- สส. ปาร์ตี้ลิสต์ ให้แต่ละพรรคส่งตัวแทนพรรคได้ไม่เกิน 3 คน โดยให้มีรายชื่อในลำดับแรก - สส. ปาร์ตี้ลิสต์ที่เหลือ คิดจาก ผู้ที่ได้คะแนนเลือกตั้งเขต เป็นลำดับที่ 2 หรือ 3 - แยกเป็นพรรค จัดเรียงลำดับตาม % คะแนนที่ประชาชนลงให้ภายในเขตของตัวเอง จากมากไปหาน้อย - เอาคะแนนที่เลือกพรรค มาจัดแบ่งโควตาตามสัดส่วน เอาให้ครบตามจำนวน ++ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ ก็จะยึดโยงกับประชาชน ไม่ใช่ให้พรรคการเมืองเลือกให้ ++ เสียงส่วนน้อยก็มีค่า เขตไหนคะแนนสูสี ก็มีโอกาสได้เป็น สส. คู่ คานอำนาจกัน แต่จะให้ดี ถ้าให้ สส. ทุกประเภท ทำหน้าที่นิติบัญญัติอย่างเดียว ++ 3 ลำดับแรก สำหรับหัวหน้าพรรค และที่เหลือคงต้องคัดเลือกตัวจี๊ดมา คงไม่บ้าส่งคนอย่างตู่ เต้น เหวง เป็ดเหลิม และคนอย่างจ่าประสิทธิมา ใช่ม่ะ?? แนวคิดนี้ พอเป็นไปได้มั๊ยครับ??
ก็งงเหมือนกัน แต่ดูแล้วเหมือนว่าจะดึงปาร์ตี้ลิสต์ลงมาในระดับเขต หรือในระดับจังหวัด ซึ่งผมคิดว่าเป็นไปได้ อย่างน้อยไอ้ตู่ก็ต้องไปลงลิสต์ที่ กทม. หรือ จ.บ้านเกิด ไม่ได้มาเกาะรวมก้อนใหญ่ อันนี้คือมีปาร์ตี้ปาร์ตี้ลิสต์อย่างเดียวน่ะ ส่วนจะเก็บตกคะแนนที่ยังไม่ได้ สส.ยังไงค่อยคิดกันอีกที
งง ข้อย่อย แต่ก้อทำให้พรรคฯไม่สามารถกำหนดเกณฑ์คนแบบเก่งแต่สภาโจ็ก มาเล่นจำอวดในสภาผู้แทนฯได้ระดับหนึ่ง
สส ปาร์ตี้ลิส ของเดิมมันเป็นการเลือกพรรคการเมืองมากกว่า เป็นคะแนนนิยมของพรรคการเมืองที่เอามาเฉลี่ยออกมาเป็นจำนวน สส ตามสัดส่วนคะแนนที่ได้ เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองจะนำใครเข้าไปอยู่ในปาร์ตี้ลิส มันก็ไม่มีผลต่อการเลือก เพราะมันเป็นการเลือก พรรค ไม่ใช่เลือก คน แต่ถ้าเราไปกำหนดให้เป็นการเลือกตัวบุคคล มันก็อาจไปซ้ำซ้อนกับการเลือก สส เขต อีกนั่นแหละ ซึ่งการเลือกลักษณะนี้ มันจึงเป็นโอกาสของพรรคการเมืองบางพรรคนำ สส ประเภทไร้คุณภาพเข้ามาไว้ในปาร์ตี้ลิส เพราะอาจประเมินแล้วว่าถ้าส่งไปลงสมัครแบบเขตเลือกตั้งอาจไม่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นวิธีคิดที่ต่างกับคนร่างรัฐธรรมนูญโดยสิ้นเชิง เพราะเท่าที่ฟังเหตุผลจากผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เห็นบอกว่า มันมีคนดี ๆ เก่ง ๆ ที่เขาไม่ถนัดในการออกไปเดินหาเสียง เราน่าจะให้โอกาสเขาเข้ามาทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติบ้าง โดยให้เขาเข้ามาสมัครอยู่ในปาร์ตี้ลิสของแต่ละพรรค แล้วผลมันก็ได้อย่างที่เห็น ๆ นั่นแหละ เรื่องเหล่านี้ผมมองว่า มัน "เพี้ยน" มาจากการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เคยคิดแก้ไข อย่างการเลือกพรรคแต่ออกมาเป็นคน และ เลือกฝ่ายนิติบัญญัติแต่ออกมาเป็นฝ่ายบริหาร เมื่อเริ่มต้นมัน "เพี้ยน" แล้ว เดินต่อไปยังไงมันก็ "เพี้ยน"
งง ตรงไหนอ่า?? ก็ประมาณว่า หากตู่คางคกลง สส. เขตกรุงเทพฯ แข่งกับคุณอภิสิทธฺ์ อภิสิทธิ์ได้รับเลือกเป็น สส. เขต ชนะขาดลอย ส่วนตู่มีโอกาสจะได้เป็น สส. ในปาร์ตี้ลิสต์ แทน แต่คะแนนห่างเกินไป สมมุติมีประชาชนเลือกคิดเป็น 1% คุณตู่จะมีรายชื่อเป็นอันดับท้ายๆ ในปาร์ตี้ลิสต์ โอกาสได้เป็น สส. จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย ในขณะเดียวกัน คุณอี้แทนคุณ แข่งกับหนูเก่ง ทารุณ คะแนนสูสี คุณอี้ชนะได้เป็น สส. เขต ส่วนคุณเก่ง ทารุณ ที่ได้เป็นอันดับ 2 ไปลุ้นเป็น สส. ปาร์ตี้ลิสต์แทน โดยจะได้เป็นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าประชาชน(ทั้งประเทศ) เลือกพรรคเพื่อไทยมากแค่ไหน >>> โควตาจำนวน สส. ปาร์ตี้ลิสต์ และประชาชนใน(ในเขต) ไว้วางใจแค่ไหน >>>> ลำดับที่ในปาร์ตี้ลิสต์ (คิดจาก % ประชาชนในเขตที่ลงคะแนนให้) เช่น เขตดอนเมืองมีคนเลือกเก่ง ทารุณ จำนวน 49% ดังนั้นจะส่งผลให้ คุณเก่ง มีโอกาสได้มีรายชื่อเป็นลำดับแรกๆ ในปาร์ตี้ลิสต์ และมีโอกาสได้เป็น สส. แบบปาร์ตี้ลิสต์สูง
แนวคิด เลือกตั้ง สส และการจัดตั้งรัฐบาล 1. การเลือกตั้ง สส - สส ทั่วประเทศ 300 ที่นั่ง - การเลือกตั้ง เขตเดียว(ทั่วประเทศ) กาได้เบอร์เดียว - พรรคการเมืองส่งผู้สมัคร เรียงตามหมายเลขผู้มีสิทธิ์ได้เป็น สส - พรรคการเมืองต้องประกาศ ว่าที่ชิงนายกเพื่อโหวตในรัฐสภา - พรรคการเมืองต้องประกาศ รายชื่อเป็นว่าที่รัฐมนตรี - พรรคการเมืองต้องชี้แจงนโยบายต่อ กกต เป็นรายลักษ์อักษร - การได้มาของ สส คิดตามสัดส่วนของคะแนน - พรรคการเมืองต้องวางมัดจำเงินประกัน 10 ล้านบาทต่อพรรค - พรรคการเมืองไหน? มีคะแนนน้อยกว่า 3% ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้ยุบพรรค และยึดเงินประกัน - ไม่มีเลือกตั้งในต่างประเทศ - ไม่มีวันเลือกตั้งล่วงหน้า 2.การจัดตั้งรัฐบาล - นายก ต้องเป็น สส - นายก ต้องโหวตในรัฐสภา ตามรายชื่อพรรคการเมืองที่ประกาศไว้ - นายก ประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ได้อย่างเดียว(ไม่มีการลาออก) - นายก อยู่วาระไม่เกิน 3 ปี - รัฐมนตรี ไม่ได้เป็น สส - รัฐมนตรี ต้องตามรายชื่อพรรคการเมืองที่ประกาศไว้(พรรคหลัก พรรคร่วม)
เข้าทีนะคะ ใครจะซื้อเสียงเพื่อเป็นสส. คงต้องคำนวนกันดีๆเลยเชียว อยากให้เลือกตั้งนายกค่ะ แยกสส.ออกไปเลย ไปทำหน้าที่นิติบัญญัติอย่างเดียว ไม่ต้องมายุ่งกับการบริหาร แต่ให้อภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ส่วนเรื่องถอดถอนให้เป็นหน้าที่ของปชป. หรือสว. ไป
ตามความคิดผม จะปกครองระบอบอะไร เลือกตั้งแบบไหนผมไม่สน ขอแต่ว่าผู้ที่ได้อำนาจบริหาร มีฝีมือ เห็นแก่ประเทศมากกว่าตนเองและพวกพ้อง ผมก็พอใจแล้วละครับ แต่อุปสรรคที่สำคัญในความคิดของผม ที่ทำให้เราได้คนไม่ดีมาบริหารประเทศ คือ ระบบอุปถัมภ์ ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ทำให้เราติดกับดักตัวเอง จะคิดวิธีไหนที่จะได้คนดีมาบริหารประเทศ มันเลยยากเย็นเข็ญใจ และในความคิดผมระบบอุปถัมภ์ มันแพร่กระจายจนทั่วเมืองไทยเพราะ เริ่มจากข้าราชการไม่ยอมทำงานแบบตงฉิน เห็นแก่เงิน ลาภยศ พวกพ้อง นานๆเข้ามันก็ซึมลึกจนยากจะแก้ไข ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เลยเลือกคนที่ช่วยเขาได้(ดี-เลวไม่เกี่ยว) ไม่ใช่ช่วยประเทศได้ การแก้ปัญหาประเทศ ให้ตรงจุดที่สุดต้องเริ่มแก้ที่ระบบยุติธรรม เป็นอันดับแรก