"31 ตุลา วันมวลมหาประชาชน" ร่วมรำลึกวันประวัติศาสตร์ ด้วยการโพสต์ภาพ และบอกเล่าถึงความประทับใจ !!!!!

แต่ในขณะที่โพลชี้นำก่อนการเลือกตั้ง ก็ล่อกันสุดติ่งมันส์หมด

ผลโพลล์หากมีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 'สวนดุสิต' ระบุคนไป 45.56% 'กรุงเทพโพลล์' 79.6%
Fri, 2014-01-24 13:39


24 ม.ค. 2557 - จากที่รัฐบาลมีการประกาศให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นวันเลือกตั้ง ในขณะที่หลายฝ่ายยังคงคัดค้านและมีมุมมองที่แตกต่างกัน ทำให้มีความวิตกกังวลว่าจะมีสถานการณ์ที่รุนแรงหรือความวุ่นวายเกิดขึ้นในช่วงการเลือกตั้ง เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้ง “สวนดุสิตโพล”มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จึงได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,484 คน ระหว่างวันที่ 20 – 24 มกราคม 2557 สรุปผลได้ ดังนี้

1. ความคิดเห็นของประชาชน กับ การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.ที่จะถึงนี้

อันดับ 1 การเลือกตั้งเป็นวิธีการตามระบอบประชาธิปไตย ควรเคารพการตัดสินใจของประชาชน 37.34%

อันดับ 2 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งควรแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองก่อน 24.02%

อันดับ 3 อยากรู้ว่าจะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปหรือไม่ 15.40%

อันดับ 4 กังวลว่าจะมีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น มีการเคลื่อนไหว คัดค้านของกลุ่มต่างๆ 14.10%

อันดับ 5 อาจมีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อย ทำให้ต้องเลือกตั้งใหม่ สูญเสียงบประมาณจำนวนมาก 9.14%

2. ประชาชนจะไปเลือกตั้ง ส.ส. ในวันอาทิตย์ที่ 2 ก.พ.นี้หรือไม่?

อันดับ 1 ไปแน่นอน 45.56%

เพราะ เป็นการรักษาสิทธิของตัวเอง กลัวโดนสวมสิทธิ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน อยากเห็นการเมือง
เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ

อันดับ 2 ไม่ไป 19.78%

เพราะ ไม่ว่าง ติดธุระ เบื่อการเมือง มีแต่นักการเมืองหน้าเดิม ไม่มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะแก้ปัญหา
ความวุ่นวายทางการเมืองได้ ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ต่อไป ฯลฯ

อันดับ 3 คงจะไป 15.33%

เพราะ สถานที่เลือกตั้งอยู่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวก อยากไปสังเกตการณ์ด้วยตนเอง อยากเห็น
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง ยุติธรรม ฯลฯ

อันดับ 4 ไม่แน่ใจ 14.00%

เพราะ ไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือไม่ คงต้องรอดูสถานการณ์บ้านเมืองต่อไป ฯลฯ

อันดับ 5 คงจะไม่ไป 5.33%

เพราะ ไม่เชื่อมั่นในตัวนักการเมือง ไม่มีพรรคหรือผู้สมัครที่ชื่นชอบ เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ
โดยเปล่าประโยชน์ ฯลฯ

3. การชุมนุมประท้วงมีผลต่อการไปเลือกตั้งของประชาชนหรือไม่?

อันดับ 1 มีผล 52.80%

เพราะ ข้อมูลข่าวสารจากการชุมนุมอาจมีผลต่อการตัดสินใจ การชุมนุมอาจรุนแรงหรือเกิดเหตุการณ์
วุ่นวายก่อนการเลือกตั้ง กังวลเรื่องความปลอดภัย เดินทางไม่สะดวก รถติด ฯลฯ

อันดับ 2 ไม่มีผล 47.20%

เพราะ ไม่มีความกังวลต่อการชุมนุม เป็นการแสดงออกทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง ต้องการไปใช้สิทธิ
เลือกตั้งตามกฎหมาย ไม่ควรนำ 2 เรื่องนี้มาเกี่ยวข้องกัน ฯลฯ

4. เมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ประชาชนคิดว่าการเมืองไทยที่วุ่นวายอยู่ในขณะนี้จะเป็นอย่างไร?

อันดับ 1 คงจะเหมือนเดิม 51.79%

เพราะ หากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ขาดความสามัคคี ทะเลาะเบาะแว้ง

ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม การเมืองก็จะเข้าสู่สภาพเดิม มีนักการเมืองหน้าเดิม ยังคงมี
การทุจริตคอรัปชั่นต่อไป ไม่เป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ฯลฯ

อันดับ 2 คงจะแย่ลง 30.58%

เพราะ ไม่ว่าฝ่ายใดได้เป็นรัฐบาล อีกฝ่ายย่อมไม่พอใจและเกิดความขัดแย้งซึ่งอาจรุนแรงกว่าเดิม
เป็นเกมการเมืองอย่างหนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกครั้ง ฯลฯ

อันดับ 3 คงจะดีขึ้น 17.63%

เพราะ ประเทศชาติสามารถเดินหน้าพัฒนาต่อไปได้ การเลือกตั้งทำให้ได้รู้ถึงเสียงส่วนใหญ่
ของประชาชน เป็นการใช้สิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทุกฝ่ายควรจะยอมรับ ฯลฯ

กรุงเทพโพลล์สำรวจการเลือกตั้งท่ามกลางความขัดแย้ง

ด้านกรุงเทพโพลล์ เผยสำรวจความคิดเห็นประชาชน " สำรวจความคิดเห็นประชาชน "การเลือกตั้งท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง" โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,018
คนพบว่า ประชาชนร้อยละ 49.3 ยังไม่เห็นการหาเสียงของผู้สมัคร เห็นเพียงป้ายหาเสียง และร้อยละ 16.1 ยังไม่เห็นการหาเสียงในรูปแบบใดๆ เลย ขณะที่ร้อยละ 29.7 เห็นการหาเสียงของผู้สมัครแต่ไม่คึกคัก และมีเพียงร้อยละ 4.9 เท่านั้นที่เห็นการหาเสียงของผู้สมัครและคึกคักมาก

เมื่อถามว่าสถานการณ์ความรุนแรงและขัดแย้งทางการเมือง มีผลต่อการไปเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.ที่จะถึงนี้หรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 52.6 เห็นว่ามีผลต่อการไปเลือกตั้ง โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 34.3 บอกว่ามีผลทำให้ต้องรอดูสถานการณ์ความรุนแรงอีกทีก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะไปเลือกตั้งหรือไม่ และร้อยละ 18.3 ทำให้ไม่อยากไปเลือกตั้ง ขณะที่ร้อยละ 47.4 เห็นว่าไม่มีผลต่อการไปเลือกตั้ง โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 23.4 ให้เหตุผลว่าต้องไปเลือกตั้งให้ได้อยู่แล้ว และอีกร้อยละ 24.0 ให้เหตุผลว่าไปเลือกเพราะเป็นหน้าที่ แต่เมื่อถามต่อว่า “หากในวันที่ 2 ก.พ. ที่จะถึงนี้ยังคงมีการเลือกตั้ง ท่านตั้งใจจะออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือไม่” ร้อยละ 79.6 ตั้งใจจะออกไปใช้สิทธิ์ ขณะที่ร้อยละ 9.9 ตั้งใจจะไม่ออกไปใช้สิทธิ์ และร้อยละ 10.5 ยังไม่แน่ใจ

ส่วนความเห็นต่อการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ที่จะถึงนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 51.5 เห็นว่าควรมีการเดินหน้าเลือกตั้งตามเดิม ขณะที่ร้อยละ 28.1 เห็นว่าควรปฏิรูปก่อนแล้วค่อยเลือกตั้ง และร้อยละ 20.4 เห็นว่าควรเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน

สุดท้ายเมื่อถามว่า “จากข่าวสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ท่านเห็นด้วยหรือไม่หากกองทัพตัดสินใจทำรัฐประหาร เพื่อยุติความขัดแย้งที่เป็นอยู่” ร้อยละ 56.0 ไม่เห็นด้วย ขณะที่ร้อยละ 21.6 เห็นด้วย และร้อยละ 22.4 ไม่แน่ใจ

รายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ความเห็นต่อข้อคำถามที่ว่า “ปัจจุบันท่านเห็นการหาเสียงของพรรคต่างๆ หรือไม่อย่างไร”



เห็นการหาเสียงของผู้สมัครและคึกคักมาก

ร้อยละ

4.9

เห็นการหาเสียงของผู้สมัครแต่ไม่คึกคัก

ร้อยละ

29.7

ยังไม่เห็นการหาเสียงของผู้สมัคร เห็นเพียงป้ายหาเสียง

ร้อยละ

49.3

ยังไม่เห็นการหาเสียงในรูปแบบใดๆ เลย

ร้อยละ

16.1



2. สถานการณ์ความรุนแรงและขัดแย้งทางการเมือง มีผลต่อการไปเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.ที่จะถึงนี้หรือไม่



มีผลต่อการไปเลือกตั้ง

โดย ทำให้ต้องรอดูสถานการณ์ความรุนแรงอีกที

ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะไปเลือกตั้งหรือไม่ ร้อยละ 34.3

ทำให้ไม่อยากไปเลือกตั้ง ร้อยละ 18.3

ร้อยละ

52.6

ไม่มีผลต่อการไปเลือกตั้ง

โดย ให้เหตุผลว่าต้องไปเลือกตั้งให้ได้อยู่แล้ว ร้อยละ 23.4

ให้เหตุผลว่าไปเลือกเพราะเป็นหน้าที่ ร้อยละ 24.0

ร้อยละ

47.4



3. ความเห็นต่อข้อคำถามที่ว่า “หากในวันที่ 2 ก.พ. ที่จะถึงนี้ยังคงมีการเลือกตั้ง ท่านตั้งใจจะออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือไม่”



จะออกไปใช้สิทธิ์

ร้อยละ

79.6

จะไม่ออกไปใช้สิทธิ์

ร้อยละ

9.9

ยังไม่แน่ใจ

ร้อยละ

10.5



4. ความเห็นต่อข้อคำถามที่ว่า “ท่านคิดว่าวันที่ 2 ก.พ. ที่จะถึงนี้ควรมีการเลือกตั้งหรือไม่”



ควรมีการเลือกตั้ง

ร้อยละ

51.5

ควรปฏิรูปก่อนแล้วค่อยเลือกตั้ง

ร้อยละ

28.1

ควรเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน

ร้อยละ

20.4



5. ความเห็นต่อข้อคำถามที่ว่า “จากข่าวสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ท่านเห็นด้วยหรือไม่หากกองทัพตัดสินใจทำรัฐประหาร เพื่อยุติความขัดแย้งที่เป็นอยู่”



เห็นด้วย

ร้อยละ

21.6

ไม่เห็นด้วย

ร้อยละ

56.0

ไม่แน่ใจ

ร้อยละ

22.4


ที่มา http://www.prachatai.com/journal/2014/01/51371

 

สรุปเหตุการณ์วันที่ 3 ก.พ.57 วันนี้ กปปส มีการปรับแผน การยุบเวทีลาดพร้าว เวทีอนุสาวรีย์ชัย
สรุปข่าววันที่ 3 ก.พ.57 เวลา 06.00-18.00 น.
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 ก.พ. 2557 18:00


สุเทพ จ่อ นัดชุมนุมใหญ่ ชัตดาวน์ กทม.อีก พรุ่งนี้ ประกาศยกระดับ ใช้ยุทธการส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ไล่ปิดสถานที่ราชการ-บ้านพักนายกฯ และบ้านพักคณะ ครม.ยุบเวที ประเมินมีเหตุรุนแรงถี่ขึ้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จ่อยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญ พรุ่งนี้ กรณีจัดเลือกตั้ง ขัด รธน. ม.68 จี้ ผบ.ตร. รักษาองค์กรตำรวจ เร่งสางทุกคดี กกต.ระบุ เลือกตั้ง 2 ก.พ. มีผู้มาใช้สิทธิ 20.46 ล้านคน คิดเป็น 45.84% ลำพูน ใช้สิทธิมากสุด ด้าน "ผู้ว่าฯ กทม." ขอบคุณบุคลากรมีผู้มาแสดงตนขอใช้สิทธิ 1,143,667 คน คิดเป็น 26.18%.

การเมือง

08.03 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ปัดจัดฉากถูกทำร้าย ย้ำ ไม่แจ้งความ เหตุไม่ติดใจ และกฎหมายบ้านเมืองไร้ความหมาย

08.30 น. บก.จร. แจ้ง 9 โมงเช้า "เทพเทือก" นำมวลชนเคลื่อนจากเวทีห้าแยกลาดพร้าว ผ่าน ถ.พหลโยธิน มุ่งหน้าเวทีอนุสาวรีย์ชัยฯ เข้าแยกราชประสงค์ สู่สวนลุมฯ ระยะทาง 14 กิโล แนะผู้ใช้รถหลีกเลี่ยงเส้นทาง ศูนย์เอราวัณ เผย มีผู้บาดเจ็บเมื่อคืนนี้ 3 ราย รวมเหตุตั้งแต่ 30 พ.ย.56 มีคนบาดเจ็บรวม 594 คน เสียชีวิต 10 ราย

08.36 น. นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. ย้ำ ยุบเวทีลาดพร้าว-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อ้างสะพัด เอ็ม79 จ้องป่วน เช้านี้ผู้ชุมนุมเริ่มเก็บเวทีแล้ว

0.00 น. ประมวลภาพ ผู้ชุมนุม กปปส. สละเวที 5 แยกลาดพร้าว ก่อนเคลื่อนขบวน สมทบผู้ชุมนุมเวทีอนุสาวรีย์ชัยฯ มุ่งหน้าสวนลุมพินี โดยมีเจ้าหน้าที่ กทม. เข้าเคลียร์พื้นที่ทำความสะอาด

10.30 น. วันนี้ ''ไทยรัฐออนไลน์'' จะพาไปดูความฮอตของนักข่าวหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย "เอนามิ ไดจิโร่" ผู้ประกาศข่าวฟูจิทีวี ที่สาวๆ คลั่งไคล้ แชร์รูปว่อนในโลกโซเชียลฯ ล่าสุด ชาวม็อบ ยกย่องเป็น โกโบริ แล้ว

10.39 น. "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เลขาธิการ กปปส. นำผู้ชุมนุมเคลื่อนย้ายจาก "ลาดพร้าว - อนุสาวรีย์ชัยฯ" มุ่งสู่ "สวนลุม" ยันห่วงเรื่องความปลอดภัยของผู้ชุมนุม

11.00 น. ผู้ชุมนุมที่เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเริ่มเก็บอุปกรณ์ และข้าวของส่วนตัว เพื่อรอมวลชนของนายสุเทพ ที่เคลื่อนขบวนมาจากห้าแยกลาดพร้าว โดยมีจุดหมายที่เวทีสวนลุมพินี

11.08 น. สุเทพ ยัน กปปส.สู้ต่อ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ปัด ยอมแพ้ แจง ยุบเวที เหตุ ห่วงความปลอดภัยผู้ชุมนุม ด้านเอกนัฏ โว กทม. คนใช้สิทธิ์น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เพียง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์

11.20 น. ต้อนรับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. " สองข้างทางแห่ให้กำลังใจ-เป่านกหวีดเพียบ ด้านเวที กปปส.แจ้งวัฒนะเงียบเหงา ขณะที่ช่วงเช้ายังไม่พบมีการรื้อเวทีหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อคืนพื้นที่

11.45 น. แกนนำ กปปส.ราชบุรี ถูกยิงถล่มบ้าน 2 หลังพรุน กลางดึก โชคดีไม่มีคนเจ็บ-ตาย ขณะบ้านภรรยาเก่า พลอยโดนลูกหลงไปด้วย

12.05 น. "สมชัย" ลั่น ขอลาออกตำแหน่งบริหารกิจการงานเลือกตั้งเป็นด้านอื่น รับผิดชอบกว่าหมื่นหน่วยจัดลงคะแนนไม่ได้ เผย กำหนดเลือกตั้งทดแทน 23 ก.พ.ยังไม่นิ่ง ซัด รัฐบาล จี้จัดเลือกตั้ง 7 วัน หวังกลับมาเป็นรัฐบาลอีก

12.44 น. "เสน่ห์ รักรงค์" ผอ.กกต. ประจำ จ.ตรัง หนักใจ โดนมองปล่อยล้มเลือกตั้ง ยันทำหน้าที่เต็มที่ รับมีท้อบ้าง แต่จะทำหน้าที่ต่อ

14.58 น. กกต.อุบลฯ สรุปผลการเลือกตั้้งส.ส.อุบลฯ ผ่านพ้นไปด้วยดี หลังปิดหีบยังไม่มีเรื่องร้องเรียนใดๆ สั่งติดตั้งกล้องวงจรปิดห้องเก็บรักษาหีบบัตร..

15.23 น. ประมวลภาพ "เอนามิ ไดจิโร่" นักข่าวหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย ของฟูจิทีวี ที่ขโมยซีนม็อบกำนัน กลายเป็นขวัญใจชาวเน็ตเพียงข้ามคืน

16.37 น. "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ตามสมทบขบวนห้าแยกลาดพร้าวไม่ทัน ขณะ "สุเทพ" เคลื่อนขบวน ยังตอกย้ำ "ยิ่งลักษณ์" หมดชอบธรรม

16.44 น. "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ยอมเปิดทางให้ข้าราชการ "กระทรวงยุติธรรม" ทำงานพรุ่งนี้ แต่ปิดดีเอสไอต่อ อ้างทำงานรับใช้รัฐบาล

16.46 น. สุเทพ จ่อ นัดชุมนุมใหญ่ ชัตดาวน์ กทม.อีก พรุ่งนี้ ประกาศยกระดับ ใช้ยุทธการส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ไล่ปิดสถานที่ราชการ-บ้านพักนายกฯ และบ้านพักคณะ ครม.ยุบเวที ประเมินมีเหตุรุนแรงถี่ขึ้น

17.05 น. "แกนนำ กปปส." นำมวลชนปิดล้อม สำนักงานปลัดกลาโหม หลังนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าทำงาน และเกาะติดการชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา

17.08 น. เลขาฯกกต.เผย ผู้มาใช้สิทธิ์ ลต. 45.84 เปอร์เซ็นต์ หัก 9 จว.ใต้ที่ไม่มีผู้สมัคร ส.ส.ลำพูนขึ้นแท่นใช้สิทธิ์มากสุด ขณะที่นครศรีฯ ใช้สิทธิ์น้อยสุด 0.11 เปอร์เซ็นต์ มติที่ ประชุมกกต. เอกฉันท์ ให้ “สมชัย” คุมบริหาร ลต.ต่อ บอกทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว

17.20 น. พฐ.รุดตรวจที่เกิดเหตุปะทะกันแยกหลักสี่ พบหลักฐานคนร้ายใช้ปืน 7 ชนิด มี.38, 9 มม., 11 มม., ลูกซอง, อาก้า, เอ็ม16 และคาร์บิน เตรียมขอภาพจากสื่อมวลชน นำมาเป็นหลักฐานขออนุมัติออกหมายจับต่อไป

17.26 น. ทบ.วอน หยุดวิจารณ์คนถืออาวุธสงคราม ปะทะ หลักสี่ เป็นทหาร ยัน กองทัพ มีระบบจัดเก็บอาวุธเข้มงวด พร้อมจับตาอาวุธปืนหลายกระบอกที่หายช่วงการชุมนุมเสื้อแดงปี 53 ย้ำ ใครมีภาพถ่ายความรุนแรงให้แจ้งมายังกองทัพบก เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลไปดำเนินคดี

17.30 น. โฆษก ปชป. อัดรัฐบาลจัดเลือกตั้งหวังฟอกตัวเองแต่ไม่สำเร็จ เทียบเลือกตั้งปี 54-57 คนใช้สิทธิ์ลดลง 20 ล้าน ย้ำ เพื่อไทย-ยิ่งลักษณ์เข้ายุคเสื่อมถอย

17.30 น. "กอ.รมน." เผย "ประยุทธ์" เสียใจเหตุกลุ่มป่วนใต้ลอบวางระเบิดทหาร-ฝ่ายปกครอง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ชี้ ผบ.ทบ.กำชับ แม่ทัพภาคที่ 4 เกาะติดสถานการณ์ช่วงเลือกตั้ง หวั่น คนร้ายฉวยโอกาสลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่

17.45 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จ่อยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญ พรุ่งนี้ กรณีจัดเลือกตั้ง ขัด รธน. ม.68 จี้ ผบ.ตร. รักษาองค์กรตำรวจ เร่งสางทุกคดี

17.55 น. กกต.ระบุ เลือกตั้ง 2 ก.พ. มีผู้มาใช้สิทธิ 20.46 ล้านคน คิดเป็น 45.84% ลำพูน ใช้สิทธิมากสุด ด้าน "ผู้ว่าฯ กทม." ขอบคุณบุคลากรมีผู้มาแสดงตนขอใช้สิทธิ 1,143,667 คน คิดเป็น 26.18%.

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/401061

ในขณะเดียวกันกลุ่มชาวนาที่เรียกร้องเงินค่าจำนำข้าวก็ยกขบวนออกมาเรียกร้องเงินจากรัฐบาล

ทำให้สถานการณ์บานปลายรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
นายเรวัติ บุบผะศิริ ผู้อำนวยการแขวงการทางพิจิตร กรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มชาวนาที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าวประมาณ 300 คน ปิดถนนทางหลวงหมายเลข 117 เส้นทางพิษณุโลก-นครสวรรค์ ขาเข้ากรุงเทพฯ 1 ช่องจราจร ทำให้เหลือเส้นทางจราจรจาก 4 ช่องจราจรไป-กลับ เพียงแค่ 3 ช่อง ส่วนช่องทางจราจรจากกรุงเทพฯ ไปพิจิตรใช้ได้ 2 ช่องจราจรตามปกติ

ดังนั้น ทล. แนะให้ผู้ที่ต้องการใช้เส้นทางจา กจ.พิจิตร-กรุงเทพฯ โดยเลี่ยงช่วง ต.โพธิ์ไทรงาม สามารถใช้ทางเบี่ยงก่อนถึงโพธิ์ไทรงามไปยังบึงนาราง เข้าทางหลวงหมายเลข 1289 และเลี้ยวขวาไปทางถนนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ออกไปทางถนนสาย 1067 และเลี้ยวขวาออกทางหลวง 117 เส้นทางพิษณุโลก-นครสวรรค์

ขณะที่ นที ขวัญแพ ผู้อำนวยการสำนักบำรุงทางสมุทรสงคราม และราชบุรีที่ 2 กล่าวว่าขณะนี้มีกลุ่มชาวนา 6 จังหวัดภาคตะวันตกที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าวได้นำรถยนต์ และมากางเต็นท์ปิดถนนพระรามที่ 2 และถนนเพชรเกษม บริเวณใกล้ทางแยกต่างระดับวังมะนาว ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ในบางช่วง อีกทั้งการจราจรยังติดขัดทั้งขาเข้า-ออกจากกรุงเทพฯ และลงใต้ โดย ทล. ได้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการบอกเส้นทางเลี่ยงให้ประชาชนที่เดินทางผ่าน

ส่วนเส้นทางเลี่ยงสำหรับการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปยัง จ.เพชรบุรี ให้เลี้ยวเข้าถนนทางเลี่ยงบริเวณ ถนนพระรามที่ 2 กม.ที่ 72 วัดคลองโคลน-พระราม 7 ออกไปทางถนนของ ทช. ออกไปยังชะอำ จ.เพชรบุรี ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งให้เลี้ยวขวาจากถนนพระรามที่ 2 กม. 80+500 เข้าถนนหมายเลข 3088 วัดวันดาว วิ่งตามทางออกเส้นปาท่อ-หนองหญ้าปล่อง ออกไปทางเขาย้อย จ.เพชรบุรี

สำหรับขาขึ้นจากภาคใต้เข้ามากรุงเทพฯ นั้น ใช้เส้นทางจากจ.เพชรบุรี ทางถนนเพชรเกษม กม. 127+300 มาทางถนนของทช. จะมีเส้นทางทะลุออกถนนหมายเลข 3206 เข้าสู่ถนนปากท่อ-โป่งกระทิง และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ได้

 

ชาวนารวมตัวชุมนุมปิดบริเวณแยกวังมะนาว เขต อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี เส้นทางไปยังภาคกลางและภาคใต้ เส้นทางสำคัญ เพื่อกดดันรัฐบาลให้จ่ายเงินจำนำข้าว...

 

ขณะที่ภาคเหนือ
ชาวนา3จว.เหนือจ่อบุกกรุงทวงเงินจำนำข้าว
ข่าวภูมิภาค จำนำข้าว วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 8:45น.

ชาวนา นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี นัดรวมตัว จ่อบุกเข้ากรุง ทวงจำนำข้าว ขณะแกนนำ แจ้ง ไม่ปิดถนน ขอปราศรัยรวมตัว
ด.ต.สุชาติ สายดี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บึงนาราง จ.พิจิตร เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า วันนี้ เวลา 09.00 น. ชาวนา 3 จังหวัด อาทิ นครสวรรค์ ชัยนาท และอุทัยธานี นัดรวมตัวกันบริเวณสี่แยกโพธิ์ไทรงาม โดยในพื้นที่ขณะนี้ มีการตั้งเวทีเตรียมให้แกนนำขึ้นปราศรัย แต่จากการลงพื้นที่ เจ้าหน้าที่ยังไม่พบมวลชนในพื้นที่ และเบื้องต้น จากที่ได้เจรจาพูดคุยกับทางแกนนำนั้น ระบุ จะไม่มีการปิดถนน แต่จะนัดรวมตัวปราศรัย และเคลื่อนขบวนเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อกดดันรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าจะเคลื่อนไปในจุดใดหรือสมทบกับกลุ่มไหนหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บึงนาราง ได้ระดมเตรียมกำลังเข้มดูแลกว่า 70 นาย พร้อมทั้งคาดว่า ในเวลา 09.00 น. ตามที่มวลชนนัดหมาย จะมีความชัดเจนในแนวทางการเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ขณะที่ อีสานประท้วงตั้งแต่ 27 ม.ค. 57 แล้ว
ชาวนาปิดถนนในสุรินทร์-เพชรบูรณ์ทวงเงินจำนำ
โดย ทีมข่าวภูมิภาค 27 ม.ค. 2557 19:49


ม็อบชาวนาประท้วงปิดถนน ทั้งสุรินทร์-เพชรบูรณ์ ขยายวงทวงเงินรับจำนำข้าว ที่รัฐบาลยังไม่จ่าย ชี้เดือดร้อนไม่มีเงินใช้หนี้ ขู่พร้อมจะรวมตัวกับชาวนาภาคอีสานเพื่อประท้วงครั้งใหญ่...

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. เวลา 10.00 น. ที่สนามด้านหน้าที่ว่าการอำเภอศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ได้มีกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรอำเภอศีขรภูมิ รวมตัวกัน ซึ่งมี นายแก้ว ทองสุข เป็นแกนนำ โดยมีป้ายผ้าข้อความ ทวงเงินโครงการรับจำนำข้าว ที่รัฐบาลยังไม่จ่าย พร้อมเปิดปราศรัยโจมตีรัฐบาลโครงการรับจำนำข้าว และเปิดให้เกษตรกรได้มาลงชื่อ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าว เกษตรกรทยอยมาลงชื่อเป็นระยะๆ ขณะที่ชาวนารวมตัวประท้วง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศีขรภูมิ มาคอยรักษาความสงบเรียบร้อย




นายแก้ว ทองสุข แกนนำเกษตรกรอำเภอศีขรภูมิและเครือข่ายเกษตรกร จ.สุรินทร์ กล่าวว่า การรวมตัวในครั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งข่าวไปถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หวังว่าทางอำเภอได้รับรู้ความเดือดร้อนแล้วส่งเรื่องไปยังจังหวัด และผ่านไปยังรัฐบาล และในวันนี้ได้ให้เกษตรกรร่วมลงชื่อ ที่ยังไม่ได้รับเงินจากการจำนำข้าว เพื่อให้นำเงินมาจ่ายให้แก่เกษตรกรโดยเร็ว เพราะขณะนี้เกษตรกรชาวนามีค่าใช้จ่าย และหนี้สินเพิ่มขึ้นทุกขณะ และเดือดร้อนอย่างมาก และจะนำรายชื่อส่งให้ประธานสภาเครือข่ายเกษตรกร จ.สุรินทร์ ทราบ เพื่อรวบรวมว่า มีจำนวนเท่าใดที่ยังไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 1 ก.พ. 57 หากยังไม่ได้รับเงินจำนำข้าวตามที่รัฐบาลสัญญาไว้ คณะเครือข่าย 20 จังหวัดทางภาคอีสานจะนัดรวมตัวกันชุมนุมใหญ่กดดันเคลื่อนไหวที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง รวมถึงยกระดับการชุมนุม อาทิ มีการปิดถนน เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องรอผลการประชุมจากทางประธานเครือข่ายเกษตรกร จ.สุรินทร์ เพื่อกำหนดแนวทางในการเคลื่อนไหวต่อไป




ขณะที่ จ.เพชรบูรณ์ มีชาวนาจำนวน 100 คนเศษ จาก อ.เมือง หล่มสัก และหล่มเก่า รวมตัวกันกางเต็นท์ปิดถนนฝั่งขาออกไป อ.หล่มสัก เพื่อทวงถามเงินค่าจำนำข้าวที่ได้เคยรวมตัวประท้วงก่อนหน้านี้หลายครั้ง พร้อมกำหนดขีดเส้นให้รัฐบาลเร่งจ่ายเงินให้แก่ชาวนาภายในวันที่ 25 ม.ค. 57 แต่กลับไร้วี่แววใดๆ จากรัฐบาล โดยกลุ่มของชาวนาต่างได้สับเปลี่ยนกันพูดปรับทุกข์ถึงความเดือดร้อนที่ได้ รับ อย่างแสนสาหัส

ทางด้าน นายคงศักดิ์ ดัวยสาร อายุ 59 ปี ชาวนาอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ได้จับไมค์ระบายทุกข์ว่า ทุกวันนี้ถูกรัฐบาลหลอกไปวันๆ ว่าจะนำเงินมาจ่ายให้กับชาวนาวันนั้นวันนี้ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะจ่ายจริงเมื่อใด ทุกวันนี้ไม่มีเงินใช้ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินแหล่งเงินกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงมาใช้จ่าย และมีชาวนาอีกหลายๆ คน ต่างก็ผลัดเปลี่ยนกันมาระบายทุกข์

ขณะเดียวกัน นายยุพราช บัวอินทร์ อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลไม่มีความโปร่งใส ต้องรอให้ชาวนาที่เดือดร้อนมารวมตัวประท้วงปิดถนนเป็นเครื่องกำหนดชี้วัด ความเดือดร้อนว่าจะให้เงินกับใครก่อน หรือหลัง ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนี้โดยดำเนินการขอความช่วยเหลือดีๆ ก็จะไม่มีทางได้การช่วยเหลือ




ต่อมา นายสุชาติ ราษฎร์ดุษฎี รอง ผวจ. นายชัยยันต์ ยอดคำ พาณิชย์จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เข้าทำการชี้แจงกับชาวนาว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้อนุมัติให้รัฐบาลกู้เงินได้แล้ว คาดว่าจะได้จำนวนเงินมาชำระให้แก่ชาวนาได้อย่างแน่นอน โดยจังหวัดเพชรบูรณ์มียอดค้างจำนวน 2,558 ล้านบาท จะได้รับเงินก้อนแรกในวันที่ 3 ก.พ. จำนวน 780 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้แจ้งให้ ธ.ก.ส.ทราบว่าจะสามารถชำระเงินทั้งหมดให้แก่ชาวนาได้ภายในวันที่ 15 มี.ค.นี้.

 

ในขณะที่ม๊อบชาวนา ค่อย ๆ ทยอยเข้ามาที่กรุงเทพ ทำให้รับบาลรับศึกหลายด้าน มีการโจมตีจากฟากฝั่งรัฐบาล

และฝ่ายผู้สนับสนุน ไม่ว่าเป็นชาวนาปลอม เป็นกลุ่ม กปปส บ้าง ทำให้เพิ่มความร้อนแรงของสถานการณ์ ซึ่ง

ขณะที่รัฐบาลท่องสูตรสำเร็จอย่างเดียวคือต้องขอกู้อย่างเดียว เสียงเรียกร้องให้เปิดโกดังขายข้าวเริ่มดังมากขึ้น

ปิดท้ายด้วยคำปราศรัยของลุงกำนันในวันที่ 3 ก.พ.57

 

วัที่ 4 ก.พ. 57 เหตุการณ์เริ่มเป็นผลลบกับฝ่ายรัฐบาลทรราชย์ขึ้นเรื่อย ๆ พวกร่านอย่างเต่านา

คุ้มคลั่งถึงกับเรียกร้องให้จับตายสุเทพ

จะว่าไปวันนี้ผมว่าอาการดีขึ้นเยอะแล้วนะ พออีปรูโดนถอดมาหัวเราะชอบใจ
ช่วงนี้ในโลกโซเชียลก็มีการทำคลิปสนุก ๆ กำนันสไตล์ ส่งต่อกันมากมาย

ในขณะที่รัฐบาลก็เร่งศาลให้ออกหมายจับ กบฏ บรรดาแกนนำ กปปส

และ กปปส ก็ร้องศาลให้รัฐบาลเพิกถอน พรก ฉุกเฉิน เรื่องเงินกู้จำนำข้าว ที่รัฐบาลขอกู้จาก ธ.กรุงไทย

ก็ไม่มีการนำเข้าที่ประชุมบอร์ด

 

บันทึกไว้เผื่อหลงลืม การดิ้นสุดซอยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการแก้ปัญหาชาวนา แต่ไม่ได้รับการเห็นใจจากชาวนา
4 กุมภาพันธ์ 2014

นับเป็นประวัติศาสตร์ของโครงการรับจำนำข้าว ที่ชาวนาขายข้าวแล้วไม่ได้เงิน กลายเป็นว่ารัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นหนี้ชาวนาเป็นแสนล้าน จนเกิดปรากฏการณ์ “ม็อบซ้อนม็อบ” ทั้งม็อบคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) และม็อบชาวนาทุกภาค ที่ต่างออกมาปิดถนน และยกระดับการชุมนุม

นับเป็นโครงการประชานิยมที่เจ๊งคามือรัฐบาลภายในเวลาแค่ 2 ปี

ด้วยเหตุนี้รัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงต้องดิ้นสุดซอยอีกครั้ง เพื่อหาเงินมาจ่ายให้ชาวนา

ถ้าเป็นรัฐบาลปกติ การกู้เงินหรือการจะปรับปรุงแผนการก่อหนี้สาธารณะสามารถทำได้


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra

แต่ในห้วงที่เป็นรัฐบาลรักษาการณ์ จึงกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นเมื่อโครงการจำนำข้าวอยู่ในสภาพขาดสภาพคล่อง กรอบวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และใช้หมุนเวียนอยู่ 5 แสนล้านบาท ก็ชนเพดาน เพราะกระทรวงพาณิชย์ในฐานะผู้รับผิดชอบการระบายข้าวโดยตรงกลับขายในสต็อกได้น้อยหรือแทบจะขายข้าวไม่ได้ โครงการจำนำข้าวจึงช็อตเงินอย่างรุนแรง

ปรากฏการณ์ที่สถาบันการเงิน 34 แห่ง ไม่ยอมยื่นซองประกวดราคาปล่อยเงินกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ก้อนแรก 20,000 ล้านบาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2557 รวมทั้งแบงก์รัฐยังปฏิเสธ ย่อมสะท้อนชัดเจนว่าทุกรายหวั่นเกรงว่าจะผิดข้อกฎหมาย

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวว่า “การที่สถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ยอมปล่อยกู้ในครั้งนี้ ทำให้นายใหญ่ที่ดูไบโกรธมาก เช่นเดียวกับแบงก์พาณิชย์ขนาดใหญ่รายหนึ่งที่เดิมทีจะให้กู้ แต่สุดท้ายเมื่อบอร์ดลงมติคัดค้านก็ปล่อยกู้ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะจดหมายของสำนักบริหารหนี้ที่ระบุว่าการกู้เงิน 1.3 แสนล้านบาทในครั้งนี้เข้าข่ายที่จะผิดกฎหมาย จึงทำให้นายแบงก์ต้องหยุด เพราะขนาดข้าราชการระดับสูงซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ยังท้วงติง นั่นหมายถึงความเสี่ยงที่อาจจะผิดข้อกฎหมายได้”

ดังนั้น การท้วงติงของข้าราชการทั้งในที่ประชุมการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ และการทำจดหมายอย่างเป็นทางการของผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรี ย่อมเป็นการยืนยันความเสี่ยงในข้อกฎหมายและการป้องกันตัวเองของข้าราชการ หากมีการฟ้องร้องในภายหลัง


ชาวนาชุมนุมประท้วงให้รัฐบาลจ่ายจำนำข้าว ที่ส่แยกวังมะนาว ที่มาภาพ: http://mpics.manager.co.th

แต่การท้วงติงไม่เป็นผล “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ลงนามสั่งการให้ สบน. ดำเนินการกู้เงินทันที

นั่นเป็นเพราะแรงกดดันของชาวนา ที่ปิดถนนอยู่ในขณะนี้เรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายเงินค่าข้าวโดยเร็ว

และนั่นเป็นประเด็นความเสี่ยงว่าการกู้เงินในครั้งนี้ หากมีความเสี่ยงข้อกฎหมายว่าอาจจะทำไม่ได้ แล้วคนที่กู้คือใคร หาก “กิตติรัตน์” เป็นคนสั่งการ นั่นหมายความ “กิตติรัตน์” เป็นคนกู้และต้องรับผิดชอบการจ่ายเงินคืน 20,000 ล้านบาทใช่หรือไม่ เพราะตามข้อกฎหมายรัฐบาลทำไม่ได้

ถ้าย้อนกลับไปดูการดิ้นสุดซอยของรัฐบาลรักษาการในการหาเงินในครั้งนี้ จะเป็นดังนี้

สืบเนื่องมาจากมติ ครม. วันที่ 10 มิถุนายน 2556 กำหนดกรอบการใช้จ่ายเงินจำนำข้าว ปี 2554/55 และ 2555/56 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ต้องไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วยเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจัดหาไม่เกิน 410,000 ล้านบาท และเงินทุนของ ธ.ก.ส. ไม่เกิน 90,000 ล้านบาท โดยนายกิตติรัตน์ได้รายงานผลการบริหารจัดการเงินกู้จำนำข้าวให้เป็นไปตามมติ ครม. ดังกล่าว ปรากฏว่ากรอบวงเงินกู้ในส่วนที่กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. ณ 31 ธันวาคม 2556 ใช้ไปแล้ว 396,756 ล้านบาท มีวงเงินเหลือแค่ 13,244 ล้านบาท ครม.รักษาการจะสั่งการให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. อีก 130,000 ล้านบาท ได้อย่างไร



ต้องย้อนกลับไปดูมติ ครม. วันที่ 3 กันยายน 2556 นายศิริ เลิศธรรมเทวี รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ นร 0506/23858 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วันที่ 5 กันยายน 2556 แจ้งว่านอกจากมติ ครม. จะอนุมัติกรอบการใช้จ่ายเงินจำนำข้าวเปลือกนาปี 2556/57 ไม่เกิน 270,000 ล้านบาทแล้ว ยังได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นว่า “กรณีที่ ครม. อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. เพื่อใช้ในการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2556/57 ไม่เกิน 270,000 ล้านบาท ต้องอยู่ภายใต้กรอบวงเงินไม่เกิน 410,000 ล้านบาท และเงินทุนของ ธ.ก.ส. ไม่เกิน 90,000 ล้านบาท ตามมติ ครม. วันที่ 2 ตุลาคม 2555 และมติ ครม. วันที่ 10 มิถุนายน 2556”

ขณะที่สำนักงบประมาณให้ความเห็นว่า “แหล่งเงินที่นำมาใช้เป็นทุนหมุนเวียน 270,000 ล้านบาท ควรประกอบไปด้วย 1. แหล่งเงินกู้ที่ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหา 2. เงินทุนของ ธ.ก.ส. และ 3. รายได้จากการระบายข้าว ระหว่างที่รอกระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ หรือกระทรวงพาณิชย์เร่งระบายข้าว ควรให้กระทรวงพาณิชย์สำรองจ่ายเงินให้กับชาวนาไปก่อน”

 

ส่วนสภาพัฒน์ฯ ให้ความเห็นว่า “ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายข้าวให้เร็วในปริมาณที่มากขึ้น และในระยะต่อไปให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง สนับสนุนให้เกษตรกรลดต้นทุน และจัดทำโซนนิ่งในการปลูกข้าวให้สอดคล้องกับศักยภาพของแต่ละพื้นที่ และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด”

จากนั้น รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภาวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 (2) รัฐบาลต้องอยู่ในตำแหน่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มาทำหน้าที่แทน แต่ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ระบุว่า “คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดในมาตราดังกล่าว”


นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

วันที่ 3 มกราคม 2557 นายกิตติรัตน์ เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับหนี้สาธารณะ เพื่อปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 1 โดยที่ประชุมได้มีการปรับลดลงเงินกู้และวงเงินค้ำประกันของรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง เพื่อนำมาตั้งเป็นวงเงินค้ำประกันเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. 130,000 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจที่ถูก สบน. ปรับลดวงเงินกู้ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ถูกปรับลดวงเงินค้ำประกันเงินกู้ลง 120,000 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 10,000 ล้านบาท และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย 8,000 ล้านบาท ซึ่งการประชุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ สบน. ได้มีการท้วงติงว่าอาจจะขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 181 (3)

วันที่ 6 มกราคม 2557 ก่อนการประชุม ครม. กระทรวงการคลังทำหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ กค 0905/174 สอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ให้เกษตรกรที่เข้าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2556/57 ตามมติ ครม. ก่อนยุบสภา เข้าข่ายข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (3)

ในวันเดียวกันนี้ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำหนังสือด่วนที่สุดเลขที่ นร 0506/387 ไปสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า “การปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2557 ภายใต้กรอบวงเงินเดิมซึ่งผ่านการอนุมัติจาก ครม. ก่อนยุบสภาเข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 181 (3) หรือไม่” นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการกฤษฎีกา ส่งจดหมายตอบข้อหารือมาที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีในวันเดียวกันว่า “การดำเนินการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะฯ ไม่มีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการใหม่ หรือมีการสร้างความผูกพันต่อ ครม. ชุดต่อไป”
วันที่ 7 มกราคม 2557 นายกิตติรัตน์นำมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับหนี้สาธารณะ เห็นชอบให้มีการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะให้ที่ประชุม ครม. พิจารณา โดย ครม. มีมติรับทราบ มติของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับหนี้สาธารณะ แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำเรื่องไปสอบถามคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และให้นำผลการพิจารณาเสนอต่อที่ประชุม ครม. ต่อไป

การปรับลดวงเงินกู้และค้ำประกันหนี้รัฐวิสาหกิจข้างต้นลง และนำวงเงินมาเพิ่มให้กับ ธ.ก.ส. เป็นวงเงิน 130,000 ล้านบาท หากดำเนินการก่อนประกาศยุบสภาคงไม่มีปัญหา แต่มาทำกันในช่วงที่เป็นรัฐบาลรักษาการ อาจเข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (3) ห้ามรัฐบาลรักษาการกระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงาน หรือโครงการ หรือมีผลผูกพันไปถึงคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป

ขณะที่ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวถูกปกปิดเป็นความลับ กระทรวงการคลังและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะไม่ออกมาชี้แจง ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูคลุมเครือ ไม่โปร่งใส ยกตัวอย่าง มติ ครม. วันที่ 7 มกราคม 2557 มีเฉพาะ “หัวข้อ” หรือ “วาระการประชุม” แต่ไม่สามารถเปิด “ดูรายละเอียด”ได้ส่วนมติ ครม. วันที่ 21 มกราคม 2557 ข้อเท็จจริงคือ ครม. มีมติอนุมัติการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะ ปี 2557 แต่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไม่ได้นำขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ ทั้งหัวข้อวาระการประชุม และรายละเอียดของมติ ครม.

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวจาก “กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์”สำนักโฆษก สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. วันที่ 7 มกราคม 2557 รับทราบกรอบเงินทุนหมุนเวียนที่จะใช้ในโครงการรับจำนำข้าวนาปี ปี 2556/57 วงเงินไม่เกิน 270,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วยเงินกู้ 130,000 ล้านบาท และเงินจากการระบายข้าว 140,000 ล้านบาท และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย นายกิตติรัตน์มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำหนังสือสอบถามคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)

วันที่ 8 มกราคม 2557 เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ นร 0506/631 สอบถาม กกต. กรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ทำการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2557 สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 181 หรือไม่



วันที่ 21 มกราคม 2557 เวลา 10.00 น.นายกิตติรัตน์ เดินทางไปชี้แจง กกต. ก่อนที่จะกลับมาประชุม ครม. หลังจากที่ฟังคำชี้แจงของนายกิตติรัตน์เสร็จ เวลา 17.00 น. กกต. เปิดแถลงข่าว ที่ประชุม กกต. มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า “การปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของ กกต. ที่จะให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบ”(คลิ๊กภาพเพื่อขยาย)

หนังสือตอบข้อหารือของ กกต. ยังระบุอีกว่า “การปรับลดวงเงินกู้และค้ำประกันหนี้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่งลง และนำวงเงินกู้มาเพิ่มให้ ธ.ก.ส. จึงอยู่ในความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี หากมีองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ตัดสินว่าเป็นการฝ่าฝืนและละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อาจมีผลทำให้เกิดความรับผิดชอบทางกฎหมายและในทางการเมืองได้”

ในวันเดียวกันนั้น ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติแผนการจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. ใช้ในโครงการจำนำข้าวเปลือกนาปี 2556/57 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. รับทราบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2557 ครั้งที่ 1 โดยมีการปรับลดวงเงิน 5,168 ล้านบาท จากเดิม 1,321,499 ล้านบาท ลดลงเหลือ 1,316,330 ล้านบาท 2. อนุมัติการค้ำประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนบริหารจัดการหนี้สาธารณะ ซึ่งผ่านการอนุมัติจาก ครม. ก่อนยุบสภา 3. อนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ โดยเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้แต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสม

 

วันที่ 23 มกราคม 2557 เลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งผลการวินิจฉัยของ กกต. อย่างเป็นทางการมาที่กระทรวงการคลัง โดยที่ประชุม กกต. ไม่รับพิจารณาประเด็นนี้ ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งหนังสือตอบข้อหารือมาที่กระทรวงการคลัง โดยให้ความเห็นว่า โครงการจำนำข้าวเปลือกปี 2556/57 ก่อให้เกิดหนี้ที่รัฐบาลต้องชำระตามกฎหมาย ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้ได้รับการอนุมัติจา ครม. ก่อนยุบสภา มติ ครม. วันที่ 21 มกราคม 2557 อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจและจัดหาเงินกู้ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ 2548 มาตรา 7 เพื่อให้รัฐบาลนำเงินไปชำระหนี้ในโครงการรับจำนำข้าวที่ผ่านการอนุมัติจาก ครม. ก่อนยุบสภา จึงไม่เข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (3)

อย่างไรก็ตาม กกต. แสดงความคิดเห็นว่า “กรณีการปรับลดวงเงินกู้และค้ำประกันหนี้ให้รัฐวิสาหกิจบางแห่งลง และนำวงเงินมาเพิ่มให้กับ ธ.ก.ส. อยู่ในความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี กรณีมีองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่มาทำการวินิจฉัยแล้วชี้ขาด การดำเนินการดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืน หรือละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (3) คณะรัฐมนตรีที่ลงนามอนุมัติอาจจะได้รับโทษในทางกฎหมายและทางการเมือง”


นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

ความเห็นของ กกต. ทำให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. รู้สึกวิตกกังวล เกรงว่าจะต้องร่วมรับผิดชอบกับ ครม. กรณีที่มีองค์กรวินิจฉัยชี้ว่าฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (3) วันที่ 27 มกราคม 2557 น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ทำบันทึกข้อความเลขที่ กค 0900/192 พร้อมกับแนบคำวินิจฉัยของ กกต. และเลขาธิการกฤษฎีกา ผ่านนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน เพื่อขอทราบนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า จะพิจารณาทบทวน หรือยืนยันดำเนินการจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. ต่อไป นายกิตติรัตน์ลงนามในบันทึกข้อความของผู้อำนวยการ สบน. ยืนยันให้ดำเนินการต่อไป นายพงษ์ภาณุจึงลงนามสั่งการให้ สบน. ออกจดหมายเชิญสถาบันการเงิน 34 แห่ง มายื่นซองประมูล เสนอเงื่อนไขการให้กู้เงิน ธ.ก.ส. ก้อนแรก 20,000 ล้านบาท ภายในวันที่ 30 มกราคม 2557 ปรากฏว่า ไม่มีสถาบันการเงินมายื่นซองประกวดราคา

วันที่ 31 มกราคม 2557 น.ส.ประพีร์ อังกินันทน์ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาการแทน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณี ครม. มีมติวันที่ 21 มกราคม 2557 เพื่อจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. นำไปชำระหนี้ให้ชาวนา โดย สตง. ระบุว่า “การจัดหาเงินทุนไปให้ ธ.ก.ส. ใช้ในโครงการจำนำข้าวเปลือก ต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ หากการดำเนินการดังกล่าวเข้าสู่การวินิจฉัยชี้ขาด โดยองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ แล้วปรากฏว่าไม่ถูกต้อง ผู้อนุมัติและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีด้วย

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 13.30 น. กระทรวงการคลังเชิญผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์ 34 แห่ง มารับฟังข้อเท็จจริงในประเด็นข้อกฎหมาย และปรับปรุงเงื่อนไขการจัดหาเงินกู้ให้กับ ธ.ก.ส. รูปแบบใหม่ เวลา 11.30 น. มีผู้บริหารของกระทรวงการคลังโทรศัพท์สั่งการยกเลิกกิจกรรมดังกล่าว

นี่คือบันทึกประวัติศาสตร์การดิ้นสุดซอยของรัฐบาลกับความล้มเหลวของนโยบายประชานิยมในโครงการรับจำนำข้าวที่เจ๊งคามือรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

ที่มา http://thaipublica.org/2014/02/financing-the-rice-pledging-scheme-7/

 

ในเมื่อรัฐบาลบ้อท่าหาเงินกู้ไม่ได้ แต่ขณะที่ กปปส เต็มใจที่จะช่วยเหลือพี่น้องชาวนา ในวันต่อ ๆ มา
ประมวลภาพ กปปส.เรี่ยไรเงินช่วยชาวนา ที่ถนนสุขุมวิท
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 10 ก.พ. 2557 17:07


ประมวลภาพ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เดินขบวนบนถนนสุขุมวิท เพื่อเรี่ยไรเงินบริจาค นำไปให้ชาวนาต่อสู้เรียกร้องเงินโครงการจำนำข้าว เป็นครั้งที่ 2...













ที่มา http://www.thairath.co.th/content/402651

 

ในขณะที่ฝั่งรัฐบาลไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ของ กปปส และฝั่งรัฐบาล กลายเป็นแข่งกันระดมทุนช่วยชาวนา

ผ่านกองทุนช่วยชาวนา ของธ.ออมสิน ก็ดีนะครับ แข่งกันทำดีแบบนี้ ผมสนับสนุน

 

วันนี้ ยรรยง พวงราช ปะทะ ประสิทธื์ บุญเฉย สุดมันส์ เจาะข่าวเด่นสรยุทธ์ยามเย็น

ในช่วงยกแรก ยรรยง ฟอร์มดี น่าจะมีชัย เพราะชกข้างเดียว ในยกหลังประสิทธ์เร่งบี้ตีคืน

ผมให้คะแนนประสิทธิ์ชนะเพราะได้ลูกหนัก ส่วนยรรยงค์แผ่วปลายแรงไม่ดี เพราะแม่เลี้ยงอ่อนซ้อม

 

สรุปข่าวประจำวันที่ 9 ก.พ.57 เวลา 06.00 น. - 18.00 น.
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 ก.พ. 2557 18:25

ชาวนาทั่วประเทศ รวมตัวปิดถนนหลายสายกดดันรัฐบาล เร่งหาเงินจ่ายโครงการรับจำนำข้าว ด้าน เครือข่ายนักธุรกิจย่านสีลม-เพชรบุรี-เยาวราช รวมตัวหน้าสถานทูตอินเดีย ยื่นหนังสือขอความคุ้มครอง "สาธิต เซกัล" หลัง ศรส.เนรเทศพ้นแผ่นดินไทย...

การเมือง

10.30 น. "สวนดุสิตโพล" เผยในวันแห่งความรัก และวันมาฆบูชา คนไทยส่วนใหญ่ ต้องการให้นายกฯ ปู รับฟังตามขอเรียกร้อง และแสดงความรับผิดชอบ ส่วน"สุเทพ"ขอให้เจรจาด้วยเหตุผลมากกว่าการชุมนุม หวังให้คนไทยทุกคนรักและสามัคคี

12.00 น. "พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย" อัด “สมชัย” จ้องวางยารัฐบาล เสนอออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ เชื่อหวังเปิดช่องให้ ปชป.ยื่นยุบพรรคเพื่อไทย แนะ กกต.เชิญ “สดศรี-ประพันธ์” เป็นที่ปรึกษาจัดการเลือกตั้ง

12.30 น. เพื่อไทย อ้าง “สุเทพ”ส่งทีมงานแฝงตัวยุม็อบชาวนาร่วมล้มรัฐบาล โวยให้เลิกเล่นละคร หยุดใช้ชาวนาเป็นเครื่องมือ เสี้ยมบุกสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 10 ก.พ.

12.46 น. "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา" แนะรัฐ-กกต.เร่งเดินหน้า ลต.ใหม่ ก่อนปฏิรูปประเทศ คืนอำนาจประชาชน-ปัดเป็นท่อน้ำเลี้ยงสื่อให้เขียนเชียร์ตัวเอง

13.15 น. "องอาจ คล้ามไพบูลย์'' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หนุน กกต.ส่งกรณีอำนาจออก พ.ร.ฎ.ลต.ให้ศาลชี้ขาด โฆษก ปชป.สวน "พงศ์เทพ" ยกใบแดง-เหลืองเทียบ 28 เขต

14.10 น. "เอกนัฏ พร้อมพันธุ์'' โฆษก กปปส. แจงช่วยชาวนา เหตุเป็นกระบวนการ ปชช. ซัดรัฐเลิกบิดเบือน โยนบาปโทษคนอื่น ยันเดินหน้าระดมทุนช่วยชาวนาแยกเป็น 2 ส่วน

14.30 น. โฆษก ปชป. ไล่บี้รัฐเร่งสางทุกคดีใช้ความรุนแรง จวกตำรวจเลือกปฏิบัติ ทีคดียิง "ขวัญชัย" จับได้ทันที แต่คดีทำร้ายแกนนำ กปปส. ไม่เคยจับใครได้

15.00 น. “องอาจ” ย้ำรัฐพลาดจำนำข้าวแต่แรก “ชวนนท์” จับโกหก “ยรรยง” โยนบาป กกต. จี้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ

16.34 น. "สดศรี สัตยธรรม'' เชื่อเลือกตั้ง 2 ก.พ. ไม่เป็นโมฆะ ชี้ออก พ.ร.ฎ. เลือกตั้งใหม่ ส่อเกิดเลือกตั้ง 2 ครั้ง ผิด ก.ม. แนะ กกต.ออกประกาศเดินหน้าจัดเลือกตั้งต่อ-ดูกฎหมายให้รอบด้าน-ถามศาล รธน

17.13 น. ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เผยอาการเหยื่อระเบิด M79 รู้สึกตัวดีแล้ว สัญญาณชีพปกติ หายใจได้เอง หลังการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ยังต้องรักษาตัวในห้อง ICU อีกระยะ

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/402440
ในขณะที่รัฐบาลถอยร่นไปเรื่อย ๆ ก็เกิดกระบวนการพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อเนื่อง เช่น

โทดทีเหอะ ดันเอารูปหมอที่ไหนก็ไม่รู้ที่สวย ๆ มาลงโดยขออนุญาตเจ้าตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ แบบนี้มันเสี้ยมนี่หว่า

 

ในระหว่างนี้ จุดสนใจในการเคลื่อนไหวมักจะเป็นกลุ่มชาวนา ขณะที่ กปปส และสุเทพดูเหมือนจะติดคดีฟ้องร้องกับรัฐบาล

ช่วงนี้ ศรส หันมาเล่นงาน ขบวนการท่อน้ำเลี้ยง กปปส ดีนะผมรอดเพราะแค่ซื้อเสื้อผ้ามาเต็มตู้
สรุปข่าววันที่ 12 ก.พ.57 เวลา 06.00-18.00 น.
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 12 ก.พ. 2557 18:00


"ศาลรัฐธรรมนูญ" วินิจฉัยยกคำร้อง 4 เรื่อง ปมเลือกตั้งโมฆะ - "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ชุมนุม กปปส. ด้าน ศรส.แถลงย้ำยังไม่ประกาศรายชื่อท่อน้ำเลี้ยง กปปส. ให้สตช.ร่วมคณะทำงานจัดเลือกตั้งเดือนเม.ย. ปปง.เตรียมเสนอรายชื่อบุคคลที่สนับสนุน กปปส. เรียกเข้ามาชี้แจง หากไม่มามีความผิดโทษจำคุก 2 ปี

การเมือง

11.55 น. "สุรพงษ์" ไม่หวั่น ประกาศรายชื่อท่อน้ำเลี้ยง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ขู่ แกนนำ กปปส. อย่าเผลอ เจอจับแน่ เชื่อ ตร.ตรวจค้นบ้าน "สนธิญาณ" ตามขั้นตอนกฎหมาย จวก "สมชัย" หยุดเพ้อเจ้อ เร่งจัดการเลือกตั้ง เหน็บ เหมือนไม่อยากให้ ลต. ประสบความสำเร็จ

12.31 น. "ศาลรัฐธรรมนูญ" ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานเพิ่มเติม ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ-ประชุมวินิจฉัยรับหรือไม่รับคำร้อง ปชป. เลือกตั้ง 2 ก.พ.โมฆะ พร้อมยุบพรรคเพื่อไทย

12.40 น. "ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แนะ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับความจริงชี้ลต.ขัดรธน.-เดินต่อไม่ได้ ไร้ประโยชน์

13.42 น. ประมวลภาพ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ขึ้นปราศรัยเวทีสวนลุม ทำการปราศรัย โดยมีผู้ให้การสนับสนุน ร่วมฟัง

14.04 น. ศรส.แถลงย้ำยังไม่ประกาศรายชื่อท่อน้ำเลี้ยง กปปส. ให้สตช.ร่วมคณะทำงานจัดเลือกตั้งเดือนเม.ย. ปปง.เตรียมเสนอรายชื่อบุคคลที่สนับสนุน กปปส. เรียกเข้ามาชี้แจง หากไม่มามีความผิดโทษจำคุก 2 ปี

15.25 น. "สุเทพ" โว รับบริจาคเงินได้ 25 ล้าน เตรียมช่วยชาวนาฟ้องรัฐโกงจำนำข้าว ปัดขวางธนาคารปล่อยรัฐกู้ ลั่นระดมพล กปปส.-ชาวนากระทืบรัฐ 14 ก.พ.นี้.

16.04 น. "ศาลรัฐธรรมนูญ" วินิจฉัยยกคำร้อง 4 เรื่อง ปมเลือกตั้งโมฆะ - "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ชุมนุม กปปส.

16.53 น. ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) สรุปผลประชุม 8 ข้อ แจ้งประชาชนทราบ ฉบับเต็ม


17.02 น. “เหลิม” ลั่นไม่กลัว เอกชนขู่ฟ้อง มีชื่อติดบัญชีท่อน้ำเลี้ยง กปปส. เตรียมขอภาพกล้องวงจรปิด พนักงานสองโรงแรมดังตรวจสอบ อ้างยังไม่เปิดรายชื่อเพราะต้องรอบคอบ บอกใครมาเป็นคนกลางเจรจาก็ไม่สำเร็จ เหตุฝ่ายตรงข้ามตั้งเงื่อนไขเดียว นายกฯลาออก บอกเนรเทศ “สาธิต” ไม่คืบ เหตุปลัดมท.ยื้อชงเรื่องมา ไม่เชื่อน้ำยา “สุเทพ” อาศัยวันวาเลนไทน์จุดเปลี่ยนประเทศ

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/403204

ขณะเดียวกัน ฝั่ง นปช ก็ประกาศจะระดมเงินช่วยชาวนา กลายเป็นเกมส์หาเงินมาช่วยชาวนา

 

วันนี้ของปีที่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทม์ บรรจบ วันมาฆบูชา สุเทพนำมวลชนจัดกิจกรรม บอกรักประเทศไทย
มีผูบันทึกไว้ เบาแรงคนแก่ไปเยอะ
วันพฤหัสบดี ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557
บอกรัก..ประเทศไทย...กับลุงกำนัน
Posted by คนดีมีวินัย , ผู้อ่าน : 1756 , 12:42:26 น.
หมวด : นักข่าวอาสา
พิมพ์หน้านี้ รวงข้าวล้อลม , ชบาตานี และอีก 3 คนโหวตเรื่องนี้



บอกรัก..ประเทศไทย...กับลุงกำนัน

เตรียมพร้อมกันหรือยัง...๑๔ กุมภา วันมาฆบูชา..วันวาเลนไทน์..วันมวลมหาประชาชน บอกรักประเทศไทย นานๆวันสำคัญแบบนี้จะเวียนมาพบกัน...ที่พิเศษกว่าทุกปี...ปีนี้ประเทศไทย...บอกรักกัน..กลางเวทีชุมนุม..อยู่กันกลางถนน ไม่เว้นแม้แต่ชาวนา..ก็มาบอกรัก..ทวงความรักคืน..เงินจำนำข้าวฉัน...รักฉันจริง..ต้องจ่ายเงินค่าจำนำข้าวเสียที ...จะแสดงความรักต่อกันอย่างไร..แต่ลืมไม่ได้ที่จะต้องบอกรักเธอ..ประเทศไทย...กับลุงกำนัน วันนี้ไปฟังปราศัยเวที..สีลม คึกคักมากๆ



เปลวแดดร้อนๆ...แต่บนเวที...คำปราศัยลุงกำนัน เผ็ดร้อนมากกว่า...สับ ยิ่งลักษณ์...เป็น ยิ่งเละ ไปเลยกับโครงการจำนำข้าว ที่ทำเอาชาวนา..เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ต้องออกมาทวงเงินกันถึงเมืองกรุง..



ช่วงพักเที่ยง...คนทำงาน..ลงมาฟังลุงกำนัน กันที่เวทีสีลมกันมากมาย...บรรยากาศดูคึกคักทันที..เมื่อลุงกำนันขึ้นเวทีปราศัย



แม้จะเป็นการปราศัย...แบบเชิญชวนชาวสีลมให้มาร่วมกัน...ขับไล่รัฐบาลกับมวลมหาประชาชน...แต่คำปราศัย เข้มข้นไม่ต่างกับช่วงกลางคืนที่เวทีปทุมวัน ...เสียงนกหวีด...ดังลั่นไปทั่วถนนสีลม



บรรดาแม่ยก..และแฟนคลับลุงกำนัน...ก็ไม่น้อยหน้า...ดาหน้ากันขึ้นเวที บริจาคเงิน และอ้อน ขอกอดลุงกำนันบนเวที เรียกเสียงฮากันได้ไม่เบาเลยทีเดียว...เพราะเจอลุงกำนันแซว...บริจาคเฉยๆ...ไม่ต้องขอกอดก็ได้...ฮา...ๆๆๆ



ทำเอาเธอ...เขิน...รีบเดินลงเวที...จนลุงกำนัน ต้องเดินตามไปให้กอด....เสียงเฮ...ดังลั่น



ไม่น่าเชือว่า...แม้จะเป็นช่วงพักกลางวัน...แต่ก็มีคนมาฟังปราศัยกันเนืองแน่น



บรรยากาศที่เวทีสีลม...ช่วงพักกลางวัน...คนทำงานมาฟังกันแน่น



ฟังเสร็จ...มาระบายอารมณ์กันได้ที่นี่...ชินวัตรมรณะ รามา...ปาเป้า...หนักๆ..เต็มที่

 

รักใคร...ชอบใคร...เลือกปาบอกรักได้...ตามใจชอบ....



รายได้...สมทบทุน..มอบให้ ลุงกำนัน..





ชี้เป้า..โน่น.....แหล่งกบดาน...ของลุงกำนัน....เผื่อ เฉลิม...อยากรู้ น่ะ





มาเวทีสีลม...ห้ามพลาด...แวะไปซื้อเสื้อร้านคุณไข่...ไว้ใส่ บอกรัก ประเทศไทย กับลุงกำนัน ด้วยนะครับ ตัวละ ๓๐๐ บาท รายได้มอบให้ กปปส.



ได้มาแล้ว...ลายม้าสายรุ้ง....ขายดีมากๆ



ลายนกน้อย...นี่ก็ยอดฮิต วันแห่งความรัก ขายดีเช่นกัน



ช่วยกันอุดหนุนเสื้อคุณไข่....เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ลุงกำนันกันครับ ตัวละ ๓๐๐ บาท มอบคุณกำนันหมดครับ





ฝากบอกรัก...สาวน้อยกบฏ ที่น่ารักคนนี้..น้องตั๊น จิตภัสร์..พบเรื่องราวของเธอตามแผงหนังสือ...แวะซื้อเล่มนี้ด้วยครับ



มาบอกรัก...ประเทศไทย...กับลุงกำนัน กันนะครับ

ที่มา http://www.oknation.net/blog/nard13/2014/02/13/entry-1/comment

 

เริ่มต้นด้วยการปราศรัยครั้งที่ 2 ของ อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล ในวันบอกรักประเทศไทย

ระหว่างนี้รัฐบาลพะวงกับการหาแหล่งเงินกู้ เกิดปิ๊งไอเดียจะเอากู้จากธนาคารออมสิน

ทำให้เกิดการต่อสู้ในเชิงสัญญลักษณ์ในเวลาต่อมาในวันที่ 17 ก.พ. 57 เป็นการประกาศศักดาของ มวลมหาประชาชน

 

14 ก.พ. วันวาเลนไทน์ วันแห่งฟามรัก



แต่วันวาเลนไทน์ มะปีที่แร้ว ตรงกับวันศุกร์ แระตรงกะวันมาฆบูชาด้วย แต่แม่ปูว์เน่าดูเหมือนว่าจะไม่รักมวลมหาประชาชนซะเท่าไหร่อ่ะ

เพราะอีส่งตำกวดมาสลายการชุมนุมอ่ะ กับ คปท. ที่เชิงสะพานมัฆวาน

ตอนเช้า พี่นกเขากะน้องอุ๋ยออกเดินเท้าไปไหนมะรุ ตำกวดเรยได้จังหวะจะมาสลายการชุมนุมทันที พอเกิดเหตุเยี่ยงนี้ ก็เรยต้องมีการป่าวประกาศขอกำลังสนับสนุน ไอ้เราก็รีบเผ่นไปเรยยยยยย ไปถึงก็เจอะกะภาพแบบนี้

ม็อบเผชิญหน้ากะตำกวด






สวดอิติปิโสเผชิญหน้า

 

ที่สุด ตำกวดก็บุกเข้ามาขนกระสอบทรายขึ้นรถไป



บางคนทนมะไหว เรยใช้ด้ามธงฟาดไป จนโล่ร้าวแบบนี้



กำนันกับหลวงปู่บ่องให้ใจเย็น สวดอิติปิโสเข้าไว้


มีความชุลมุนเกิดขึ้นเล็กน้อย ที่สุดตำกวดก็ยอมถอยไป มวลชนก็บุกเข้าไปได้ แต่ขณะที่เดินข้ามสะพานไป ทางด้านซ้ายของสะพานก็เกิดระเบิด ตูม เสียงดังขึ้นมาคล้ายประทัดยักษ์ เคราะห์ดีไม่มีใครบาดเจ็บ


จากตรงไปก็เป็นจุดตั้งเต๊นท์ร้านค้าของพ่อค้า แม่ค้าทั้งหลาย ก็โดนรื้อถอนทั้งหมด





แระแร้ว เขาคนนี้ก็มา



ที่สุด ในวันนั้นก็มะมีอัลไลเกิดขึ้น คปท.ก็ยังกลับมาชุมนุมได้เหมือนเดิม โดยสร้างบังเกอร์ กระสอบทรายขึ้นมาใหม่ ให้แข็งแรงก่าเดิม

รถตำกวดที่ลานพระรูป

 

วันนี้ของปีที่แล้ว ประเด็นชาวนายังเป็นเรื่องร้อนแรง รัฐบาลพยายามเร่งปราบปรามอย่างรุนแรงกับกลุ่ม กปปส

ขณะเดียวกันก็มีการจัดการกับกลุ่มชาวนาอย่างรุนแรงเช่นกัน
เชียงราย - ชาวนาเมืองพ่อขุนฯ เจอขู่ห้ามชุมนุม-ห้ามฟ้องรัฐ แฉผู้ใหญ่ในจังหวัดฯ ต่อสายถึงแกนนำโดยตรง กำชับ “ถ้าชุมนุม พวกมึ..ไม่ได้เกิดแน่นอน” แถมกำนัน-ผญบ.ขวางซ้ำ จนต้องยกเลิกนัดหมายชุมนุมทวงเงินจำนำข้าวที่รัฐยังเบี้ยวอีกกว่า 2 พันล้าน

วันนี้ (14 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มชาวนาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่เคยชุมนุมที่ศาลากลาง จ.เชียงราย ในนามสภาเกษตรกร จ.เชียงราย และส่งสมาชิกสภาไปประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกหลายครั้ง เพื่อทวงเงินจำนำข้าวปี 56/57 แต่ไม่มีความคืบหน้า โดยมีเพียงการรับปากว่ารัฐบาลกำลังหาแหล่งเงินกู้เพื่อเตรียมโอนเงินให้ชาวนาเป็นงวดๆ โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนแต่อย่างใด

ต่อมากลุ่มชาวนาได้นัดชุมนุมกันที่ อ.พาน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวแห่งใหญ่ของจังหวัด เบื้องต้นนัดหมายให้ไปชุมนุมพร้อมกันที่บริเวณแยกเจริญเมือง ต.เจริญเมือง อ.พาน ซึ่งอาจยกระดับถึงขั้นปิดถนน แต่ต่อมามีการเจรจาจากตัวแทนภาครัฐ จึงทำให้กลุ่มชาวนาลดระดับการเคลื่อนไหวลงด้วยการนัดไปชุมนุมกันที่หน้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขา อ.พาน แทน

แกนนำกลุ่มชาวนาคนหนึ่งกล่าวว่า หลังได้มีการนัดหมายให้ไปร่วมชุมนุมกันเพื่อเรียกร้องตามสิทธิในรัฐธรรมนูญโดยจะไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ปิดถนน ไม่ใช้กำลัง แต่ปรากฏว่าได้มีผู้ใหญ่ในพื้นที่ จ.เชียงราย แจ้งไปยังแกนนำของกลุ่มชาวนา ซึ่งบางคนเป็นนักการเมืองท้องถิ่น โดยสั่งไม่ให้มีการชุมนุมเรียกร้องในเรื่องจำนำข้าวเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะไม่ได้รับการส่งเสริม

โดยผู้ใหญ่คนดังกล่าวถึงกับใช้คำว่า “ถ้าชุมนุม พวกมึ..จะไม่ได้เกิดอีกแน่นอน” ทำให้พลังในการขับเคลื่อนลดลงเพราะแกนนำบางคนเกรงว่าจะได้รับอันตราย

"แม้แต่จะยื่นฟ้องร้องต่อรัฐบาลเหมือนกรณีบางจังหวัดเขาได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายต่อรัฐบาลที่ไม่จ่ายเงินค่าจำนำก็มีการข่มขู่ไม่ให้ทำ โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คอยห้ามปรามข่มขู่ชาวบ้านตามพื้นที่ต่างๆ ตลอดเวลา ซึ่งความจริงแล้วแม้จะชุมนุมไม่ได้ กลุ่มชาวนาก็อยากจะฟ้องร้อง แต่ถูกขวางด้วยอิทธิพลท้องถิ่น รวมทั้งชาวนาก็ไม่รู้กฎหมายจึงเป็นอุปสรรคอย่างมาก” แกนนำชาวนากล่าว

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวจำนวน 1.3 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 9.1 แสนตัน มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนโครงการรับจำนำฤดูกาลนาปี 2556/2557 กับรัฐบาล รวม 89,948 ราย ปริมาณข้าว 397,003,125 ตันรวมวงเงิน 6,000 ล้านบาท ซึ่งทาง ธ.ก.ส.ได้มีการจ่ายเงินให้กับชาวนาไปแล้ว 3,520 ล้านบาท ทำให้ยังเหลือยอดค้างจ่ายที่ไม่ได้จ่ายอีกกว่า 2,765 ล้านบาท คงเหลือเกษตรกรที่ไม่ได้รับเงินประมาณ 26,000 ราย ก่อนที่จะมีการถ่ายโอนเม็ดเงินล่าสุดมาให้เพียงประมาณ 53 ล้านบาท
ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000017917

ความสุข วัน ๆ ของผมช่วงนั้นติดตามผ่าน ชิดลมนิวส์

 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1422349686

ศาลพิพากษาปรับชาวนาราชบุรีคนละ 5 พันบ. ฐานปิดถนนเรียกร้องเงินจำนำข้าว
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 07:25:00 น
...

 

เหตุการณ์เริ่มดำเนินไปสู่ความรุนแรงในเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้า ในเช้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557

หลังจากวันที่ 14 ก.พ. 57 เมื่อตำรวจไม่สามารถเข้าสลายผู้ชุมนุมได้ ทำให้ทักษิณร้อนใจ

ขนาดโฟนอินมาด่าเฉลิมกลางที่ประชุม ศรส ข่าวนี้รั่วไหลไปถึงหูกำนันเลยบลัฟโดยการ

พูดในเวลา 2 ทุ่มว่า ทักษิณเชื่อคำหมอดูพม่า หากไม่สามารถดำเนินการสลายชุมนุมในวันที่ 18 ก่อนเที่ยง

จะไม่สามารถกลับประเทศได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้มีคำสั่งศาลให้การคุ้มครองชั่วคราว

 

หลังจากนายถาวรเสนเนียม ยกขบวนไปขอให้ธนาคารออมสิน ไม่ปล่อยกู้ให้รัฐบาลในโครงการจำนำข้าว

ซึ่งผู้บริหารธนาคารรับปากแต่ลับหลังได้ปล่อยกู้ให้รัฐบาล ทำให้เกิดการท้าทายกับมวลมหาประชาชน

เกิดปรากฏการณ์ฝาก-ถอน แข่งกัน วันแรก ถอนเบาะๆ 3 หมื่นล้าน ฝ่ายรัฐบาลก็พยายามระดมเงินฝาก

ออมสินแจง ปล่อยกู้ให้ ธ.ก.ส. 5,000 ล้าน หวั่นกระแสต้าน “จำนำข้าว” ด้านสหภาพแรงงานทั้งสองแห่งแถลงการณ์คัดค้าน
17 กุมภาพันธ์ 2014

หลังจากที่ธนาคารออมสินปล่อยเงินกู้ลอตแรก 5,000 ล้านบาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผ่านตลาดกู้ยืมเงินระหว่างธนาคาร หรือ “อินเตอร์แบงก์” เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 ปรากฏว่ามีกระแสข่าวลือต่างๆ แพร่สะพัดในสังคมออนไลน์ อาทิ ออมสินปล่อยกู้ให้ ธ.ก.ส. ไปแล้ว 20,000 ล้านบาท เป็นเวลา 9 เดือน

ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ผู้ฝากเงิน และป้องกันไม่ให้ผู้ฝากเงินเกิดการตื่นตระหนกแห่มาถอนเงิน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน จึงเปิดแถลงข่าวชี้แจงกรณีที่ออมสินปล่อยเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. ผ่านตลาดอินเตอร์แบงก์ว่า ถือเป็นการทำธุรกรรมตามปกติของธนาคาร (normal practice) ทั้งนี้เนื่องจากออมสินมียอดเงินฝากประมาณ 1.87 ล้านล้านบาท สินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 2.17 ล้านล้านบาท จึงมีสภาพคล่องส่วนเกินกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งธนาคารนำไปลงทุนในตลาดอินเตอร์แบงก์ เพื่อหาผลตอบแทน


นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แถลงข่าวชี้แจงกรณีออมสินปล่อยกู้ ธ.ก.ส. 5,000 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557

“ที่ผ่านมาออมสินลงทุนในตลาดอินเตอร์แบงก์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งธนาคาร บางครั้งมีสถานะเป็นผู้กู้และบางครั้งก็เป็นผู้ให้กู้เงินกับสถาบันการเงิน 35 แห่ง ปัจจุบันมียอดคงค้างกว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการให้กู้ยืมเงินในระยะสั้น มีทั้ง 5 วัน, 7 วัน, 14 วัน, 30 วัน, 45 วัน และ 60 วัน กรณีที่มีข่าวว่าออมสินปล่อยกู้ ธ.ก.ส. นานถึง 9 เดือนนั้น ผมขอปฏิเสธ”นายวรวิทย์กล่าว

นายวรวิทย์อธิบายว่า ก่อนหน้านี้ออมสินเคยปล่อยเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. ผ่านตลาดอินเตอร์แบงก์มาอย่างต่อเนื่อง ต่อมากระทรวงการคลังจัดตั้ง “สภาสถาบันการเงินเฉพาะกิจ” ของรัฐขึ้นมาช่วงเดือนตุลาคม 2556 ที่ประชุมสภาสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีมติให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หรือ “แบงก์รัฐ” ที่มีสภาพคล่องเหลือ เช่น ธนาคารกรุงไทย และออมสิน นำสภาพคล่องส่วนเกินปล่อยกู้ให้กับแบงก์รัฐที่ขาดสภาพคล่อง

จากนั้น วันที่ 8 มกราคม 2557 ที่ประชุมกรรมการธนาคารออมสิน (บอร์ด) มีมติให้ธนาคารนำสภาพคล่องส่วนเกินปล่อยกู้เสริมสภาพคล่องให้แบงก์รัฐแห่งละไม่เกิน 20,000 ล้านบาท แบงก์รัฐแต่ละแห่งจะได้รับการอนุมัติวงเงินกู้ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของสินทรัพย์ และเครดิตของแต่ละแบงก์

“วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 ธ.ก.ส. ได้ยื่นความจำนงขอกู้เงินกับออมสิน 5,000 ล้านบาท ผ่านตลาดอินเตอร์แบงก์ ซึ่งฝ่ายบริหารเงินของธนาคารได้อนุมัติและโอนเงินให้ ธ.ก.ส. ตั้งแต่วันนั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ออมสินคิดกับ ธ.ก.ส. เป็นความลับของลูกค้า ผมไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนการกู้เงินครั้งต่อไป ธ.ก.ส. ยังไม่ได้ยื่นเรื่องเข้ามา ขณะนี้มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 5,000 ล้านบาทเท่านั้น” นายวรวิทย์กล่าว


นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

ส่วนข้อเท็จจริงกรณีที่มีข่าวกระทรวงการคลังทำบันทึกข้อตกลงค้ำประกันเงินกู้ให้กับ ธ.ก.ส. หรือ letter of comfort นายวรวิทย์ชี้แจงว่า “ผมไม่ทราบและไม่เคยเห็น letter of comfort ที่กระทรวงการคลังทำไว้กับ ธ.ก.ส. ผมเห็นแต่ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ ธ.ก.ส. ออกให้กับออมสิน ระบุว่าออมสินมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ ส่วน ธ.ก.ส. เป็นลูกหนี้ ไม่มีใครค้ำประกันทั้งสิ้น และผมไม่เชื่อว่าเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน ธ.ก.ส. จะไม่ชำระหนี้ออมสิน เรื่องนี้เป็นเครดิตของแต่ละธนาคาร การปล่อยกู้ในตลาดอินเตอร์แบงก์ที่ผ่านมาไม่เคยพบว่ามีแบงก์ไหนผิดนัดชำระหนี้”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กรณีผู้ฝากเงินบางกลุ่ม อาจจะไม่เข้าใจมาขอถอนเงินฝาก ธนาคารเตรียมแผนรับมืออย่างไร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าวว่า “เบื้องต้นผมได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชน และได้สั่งการให้ผู้จัดการสาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทำความเข้าใจแก่ลูกค้า ซึ่งผมขอยืนยัน การปล่อยกู้ผ่านอินเตอร์แบงก์เป็นการทำธุรกรรมตามปกติทั่วไปของธนาคารที่มีสภาพคล่องเหลือ ไม่มีความเสี่ยงใด ขอให้ผู้ฝากเงินมั่นใจได้”

นอกจากนี้ นายวรวิทย์ยังยืนยันต่อสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารออมสินว่า ออมสินจะไม่ปล่อยกู้ให้กับโครงการรับจำนำข้าวโดยตรง อย่างเช่น เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2557 กระทรวงการคลังเชิญสถาบันการเงิน 35 แห่งมายื่นซองประมูลการให้เงินกู้แก่ ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท ธนาคารออมสินก็ไม่ยื่นซองประมูล

แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็อาจจะให้ความช่วยเหลือชาวนาที่ไปกู้เงินนอกระบบมาใช้จ่ายระหว่างรอรับเงินจำนำข้าว โดยในวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ประชุมบอร์ดของธนาคารจะมีการพิจารณาเรื่องนี้

วันเดียวกันนั้น สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ผู้บริหารของธนาคารหยุดการปล่อยกู้ให้แก่ ธ.ก.ส. ทันที และขอให้ธนาคารทวงเงินออมสินคืน เนื่องจาก ธ.ก.ส. มีสภาพคล่องมากเพียงพอที่จะนำเงินไปใช้จ่ายในโครงการจำนำข้าวได้ และขอให้ธนาคารงดการปล่อยกู้ทุกรูปแบบแก่ ธ.ก.ส. เพราะเกรงว่าจะกระทบกับความเชื่อมั่นของลูกค้า และอาจจะเกิดความเสียหายต่อธนาคารออมสิน

ขณะที่อนุกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (สร.ธกส.) ภาคใต้ตอนบน ออกแถลงการณ์คัดค้านการกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน 20,000 ล้านบาท โดยเรียกร้องให้ผู้จัดการออกมาชี้แจง หากเป็นเรื่องจริงจะยกระดับการชุมนุมคัดค้าน โดยขอให้พนักงานแต่งชุดดำมาทำงานวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557
ที่มา http://thaipublica.org/2014/02/financing-the-rice-pledging-scheme-8/

 

เคสนั้น ธนาคารออมสินหลายจังหวัดก็มีคนถอนเงินประท้วงกันยกใหญ่ จนไม่มีเงินสดให้ถอนแล้ว

 

วิกฤต’ออมสิน’ปชช.ทั่วประเทศแห่ถอนเงิน
17 ก.พ. 57 05.19 น. | เปิดอ่าน 33,965 | ความคิดเห็น 55
เพิ่มขนาด fontลดขนาด fontพิมพ์หน้านี้
S! money

สนับสนุนเนื้อหา
วิฤกต'ออมสิน'ปชช.ทั่วประเทศแห่ถอนเงิน




ขณะนี้ในหลายจังหวัดต่างก็มีประชาชนจำนวนมากต่างพากันไปแห่ทยอยถอนเงินออกจากธนาคารออมสินกันเป็นว่าเล่น โดยมีรายงานว่า ที่ ธ.ออมสิน จ.ตรัง มีประชาชนแห่ไปถอนเงินออกจากบัญชี เนื่องจากเกรงว่า ธนาคารจะนำเงินฝากไปใช้ในโครงการรับจำนำข้าว โดยเพียง 1 ชั่วโมง ถอนเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท

มีรายงานยังแจ้งว่า มีลูกค้ารายหนึ่งที่กำลังจะถอนเงินฝากจากออมสินที่มีเงินฝากถึงจำนวน 70 ล้านบาท

รายงานยังระบุว่า ธนาคารออมสิน จ.นครศรีธรรมราช ขณะนี้เงินสดไม่พอจ่ายแล้วลูกค้าแห่ปิดบัญชีกันเป็นจำนวนมาก ผจก.สาขาเตรียมจ่ายเช็คแทนเงินสด-ลูกค้าไม่ยอมฝากเงินสดต้องถอนเงินสด

อย่างไรก็ตามเฉพาะช่วงเช้าธนาคารออมสิน จ.นครศรีธรรมราช เปิดทำการไม่ถึง 2ชม. เงินสด12ล้านถูกถอนเกลี้ยง ทางธนาคารเองก็พยายามเร่งหาเงินจากสาขาอื่นมาเสริมแต่ยังไม่พอ

ขณะที่มีรายงานแจ้งว่า วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี” ผอ.ธนาคารออมสิน ยันพร้อมทบทวนปล่อยกู้ธกส.รอบ2 หลังปล่อยไป5พันล้าน พนักงานแต่งดำประท้วงทั่วปท.


ขอบคุณภาพจากเพจ รวมมิตรการเมือง,ขบวนการเสรีไทยเฟซบุ๊ค,Pacake Patta









ที่มา http://money.sanook.com/175832/

 

การท้าทายมวลมหาประชาชนในเชิงธุรกิจโดยมี ธนาคารออมสินที่เปลี่ยนจากรับฝากเงินสำหรับเด็กและเยาวชน

กลายเป็นเครื่องมือของรัฐในการจำนำข้าว ก่อให้เกิดกระแสการต่อต้านทั่วประเทศ ทำให้เกิดสงครามฝากเงินถอนเงิน

ผลในวันแรก ธนาคารออมสิน สรุปว่า มีการฝาก 1 หมื่นล้าน ถอน 3 หมื่นล้าน ผลยกแรก รัฐบาลเป็นรอง 3 : 1

ฝ่ายถอนมันเยอะ เอามาลงสรุปแล้วทั้ง 3 วัน เอาฝ่ายฝากมาลงบ้างดีฝ่า
เสื้อแดงลุยฝากเงิน ธ.ออมสินให้มากกว่าที่ถอน
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 ก.พ. 2557 18:51


นปช.สวนกลับกระแสถอนเงินแบงก์ออมสิน ระดมมวลชนคนเสื้อแดงฝากเงินแบงก์ออมสินให้มากกว่าที่ถูกถอน ''ธิดา'' เดินสายจัดเวิร์กช็อป กำหนดยุทธวิธีต่อสู้ในทางการเมือง...

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 57 ที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. แถลงข่าวประจำวัน มีความตอนหนึ่งว่า นปช. จะจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการในช่วงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ โดยวันที่ 22 ก.พ. จัดที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว จะมีตัวแทนจากกรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ ประมาณ 1,500 คนเข้าร่วม และวันที่ 23 ก.พ. จะจัดที่ จ.พิษณุโลก และวันที่ 1-2 มี.ค. จัดที่ จ.ขอนแก่น และ จ.มหาสารคาม เป้าหมายคือสร้างยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการต่อสู้วิกฤติทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น

นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ โฆษก นปช. กล่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กำลังเร่งหาทางดำเนินการเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาสลายการชุมนุมเพื่อให้เหตุการณ์วุ่นวาย มีคนล้มตาย เพื่อจะใช้เป็นข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลทำร้ายประชาชน

ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวในรายการถลกหนังเทือกว่า การที่ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.จะปล่อยกู้ให้รัฐบาลเพื่อนำเงินไปจ่ายให้ชาวนาไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่หากจะมีการถอนเงินออกจากธนาคารออมสิน ขอให้ทางธนาคารออมสินระบุมาเลยว่า มียอดถอนออกไปเท่าใด ตนและมวลชนคนเสื้อแดงจะนำเงินไปฝากให้มากกว่าที่ถูกถอนออกไป

"การที่นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธาน บ.โตโยต้า และประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ มีปัญหาเรื่องกรณีการหลีกเลี่ยงภาษีนั้น สะท้อนภาพให้เห็นว่าคนที่ถูกม็อบยกย่องว่าเป็นคนดีนั้น แท้ที่จริงเเล้วพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นคนเลวทั้งนั้น ซึ่งในเรื่องดังกล่าวอยากเรียกร้องให้กรมศุลกากรเร่งดำเนินการเอาผิดในเรื่องนี้โดยเร็ว นอกจากนี้ ศรส.ควรดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างจริงจัง และต้องจับกุมนายสุเทพให้ได้ นายสุเทพนอนไหน ต้องบุกจับกุมที่นั่น ร.ต.อ.เฉลิม ควรตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และถ้าไม่บุก อาจจะโดนม็อบบุกยึด กปปส.แน่" นายจตุพร กล่าว

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/404226

 

ปริศนา!“ปลอด-ตู่-สมชาย”กับพวก ขนเงินจากไหนฝากแบงก์ออมสิน?
เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 20:00 น.
เขียนโดย
isranews
ตรวจสอบ ปลอดประสพ - สมชาย สามีเจ๊แดง - จารุพงศ์ บิ๊กเพื่อไทย “ตู่ จตุพร”แกนนำ นปช.เอาเงินจากบัญชีไหนมาฝากโชว์แบงก์ออมสิน ก่อนสั่นสะเทือน?



นายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการรองนายกรัฐมนตรี มีเงินฝาก 2 ล้านบาทเศษ ทว่ากลับ นำเงินสดจำนวนเท่ากันมาเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารออมสิน สาขาเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2557

ทั้งนี้ ตอนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) กรณีพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครบ 1 ปี วันที่ 28 ต.ค.2556 (ยื่นแบบต่อป.ป.ช.วันที่ 9 ธ.ค.2556) นายปลอดประสพมีเงินฝาก 2,064,020 บาท นางธัญญา คู่สมรส มีเงินฝาก 52,647,085 บาท ทั้งสองคนแจ้งว่าไม่มีเงินสด

บัญชีเงินฝากของนายปลอดประสพ ได้แก่

ธนาคารกรุงไทยสาขาย่อย กรมสรรพากร ยอด 1,730,497 บาท

ธนาคารกรุงเทพ สาขาอินทมระ 2 บัญชี ยอด 323,501 บาท , 3,636 บาท

และสหกรณ์ออมทรัพย์กรมป่าไม้ 1 บัญชี ยอด 6,386 บาท

ขณะที่บัญชีเงินฝากนางธัญญา 22 บัญชี ได้แก่

ธนาคารกรุงเทพ 6 บัญชี ( สาขาถนนรัตนาธิเบศร์ 2 บัญชี สาขาเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ 3 บัญชี สาขาบางลำพู 1 บัญชี)

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ 1 บัญชี

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 4 บัญชี (สาขาปิ่นเกล้า 2 บัญชี สาขาออลซีซั่นเพลส 2 บัญชี)

ธนาคารธนชาต 2 บัญชี (สาขาเซ็นทรัลรัตนธิเบศร์)

ธนาคารกสิกรไทย 3 บัญชี (สาขาเซ็นทรัลรัตนธิเบศร์ 2 บัญชี สาขาติวานนท์ 1 บัญชี)

ธนาคารทหารไทย 2 บัญชี (สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า)

ธนาคารธิสโก้ 1 บัญชี (สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า)

สหกรณ์ออมทรัพย์ ธปท. 3 บัญชี

ก่อนหน้านี้ตอนรับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีวันที่ 1 พ.ย.2555 (ยื่น แบบ 11 ธ.ค.2555) นายปลอดประสพแจ้งว่ามีเงินฝาก 6 บัญชีรวม 3,847,000 บาท (แตกต่างกับวันที่ 28 ต.ค.2556 คือ มีธนาคารกสิกรไทย สาขาเทเวศร์ 2 บัญชี)

นางธัญญาคู่สมรสมีเงินฝาก 22 บัญชี รวม 52,761,773 บาท ไม่มีเงินสด

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ก่อนหน้านี้วันที่ 17 ก.พ.2557 แถลงข่าวว่าจะนำเงินไปฝากธนาคารออมสินที่สาขาอิมพีเรียลลาดพร้าว 1 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่า ตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส. วันที่ 17 พ.ค.2556 (ยื่นแบบ 20 มิ.ย.2556) แจ้งว่ามีเงินฝาก 2,580,806.29 บาท (ไม่มีเงินสด) แบ่งเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ 1 บัญชี ธนาคารกรุงเทพ 2 บัญชี ธนาคารกรุงไทย 1 บัญชี ธนาคารทหารไทย 1 บัญชี และธนาคารออมสิน 1 บัญชี (ยอด 207,894.19 บาท )

น่าสังเกตว่านายจตุพรมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารออมสินอยู่ก่อนแล้ว ถ้านายจตุพรมาฝากเงินกับธนาคารออมสิน 1 ล้านบาท จะต้องถอนเงินจากบัญชีอื่น?

สำหรับคนอื่นๆ ที่ไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารออมสินเมื่อวันที่ 18 ก.พ.2557

จากการตรวจสอบฐานะทางการเงินจากบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ก่อนหน้านี้พบข้อมูลดังนี้

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ตอนนางเยาวภา พ้นตำแหน่ง ส.ส.เชียงใหม่ 9 ธ.ค.2556 (ยื่นแบบ 20 ม.ค.2557) แจ้งว่ามีเงินฝาก 6 บัญชี รวม 27,038,907.71 บาท นางเยาวภามีเงินฝาก 6 บัญชี รวม 20,323,911.93 บาท

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 1 ก.พ.2555 แจ้งว่ามีเงินฝาก 3 บัญชี รวม 1,133,357.07 บาท นางสุพัตรา คู่สมรส มีเงินฝาก 5 บัญชีรวม 1,817,269.43 บาท

นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ครบ 1 ปี วันที่ 26 ต.ค.2556 (ยื่นแบบ 9 ธ.ค.2556) แจ้งว่ามีเงินฝาก 346,742.57 บาท นางกัญญาคู่สมรส มีเงินฝาก1,550,370.37 บาท

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล (โสด) ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ครบ 1 ปี วันที่ 26 ต.ค.2556 (ยื่นแบบ 9 ธ.ค.2556) แจ้งว่ามีเงินฝาก 7 บัญชี รวม 1,593,466.12 บาท (ธนาคารกรุงไทย 1 บัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ 1 บัญชี ธนาคารกสิกรไทย 5 บัญชี)

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ วันที่ 9 ธ.ค.2556 (ยื่นแบบ 16 ม.ค.2557) แจ้งว่ามีเงินฝาก 795,815.02 บาท

นายวิชาญ มีชัยนันท์ ตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส.กรุงเทพฯ วันที่ 9 ธ.ค.2556 (ยื่นแบบ 20 ม.ค.2557) แจ้งว่ามีเงินฝาก 36,027,510.23 บาท มีเงินสด 1 ล้านบาท นางจิตนา คู่สมรส มีเงินฝาก 1,858,272,75 บาท เงินสด 500,000 บาท

หากบุคคลดังกล่าวนำเงินมาฝากธนาคารออมสินจะต้องถอนเงินจากบัญชีอื่นเช่นเดียวกัน ยกเว้นมีเงินสดอยู่ก่อนแล้ว หรือไปหยิบยืมใครมา?

การไปฝากเงินของกลุ่มบุคคลในพรรคเพื่อไทยมีขึ้นหลังจากวันที่ 17 ก.พ.2557 ประชาชนที่ไม่มั่นใจในสถานะทางการเงินของธนาคารออมสิน (ธนาคารออมสินจะปล่อยกู้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ไปชำระหนี้ชาวนา) ได้ไปถอนเงินจากธนาคารออมสินกว่า 3 หมื่นล้านบาท และยังมีกระแสถอนเงินอย่างต่อเนื่องในวันที่ 18 ก.พ.2557

ที่มา http://www.isranews.org/เรื่องเด่น-สำนักข่าวอิศรา/item/27371-pp_27371.html

ยิ่งสาวยิ่งมันเว๊ยเฮ้ย หางโผล่เฉยเลย

 

18 กุมภาพันธ์ 2557 นักรบสมรภูมิผ่านฟ้า เป็นวันที่ ศรส ออกคำสั่งให้ขอคืนพื้นที่มากที่สุด

และจบด้วยการใช้กำลังระหว่าง มวลมหาประชาชนและตำรวจ ตลอดจนมีบุคคลไม่ทราบฝ่ายเข้ามาร่วม

ผลการขอคืนพื้นที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิต 4 ราย เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 ราย ในเหตุการณ์นี้ผมเข้าใจว่า

ทางฝ่ายทักษิณประเมินว่าหากทางศาลแพ่งมีคำพิพากษาที่ไม่เป็นคุณจะทำให้ไม่สามารถทำอะไรฝ่าย กปปส ได้เลย

ดูคลิบเต็ม ๆ ของเหตุการณ์กันครับ
https://r2---sn-ab5l6nee.gvt1.com/videoplayback?upn=iL0hopAPKlo&requiressl=yes&sver=3&expire=1424239855&mime=video/mp4&pl=47&source=youtube&key=yt5&sparams=dur,id,initcwndbps,ip,ipbits,itag,mime,mm,ms,mv,pl,ratebypass,requiressl,source,upn,expire&itag=18&signature=E5EDC3602243CF96F107696D786A8CA7EF6DB782.447ACADF892E06267DA472D88CABBB92544FA53B&ratebypass=yes&ip=2001:470:1f10:b16::3&mt=1424218152&dur=8375.019&mv=m&ms=au&mm=31&ipbits=0&fexp=900235,905657,907263,916641,924619,927622,930827,9406237,9406767,943917,947225,948124,952302,952605,952612,952901,955301,957201,959701&id=o-ABq_WAlqtBbVvskbF4O4g0AHAVuNgnsLtECz0hNbIOLk&initcwndbps=1157500

 

"เดลินิวส์ออนไลน์" เกาะติดม็อบ 18 ก.พ. 2557 กปปส.ยกพลต้านตำรวจปฏิบัติการขอคืนพื้นที่

วันอังคาร 18 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 09:31 น.
"เดลินิวส์ออนไลน์" เกาะติดม็อบ 18 ก.พ. 2557 กปปส.ยกพลต้านตำรวจปฏิบัติการขอคืนพื้นที่

19.57น. สุเทพ ลั่น ยกระดับการต่อสู้ให้ถึงตัวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรุ่งนี้ 10 โมงมุ่งหน้าสำนักงานปลัดกลาโหม

ที่เวทีปทุมวัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยว่า วันนี้เป็นวันที่หดหู่เพราะต้องสูญเสียพี่น้องร่วมอุดมการณ์ไป 3 ราย ตำรวจเสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 64 ราย ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากคำสั่งของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และศรส. ทั้งสิ้น

นายสุเทพ กล่าวว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะยกระดับการต่อสู้ให้ถึงตัวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยพรุ่งนี้ตนจะนำพี่น้องไปที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ด้วยรถยนต์ล้อหมุนจากทุกเวที 10 โมงเช้า จากนี้ไปไม่ต้องนั่งเฝ้าเวทีแล้ว เราจะตามล่าตามไล่ทุกวัน พรุ่งนี้ผมจะยืนที่ท้ายรถ ผมจะชวนพี่น้องไล่ล่ายิ่งลักษณ์ไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ยอมให้อยู่ร่วมแผ่นดินกับเรา เพราะฆ่าพี่น้องเราคนแล้วคนเล่า ตั้งใจกันเลยตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปตามไล่ทุกแห่ง สู้ไม่ได้ผมจะเดินไปมอบตัวให้มันยิงเป้าไปเลย.

15.00น. สุเทพกลับเวทีปทุมวัน ยอดตายปะทะผ่านฟ้า3ราย

นายสุเทพ ปราศรัยบริเวณหน้าประตู 5 ทำเนียบฯ ระบุ เสียใจกับเหตุปะทะที่สะพานผ่านฟ้า วันนี้มวลชนทำดีที่สุดแล้ว จากการติดตามสถานการณ์พบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจถอยร่นกลับที่ตั้ง ดังนั้นจึงขอนำผู้ชุมนุมกลับเวทีปทุมวันตามเดิน ส่วนความเคลื่อนไหวในวันพรุ่งนี้ (19ก.พ.) จะแจ้งให้ทราบต่อไป

ด้าน ศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร (กทม.) รายงานยอดผู้บาดเจ็บจากเหตุปะทะบริเวณแยกผ่านฟ้าในการขอคืนพื้นที่ของศรส. ล่าสุดมีจำนวน 59 ราย ส่วนผู้เสียชีวิต มี 3 ราย ประกอบด้วย 1.นายนายสุพจน์ บุญรุ่ง อายุ 52 ปี มีบาดแผลที่ศรีษะ เสียชีวิตที่รพ.กลาง 2. ด.ต.เพียรชัย ภารวัตร อายุ 45 ปี ถูกยิงเข้าที่อก เสียชีวิตที่รพ.กลาง และ 3.นายธนูศักดิ์ รัตนคช อายุ 29 ปี มีบาดแผลที่หน้าอกซ้าย เสียชีวิตที่รพ.วชิรพยาบาล

14.00น. ตำรวจถอยร่น สถานการณ์สงบ สุเทพจ่อกลับปทุมวัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ทำเนียบฯ ถอยร่นกลับเข้า บช.น. ส่งผลให้แกนนำกปปส. ประกาศให้ผู้ชุมนุมถอยร่นไปติดตามสถานการณ์บริเวณแยกมิสกวัน ถนนพิษณุโลก ด้าน พล.ต.ต.อดุลย์ รอง ผบช.น.เปิดเผยว่า การถอยกลับเข้าบชน. และผู้ชุมนุมถอยกลับเข้าไปอยู่บริเวณถนนพิษณุโลก เป็นไปตามการเจรจารอบที่ 3 ผ่านทางโทรศัพท์กับหัวหน้าการ์ดคปท. นอกจากนี้ ศรส.มีแนวโน้มยอมออกแถลงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพื้นที่ชุมนุมคปท.หากเปิดเส้นทางถนนราชดำเนินนอกสำหรับเตรียมงานกาชาด ทั้งนี้หลังสิ้นสุดงานกาชาติจะประเมินสถาการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง

ขณะที่ นายเอกนัฏ โฆษก กปปส. เปิดเผยว่า จะปักหลักข้างทำเนียบฯ เพื่อรอดูสถานการณ์ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่กลับมาประชิดพื้นที่อีก จะนำมวลชนกลับเวทีปทุมวันในเวลา 15.30 น.

13.30น. สุเทพเกาะติดสถานการณ์เครียด สูบบุหรี่จัด

นายสุเทพ และแกนนำกปปส. คปท. พักทานมื้อกลางวันบริเวณสะพานมัฆวาน พร้อมกับติดตามสถานการณ์การขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศว่า นายสุเทพ จะรับโทรศัพท์รับทราบสถานการณ์ ประชุมร่วมกับแกนนำ และลุกเดินไปสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นระยะ ขณะที่การ์ดกปปส. คุ้มกันแกนนำและผู้ชุมนุมบริเวณดังกล่าวอย่างหนาแน่น

13.00น. ชายนิรนามชิงตัวสมเกียรติ ตำรวจเสียชีวิต 1 ราย

นายสมเกียรติ แกนนำกปปส. เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ช่องบลูสกาย ระบุ ก่อนหน้านี้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและสวมกุญแจมือ คุมขังไว้บนรถผู้ต้องหาบริเวณแยกผ่านฟ้า ขณะเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีชายนิรนาม 3 คน เข้ามาช่วยเหลือพาออกจากรถคุมขัง มีการฉุดลากด้วยความรวดเร็ว ตนได้รับบาดเจ็บบริเวณขาเล็กน้อย และตอนนี้ไม่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวแล้ว

ส่วนทวิตเตอร์ของ พล.ต.ท.ดร.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผบช.สทส.(เทคโนโลยีฯ ตร.) ชื่อบัญชี @Dr_Prawut ทวิตข้อความว่า "ส.ต.ต.พงศกร แสงกลม ผบ.หมู่ สภ.บางละมุง เสียชีวิตแล้ว หลังถูกยิงเข้าศีรษะ จากการเข้าขอคืนพื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า"

11.45น. ม็อบล้มโต๊ะเจรจา สุเทพหน้าเครียดรุดไปมัฆวาน

บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ แกนนำกปปส. ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงยกเลิกการเจรจาทั้งหมด และยืนยันจะไม่มีการเจรจาเพราะทราบข่าวว่า มีการใช้กำลังกับผู้ชุมนุมกปท.ที่สะพานผ่านฟ้า ด้านนายสุเทพ มีสีหน้าเคร่งเครียด นำผู้ชุมนุมเดินเท้าจากทำเนียบฯ มาติดตามสถานการณ์ที่สะพานมัฆวานรังสรร หลังจากได้รับโทรศัพท์รายงานสถานการณ์แยกผ่านฟ้าจากเรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ แกนนำกปท.

10.30น. แยกผ่านฟ้าตึงเครียด ยิงหัวตร.เจ็บ 1 ราย รวบสมเกียรติแล้ว

บริเวณแยกผ่านฟ้า จุดชุมนุมของกลุ่มกปท. เจ้าหน้าที่ตำรวจเคลื่อนประชิดแนวกั้นม็อบกปท. ขณะที่ผู้ชุมนุมนั่งสวดมนต์หน้าแนวกั้นดังกล่าว ไม่ยอมขยับให้เข้ายืดพื้นที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเริ่มเข้าควบคุมผู้ชุมนุม นำตัวขึ้นรถผู้ต้องหา และมีรายงานผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจากการถูกของแข็งกระแทก ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ 1 ราย กำลังส่งตัวไปยังโรงพยาบาล

ล่าสุด มีรายงานว่า นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำกปปส.ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวได้แล้วที่บริเวณนี้ และมีเหตุการณ์ใช้แก๊สน้ำตา ยิงกระสุนยาง ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหาร และหน่วยกู้ภัย เข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บทุกฝ่าย

09.30น. สุเทพสั่งม็อบสวดมนต์สู้

นายสุเทพ เดินทักทายผู้ชุมนุมและตรวจแนวบังเกอร์ฝั่งผู้ชุมนุม จากนั้นได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง ให้ผู้ชุมนุมบริเวณรอบทำเนียบนั่งสวดมนต์ อย่าตอบโต้เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง สูญเสียเลือดเนื้อ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่โดยระลึกเสมอว่า เราคนไทยด้วยกัน จากนั้นนายสุเทพ ได้นั่งหารือกับนายนิติธร ล้ำเหลือ นายอุทัย ยอดมณี แกนนำคปท. ก่อนจะลุกเดินตรวจพื้นที่รอบทำเนียบฯ เป็นระยะ

08.55น. ตร.เจรจาเหลว ม็อบไม่คืนพื้นที่ข้างทำเนียบฯ

พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) เจรจากับนายสกลธี ภัททิยกุล แกนนำกปปส. และนายนัสเซอร์ ยีหมะ หัวหน้าการ์ด คปท. เพื่อขอให้ผู้ชุมนุมคืนพื้นที่ถนนรอบทำเนียบฯ เนื่องจากเป็นทางสัญจรของนักเรียน ฝ่ายผู้ชุมนุมยืนยันว่า ที่ผ่านมามีการให้บริการนักเรียนอยู่แล้ว จึงไม่ยอมคืนพื้นที่ เว้นแต่รัฐบาลรักษาการจะลาออกเท่านั้น จากนั้น พล.ต.ต.อดุลย์ จึงเดินกลับเข้าที่ตั้ง ขณะที่ฝ่ายนายสกลธี และนายนัสเซอร์ ได้กลับเข้าหารือกับกลุ่มแกนนำ โดยนัดหมายจะหารือรอบใหม่ในอีก 30 นาที

07.40น. ควบคุมแกนนำ-ผู้ชุมนุมหน้ากระทรวงพลังงาน

ด้านหน้ากระทรวงพลังงาน ถนนวิภาวดีรังสิต เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าควบคุมตัว นพ.ระวี มาศฉมาดล นายทศพล แก้วทิมา แกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.) และผู้ชุมนุมขึ้นรถควบคุมผู้ต้องขังไปยัง ตชด.ภาค1 โดยระหว่างปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ได้ปิดการจราจรถนนวิภาวดีฯ ช่องทางคู่ขนานบริเวณดังกล่าว และมีการรื้อสิ่งกีดขวางที่ผู้ชุมนุมตั้งไว้บนถนนแล้ว

07.30น. สุเทพเร่งฝีเท้า เคลื่อนขบวนไปทำเนียบฯ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกกปปส. และแกนนำบางส่วนนำผู้ชุมนุมจากเวทีแยกปทุมวัน เดินขบวนออกจากที่ตั้งมุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาลด้วยความรวดเร็ว เพื่อสมทบกับผู้ชุมนุมกปปส.และคปท. ขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเปิดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยนายสุเทพ นำขบวนผู้ชุมนุมเดินมาถึงทำเนียบฯ ในเวลาประมาณ 08.10 น. และนั่งพักหน้าทำเนียบฯ ฝั่งถนนราชดำเนินนอก ส่วนผู้ชุมนุมบริเวณดังกล่าว มีการเตรียมความพร้อมสวมเครื่องป้องกันแก๊สน้ำตาและน้ำสะอาด

06.40น. ยึดรถเมล์ปิดแยกสี่กั๊กพระยาศรี ใกล้มท.

กลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 150 คน ยึดรถประจำทาง 3 คัน พร้อมปล่อยลมยางรถเมล์จอดปิดการจราจรกลางสี่แยกสี่กั๊กพระยาศรี ใกล้กระทรวงมหาดไทย ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารเข้าเจรจาและขอคืนรถเมล์กลับมาได้ 2 คัน ส่งผลให้การจราจรโดยรอบติดขัด แนะหลีกเลี่ยงเส้นทาง
ที่มา http://www.dailynews.co.th/Content/Article/216870/เกาะติดม็อบ+18ก.พ.57

 

เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นที่ถกเถียงกันว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจโดนระเบิดตามคลิป

แต่ก็คาดว่ามีผู้จับภาพได้ ซึ่งไม่ได้พิสูจน์ในเวลาต่อมาเพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ละเมิดคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว

ของศาลแพ่ง





ภาพจากคลิปการรายงานข่าวของ CNN ปรากฎภาพชัดว่าฝั่งตำรวจมีการขว้างระเบิดเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ในการบุกเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าเมื่อ 18 ก.พ. 57

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น







ไมเคิล ยอน (Michael Yon) อดีตทหาร นักข่าวและนักเขียนและช่างภาพสงครามชาวอเมริกัน ผู้คร่ำหวอดในการเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงระหว่างการชุมนุมในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2553



ASTVผู้จัดการ – ซีเอ็นเอ็นเผยคลิปรายงานข่าวปรากฏภาพชัดตำรวจระดมขว้างระเบิดระหว่างสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าเมื่อ 18 ก.พ.ประชาชนสื่อสังคมออนไลน์ตั้งชี้เป็นหลักฐานสำคัญ พิสูจน์ระเบิดลูกกลมอาจเป็นการขว้างพลาดของเจ้าหน้าที่แนวหลัง และกระเด้งกลับมาทำร้ายพวกเดียวกันเองในแนวหน้า นักข่าวฝรั่งยันไม่ใช่ M79 แน่ ชี้มีโอกาสสูงที่ใช้ระเบิดมือแล้วพลาด

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งส่งผู้สื่อข่าวและช่างภาพเดินทางมาทำข่าวการประท้วงขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และตระกูลชินวัตร ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) รวมถึงการเข้าสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 18 ก.พ. โดยคำสั่งของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) แต่กลับต้องพบกลับความสูญเสียโดยมีตัวเลขคนบาด 69 ราย เสียชีวิต 5 ราย เป็นประชาชน 4 ราย ตำรวจ 1 ราย ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอสำคัญชิ้นหนึ่ง ซึ่งอาจะเป็นหลักฐานสำคัญในเหตุความรุนแรงดังกล่าว

จากในการเข้าขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 18 ก.พ.มีอยู่ช่วงหนึ่งได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ณ สะพานผ่านฟ้า บริเวณแนวโล่ของตำรวจจากลูกระเบิดที่กระเด้งเข้ามา ทำให้ ด.ต.ธีระเดช เล็กภู่ อายุ 44 ปี ผบ.หมู่ ป.สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี พยายามจะใช้เท้าเตะระเบิดเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนตำรวจด้วยกัน ทว่าไม่ทัน ทำให้ ด.ต.ธีระเดช ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บริเวณท่อนล่างของร่างกาย

ชมคลิป ด.ต.ธีระเดช เล็กภู่ เตะระเบิด


ในรายงานชิ้นหนึ่งของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวหญิง ไซมา โมซิน (Saima Mohsin) ซึ่งติดตามกลุ่มผู้ชุมนุม โดยมีช่างภาพและโปรดิวเซอร์ของซีเอ็นเอ็นติดตามถ่ายภาพไปด้วยนั้น ได้พยายามแสดงภาพให้เห็นว่า ทีมข่าวของซีเอ็นเอ็นเกาะติดการชุมนุมอย่างใกล้ชิด โดยอยู่ใกล้แนวหน้าของตำรวจที่บุกเข้าสลายการชุมนุมอย่างมากก่อนจะมีการโจมตีด้วยระเบิด

“ทีมงานของซีเอ็นเอ็นอยู่หลังแนวหน้าของตำรวจเพียงหนึ่งแถว สามารถใช้กล้องจับภาพการถูกโจมตีด้วยระเบิดมือโดยห่างจากจุดเกิดเหตุเพียงไม่กี่เมตร ... ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าช่างกล้องและโปรดิวเซอร์อยู่ใกล้กับจุดระเบิดมากแค่ไหน จากภาพที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีการตอบโต้ที่ร้ายแรงอะไร กลับกลายเป็นการปะทะที่ถึงเลือดถึงเนื้อ กลุ่มตำรวจต่างล้มระเนระนาดต่อหน้าพวกเขา โดยทั้งสองฝ่ายมีการยิงกระสุนจริงตอบโต้กัน” โมซิน กล่าวในรายงาน On the scene of protests in Bangkok ในช่วงนาทีที่ 0.40-1.10

• คลิกเพื่อเข้าชมรายงาน On the scene of protests in Bangkok ในช่วงนาทีที่ 0.40-1.10

อย่างไรก็ตาม ในตอนหนึ่งของคลิปการรายงานข่าวกลับปรากฏภาพชัดว่า ในกลุ่มตำรวจที่บุกเข้าสลายการชุมนุมโดยมีการใช้โล่ป้องกัน และกระสุนจริงบุกเข้าสลายการชุมนุม ตำรวจมีการระดมขว้างระเบิดลูกกลมในลักษณะเดียวกันกับที่กระเด้งหรือพุ่งเข้าหา แนวป้องกันของ ด.ต.ธีระเดช ปรากฏอยู่ด้วย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเห็นได้ชัดว่า แนวการรุกคืบของเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มดังกล่าวมีเต็นท์ขนาดใหญ่ของกลุ่มผู้ชุมนุมขวางกั้นอยู่ โดยในคลิประหว่างที่ฝั่งตำรวจระดมขว้างระเบิดมือเข้าหากลุ่มผู้ชุมนุม ก็มีเสียงคล้ายระเบิดกระทบกับเสาเหล็กของเต็นท์ด้วย ทำให้มีผู้ชมตั้งข้อสงสัยว่า ระเบิดลูกกลมที่กระเด้งเข้าหากลุ่มตำรวจนั้น แท้จริงแล้วเป็นไปได้หรือไม่ที่อาจจะเป็นระเบิดที่ถูกขว้างมาจากกลุ่มตำรวจด้วยกันเอง แต่พลาดพลั้งกระเด้งกลับมาทำร้ายพวกเดียวกันเอง?

• ข้อสังเกตจากไมเคิล ยอน

ด้าน ไมเคิล ยอน (Michael Yon) อดีตทหาร นักข่าว และนักเขียนและช่างภาพสงครามชาวอเมริกัน ผู้คร่ำหวอดในการเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงระหว่างการชุมนุมในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2553 ได้แสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ Michael Yon ไว้หลายตอนดังนี้ คือ

เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ไมเคิล ยอน ได้เขียนบันทึกเรื่อง ลูกระเบิดมือเมื่อวานนี้ (Yesterday's Grenade) วิเคราะห์ว่า

“ข้อความหลั่งไหลเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายข้อความมาพร้อมกับบทวิเคราะห์ ซึ่งห่างไกลความเป็นจริง ผมไม่ค่อยมีเวลาที่จะถกเกี่ยวกับลูกระเบิดมือ แต่จะขอพูดเป็นบางหัวข้ออย่างรวบรัด

1) อันนี้ไม่ใช่ M-79 อย่างที่หลายคนเรียก M-79 ไม่ได้เป็นลูกระเบิดมือ แต่เป็นปืนยิงลูกระเบิดมือ (ผมเคยแบกเป็นเวลา 3 ปี และรู้จักเป็นอย่างดีเกี่ยวกับ M-79) ลูกระเบิดมือขนาด 40 มม.ที่ถูกยิงจาก M-79 จะระเบิดเวลาตกกระทบ นั่นหมายความว่า เมื่อโดนโล่ตำรวจ ระเบิดควรจะระเบิด แต่ในภาพในวิดีโอได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า มันเป็นลูกระเบิดมือแบบขว้างไม่ใช่ลูกระเบิดมือ 40 มม.

2) อันนี้ไม่ใช่ลูกระเบิดสำหรับการซ้อม ทหารที่มีประสบการณ์จะรู้ได้จากการดูวิดีโอ ผมได้ดูวิดีโอ แล้วเมื่อวานผมก็ไปดูจุดที่ระเบิดทำงาน มันทำให้เกิดหลุมบนถนน และระเบิดขาใครบางคน ลูกระเบิดมือลูกนี้ทำให้ผลทั้ง 2 อย่าง

3) อันนี้เป็นลูกระเบิดแบบปาสำหรับการสู้รบ ไม่ใช่การซ้อม

4) รัศมีการทำให้บาดเจ็บ/เสียชีวิต หลายๆ ความเห็น อันแรกตั้งสันนิษฐานว่าเป็นลูกระเบิดมืออะไร แล้วค่อยสันนิษฐานต่อว่า รัศมีการทำอันตราย 5 เมตร ลูกระเบิดมือบางอย่างมีรัศมี 5 เมตร (เว้นเสียแต่ว่าจะตกในโคลนหรือหิมะ เป็นต้น) ระยะสัมฤทธิ์ผล 15 เมตร ไม่ได้หมายความว่าคนในรัศมี 15 เมตรจะต้องบาดเจ็บ เช่นเดียวกับรัศมีที่ทำให้เสียชีวิต 5 เมตร ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนในระยะ 5 เมตรจะเสียชีวิต

รัศมีการทำให้เสียชีวิต 5 เมตร หมายความว่า 50% ของกองกำลังในระยะ 5 เมตร น่าจะเสียชีวิต ข้อแรก ไม่ได้มีจำนวนตำรวจที่มากในรัศมี 5 เมตร ข้อที่ 2 พวกเค้าไม่ได้ไม่มีเครื่องป้องกัน พวกเค้ามีโล่, เสื้อเกราะ และ หมวกนิรภัย

นี่คือ การอธิบาย 5 นาทีสำหรับวิดีโอ ผมไม่มีเวลามากกว่านี้ ผมขอขีดเส้นใต้ว่า นี่เป็นการกระจายตัวของลูกระเบิดมือ และมีคนขว้างมัน”

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ในวันเกิดเหตุ ไมเคิล ยอน ก็เขียนบันทึกสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า “ระเบิดวันนี้ก่อนหน้านี้ ทางการบอกว่าผู้ชุมนุมโยนระเบิดมือ มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ 3 คน บอกว่าตำรวจประมาททำให้เกิดอุบัติเหตุ ในกองทัพของสหรัฐฯ ระเบิดมือจะใช้ก็ต่อเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดแล้ว เพราะบ่อยครั้งที่กองทหารทำให้มันระเบิดตัวเองและเพื่อนโดยอุบัติเหตุ”

ที่มา http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000020467

 

ขณะที่แนวรบด้านอื่นรัฐบาลก็แตกร่น วันนี้นางปูยืนกระต่ายขาเดียวว่า ทำไปเพื่อช่วยชาวนา

แต่ดูเหตุการณ์เมื่อ 17 ก.พ. 57 รมต คลัง กิตติรัตน์ วิ่งหนีชาวนาที่มาทวงเงินจำนำข้าว

พอวันที่ 18 โยนขรี้ให้รัฐบาลต่อไป
“กิตติรัตน์” เล็งให้รบ.ชุดหน้า จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้แทน “ชาวนา” บอกได้เงินช้ามีสิทธิ์ได้รับตอบแทน เชื่อมีคนให้กำลังใจ “ออมสิน” ที่ออกมาช่วยเกษตกร “ยิ่งลักษณ์” ย้ำต้องจ่ายเงินชาวนาครบทุกบาท ให้กำลังใจผู้บริหารธนาคาร คาด 6-8 สัปดาห์ จ่ายเงินเสร็จ



เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ที่สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ว่า ในมุมของรัฐบาลอยากจะเห็นธนาคารในรัฐวิสาหกิจมาสนับสนุนในส่วนการให้สินเชื่อและดอกเบี้ย ซึ่งก็คงเป็นการดำเนินธุรกิจปกติของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แต่ขอเรียนว่าเกษตรกรที่ได้รับเงินช้า ตนได้ขอให้หน่วยงานทีเกี่ยวข้องทำบันทึกในวันที่จะได้รับเงินจริงเอาไว้ เขาควรได้รับการตอบแทนเรื่องดอกเบี้ย โดยที่รัฐบาลในอนาคต หากจะมีภาระดอกเบี้ยจากการไปกู้เงินมาก ก็เป็นส่วนที่จะได้รับสิทธิของการได้รับเงินช้าของเขา

“นี่ไม่ใช่คำสัญญาจากผม แต่ทุกท่านคงเห็นด้วยกับผมว่าการได้รับเงินช้า ย่อมเป็นสิทธิ์ที่จะได้รับการตอบแทนของดอกเบี้ย โดยเฉพาะที่ต้องไปหาเงินกู้ระยะสั้นที่มีดอกเบี้ยสูง นายกฯกราบเรียนแล้วว่า ขอให้สังคมได้ช่วยกันมองเรื่องนี้อย่างเห็นใจชาวนา สถาบันการเงินที่ให้ความรว่มมือกับธ.ก.ส. จัดหาสภาพคล่องให้ แทนที่จะถูกตำหนิ ถูกต่อว่า ถูกถอนเงิน เขาน่าจะเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับกำลังใจจากผู้ฝากเงินอยู่แล้วและผู้ที่ยังไม่ได้ฝากเงิน” นายกิตติรัตน์ กล่าว

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่า 1-2 วัน จะเห็นปรากฎการณ์สำคัญว่าคนที่อยากให้กำลังใจกับธนาคารที่กำลังจะช่วยชาวนาให้ได้รับเงิน จะได้รับกำลังใจ และหลายองค์กรที่หวาดหวั่นกับความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ ก็อาจจะกลับมาให้ความร่วมมือมากขึ้น ตนได้รับการติดต่อจากแบงก์พาณิชย์หลายแห่งว่าการช่วยคนละไม้คนละมือจะช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้า

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับธนาคารออมสิน จะทำให้สถาบันการเงินอื่นได้รับบทเรียนหรือไม่ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า การถอนเงินเกิดขึ้นจากบางพื้นที่ใช่หรือไม่ และมีบางองค์กรที่ทำงานร่วมกันในลักษณะเป็นขบวนการใช่หรือไม่ ถ้าเป็นจริงตามที่ตนได้รับข้อมูล วันนี้มีประชาขนจำนวนมากนำเงินไปฝากกับสาถบันการเงินที่กำลังให้ความร่วมมืออยู่

“เราก็มาดูกันการที่ขบวนการกับกำลังใจที่สนับสนุนให้ประชาชนได้รับเงินจะเกิดผลอย่างไร หากชาวนายังไม่ได้รับเงิน ผลกระทบจะวนเวียนไปถึงคนชายสินค้าให้กับเขา และท่านเหล่านั้นเป็นลูกค้าของธนาคารพาณิชย์อยู่ นี่ไม่ชึ่คำขู่ หากไม่ช่วยคนละไม้คนละมือ ผลกระทบมันหนีไม่พ้นหรอกครับ เราอยู่ในระบบสังคมเดียวกัน ดังนั้นคนที่เอาชานาเป็นตัวประกัน ผมใช้คำว่าใจร้ายมาก และการที่ทำใจร้ายอย่างนี้ต้องสู้กัน” นายกิตติรัตน์ กล่าว

ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลังจากการแถลงข่าว ว่า ต้องเรียนว่าโดยสถานะของรัฐบาล ความสามารถในการกู้ เรามีสถานะสัดส่วนหนี้สาธารณะที่สามารถกู้ได้ ทุกครั้งที่มีการจ่ายในโครงการก็ทำแบบนี้ ก็ทำงานกันอยู่ แต่เนื่องจากในช่วงที่ยุบสภา ก็มีขั้นตอนต่างๆที่ต้องทำใช้เวลามากกว่าเดิม ก็ขอความร่วมมือให้เข้าใจตรงกัน ส่วนใบประทวนก็เรียกว่าได้รับข้าวจากชาวนาแล้ว ก็เป็นหน้าที่ชาวนาต้องจ่ายเงินทุกบาท ไม่ว่ารัฐบาลเปลี่ยนก็ต้องดูแล

“ไม่มีรัฐาลไหนจะปฏิเสธการดูแลความเดือดร้อน การที่ประชาชนตรวจสอบโครงการรับจำนำ ก็เรื่องระบาย แต่การนำเงินจ่ายให้ชาวนา เป็นส่วนที่ชาวนาต้องได้รับ ทุกบาททุกสตางค์ต้องจ่ายเงินให้กับชาวนา ก็ขอเรียนให้เห็นใจชาวนา” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

เมื่อถามว่า จะจ่ายตามลำดับของใบประทวนไม่มีเลือกปฏิบัติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ใช่ การจ่ายเงินอยู่ที่ทาง ธกส ใบประทวนก็ต้องจ่ายตามลำดับ ที่เรียนว่าที่ค้างอยู่ตามมติ ครม.กำลังรอการพิจารณาอยู่

เมื่อถามว่า เอาเงินออมสินมาช่วยและหากเกิดเหตุกับรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในส่วนธนาคารออมสินเป็นเรื่องที่ได้หารือร่วมกับธ.ก.ส. และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เหมือนกับที่ออมสินได้รับ ไม่ว่าสถาบันไหนเราควรบอกว่าช่วยกันให้เงินฝากมาดูแล อยากให้กำลังใจผู้บริหารที่ตั้งใจตต่อสู้เพื่อชาวนา ขอให้ผู้บริหารได้ทำงานหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ หน้าที่ของธนาคารต้องดูแลความเดือดร้อนของชาวนา โดยเฉพาะธ.ก.ส. มีสภาพคล่องสามารถดูแลชาวนาได้อยู่แล้ว ถ้าทุกท่านปล่อยให้ผุ้บริหารทำงาน ก็สามารถหาเงินมาได้

เมื่อถามว่า รัฐบาลต้องการจ่ายเงินอีกเท่าไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลบริหารได้เต็ม ก็สามารถรับปากพี่น้องได้ แต่ยุบสภาแล้ว มีขั้นตอนตามกฎหมายต่างๆ การทำงานไม่ใช่เรื่องรัฐบาล เป็นเรื่องธนาคารไม่สามารถก้าวล่วงได้ ไม่สามารถรับปากในงานที่ไม่ใช่งานของดิฉัน ดิฉันก็ขอร้องว่าถ้าทุกคนเห็นแก่ความเดือดร้อนและช่วยกันทำ ก็สามารถดำเนินการได้ ส่วนหนึ่งจากความเห็นใจของ ธกส ก็มีสามรถจำกัดในการจ่ายต่อวัน เร่งมากกว่านี้ไม่ได้ ต้องใช้เวลาก็ประมาณการว่า ประมาณ 6-8 สัปดาห์ก็จะจบ

เมื่อถามว่า แหล่งเงินกู้มาจากแหล่งไหน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องเรียนว่าในภาพรวมสถานะการเงินการธนาคารมีสภาพคล่องอยู่ในรายละเอียดต้องให้คลังหารือตามความเหมาะสม ความมั่นคงทางการเมืองก็มีเพียงพอ เราก็มีการคุ้มครองผู้ฝากรายย่อยอยู่แล้ว ก็อยากให้มีความสบายใจ

 

อีกเรื่องหนึงที่เป็นชัยชนะของมวลมหาประชาชน
ธนาคารออมสิน ยุติปล่อยกู้ ธ.ก.ส. หลังคนแห่ถอนเงิน 3 หมื่นล้าน
โพสต์เมื่อ : 17 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 17:24:27

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ผอ.ธนาคารออมสิน แถลง วันนี้วันเดียวมีคนแห่ถอนเงินกว่า 3 หมื่นล้านบาท หลังปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์ ดังนั้น เพื่อความมั่นใจของลูกค้า จึงยุติการปล่อยกู้ ธ.ก.ส. แล้ว

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2557) นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แถลงข่าวด่วนในประเด็นที่ธนาคารมีการปล่อยกู้ระหว่างธนาคาร (อินเตอร์แบงก์) ให้กับธนาคารการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 2 หมื่นล้านบาท โดยปล่อยกู้ไปแล้ว 5 พันล้านบาท ว่า ในวันนี้มีลูกค้าแห่ถอนเงินฝากกว่า 3 หมื่นล้านบาท ฝากเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทำให้วันนี้มีเงินฝากไหลออกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปริมาณดังกล่าวยังถือว่าไม่มากนัก และธนาคารยังพอรับได้ เนื่องจากมีสภาพคล่องส่วนเกินถึง 2 แสนล้านบาท แต่ถึงอย่างไร ธนาคารออมสินยอมยุติบทบาทการให้กู้ ธ.ก.ส. แล้ว หากลูกค้าธนาคารยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ทั้งนี้ ในพื้นที่ที่มีคนถอนเงินเยอะ อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ภาคใต้
ที่มา http://money.kapook.com/view82429.html
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 01:35 น. ข่าวสดออนไลน์


เปิดปมลึก "วรวิทย์" ลาออมสิน - สังเวยปล่อยกู้ "อินเตอร์แบงก์" ให้ธกส.

ข่าวสด เศรษฐกิจ


คงต้องยอมรับว่าการประกาศลาออกของ นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สร้างความสั่นสะเทือนให้วงการเงินไม่น้อย

ธนาคารออมสิน ถือเป็นแบงก์รัฐที่ใหญ่เทียบชั้นแบงก์พาณิชย์อันดับท็อปไฟว์เลยทีเดียว

ภาพที่ประชาชนแห่เข้าแถวยาวเหยียดรอถอนเงินธนาคารออมสินเมื่อวันจันทร์ที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา สะท้อนถึงความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคม

สิ่งที่เกิดขึ้นกับธนาคารออมสินครั้งนี้ บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ไม่เชื่อมั่น ไม่ไว้ใจของประชาชนกลุ่มหนึ่งต่อการที่ธนาคารตัดสินใจปล่อยกู้ระหว่างธนาคาร (อินเตอร์แบงก์) ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

แม้ว่าเป็นธุรกรรมที่คนออมสินรวมถึงนายวรวิทย์เอง บอกว่าไม่ใช่การปล่อยกู้โครงการจำนำข้าวก็ตาม แต่คนภายนอกรวมถึง นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธ.ก.ส. กลับบอกว่าเงินกู้จำนวนนี้สำหรับเตรียมมาจ่ายให้ชาวนาที่รัฐบาลยังติดค้างเงินจำนำข้าว

เงินก้อนแรกธ.ก.ส.เบิกมาจากออมสินตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.2557 จำนวน 5,000 ล้านบาท จากจำนวนทั้งหมด 2 หมื่นล้านบาท โดยธ.ก.ส.เตรียมจ่ายให้กับชาวนา ในวันที่ 17 ก.พ.

พลันที่มีข่าวปูดออกมา พร้อมๆ กับกระแสโซเชี่ยลมีเดียโหมกระหน่ำหลังจากธ.ก.ส.รับเงินมาเพียงแค่วันเดียว จึงเกิดกระแสต่อต้านจากลูกค้าที่แสดงออกด้วยการพากันแห่ไปถอนเงินและปิดบัญชีจากธนาคารออมสิน

น่าสนใจตรงที่ แต่ละรายล้วนเป็นลูกค้าเก่าแก่มีความผูกพันกันมานานบางรายกว่า 50 ปีตั้งแต่เด็กๆ จนเลยวัยเกษียณไปแล้วหลายปี

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น สำหรับนายวรวิทย์เตรียมใจแล้วว่าจะเกิดผลกระทบกับธนาคาร จึงตัดสินใจบินกลับมาจากการไปพักผ่อนที่ฮ่องกงเป็นการด่วน เพื่อเปิดแถลงข่าวในวันอาทิตย์ที่ 16 ก.พ. โดยยืนยันว่าเงินจำนวนนี้ไม่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล แต่หากมีกระแสแห่ถอนเงินอย่างต่อเนื่องจะหยุดปล่อยกู้ให้ธ.ก.ส.ทันที แต่จะขอเวลาดู 3 วัน

ครั้นเปิดทำการวันแรกในวันที่ 17 ก.พ. ประชาชนที่เป็นลูกค้าธนาคารพากันแห่มาถอนเงินวันเดียว 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีคนฝาก 1 หมื่นล้านบาท หรือไหลออก 2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปกติที่หลังวันหยุดยาวเปิดมาจะถอนราว 7,000 ล้านบาท

แม้จะมีความพยายามสร้างกระแสให้กลุ่มธุรกิจและประชาชนมาฝากเงินเช่นเดียวกับทางฝั่งพรรคเพื่อไทยที่ขนระดับแกนนำพรรคอย่าง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย นายโภคิน พลกุล และแกนนำคนอื่นๆ ซึ่งรวมเงินฝากราวๆ 3 ล้านบาทเศษเอามาฝากเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารและเพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้ให้ชาวนา

แต่นั่นยิ่งเท่ากับเป็นเชื้อไฟให้กลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาลแห่ถอนหนักข้อขึ้น ส่งผลให้วันที่ 18 ก.พ.ที่ยังมียอดไหลออกกว่า 2 หมื่นล้านบาท เป็นเหตุให้ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)ธนาคารออมสินต้องมีมติหยุดปล่อยกู้และขอเงินคืนจากธ.ก.ส. 5,000 ล้านบาททันควัน

ที่สำคัญนายวรวิทย์ตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินหลังจากพูดคุยกับพนักงานที่แต่งชุดดำเรียกร้องกดดัน บอร์ด รวมถึงนาย วรวิทย์ให้รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อออมสินใส่เกียร์ถอยทั้งยุติปล่อยกู้ เรียกคืนเงิน 5,000 ล้านบาทจากธ.ก.ส. รวมถึงการลาออกของนาย วรวิทย์ ทำให้ลดกระแสถอนเงินจากออมสินได้มาก จนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ความเคลือบแคลงใจในแวดวงการเงินถึงการปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์นั้นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสุดขั้ว

ทั้งที่จริงๆ แล้วในวงการรู้กันว่า การปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์เป็นธุรกรรมปกติ โดยเฉพาะกับธนาคารออมสิน ที่เป็น net depositor มีเงินฝากมากกว่าเงินถอน ประมาณวันละ 1-2 แสนล้านบาท จึงจะต้องพยายามปล่อยกู้ เพื่อปรับสภาพคล่องทำให้บัญชีสมดุล

หากเงินเหลือจำนวนมากต้องไปฝากกับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นแหล่งฝากสุดท้าย หรือ lender of the last resort นอกจากไม่ได้ดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับแบงก์ชาติด้วย

ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจึงพยายามปล่อยกู้อินเตอร์แบงก์เพื่อเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของธนาคาร ยิ่งเมื่อมีรัฐบาลค้ำประกันแล้ว เรียกว่า แทบไม่มีความเสี่ยงทางธุรกิจเลย

ในกรณีนี้เช่นกัน หากไม่มีประเด็นการเมืองเข้ามา สร้างกระแส ก็จะถือเป็นเรื่องธรรมดามาก

นอกจากนี้ เมื่อหารือว่า การทำธุรกรรมครั้งนี้ต้องไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 181 (3) และ (4) การปล่อยกู้แบบอินเตอร์แบงก์จึงเป็นตัวเลือกที่ไม่น่ามีปัญหาอะไร

แต่ความขัดแย้งมาจากคำสัมภาษณ์ของนายวรวิทย์ที่ต้องการเลี่ยงคำว่า โครงการจำนำข้าว เพื่อไม่ให้ถูกต่อต้าน โดยระบุว่าไปช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธ.ก.ส. ปรากฏว่าธ.ก.ส. ยืนยันว่าเงินก้อนนี้ไม่เกี่ยวกับธ.ก.ส. เพราะธ.ก.ส.มีสภาพคล่องมากถึง 1.8 แสนล้านบาท ไม่จำเป็นต้องกู้อินเตอร์แบงก์มาเสริมสภาพคล่อง

สุดท้ายออมสินยุติการให้เงินกู้ทั้งหมด ส่วน 5,000 ล้านบาทแรกนั้น ธ.ก.ส. ส่งคืนให้ออมสินทั้งหมด

ขณะเดียวกัน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงข่าวในวันเดียวกันว่า มีเงินที่จะนำมาจ่ายจำนำข้าวแล้ว โดยธ.ก.ส.จะใช้เวลา 6-8 สัปดาห์จ่ายให้ชาวนาที่ยังค้างกว่า 1 ล้านราย วงเงิน 1.2 แสนล้านบาทได้หมด

หลังจากข่าวนี้ออกมาเนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์ของทั้ง 3 คน ทั้งเรื่องคืนเงินจ่ายจำนำข้าว เงินกู้อินเตอร์แบงก์ ที่ออกจากปาก นายวรวิทย์ นายลักษณ์ นายกิตติรัตน์ กลับขัดแย้งกันเอง ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งทำให้ปัญหาเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อธนาคารออมสิน ธ.ก.ส.และรัฐบาลเพิ่มขึ้น

ฉะนั้นการลาออกของนายวรวิทย์ ส่วนหนึ่งจากความขัดแย้งในคำพูดของทั้ง 3 คน แต่ละคนล้วนต้องการปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว

การที่นายวรวิทย์ถูกกดดันจากทั้งสองฝ่าย ขณะที่ฝ่ายพนักงานที่เริ่มออกมาก่อตัวไม่เห็นด้วย มีการนำออมสินไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ผสมโรงกับลูกค้ามาถอนเงินอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกทม.ที่เป็นฐานเงินฝากสำคัญของออมสิน มีสัดส่วนเงินฝากถึง 40% ของเงินฝากทั้งหมด ยังมีการถอนเงินแน่นสาขาติดต่อกันหลายวัน

เช่นเดียวกับพื้นที่ภาคใต้ที่ระดมกันมาถอนเงินกันอย่างคึกคักมีทั้งชาวบ้านทั่วๆ ไปและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลาย

จากเหตุการณ์นี้ยอดถอนเงินจากออมสินเพียงแค่สัปดาห์เดียวสูงกว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนยอดฝากอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท หรือสรุปแล้วเงินไหลออกประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท

สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับออมสินครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตด้านภาพลักษณ์หนักสุดในรอบ 100 ปีที่ก่อตั้งธนาคารมาเลยทีเดียว

ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU16QTVOREl5TkE9PQ==

 

วันนี้ (18 ก.พ.) ปีที่แร้ว

พ่อกำนันนัดชุมนุมหน้าทำเนียบ

ขณะที่ฝั่งสะพานผ่านฟ้า ด้านของกองทัพธรรม ตำกวดก็ตั้งขบวนกันตั้งแต่เช้า จะสลายการชุมนุม

ก็เรยเกิดเหตุปะทะกันปึงปังขึ้นมา ตำกวดนายที่บาดเจ็บเพราะเตะลูกระเบิดก็วันนี้แหระ


แกนนำนั่งล้อมลงกันกินข้าวหน้ากระทรวงศึกษา


นี่คือ ตอนที่ได้ยินว่า กองทัพธรรมแตกแร้ว หลายคนก็รีบวิ่งตามไปช่วย


ปรากฏว่าตำกวดบุกเข้ามาได้จิง ตัดไฟ ตัดไมค์การปราศรัยของพ่อท่านโพธิรักษ์ได้ มีแก๊สน้ำตายิงเข้ามา หลายคนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ทำได้แค่นั้น เพราะการชุมนุมก็ยังอยู่ต่อได้ ถ้าจำไม่ผิด วันนั้น อ.สมเกียรติโดนจับตัวไปด้วย โดนหิ้วขึ้นรถตู้ไปแร้ว แต่ก็ปรากฏว่า "วีรบุรุษลึกลับ" เข้าใจว่าจะนิยมชมชอบการรับประทานป๊อปคอร์นเป็นชีวิตจิตใจ ได้มาช่วยไว้

แต่สถานการณ์วันนั้น สุ่มเสี่ยงมาก ได้ยินเสียงปืนเป็นระยะ ๆ ปัง ๆ ๆ มาจากรอบ ๆ ที่เราอยู่กัน

นี่คือ มวลมหาปชช.ตั้งท่ารออยู่ที่มัฆวาน คือ ผ่านฟ้าถ้าแตกไปแร้ว นี่คือที่มั่นสุดท้าย ถ้าตำกวดบุกมา แหลกก็แหลกกันไป


ที่ต้องคาราวะจิง ๆ คือ หัวจิตหัวใจของคนเป็นร่างทรงมวลมหาปชช.หยั่งพ่อกำนัน แกไม่หนี แดดตอนเที่ยงร้อน ๆ ระอุ ๆ แกลงมาจากรถปราศรัยหน้าทำเนียบ เดินมาที่สะพานพร้อมกับแกนนำคนอื่น ๆ ยืนดูอยู่พักนึง แร้วนั่งลงกะพื้นสะพานร้อน ๆ อย่างงั้นอ่ะ เตรียมตัวรับการบุกเข้ามาของตำกวด





ที่สุด ก็ไม่มีอัลไลเกิดขึ้น พอเหตุการณ์สงบ ก็ไปดูที่ผ่านฟ้า ก็พบกับภาพแบบนี้





ราชดำเนินก็เหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์ พ.ค.ทมิฬ หรือ 14 ต.ค. มางั้นแระ

 

วันนี้ของปีที่แล้ว ศาลแพ่งมีคำพิพากษา ให้คำสั่ง ศรส ในการประกาศ พรก ฉุกเฉิน ไม่มีผลต่อมวลชน กปปส
ศาลแพ่งไม่เพิกถอน พรก.ฉุกเฉิน-สั่งห้ามสลายการชุมนุม
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 19 ก.พ. 2557 20:25


ศาลแพ่งสั่งไม่เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และสั่งห้าม 9 ข้อ อาทิ ห้ามสลายการชุมนุม ห้ามอายัดสินค้า อุปโภคบริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุมของโจทก์และผู้ชุมนุม การพิจารณาคดี มีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ใน 5 ที่มีความเห็นแย้ง ขอให้เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่เสียงข้างมากให้คงไว้...

เมื่อเย็นวันพุธที่ 19 ก.พ. 2557 ศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาไม่เพิกถอน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยเห็นว่ารัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ร้ายแรง แต่ห้ามสลายการชุมนุม

โดยศาลพิเคราะห์จากคำเบิกความของโจทก์ จำเลย แล้วเห็นว่ากฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหารในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดังกล่าว ต้องมีผลบังคับใช้กับคนทุกกลุ่ม แต่ศาลเห็นว่าการออกประกาศของจำเลยเป็นการบังคับใช้กับผู้ชุมนุมที่มาชุมนุมตามสิทธิรัฐธรรมนูญ ศาลจึงสั่งห้ามจำเลย 9 ข้อ ประกอบด้วย

1. ห้ามจำเลยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม

2. ห้ามจำเลยยึด อายัดสินค้า อุปโภคบริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุมของโจทก์ และผู้ชุมนุม

3. ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้ชุมนุม

4. ห้ามจำเลยห้ามผู้ชุมนุมซื้อขายสินค้า เครื่องอุปโภคบริโภคที่ใช้ในการชุมนุม

5. ห้ามจำเลยปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม

6. ห้ามจำเลยสั่งห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

7. ห้ามจำเลยสั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ

8. ห้ามจำเลยสั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร

9. ห้ามจำเลยมีคำสั่งห้ามบุคคลเข้าและออกพื้นที่การชุมนุม ซึ่งในการพิจารณาคดี มีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ใน 5 ที่มีความเห็นแย้งขอให้เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่เสียงข้างมากให้คงไว้



ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยและมีคำสั่ง ในคดีหมายเลขดำ 275/2557 ที่นายถาวรเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการ รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศรส. เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิดจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล และออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยมิชอบและยังไม่มีเหตุจำเป็น

โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และห้ามใช้กำลังสลายการชุมนุม โดยขอศาลสั่งให้หยุดการฝ่าฝืนคำสั่งการคุ้มครองชั่วคราวในคดีดังกล่าวเป็นการด่วน หลังเจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่ทำให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษาคดีฟ้องเพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดังกล่าว
ที่มา http://www.thairath.co.th/content/404757
วันรุ่งขึ้น ศรส ก็ออกมาบ่นออกทีวี

 

ซิงเจียอยู่อี่ ซิงนี้ฮวดไช้

19 ก.พ. ปีนี้ตรงกะวันตรุษจีน

แต่ 19 ก.พ. ปีที่แร้ว ตรงกะวันที่มวลมหาปชช.บุกกลาโหม เมืองทองธานี ไล่ล่าอีนังดอกไม้

เพราะมันหนีจากทำเนียบ หลบไปทำงานอยู่ที่ สนง.ปลัดกลาโหม ที่เมืองทองธานี

ขบวนรถเริ่มต้นตั้งที่ข้างสนามศุภชลาศัย เวทีปทุมวัน รถมีเยอะแยะมากมาย แต่เห็นแบบนี้นะ รถไม่พอด้วยซ้ำ



ที่เมืองทองธานี









ร้านขายของกินต่าง ๆ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ร้านเฉาก๊วยเจ้านึงบ่องว่า คนเยอะไม่ได้แพ้มอเตอร์โชว์กันเรยทีเดรียว

 

ห่ะนั้น แดดเที่ยงร้อน ๆ ก็ขอเข้าไปหลบแดดใต้ชายคาของอิมแพ็ค



ภาพมุมกว้าง



พอราว ๆ บ่าย 3 พ่อกำนันก็ขอถอนตัวกลับจากที่นี่ แต่ยังมะได้กลับฐานที่มั่นนะ มุ่งหน้าไป ศรส.ที่หลักสี่ต่อ




กว่าเราจะออกมาได้ ก็โน้นต้องรอถึงกว่าครึ่งช.ม. เพราะรถเยอะกันจิง ๆ ก็ขอติดท้ายรถกระบะเขาไปด้วย แออัดยัดเยียดกันไป




กว่าจะถึงก็ปาไปเกือบ ๆ 6 โมงเย็นแร้ว แสงจะหมดแร้ว การจราจรติดขัด แต่ก็ได้ผ่านเวทีแจ้งวัฒนะของหลวงปู่ เจอะเจออะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ไม่สะดวกที่จะถ่ายรูปมาเพราะอยู่รถแระก็ฝนตกลงมาด้วยพักนึง พอมาถึงหน้า ศรส. กำนันก็กลับไปแร้ว แต่ก็ยังเหลือการ์ดอยู่ 2-3 คนคอยห้ามปรามพวกเราว่าอย่าขว้างปา อย่าไปยั่วยุเขา

 

20 ก.พ. ปีที่แร้ว

มวลมหาปชช.ตามไล่ล่ายิ่งเละถึงตึกชิน 3 ถนนวิภาวดีจ้า

"ตัดท่อน้ำเลี้ยง"

ขบวนรถตั้งต้นที่เวทีสวนลุม


ตึกชิน 3


เจ๊ปอง


มีเหตุวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อป้าท่านนี้บุกเข้าไปด่าตระกูลชินถึงแนวกั้นของการ์ด


ป้าแกระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่น่ะ การ์ดเราก็ต้องขอเชิญตัวออกไประงับอารมณ์รอบนอกก่อนนะป้า


มวลมหาปชช.ค่อย ๆ ทะยอยกันมา



คุณสุทิน วรรณบวร มาด้วย




แจกข้าว แจกน้ำ


ผู้สมัคร สก.เผาไทย ก้อโดนไปตามระเบียบ อิอิ

 

ขอบพระคุณท่าน phoebus มากครับ งั้นผมมาสรุปตอนค่ำวันนั้น โดยลุงกำนัน
มีหลายเรื่อง นับเป็นชัยชนะรายทางของมวลมหาประชาชน

 

24 ก.พ. วันนี้มะปีที่แร้ว

วันนี้แกนนำมีความเคลื่อนไหว

วิทยา แก้วภารดัย จากเวทีสวนลุมบุกไปที่กรมศุลากร ท่าเรือคลองเตย

ส่วนพ่อใหญ่ อิสสระ สมชัย "นักรบหัวเขียว" จากเวทีลาดพร้าว บุกไปที่หน่วยงานของกระทรวงเกษตร

ไอ้เราได้ข่าวตั้งแต่เช้า ก็เรยตัดสินใจไปร่วมกะกลุ่มของพ่อใหญ่ ห่ะแรกได้ยินว่า เขาไปกันที่กระทรวงพลังงาน ตึก ปตท. ก็พอไปถึงก็ปรากฏว่าไม่เจอใครแร้ววววววว คือ เขาไปกันหมดแแร้ว พอไถ่ถามดูเอาจากพนง.กวาดถนนของ กทม. ก็ได้รับทราบว่า เขาเคลื่อนกันต่อไปที่ ม.เกษตร บางเขน แร้ว ไอ้เรากะพี่น้องมวลมหาปชช.คู่นึงผัว-เมียที่เจอะเจอกันระหว่างทาง ก็ชักชวนกันขึ้นรถแท็กซี่ไป

ปรากฏว่าหยั่งที่รู้ๆ แถวนั้นรถติดบรรลัย ขนาดไม่มีม็อบ แร้วถ้ามีจะขนาดไหน ก็เรยต้องลงกลางทางแร้วต่อมอ'ไซด์ไป เขาคิดราคารู้สึกจะ 60 บาทมั๊ง ก็ไปเจอะเจอพอดีกะขบวน ซึ่งเขาไปกันที่กรมส่งเสริมการเกษตรพอดี ในเวลาใกล้ ๆ เที่ยง





ขรก.ในกรม


บรรยายกาศนี่บ่องได้เรยว่า บรรดา ขรก.ส่วนใหญ่ คือกว่า 90 % เขาตอบรับการมาถึงของมวลมหาปชช.เป็นหยั่งดี จะมีบางคนเท่านั้นที่มีท่าทีต่อต้าน บางคนถึงขนาดโผล่หน้ามาด่า แร้วก็ผลุบหายไป ก็ได้บรรดา ขรก.ด้วยกันนี่แระ ส่งข้อความมายังแกนนำ แจ้งถึงชื่อจริง-นามสกุลจริง ของมันผู้นั้น พร้อมตำแหน่งให้เบ็ดเสร็จเรย ฮะฮะฮะ แกนนำเราก็เรยจัดให้ไปตามระเบียบ

หยั่งคุณพี่ 2 ท่านนี้ก็เป็น ขรก.ในสังกัดหน่วยงานนี้ ก็บ่องว่าไปเวทีอโศกอยู่ทุกบ่อย


พักเที่ยง กินข้าว


ในที่สุด กรมส่งเสริมการเกษตร ก็ต้องเลิกงานแต่เพียงตอนเที่ยง เพราะมวลมหาปชช.มาขอให้ยุติการทำงาน ก็ได้รับการตอบรับเป็นอันดี ถึงระดับท่านรองอธิบดี ท่านนี้่ลงมาดูแลความเรียบร้อยด้วยตัวเอง หลายคนก็เข้าไปขอบคุณท่าน ขอถ่ายรูปด้วย บรรยายกาศเป็นไปด้วยดี แร้วทางเราก็ขออนุญาตส่งคนเข้าไปตามตึกต่าง ๆ เพื่อตรวจดูว่ายังมีใครทำงานอยู่อีกหรือไม่ ก็ทำไปพอเป็น "สัญลักษณ์" ก็เท่านั้น ไม่มีการล่วงล้ำมากก่านั้น แร้วก็ขอแวะใช้บริการห้องน้ำห้องท่าก็เท่านั้น

 

กินข้าวพักผ่อนกันเสร็จแร้ว กรมส่งเสริมการเกษตรก็เรียบร้อยแร้ว

ก็เคลื่อนต่อไปยังอีกกรมนึงใกล้ ๆ กัน คือ กรมป่าไม้



ซึ่งกรมป่าไม้นี้ เหล่ามวลมหาปชช.เวทีลาดพร้าว เคยมากันหลายครั้งแร้ว จนรู้จักมักจี่กับขรก.ในกรมนี้ดี ถ่ามว่าทำไม ต้องมากรมป่าไม้ด้วย ? แร้วมันเกี่ยวอะไรกับการบริหารราชการแผ่นดิน ?

ก็ตอบว่า แกนนำเขาประเมินกันแร้ว เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของอีกกระทรวง คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งสมัยไอ้ยุทธ ตู้เย็น มันคุมอยู่ มันใช้ลูกจ้างของกระทรวงนี้ไง เป็นขุมกำลังติดอาวุธบุกมาปะทะกับพี่น้องมวลมหาปชช.มาแร้ว

ทีแรก รปภ.เขาก็ปิดประตู แกนนำเราก็เข้าไปเจรจา คุณพี่เสื้อขาวท่านนี้เป็นระดับรองอธิบดี ท่านก็บ่องว่า ท่านไม่มีอำนาจอะไรไปสั่งให้ ขรก.หยุดทำงานได้ แต่ท่านจะให้ประกาศเสียงตามสาย ให้เป็นการสมัครใจของตัวบุคคลจะดีกว่า ทางแกนนำเราก็โอเค แร้วเราก็ขออนุญาตเอารถเข้าไป แร้วก็ขอเข้าไปตรวจดูตามตึกอาคารต่าง ๆ


บรรดา ขรก.ก็ต่างทะยอยกันกลับบ้าน ซึ่งห่ะนั้นก็เป็นเพลาบ่ายคล้อยแร้ว ถ้าทำงานไป ก็เหลือเพลาอีกแค่ไม่เท่าไหร่เอ๊ง



รถเครื่องเสียงก็ขอเข้ามา


พ่อใหญ่ปราศัยอยู่หน้า หน่วยงานวิเคราะห์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งก็ยังมีคนเหลือทำงานอยู่อีกราว ๆ 3-4 คน พวกเราก็ขอเข้าไปให้เลิก ซึ่งก็ได้ผล ไม่นานพวกเขาก็ลงมากัน



ไอ้หน่วยนี้แระ แสบที่สุด คือ กรมอุทยาน เพราะมันไม่ยอมเลิกกัน แถมยังมีคนโผล่หน้ามาด่าอีกตะหาก แกนนำเราก็เรยตบะแตกสวนกลับไปบ้าง ฮะฮะฮะ


แต่ในที่สุด ก็ต้องหยุดไปเหมือนหน่วยงานอื่น ๆ เพลานั้นก็เป็นเพลาจวนจะ 4 โมงเย็นแร้ววววววว

 

26 ก.พ. ปีที่แร้ว

มวลมหาปชช.นัดกันแต่งดำเพื่อไปที่หน้าสตช. เรียกหาความเป็นธรรมให้เด็กน้อยที่เสียชีวิตจากกรณีระเบิดลงที่หน้าบิ๊กซี ราชประสงค์ ห่างจากสตช.ไปเพียงไม่กี่เมตร

มีแต่รูปบนสกายวอล์กทั้งนั้น









ปิดท้ายด้วยรูปน้องนู๋น่ารักตัวนี้ที่เวทีปทุมวันนะจ๊ะ

 

เรื่อง แบ่งแยกแผ่นดิน วันนี้ของปีที่แล้ว แนวรบแดงถอยร่น ทางรอดคือยืนกระต่ายขาเดียว

แม่ทัพภาคที่ 3 สั่งมณฑลทหารบกเชียงใหม่และพะเยา แจ้งความเอาผิดเสื้อแดงในข้อหากบฏ ตามกฎหมายอาญามาตรา 113 และ 114 หลังมีการเคลื่อนไหวชูแบ่งแยกประเทศเป็น สปป.ลานนา พร้อมเรียกประชุมผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ขอความร่วมมือสอดส่องดูแลการกระทำกระทบความมั่นคง จับตา “กลุ่มรักเชียงใหม่ 51” อย่างใกล้ชิด หลัง “เพชรวรรต” ยอมรับพร้อมแยกการปกครองออกมาจริง

วันนี้ (2 มี.ค.) พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงเดินขบวนแห่ธงแดงขาวและชูป้ายผ้า “สปป.ลานนา” ว่า การข่าวดังกล่าวทางกองทัพภาคที่ 3 ได้ดำเนินการตรวจสอบมาโดยตลอด และเมื่อเห็นว่าเข้าข่ายรุนแรงได้สั่งการให้มณฑลจังหวัดทหารบกเชียงใหม่ และมณฑลทหารบกพะเยาไปดำเนินการแจ้งความตามกฎหมายในลักษณะฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ที่ระบุ ว่า ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือแบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต และมาตรา 114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฏ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีหรือสิบห้าปี โดยทางมณทลทหารบกทั้งสองแห่งได้เข้าดำเนินคดีต่อกลุ่ม สปป.ล้านนา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน เมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) ที่ผ่านมา ได้ใช้อำนาจผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกองทัพภาคที่ 3 เรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัดเข้าประชุม เพื่อขอความร่วมมือในการช่วยสอดส่องดูแล และตรวจสอบการดำเนินการใดๆ อันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 17 จังหวัดเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพไม่สามารถสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดได้ เพราะไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง เพียงแต่ขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด และทางกองทัพภาคที่ 3 ได้จับตาดูพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของกลุ่ม สปป.ล้านนา และกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 อย่างใกล้ชิด และจะรายงานความคืบหน้านี้ให้กับผู้บัญชาการทหารบก รับทราบ ในการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ซึ่งจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้ (3 มี.ค.)

“ยืนยันว่าทหารทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่เคยเลือกข้าง แต่การเคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคที่ 3 ของบางกลุ่มที่อาจสร้างความเข้าใจผิดกับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม สปป.ล้านนา ที่มีการตั้งชื่อคล้ายกับการจัดตั้งรัฐใหม่ ซึ่งถือเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา และรัฐธรรมนูญ” พล.ท.ปรีชากล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 มี.ค. นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์คมชัดลึกระบุว่า ประเด็นเรื่องการแบ่งแย่งเป็นประเทศล้านนา หรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลานนา (สปป.ล้านนา) ทางกลุ่มมีการพูดคุยหารือมาเป็นเวลากว่า 6 เดือน และโอกาสที่จะแบ่งแยกเป็นไปได้สูง ตามเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1. การดูถูกความเป็นมนุษย์จากคนอีกกลุ่มในประเทศ 2. การไม่เคารพกฎหมายและมีการเหลื่อมล้ำทางกฎหมายเกิดขึ้น และ 3. ไม่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตย หากวันใดมีการปิดประเทศหรือก่อรัฐประหารขึ้นมา พวกตนก็พร้อมจะแยกตัวออกมา ทั้งนี้ การแยกตัวของ สปป.ล้านนา มิใช่การแบ่งแยกประเทศ แต่เป็นการแบ่งแยกการปกครองเหมือนกับจีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง 1 ประเทศ 3 ระบอบการปกครอง เชื่อว่าหากแบ่งจริงอย่างน้อยประชาชนร้อยละ 80 ของ 8 จังหวัดภาคเหนือ หรือประชาชน 4 ล้านคนจากประชากร 6 ล้านคนในภาคเหนือ จะออกมาแสดงตัวแม้ว่าจะไม่ใช่คนเสื้อแดง จะมีแนวคิดเดียวกันกับเรา

ที่มา http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000024081

 

2 มี.ค. ปีที่แร้ว ตรงกะวันอาทิตย์

เป็นวันที่ีพ่อกำนันตัดสินใจเลิกปิดกรุงเทพฯ ชัตดาวน์บางกอก ยุบเวทีทั้งหมดมารวมกันที่สวนลุมฯ

เพื่อป้องกันอันตรายจากพวกเห้ลอบกัดตอนกลางคืน ที่แม่มมมมมากันทุกคืนเรยยย

ขบวนเริ่มต้น ออกเดิน











ถึงสวนลุมฯแร้วจ้า

 

สีสัน!กระแสคำศัพท์ฮอตใหม่ในม็อบ'สุเทพ'

 

เถกิง สมทรัพย์

14 มีนาคม ปีที่แร้ว

 

18 มีนาคม 2557 มีการเปลี่ยนแม่ทัพนปช. จากคุณธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นคุณจตุพร พรหมพันธ์ นั้น น่าจะเป็นการส่งสัญญาณ

ไปยังฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลว่า สถานการณ์การสู้รบทางการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เกมส์การต่อสู้จะทวี

ความเข้มข้นและรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เห็นได้จากการประกาศของแม่ทัพคนใหม่ที่พร้อมจะชนแบบตา

ต่อตานต่อฟันกับฝ่ายตรงกันข้ามอย่างเข้มข้น ซึ่งท่าทีนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากบรรดาแกนนำฮาร์ดคอร์

และมวลชนคนเสื้อแดงโดยทันที สิ่งนี้เองทำให้อุณหภูมิทางการเมืองสูงขึ้นทันที ซึ่งการเปลี่ยนตัวแม่ทัพฝ่ายเสื้อแดง

และสถานการณ์ที่จะเกิดหลังการเปลี่ยนแม่ทัพของนปช. คงจะถูกคาดการณ์จากฝ่ายตรงข้ามแล้ว เห็นได้จากการ

เปลี่ยนสถานที่ชุมนุม และการฝึกอบรมบรรดาการ์ดของกลุ่ม กปปส. เพื่อพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทางการเมือง

ที่เปลี่ยนไป

 

พวกคนแก่ ชอบ จะคึกความหลัง

เอ่ย ระลึกความหลัง

 

วันนี้มีการตีข่าว รวบมือปืนป๊อบคอร์น
19 มี.ค.57 - รวบแล้วมือปืนป๊อบคอร์น กรณีเหตุการณ์ปะทะบริเวณแยกหลักสี่ หลังหนีกบดานสุราษฏร์ หิ้วเข้ากรุง




สุราษฎร์ธานี - ตำรวจชุดสายสืบนครบาล 2 และตำรวจสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ตามรวบตัวมือปืนป๊อบคอร์นได้แล้ว ขณะย่ามใจเดินอยู่ในตลาดกลางเมืองสุราษฎร์ธานี พร้อมนำตัวเข้ากรุงเทพฯทันที
หลังจากที่ศาลจังหวัดพระโขนง ได้อนุมัติหมายจับนายนิวัฒน์ ยอดประสิทธิ์ หรือ มือปืนป๊อบคอร์น ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น และพกพาอาวุธปืน ล่าสุดวันนี้ (19 มี.ค.)นายนิวัฒน์ ถูกตำรวจสายสืบนครบาล 2 และตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ตามจับกุมได้แล้วในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ขณะที่กำลังเดินอยู่ในตลาดแห่งหนึ่งใกล้ๆกับวัดพัฒนาราม ในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี คาดว่าตำรวจชุดจับกุมได้ควบคุมตัวไปสอบสวนที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 หลังจากหลบหนีมากบดานในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และคิดว่าปลอดภัยที่สุด เนื่องจากเป็นบ้านของญาติภรรยา แต่ก็มาจนมุมถูกตำรวจจับกุมได้ในที่สุด
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า หลังจากที่ตำรวจได้เบาะแสมีการเคลื่อนไหวของมือปืนป๊อบคอร์นในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี กำลังตำรวจนอกเครื่องแบบภาค 1ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.คเชนทร์ คชพลายุกต์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ลงในพื้นที่ทันที และจับกุมได้พร้อมนำตัวไปที่ภาค 1 โดยไม่ได้ประสานขอกำลังตำรวจในพื้นที่แต่อย่างใด เพียงแต่แจ้งให้ทราบเท่านั้น
ความคืบหน้ากรณีตำรวจชุดสืบสวนภายใต้การนำของ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วยผบ.ตร. จับกุม นายวิวัฒน์ ยอดประสิทธิ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ในข้อหา ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ,พาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เรื่องห้ามนำอาวุธปืนออกนอกเคหะสถาน กรณีใช้อาวุธสงครามในเหตุปะทะที่บริเวณแยกหลักสี่ หรือที่เรียกกันว่า "มือปืนปอร์บคอร์น" ล่าสุดตำรวจชุดจับกุมได้สอบสวนผู้ต้องหารายนี้เบื้องต้น ยอมรับสารภาพแล้วว่า เป็นผู้ใช้อาวุธสงครามคลุมด้วยถุงปอร์บคอร์น ยิงปะทะกับฝ่ายตรงข้าม ที่บริเวณแยกหลักสี่ ใกล้กับห้างสรรพสินค้าไอทีแสควร์ ย่านดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เมื่อเร็วๆ นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจับกุมนายวิวัฒน์ ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากตำรวจชุดสืบสวน สืบทราบว่า หลังเกิดเหตุปะทะที่แยกหลักสี่ นายวิวัฒน์ ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และเพิ่งออกจากพื้นที่ชุมนุมไปไม่นาน ตำรวจได้สืบสวนหาข่าวทราบว่า นายวิวัฒน์ มีความสนิทสนมกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในย่านห้วยขวาง เข้าไปชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. เป็นประจำ ตำรวจจึงพยายามติดตามผู้หญิงคนนี้ กระทั่งทราบว่าผู้หญิงคนนี้เดินทางไปยัง จ.สุราษฏร์ธานี ตำรวจชุดสืบสวนจึงติดตามไปกระทั่งพบว่า นายวิวัฒน์ กำลังเดินทางไปที่วัดแห่งหนึ่ง ใกล้กับ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พร้อมกับผู้หญิงรายดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ตำรวจแสดงตัวเข้าจับกุมนายวิวัฒน์ พยายามใช้กำลังต่อสู้ เพื่อหลบหนี แต่ถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ได้ หลังถูกจับกุมนายวิวัฒน์ ยอมรับว่า เป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา และยอมรับว่า เป็นผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนสงครามยิงบริเวณแยกหลักสี่ สาเหตุที่เดินทางมายัง จ.สุราษฎร์ธานี เพราะต้องการมาพักอยู่ที่บ้านของนายสุเมธ ตระกูลวุ่นหนู สมาชิกกลุ่มซีลราชสิทธิ์ ซึ่งร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม กปปส.ร่วมกันมา
ทั้งนี้นายวิวัฒน์ นอกจากจะถูกศาลออกหมายจับกรณีใช้อาวุธสงครามในเหตุปะทะที่แยกหลักสี่แล้ว ก่อนหน้านี้ยังมีหมายจับในคดีครอบครองยาเสพติด ของ สภ.นครไทย จ.พิษณุโลก เมื่อปี 2554 อีกด้วย
ที่มา http://www.nationtv.tv/main/content/politics/378399116/
ในขณะที่ภาพรวมการชุมนุม ความรุนแรงลดลง

 

รวบรวมข้อมูลการชุมนุมก่อนการชัตดาวน์บางกอก

มาจาก นิตยสาร ฅ.คน ในเครือของทีวีบูรพา ฉบับเดือนมกราคม 2557

เผื่อใครที่ยังไม่รู้




- คำว่า "ลุงกำนัน" หรือ "กำนัน" ของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ มาจากการที่สาทิตย์ วงศ์หนองเตย คุยปรึกษากับอัญชะลี ไพรีรัก ว่าจะใช้คำเรียกอะไรดี ไม่ให้ดูเหินห่างจากผู้ชุมนุม อัญชะลีจึงนึกขึ้นได้ว่าคุณสุเทพสมัยก่อนเป็นนักการเมืองเคยเป็นกำนันมาก่อน

- และเมื่อมี "กำนัน" แล้ว ก็ต้องมี "ผู้ใหญ่บ้าน" สาทิตย์ วงศ์หนองเตย หนึ่งใน 9 แกนนำ เลยรับตำแหน่งนี้ไป เลยเป็น "ผู้ใหญ่ตาล" (ตาล คือ ชื่อเล่นของสาทิตย์) หรือ "ผู้ใหญ่บ้านแห่งราชดำเนิน" เพราะเป็นผู้ดูแลกิจกรรมทั้งหมดบนเวทีสมัยที่ยังอยู่ราชดำเนินเป็นหลัก เมื่อมีการเดินรณรงค์ไปตามที่ต่าง ๆ คนอื่นไปกันหมด แต่สาทิตย์ไม่เคยไปเลย

- สมัยที่ยังอยู่ราชดำเนิน ภารกิจอย่างนึงที่ลุงกำนันจะทำทุกเย็นคือ ตรวจตราอาหารการกินต่าง ๆ ของมวลมหาประชาชน โดยมี ลูกหมี-ชุมพล จุลใส รับผิดชอบตรงนี้ ถ้าหากพบว่าหมู เห็ด เป็ด ไก่ มีน้อยกว่าผัก ลูกหมีก็จะโดนด่า ว่า "มึงเอาอะไรมาเลี้ยงคน มึงอย่าให้ชาวบ้านเขาด่ากู... ไอ้ลูกหมี มึงใส่หมูเห็ดเป็ดไก่ลงไปอีก !!!"

- นกหวีด มีจุดเริ่มต้นมาจากเวทีผ่าความจริง ที่ลุงกำนันสังเกตเห็นว่าหลายต่อหลายครั้งที่พูดได้ถูกใจ มันส์ ผู้มาฟังจะไม่ใช่แค่ปรบมือ แต่จะเป่านกหวีดไปด้วย จึงมักมีเสียงนกหวีดแทรกมา จนระยะหลังพ่อค้าแม่ค้าหัวใสเอานกหวีดมาขายด้วย เลยได้รับความนิยมในเวลาไม่นาน

- สัญลักษณ์ธงชาติ หรือ ธงไตรรงค์ คนที่คิดไอเดียนี้ คือ เจิมมาศ จึงเลิศศิริ เนื่องด้วยการชุมนุมครั้งนี้ไม่ต้องการกำหนดสีใด ๆ เป็นสัญลักษณ์อีก ซ้ำยังต้องสลายสีเสื้อต่าง ๆ ด้วยซ้ำ สัญลักษณ์ธงชาติจึงเหมือนความบ่งบอกความเป็นชาติ

- คำว่า "มวลมหาประชาชน" คนที่คิดไอเดียนี้คือ เถกิง สมทรัพย์ ผ.อ.ของสถานีบลูสกายแชนแนล โดยใช้ครั้งแรกในวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่เป็นการนัดชุมนุมใหญ่ (ที่มีการแจกสติกเกอร์นับจำนวนตั้งแต่เลขที่ 1-1,000,000) โดยใช้อินเตอร์ลูปเข้ารายการว่า "มวลมหาประชาชนคนไทยใจเกินล้าน"

- ในครั้งนั้นสติกเกอร์เลขที่ 1 ผู้ที่ได้รับไปคือ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ

- ในการชุมนุม 5 วันแรก ที่จัดขึ้นที่สถานีรถไฟสามเสน ผู้ที่ออกไปดูสถานที่ คือ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และพุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ พบว่าไม่มีสถานที่ไหนเหมาะสมเท่ากับสถานีรถไฟสามเสนอีกแล้ว เพราะเป็นสถานที่กระชับ เนื่องจากประเมินไม่ได้ว่าจำนวนผู้ชุมนุมจะมากน้อยแค่ไหน

- ในการเดินครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน เดิมทีแกนนำไม่ได้คิดที่จะมาปักหลักที่ราชดำเนิน โดยคิดจะเพียงแค่ไปกล่าวคำปฏิญาณตนที่หน้าวัดพระแก้วเท่านั้น แต่ทว่าเมื่อพักเที่ยง พี่น้องมวลมหาประชาชนเรียกร้องกันเข้ามา จึงเปิดประชุมด่วนที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงมีมติให้ยกระดับการชุมนุม โดยมาปักหลักที่ถนนราชดำเนินทันที โดยพาผู้ชุมนุมจากสนามหลวงไปสักการะดวงวิญญาณของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในครั้งนั้นแม้จะฉุกละหุก แต่ก็ได้นักปราศรัยฝีปากเอกอย่าง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และองอาจ คล้ามไพบูลย์ ปราศรัยไปเรื่อย ๆ ดึงเวลา เพราะเวทีใหม่กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลา 2 ทุ่ม แต่ก็ยังติดขัดเรื่องข้าวของของมวลมหาประชาชนที่ตกค้างอยู่ที่สามเสนอีกเป็นจำนวนมาก

- หลักคิดในการจััดเวทีที่ราชดำเนิน ผู้ใหญ่บ้านสาทิตย์ใช้หลักคิด 3 ประการ คือ 1. เป็นเวทีที่ให้ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริงรอบด้านให้ได้มากที่สุด โดยไม่หยาบคาย หรือปราศรัยรุนแรงยุให้ใช้ความรุนแรง 2. เป็นเวทีที่เป็นแนวรบเชิงวัฒนธรรม จึงมีการแสดงและดนตรีเยอะมากทั้งดนตรีไทย หรือดนตรีสากลประเภทต่าง ๆ 3. ต้องมีความสวยงามทางศิลปะ เนื่องจากฉากหลังคือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีความงดงามในตัวอยู่แล้ว

- วันชัตดาวน์บางกอก คือ วันที่ 13 มกราคม แต่แกนนำประชุมในเรื่องนี้กันเมื่อวันที่ 8 มกราคม ก่อนที่จะตัดสินใจประกาศชื่อคีย์แมนทั้งหมด 7 คน ควบคุม 7 เวที อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หลังจากยุบเวทีราชดำเนิน ตรงกับวันชุมนุมที่เริ่มต้นมาได้ 70 วันพอดี (ซึ่งในครั้งแรกแกนนำคาดว่าจะสามารถเผด็จศึกให้ได้ภายใน 7 วัน)

- แกนนำแต่ละคนจะมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป สาทิตย์ วงศ์หนองเตย-รับผิดชอบงานด้านเวที, ชุมพล จุลใส-ดูแลเรื่องอาหารการกินและคุมเวที, ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ-รับผิดชอบงานด้านภาคเวที, พุทธิพงศ์ ปุณณกันต์-รับผิดชอบเมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นมา เช่น ดูแลผู้บาดเจ็บ, อิิสสระ สมชัย และัวิทยา แก้วภารดัย-รับผิดชอบงานด้านเวที, สกลธี ภัททิยกุล-เป็นเลขาฯ, เอกนัฏ พร้อมพันธุ์-รับผิดชอบงานด้านโฆษก ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ, ถาวร เสนเนียม-รับผิดชอบงานด้านการเคลื่อนมวลชน

- แกนนำทุกคนได้ปรึกษากับครอบครัวเีรียบร้อยแล้วก่อนที่จะลาออกกันมานำการต่อสู้อย่างเต็มที่ หลายครอบครัวจึงมากันทั้งครอบครัวดั่งที่เห็น เช่น ปุณณกันต์ หรือ ทีปสุวรรณ