great_Depression ราวปี คศ. 1929-1932 ตรงกับ พศ. 2472-2474 เปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดปี พศ. 2475 ดังนั้นปัญหา เศรษฐกิจ คงนำ ไปสู่ปัญหาการเมือง ทุกอย่างคงจะสุกงอม พอดี