คดี “เขาพระวิหาร”ในวันศุกร์นี้ 4 ก.ย. จะได้รู้กันแล้วว่า นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่เป็น มือกฎหมายคู่ใจ ทักษิณ ชินวัตร จะมีชะตากรรมอย่างไร ในคดีที่ นพดล ตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ มาร่วมสองปี ประเด็นสำคัญที่นำมาสู่การเอาผิดนายนพดล ก็คือ เป็นเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เข้าข่ายเป็นหนังสือสนธิสัญญา ที่จะต้องนำเข้าขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่ได้นำเรื่องดังกล่าวขออนุมัติต่อรัฐสภา ทำให้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยก่อนจะยื่นฟ้องต่อศาล มีข่าวว่าคดีนี้ ป.ป.ช. มีการอภิปรายกันอย่างหนัก จนสุดท้าย มติป.ป.ช.ออกมาให้ชี้มูลความผิดด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 เมื่อ 29 ก.ย. 52 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000099763 เพื่อน ๆ รออยู่ ตูมเดียว เข้าไปอยู่กันเป็นเพื่อน
เกือบลืมไปแล้วคดีนี้ นพดลจะว่ายังไง ลุ้นไหม ? แต่ยังไงพวกเราก็น้อมรับคำตัดสินของศาลอยู่แล้ว พรุ่งนี้แล้วสินะ
" รวงเรืองกัมปูเจีย รวงเรืองพะนมเป็น ก้าวขามส่มเด็ด เด๊โช ฮุนเซน รวงเรืองกัมปูเจีย รวงเรืองพะนมเป็น ก้าวขามส่มเด็ด เด๊โช ฮุนเซน เลือดนองท่วมน้ำตา สู้มาอย่างกล้าหาญ ขับไล่ผู้รุกราน อุดมการณ์ประชาชน ออกุนเจริญ สมเด็ด เด๊โช ..... ส๊มเด็จฮุนเซน " cr: ห่วยตูน
เอาเข้าจริงมันไม่มีหรอกครับ แดงทั้งแผ่นดินอะไรพวกนั้น ที่ผ่านมามันเป็นแค่การโฆษณาชวนเชื่อจากควายไม่กี่ร้อยตัวในพรรคเผาไทยที่ร่วมมือกับพวกสื่อสันดานสัตว์แบบมติชนเป็นต้น
ระยะนี้มีคดีใหญ่ๆถี่ๆที่ถือว่าตัดสินแล้วจบแบบน็อกเอาท์หลายคดี เป็นผลงานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉะนั้นใครที่จะต้องมาขึ้นศาลนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อม อย่าชะล่าใจว่าจะรอดเหมือนคดีกรุงไทย ที่ วิโรจน์ นวลแข และ ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ คิดไม่ถึง ซึ่งบ่ายแก่ๆ วันที่ 4 กันยายน ก็ถึงคิวของ นพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ ที่ไปเสนอแถลงการณ์ไทย-กัมพูชา เอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่เพียงฝ่ายเดียว คดีนี้ถ้าผิดก็ติดคุกสถานเดียว ศาลฎีกาฯพร้อมออกนั่งบัลลังก์แล้ว แต่นพดล ไม่แน่ว่าพร้อมหรือยัง เพราะนักข่าวโทร.หาตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่ยอมรับสาย เผ่นตามลูกพี่แล้วหรือเปล่าน้อ http://www.naewna.com/politic/177247
ย้อนรอยคดี โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 ก.ย. 2558 05:30 ปฏิบัติการกัมพูชาขึ้นทะเบียน "ปราสาทพระวิหาร" เป็นมรดกโลก เกี่ยวข้องกับ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้นได้เสนอให้ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่มี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี นั่งควบรมว.กลาโหมเป็นประธาน ให้ความเห็นชอบแผนที่ ที่กัมพูชาจัดทำขึ้นเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ เพื่อเสนอต่อยูเนสโกประกอบการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก รวมทั้งเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ว่าไทยได้ "สนับสนุน" กัมพูชา ในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในขณะนั้น ที่มี นายสมัคร นั่งหัวโต๊ะ ก็เคาะมติเห็นชอบตามที่ นายนพดล เสนอมาภายใต้เงื่อนไขที่ว่า"จะต้องไม่กระทบเขตแดนของไทย" หากใครได้ติดตามสถานการณ์ในขณะที่ไทยและกัมพูชา ต้องส่งทนายขึ้นให้ถ้อยคำต่อศาลโลกกรณีดังกล่าวในช่วงนั้น ก็จะเห็นความเคลื่อนไหวของนายนพดล ในฐานะอดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่องในหลายช่องทาง หลากอิริยาบถ ทั้งการตอบคำถามกับผู้สื่อข่าว ที่ต่างก็ยกหูกรี๊งกร๊างหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ของนายนพดลเอง ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่มองในมุมเห็นด้วยกับการลงนามดังกล่าว และผู้ไม่เห็นด้วยที่เข้ามา "ไล่บี้" จี้เอาคำตอบต่างๆ นานา กลายเป็นข่าวดังสะท้านฟ้า จนลามไปสู่หูตาประชาคมชาวโลก ณ ห้วงเวลานั้น ชนวนวาทกรรม"ขายชาติ" ชนวนวาทกรรม "ขายชาติ" สำหรับปมร้อนคดีประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ต้องเท้าความจากประเด็นการยื่นจดทะเบียนตัว "ปราสาทพระวิหาร" เป็นมรดกโลกของ "กัมพูชา" ก่อน โดยมีรัฐบาลนายสมัคร กระทำหน้าที่บริหารประเทศในขณะนั้น ทั้งนี้ ก่อนคณะกรรมการมรดกโลกจะตัดสินชี้ขาด ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศกัมพูชาได้สำเร็จนั้น ได้มีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า การออกแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2551 นั้น เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 หรือไม่ และในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินว่าการออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เข้าข่ายมีความผิดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ซึ่งรัฐบาลนายสมัครได้ละเลย จนทำให้เพิ่มข้อสงสัยตามมาอีกว่า การเร่งรีบสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาของรัฐบาลไทยในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในครั้งนั้น มีวาระ "ซ่อนเร้น" มากกว่าที่รัฐบาลอ้างเหตุหรือไม่ ซ้ำร้ายหลังคณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้ปราสาทพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในวันที่ 7 ก.ค. 2551 ภายใต้มติดังกล่าวยังกำหนดให้มีคณะกรรมการจาก 7 ประเทศ ร่วมพิจารณาพื้นที่โดยรอบตัวปราสาท เพื่อเสนอแผนบริหารจัดการภายในเดือน ก.พ.ปี 2552 ด้วย ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศไทยสูญเสียดินแดนในพื้นที่ทับซ้อนพ่วงตามไปด้วย โดยกระแสการ "คัดค้าน" การขึ้นทะเบียนมรดกโลกของฝ่ายกัมพูชา จุดชนวน "ลุกลาม" ไปทั่วประเทศ จนผู้คนจากหลายองค์กรต่างออกมาประท้วง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทย "ยุติ" การสนับสนุนการขึ้นทะเบียนในครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะส่งผลต่อดินแดนของไทยในอนาคต แต่รัฐบาลไทยในสมัยนั้น กลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน จนส่งผลกระทบทั้งภายในและภายนอกประเทศ อีกทั้งกัมพูชาส่งกองกำลังทหารเข้ายึดปราสาทพระวิหาร จนเกิดเหตุการณ์เผชิญหน้าทางทหารของทั้ง 2 ฝ่าย โดยกัมพูชาได้ส่งกำลังทหารเข้ายึด ปราสาทสด๊กก๊อกธม, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย เพื่ออ้างสิทธิ์เหนือขอบขัณฑสีมาไทย รวมถึงไทยยังถูกกล่าวหาอย่างรุนแรงจากผู้นำรัฐบาลกัมพูชาอีกด้วย ทั้งนี้ในระดับนานาชาติฝ่ายกัมพูชายังได้ร้องต่อเวทีการประชุมอาเซียน กล่าวหาว่าไทย "รุกล้ำดินแดน" เหนืออธิปไตยเขมร รวมทั้งได้ยื่นเรื่องให้ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ นำประเด็นเขาพระวิหารขึ้นมาพิจารณาในระดับพหุภาคีด้วย นอกจากนี้การดำเนินการของรัฐบาลไทย แทนที่จะดำเนินการใน "เชิงรุก" แต่กลับวิ่งไล่ตามหลังกัมพูชา จนทำให้รัฐบาลของนายสมัครเสื่อมศรัทธาลงเป็นลำดับ และถูกขยายข้อครหาเพื่อแลกผลประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจการเมืองข้ามชาติ เข้าข่ายส่อพิรุธ กรณีปราสาทพระวิหารได้ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลในขณะนั้นอย่างรุนแรง ถึงขั้นรัฐบาลต้องยอมให้มีการเปิดประชุมสภาเพื่ออภิปรายประเด็นนี้อย่างร้อนแรง รวมถึงมีการตอบโต้ทางการทูตต่อกันหลายครั้งหลายครา แต่ที่สำคัญเลยประเด็นนี้ถูกยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในคดีอาญาในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม แม้จะถูก "คัดค้าน" อย่างหนักหน่วง แต่รัฐบาลของนายสมัครก็ได้เห็นชอบให้มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา จนได้ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2551 และได้มีการแก้ไขถ้อยคำจากคำว่า "แผนที่" เป็น "แผนผัง" "นพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ" ทบทวนคดีก่อนวัน "ดีเดย์" โดยคดีในชั้นศาลฎีกาฯ นั้น เริ่มจากที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ยื่นร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนคณะรัฐมนตรียุคของ "นายสมัคร" ทั้งคณะ กรณีทำให้ประเทศชาติเสียอาณาเขต ในปี 2551 จากนั้นเดือน ก.ย. ปี 2552 ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิด นายนพดล และ นายสมัคร กรณีแถลงการณ์ร่วมปราสาทพระวิหาร และส่งคดีให้อัยการสูงสุด (อสส.) ในปีเดียวกัน จนถึงเดือนกันยายนปี 2554 อสส.มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี จนทำให้ ป.ป.ช.ต้องออกโรงฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาด้วยตนเอง ซึ่งนับจากการร้องต่อ ป.ป.ช.จนถึงขั้นตอนนี้ ใช้เวลาไปเกือบ 4 ปีเต็ม จนในวันที่ 26 เมษายน 2556 ก็มีข่าวปรากฏออกมาว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำสั่งประทับรับฟ้อง "นายนพดล" ตามที่ ป.ป.ช.ส่งทนายมายื่นและนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ในปีเดียวกัน ด้วยข้อกล่าวหา "ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่นำเรื่องการลงนามดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา" ทั้งนี้ กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในครั้งนั้น ย่อมเกี่ยวโยง นายนพดล ลงนามออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ทั้งๆ ที่ในสมัยที่ "รัฐบาลขิงแก่" ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ บริหารประเทศ ได้ดำเนินการ "คัดค้าน" พร้อมกับเสนอให้มีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา จนทำให้ในปี 2550 คณะกรรมการมรดกโลกไม่กล้าชี้ขาดขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามข้อเสนอของกัมพูชา จนต้องเลื่อนการประชุมออกไป แต่เมื่อ นายนพดล ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชา ต่อมาการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2551 จึงมีมติรับรองให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามเป้าประสงค์ของกัมพูชา แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้แถลงการณ์ฉบับดังกล่าวเป็น "โมฆะ" ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถต้านทานหรือยับยั้งมติของคณะกรรมการมรดกโลกลงได้ ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ทนายความกัมพูชาได้หยิบยกเอาการสนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของไทย ไปใช้ประโยชน์ในการสู้คดีที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อโน้มน้าวให้ศาลเข้าใจว่า ไทยเคยยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร อยู่ภายใต้อำนาจ "อธิปไตย" กัมพูชา ดังนั้นจึงไม่มีการคัดค้านการขึ้นทะเบียนดังกล่าว ที่จะต้องมีการพัฒนาพื้นที่ในส่วนนี้เพื่อให้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกได้อย่างสมบูรณ์ ปม"พระวิหาร"บนเวทีโลก แม้ภายหลัง นายนพดล จะออกมายืนยันเสียงแข็ง โดยปฏิเสธว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่ใช่ต้นเหตุ เพราะมีการยกเลิกไปแล้วนั้น ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูถ้อยแถลงการณ์จากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 31 ณ เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2550 ก็จะพบว่า มีมติที่ 2.4 ระบุไว้ชัดเจนว่า "กัมพูชาและไทยเห็นพ้องกันว่า กัมพูชาจะเสนอเพื่อขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32 ด้วยการสนับสนุนอย่างแข็งขัน (Active Support) จากไทย" จนทำให้ตัวแทนจากรัฐบาลไทยในสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ ถึงขั้นลุกจากเก้าอี้เดินวอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุมจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากวาทกรรมดังกล่าวกระทบต่อพื้นที่โดยรอบปราสาท ซึ่งเป็นของไทย ดังนั้นกัมพูชาจึงมิอาจได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากไทย ซึ่งทำให้ยังไม่สามารถยื่นเอกสารเข้าสู่วาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2551 ได้ แต่แล้วจู่ๆ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 ช่วงเวลา 6 สัปดาห์ ก่อนจะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา นายนพดล ก็ได้เจรจาและลงนามย่อในร่างแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชา เพื่อสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทได้ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลา 6 สัปดาห์ ตามข้อบังคับการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ข้อที่ 45 ซึ่งระบุว่า "การแจกจ่ายเอกสารเพื่อให้คณะกรรมการในประเทศภาคีพิจารณานั้น จะต้องส่งถึงคณะกรรมการก่อนประชุมอย่างน้อย 6 สัปดาห์" ซึ่งปรากฏว่ากัมพูชาได้นำร่างแถลงการณ์ดังกล่าว ที่มีลายเซ็นของ นายนพดล ไปใช้ประกอบเอกสารอ้างอิง เพื่อยื่นเสียงต่อคณะกรรมการให้เห็นว่า ไทยมีการแสดงออกถึงการ "สนับสนุน" อย่าง "แข็งขัน" ต่อกัมพูชาโดยมี "ลายลักษณ์อักษร" ทั้งนี้แถลงการณ์ร่วมอาจไม่ใช่สิ่งเดียว ที่ทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้โดยตรง แต่ร่างแถลงการณ์ร่วมฉบับที่ นายนพดล ลงชื่อย่อกำกับไว้นั้น ก็ช่วยให้กัมพูชายื่นเอกสารได้ "ทันเส้นตาย" ก่อนการประชุม 6 สัปดาห์ กระทั่งที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก มีมติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งนำมาสู่ประเด็นใหม่ในด้านความ "ขัดแย้ง" ด้วยกำลังทหาร ซึ่งนำมาสู่การร้องขอตีความในภายหลัง จนท้ายที่สุด นายนพดล ที่ดำเนินการในเรื่องนี้ ก็ทนแรงเสียดทานทางการเมืองไม่ไหว ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2551 ทันทีที่เดินทางกลับจากการร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ทะลุถึงจุดเดือด "พื้นที่ทับซ้อน ปราสาทเขาพระวิหาร" โดยไฮไลต์สำคัญของคำฟ้อง ป.ป.ช.ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งว่า การลงนามของนายนพดลนั้น มีลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่มีบท "เปลี่ยนแปลง" อาณาเขตประเทศไทย หรือมีความ "สุ่มเสี่ยง" ที่จะทำให้ไทย "เสียดินแดน" โดยคำฟ้องระบุว่า การแสดงเจตนายืนยันชัดแจ้งถึงการยอมรับในแผนที่กำหนดแนวเขตที่จัดทำโดยกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา จึงมีลักษณะเป็นหนังสือสัญญา ที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย ด้วยการยอมรับอำนาจ "อธิปไตย" ของกัมพูชาให้อยู่เหนือ "ซากปราสาทพระวิหาร" ล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดไต่สวนพยานเพิ่มเติมถึงคดีดังกล่าวอีกครั้ง เมื่อวันที่ 14 และ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนับจากมีผู้ร้องให้มีการไต่สวนคดีจนถึงปัจจุบัน ก็ใช้เวลาไปแล้วกว่า 7 ปี ส่วนจะสิ้นสุดลงเมื่อไร และมีบทสรุปอย่างไรนั้น คงต้องติดตามกันในวันที่ 4 ก.ย. นี้ ว่าสุดท้ายแล้ว นายนพดล จะหลุดพ้นจากปมกล่าวหาว่าได้หรือไม่ ??? ที่มา http://thairath.co.th/content/522524
ยิ่งกรณีนี้ทำให้การมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ จำเป็นมากขึ้นครับ เพื่อกำกับนักการเมืองที่ส่วนมากมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ
เรื่องที่ผ่านมาในระยะเวลา10 ปีนี้ ถ้าบรรจุลงเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของประเทศ คงเป็นหนังสือที่อ่านแล้วเศร้ามาก ประเทศเราเป็นได้ขนาดนี้
ไม่ใช่หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามนายใหญ่ไปแล้วรึ "...อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ นายนพดล ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าจะเดินทางมาที่ศาลฎีกาฯเพื่อฟังคำพิพากษา แต่ล่าสุดช่วงเช้าวันนี้(4 ก.ย.)ผู้สื่อข่าวติดต่อไปที่นายนพดลอีกครั้งแต่ปรากฎว่าไม่สามารถติดต่อได้" จับตา! บ่ายนี้ "นพดล" มาเองหรือไม่? ศาลฎีกาฯชี้ชะตา ปมเอื้อเขมรขึ้นทะเบียนพระวิหาร
"วันนี้ (4 ก.ย.) เวลาประมาณ 09.30 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่นายทวีชัย วิชาคำ อายุ 39 ปี นายสุนทร ผิผ่วนนอก อายุ 49 ปี นายสมศรี มาฤทธิ์ อายุ 40 ปี และ นายชัชวาล ปราบบำรุง อายุ 45 ปี เป็นจำเลย กรณียิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 ระหว่างการชุมนุมของ กปปส. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บอีก 21 คน" "ล่าสุดมีรายงานว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้พิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่คน โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน อีกทั้งมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่เบิกความสอดคล้องกับพยานหลักฐานในกล้องวงจรปิดที่ ประตูน้ำ ปรากฏภาพจำเลยขับรถยนต์ 4 คัน ยิงลูกระเบิดลงมาจากสะพานใส่ที่เกิดเหตุ แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ จึงลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกตลอดชีวิต และให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้บาดเจ็บ" น่าเสียดายที่ยังมีโปรโมชั่น ลด แลก แจก และแถม ให้อีก ขยะของแผ่นดินเหล่านี้ ให้อยู่ต่อไปก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร แต่ก็จำต้องให้ความเคารพและยอมรับในคำพิพากษาของศาลครับ เดรัจฉานควายแดง กำลังแย่งกันเข้าไปอยู่ในคุก บ่ายโมงครึ่งวันนี้น่าจะเป็นคิวของไอ้เหล่ขายชาติ
ตกลงว่าจะให้ผมเอาโทษประหารชีวิตด้วยการยิงเป้ากลับมาใช้ใหม่ใช่ป่ะครับ อย่างนั้นผมขอถอยหลังกลับไปใช้โทษประหารชีึวิตด้วยการ "ฟันคอ ริบเรือน" เหมือนสมัยกรุงศรีอยุทธยาดีไหมฮะ อิอิอิ
ใครค้านก็ยากนะเพราะสำนวนบอกว่ามีภาพจากกล้องวงจรปิดชัดเจน มันจำนนด้วยหลักฐานเลยต้องรีบสารภาพในชั้นสอบสวนอะ
คนเรามักเชื่อเรื่องเวรกรรม ทำกรรมดีชั่วอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมนั้น จากกรณีนี้ทำให้เรารู้สึกว่า กรรมที่ต้องชดใช้ มาช้าแต่ชัวร์ ??
ฟังจากรายงานข่าว ณ ตอนนี้ (13:20) มันไปถึงศาลเรียบร้อยแล้ว แต่รายงานข่าวไม่บอกรายละเอียดว่า มันได้เตรียม ขันน้ำ สบู่ ยาสีฟัน ไปด้วยหรือเปล่า
เสมา ขุนศึกรักสถาบัน 33 นาที · RT@nene_ntv 48m48 minutes ago 13.15น.นพดล เดินทางถึงศาลฎีกา พร้อมฟังคำตัดสินคดี ผิด ม.157ลงนามให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก #nationtv >>>>> อยู่หรือไป ศาลเท่านั้นที่จะให้คำตอบไอ้เหล่ ทนายหน้าหอได้