สปท.มีมติ 136- 3 ชงคำถามพ่วงประชามติให้รัฐสภาเลือกนายกฯคนนอกได้ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีหลัง ที่มีรธน.มีผลบังคับใช้ วันนี้ ( 1 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาเสนอประเด็นคำถามหรือความเห็นของสปท. ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อประกอบคำถามที่จะส่งให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในการออกเสียงประชามติเพิ่มเติม โดยมีร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท.ทำหน้าที่ประธาน ร.อ.ทินพันธ์ กล่าวชี้แจงในที่ประชุมว่า มีสมาชิกเสนอญัตติมา 2 ญัตติ คือ 1.ขอให้สปท.พิจารณาคำถามหรือความเห็นต่อสนช.เพื่อประกอบพิจารณาตั้งคำถามประชามติว่า ขอให้พิจารณาการตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ที่เสนอโดยพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สปท. และ2.ขอให้สปท.พิจารณาคำถามหรือความเห็นต่อสนช.เพื่อประกอบการตั้งคำถามประชามติว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ใน 5 ปีแรก นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ ให้นายกรัฐมนตรีมาจากความเห็นชอบของรัฐสภา ที่เสนอโดยนายวันชัย สอนศิริ สปท. ก่อนเข้าสู่การเสนอญัตติ มีสมาชิกจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยที่ สปท. ตั้งคำถามประกอบการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่า สปท.ไม่ได้มีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น นายนิกร จำนง สมาชิก สปท. ลุกขึ้นอภิปรายว่า ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 57 ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมล่าสุด ที่ส่งมาให้สนช.พิจารณาก็ไม่ได้มีเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แต่ที่สุดก็มีการแก้ไขให้สปท.สามารถตั้งคำถามได้ ทั้งนี้ ด้านหนึ่งมองว่าเป็นการให้เกียรติสปท. แต่อีกด้านเห็นว่า อาจทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่จบ เพราะทุกวันนี้ (1เม.ย.) ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่หากมีคำถามอาจทำให้ต้องกลับไปแก้รัฐธรรมนูญอีกก็ได้ “สปท.อาจจะเป็นเพียงหนังหน้าไฟจากการตั้งคำถาม เพราะเมื่อตอนรัฐบาลส่งความเห็นมาให้กรธ. เพื่อปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป็นความเห็นแม่น้ำ 4 สาย ผมก็เป็นหนึ่งในสมาชิกแม่น้ำสายหนึ่ง ที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย”นายนิกร กล่าว ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ สมาชิกสปท. อภิปรายว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถาม เพราะการตั้งคำถามอาจนำไปสู่เป้าหมายทางการเมือง เพื่อให้คนนอกมาเป็นนายกฯ และมอบอำนาจให้สว.แต่งตั้งมีสิทธิ์เลือกนายกฯคนนอกที่ไม่ได้เป็นสส.ได้ ทั้งที่ในร่างรัฐธรรมนูญระบุแล้วว่าคนนอกสามารถเป็นนายกฯได้ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าควรยึดโยงกับประชาชน โดยการทำประชามติควรมุ่งไปที่เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ จึงอยากขอวิงวอน หากจะทำอะไรก็ควรคิดถึงปัญหาบ้านเมืองในอนาคตด้วย จากนั้น พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวเสนอญัตติว่า ส่วนตัวได้สอบถามสมาชิกหลายท่านบอกว่า ญัตตินี้เป็นคำถามเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ เพราะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับสังคม และเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ไม่สร้างความแตกร้าว ที่สำคัญไม่เป็นคำถามที่มีลักษณะในการเปลี่ยนแปลงร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้น คิดว่าต้องหาแนวทางสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งการยึดอำนาจ และการร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ดี แต่ทั้งสองเรื่องไม่ได้นำไปสู่ประเทศที่เจริญพัฒนา ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความพยายามสร้างความปรองดอง แต่พอมีรัฐบาลเข้ามาก็ไม่ได้ดำเนินการต่อ เมื่อดูร่างรัฐธรรมนูญทั้ง279 มาตรา ยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีและครอบคลุม แต่สิ่งที่ไม่พบในร่างรัฐธรรมนูญ คือ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จึงได้เสนอคำถามนี้ และเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ก็ควรมีการตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ หรืออาจจะตั้งชื่ออื่น ๆ ที่เป็นทางการภายหลัง “ผมเสนอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการ ให้มีคณะกรรมการชุดนี้เป็นผู้ดำเนินการ มีหน้าที่ศึกษาปัญหาข้อเสนอแนะต่างๆต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น ๆ”พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าว ด้านนายวันชัย กล่าวเสนอญัตติว่า การเสนอญัตติเพื่อประกอบการพิจารณาคำถามประชามติ ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย จะต้องไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเหมือนก่อนเหตุการณ์รัฐประหารเข้ามาอีก สว.สรรหา 250 คน มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ไม่ให้รัฐบาลมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ง่าย ๆ รวมทั้งมีหน้าที่ติดตามการเดินหน้าปฏิรูป ดังนั้น ถ้าสว.250 คน มีส่วนร่วมในการหานายกฯ ช่วยดูว่า นายกฯคนไหนไม่ฉลาด ประวัติไม่ค่อยดี จะทำให้คอยช่วยกันดู “ถ้าเราสามารถช่วยกันดูแลประคับประคอง ฝ่ายการเมืองที่มาจากภาคประชาชนจะได้เห็นว่า เรื่องการปฏิรูปนั้นสำคัญ เพราะสว.สรรหามีส่วนร่วมในการเลือกนายกฯเข้ามา ดังนั้น ญัตตินี้ถือว่า เป็นการแก้วิกฤติของประเทศได้จริง เพราะคนที่จะมาเป็นนายกฯ ถูกเลือกจากคนที่มาจากการสรรหาในหลายวิชาชีพกับฝ่ายเลือกตั้ง โดยร่วมกันดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติ ถือเป็นบรรยากาศที่สวยงาม จะทำให้เราได้รับช่วงเปลี่ยนผ่านที่เรียบร้อย แม้ไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบอย่างประเทศสากล แต่คำถามนี้คำถามเดียวจะครอบคลุมไปถึงญัตติแรก เพราะถ้าเราร่วมกันก็จะนำไปสู่ความปรองดองได้”นายวันชัย กล่าว จากนั้น ที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุนญัตติของนายวันชัย อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน และนายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิก สปท. เพราะเห็นว่าประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี แรกจะต้องมีกลไกควบคุมการทำงานของรัฐบาล จึงเห็นว่าสว.ควรมีอำนาจในการดูแลและติดตามการทำงานของนายกฯจะช่วยให้ประเทศเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้ ก่อนที่ประชุมมีมติว่า ให้ส่งญัตติของนายวันชัยไปยังสนช.เพียงญัตติเดียว ด้วยคะแนน 136 : 3 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 1 จากนั้น ร.อ.ทินพันธุ์ได้สั่งปิดประชุมในเวลา 18.15 น.
อย่างนี้ ไอ้แม้วก็จ๋อยอะดิ ไม่ได้เป็นนายกแล้ว เพราะเค้าไม่ได้กำหนดให้คนนอกสัญชาติไทยเป็นนายกได้ คงต้องไปเป็นนายก มอนเตรเนโกร