สุนทรพจน์ของ Chief Seattle ค.ศ.1857 หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงได้กล่าวสุนทรพจน์เป็นการตอบข้อเรียกร้องจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ขอซื้อดินแดนจากเผ่าอินเดียนแดง สุนทรพจน์นี้มีความหมายลึกซึ้งและคมคายมากจนได้รับการยกย่องว่า “เป็นการบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่ประทับใจที่สุดเท่าที่เคยปรากฎ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน” ขณะปัจจุบัน เอกสารฉบับนี้ได้รับการเก็บรักษาเอาไว้ในกรุงวอชิงตัน ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ หัวหน้าเผ่าซีแอตเติลกล่าวไว้ว่า… หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอชิงตันได้แจ้งมาว่า เขาต้องการที่จะซื้อดินแดนของพวกเรา ท่านหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ยังได้กล่าวแสดงความเป็นมิตร และความมีน้ำใจต่อเราอีกด้วย นับเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง เพราะเรารู้ดีว่า มิตรภาพจากเรานั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรสำหรับเขาเลย แต่เราพิจารณาข้อเสนอของท่านเพราะเรารู้ว่า ถ้าเราไม่ขาย พวกคนขาวก็อาจจะขนปืนมายึดดินแดนของพวกเราอยู่ดี แต่ท้องฟ้าและความอบอุ่นของแผ่นดินนั้น เขาซื้อขายกันได้อย่างไร ความคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเรา หากความสดชื่นของอากาศและความใสสะอาดของธารน้ำนั้น มิได้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเราแล้ว ท่านจะซื้อสิ่งเหล่านี้ไปจากเราได้อย่างไร ทุกส่วนของแผ่นดินนี้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ต่อชนเผ่าของเรา ใบสนทุกใบ หาดทรายทุกแห่ง ป่าไม้ ทุ่งโล่ง และแมลงเล็กๆ ทุกตัว คือความทรงจำ คือประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์เรา อดีตของชาวอินเดียนแดงนั้น ไหลซึมวนเวียนอยู่ในยางไม้ทั่วทั้งป่านี้ วิญญานของคนขาวนั้นไม่มีความผูกพันกับถิ่นกำเนิดของเขา แต่วิญญานของพวกเราไม่มีวันรู้ลืมแผ่นดินอันแสนงดงาม และเปรียบเสมือนเป็นแม่ของชาวอินเดียนแดง เราเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน และแผ่นดินก็เป็นส่วนหนึ่งของเราเช่นกัน กลิ่นหอมของดอกไม้นั้น เปรียบเสมือนพี่สาวน้องสาวของเรา สัตว์ต่างๆ เช่น กวาง นกอินทรี คือพี่น้องของเรา ขุนเขาและความชุ่มชื้นของทุ่งหญ้า และไออุ่นจากม้าที่เราเลี้ยงไว้ ก็คือส่วนหนึ่งของครอบครัวเราเช่นกัน ดังนั้น การที่หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอชิงตันขอซื้อดินแดนของเรา จึงเป็นข้อเรียกร้องที่ใหญ่หลวงนัก หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แจ้งมาว่า เขาจะจัดที่อยู่ใหม่ให้พวกเราอยู่ตามลำพังอย่างสุขสบาย และเขาจะทำตัวเสมือนพ่อ และเราก็จะเป็นเหมือนลูกๆของเขา ดังนี้ เราจึงจะพิจารณาข้อเสนอที่ท่านขอซื้อแผ่นดินของเรา แต่ไม่ใช่ของง่าย เพราะแผ่นดินนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา กระแสน้ำระยิบระยับ ที่ไหลไปตามลำธารแม่น้ำและทะเลสาบที่ใสสะอาดนั้น เต็มไปด้วยอดีตและความทรงจำของชาวอินเดียนแดง เสียงกระซิบแห่งน้ำคือเสียงของบรรพบุรุษของเรา แม่น้ำคือสายเลือดของเรา เราอาศัยเป็นทางสัญจร เป็นที่ดับกระหาย และเป็นแหล่งอาหารสำหรับลูกหลานของเรา ถ้าเราขายดินแดนนี้ให้ท่าน ท่านจะต้องจดจำและสั่งสอนลูกหลานของท่านด้วยว่า แม่น้ำคือสายเลือดของเราและท่าน ท่านจะต้องปฏิบัติกับแม่น้ำเสมือนเป็นญาติพี่น้องของท่าน ชาวอินเดียนแดงมักจะหลีกทางให้กับคนผิวขาวเสมอมา เหมือนกับหมอกบนขุนเขาที่ร่นหนีแสงแดดในยามรุ่งอรุณ แต่เถ้าถ่านของบรรพบุรุษของเรา เป็นสิ่งซึ่งเราสักการะบูชา และหลุมฝังศพของท่านเหล่านั้นเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับเทือกเขาและป่าไม้ เทพเจ้าประทานแผ่นดินส่วนนี้ไว้ให้กับพวกเรา เรารู้ดีว่าคนผิวขาวไม่เข้าใจวิถีชีวิตของเรา สำหรับเขาแล้ว แผ่นดินไหนๆ ก็ตามก็เหมือนกันหมด เพราะพวกเขาคือคนแปลกถิ่นที่เข้ามากอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากได้ คนผิวขาวไม่ได้ถือว่าแผ่นดินเป็นเลือดเนื้อของเขา แต่เป็นศัตรู และเมื่อเขาเอาชนะได้แล้วเขาก็จะทิ้งแผ่นดินนั้นไป แล้วก็ทิ้งเถ้าถ่านเอาไว้เบื้องหลังอย่างไม่ใยดี เถ้าถ่านบรรพบุรุษและถิ่นกำเนิดของลูกหลาน ไม่มีอยู่ในความทรงจำของพวกคนผิวขาว เขาปฏิบัติต่อผู้ให้กำเนิด ญาติพี่น้อง แผ่นดิน และท้องฟ้า เสมือนสิ่งของที่มีไว้ซื้อขายได้ มันเป็นราวกับฝูงแกะหรือสายลูกประคำ ความหิวกระหายของคนผิวขาวจะสูบความอุดมสมบูรณ์จากแผ่นดิน และเหลือไว้แต่ทะเลทรายอันแห้งผาก ข้าฯไม่เข้าใจ เพราะวิถีชีวิตของเรานั้นต่างกับของท่าน สภาพบ้านเมืองท่านเป็นสิ่งที่บาดตาของชาวอินเดียนแดง แต่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเราเป็นคนป่าเถื่อนและไม่รู้จักอะไร ในบ้านของคนผิวขาวไม่มีที่ใดเลยที่เงียบสงบ ไม่มีที่ที่จะได้ฟังเสียงใบไม้พัดด้วยกระแสลมในฤดูใบไม้ผลิ หรือเสียงปีกแมลงที่บินไปมา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกข้าฯเป็นคนป่าเถื่อนไม่รู้จักอะไร เสียงในเมืองทำให้รู้สึกแสบแก้วหู ชีวิตจะมีความหมายอะไร เมื่อปราศจากเสียงนกและเสียงกบเขียดร้องโต้ตอบกันในยามค่ำคืน ข้าฯ เป็นอินเดียนแดง ข้าฯ ไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ชาวอินเดียนแดงรักที่จะอยู่กับเสียงและกลิ่นของสายลม ฝนและกลิ่นไอของป่าได้ “ท่านต้องสอนให้ลูกหลานของท่านให้รู้ว่า แผ่นดินที่เขาเหยียบอยู่ คือ เถ้าถ่านของบรรพบุรุษของเรา เพื่อเขาจะได้เคารพแผ่นดินนี้ บอกลูกหลานของท่านด้วยว่า โลกนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยชีวิต อันเป็นญาติพี่น้อง ของพวกเรา สั่งสอนลูกหลานของท่าน เช่นเดียวกับที่เราสอนลูกหลานของเราเสมอมาว่า โลกนี้ คือ แม่ ของเรา ความวิบัติใดๆ ที่เกิดขึ้นกับโลก ก็จะเกิดขึ้นกับเราด้วย หากมนุษย์ถ่มน้ำลายรดแผ่นดิน ก็เท่ากับมนุษย์ถ่มน้ำลายรดตัวเอง เรารู้ดีว่า โลกนี้ไม่ได้เป็นของมนุษย์ แต่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่ง ของโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีส่วนสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับสายเลือด ที่สร้างความผูกพันใน ครอบครัว ทุกสิ่งทุกอย่าง มีส่วนผูกพันต่อกัน ความวิบัติที่เกิดขึ้นกับโลกนี้ จะเกิดขึ้นกับมนุษย์เช่นกัน มนุษย์มิได้ เป็นผู้สร้างเส้นใย แห่งมวลชีวิต แต่มนุษย์เป็นเพียงเส้นใยเส้นหนึ่งเท่านั้น หากเขาทำลายเส้นใยเหล่านี้.. เขาก็ทำลายตัวเอง” ------------------------------------------------------------------------------------------- แปลโดยคุณพิสิษฐ์ ณ พัทลุง http://www.happinessisthailand.com/2014/07/เมื่อธรรมชาติถูกปิดป้า/#more-356
อินเดียนแดง ชนเผ่าผู้ทรนง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการกำหนดขยายดินแดนของชาวอเมริกันทำให้เกิดการขยายตัวของพลเมือง และการขับไล่ชาวอินเดียนแดงออกไปอยู่บริเวณส่วนตะวันตกของประเทศ โดยชาวอินเดียนแดงกว่าหนึ่งแสนคนได้ถูกย้ายไปอยู่บริเวณตะวันตก ถึงแม้ว่าการย้ายถิ่นฐานที่ลงในลายลักษณ์อักษรปรากฏในกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จะเป็นการย้ายตามการสมัครใจ แต่ในทางปฏิบัติชาวอินเดียนแดงหลายเผ่าได้ถูกบังคับให้ย้ายและบังคับให้มีการเซ็นสัญญา ทำให้เกิดมีข้อขัดแย้ง ที่เรียกว่า สงครามอินเดียนแดง เกิดขึ้นหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา และเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2419 ทางการสหรัฐได้ออกคำสั่งให้ชาวอินเดียนแดงทั้งหมดถูกสั่งให้ย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในเขตสงวนอินเดียนแดง ในปัจจุบันชาวอินเดียนแดงยังมีการอาศัยปะปนการชาวอเมริกัน และบางส่วนได้เข้ารับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยร่วมกับชาวอเมริกันทั่วไป จากประวัติศาสตร์การสู้รบอันขมขื่นของผู้เป็นเจ้าของทวีปอเมริกามา2000 กว่าปี ที่ต้อง “ลุกขึ้นมาต่อสู้กับคนขาวที่เข้ามารุกรานแย่งชิงดินแดนของพวกเขา” นักรบอินเดียนแดงเผ่าแล้วเผ่าเล่าต่างยืนหยัดต่อสู้ผู้บุกรุก สงครามแต่ละครั้งทำให้อินเดียนแดงต้องสูญเสียทุกสิ่งลงไปเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงแน่วแน่ในจิตวิญญาณของพวกเขาคือ ความรักและความเคารพต่อผืนแผ่นดิน แผ่นฟ้ากว้างใหญ่ผืนป่าทุ่งหญ้าที่เป็นแหล่งของปัจจัยในการดำรงชีวิต มิใช่หวงแหนในฐานะเจ้าของที่ครอบครอง แต่ในฐานะที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หาใช่ในฐานะเจ้าของธรรมชาติ ที่ได้รับอากาศเพื่อหายใจเฉกเช่นเดียวกับต้นหญ้า อยู่ใต้แสงแห่งดวงตะวันที่ทาบทอท้องทุ่งในตอนเที่ยงวัน เช่น ฝูงควาย กวาง และสัตว์ป่าชนิดต่างๆ http://board.postjung.com/735502.html --------------------------------------------------------------------------------------------------- ทาสนิโกร และ ชนเผ่าอินเดียนแดง คือหลักฐานในอดีต ที่บอกถึงการกระทำ ที่โหดร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จริงครับ จำได้ว่าหนังคาวบอยสมัยก่อน เนื้อเรื่องแนวบุกเบิกดินแดนใหม่ การพจญภัย ชอบสร้างให้อินเดียแดงโหดร้ายเป็นตัวโกงโดยสมบูรณ์ ประมาณว่ายิงก่อน ถามทีหลัง ทั้งที่พวกตัวเอกล้ำไปในถิ่นของเขา จะมีฉากประเภทรถม้าหรือขบวนคาราวานโดนอินเดียแดงโจมตีบ่อยมาก แต่หนังคาวบอยยุคต่อมาค่อนข้างจะเอาใจ? หรือกระแดะ หรือให้พระเอกดูเท่ก็ไม่รู้ พระเอกมักมีเพื่อนหรือไม่ตัวเองก็เรียนรู้วิถีของอินเดียแดง มักมีการเตือนก่อนโจมตี และยอมเจรจาขอผ่านทางในตอนหลัง
อิ...อิ...แต่ผมก็เป็นคน "เกลียดตัว กินไข่"นะครับ ชอบอ่านนิยายคาวบอย(ของหลุยส์ ลามูร์) ชอบอ่านหนังสือตลกร้าย(ของริชาร์ด เพาเวลล์) ชอบเพลงคันทรี่เก่าๆ
เมื่อก่อนผมก็ชอบครับ เพราะลุงผมนี้ชอบแนวนี้ซื้อเก็บไว้ ก็เลยได้ดูบ่อย แต่หลังๆวุ่นประกอบกับไม่ค่อยมีแนวนี้ออกมาก็เลยลืมไปแล้ว และผมก็เข้าใจว่าเป็นแค่สื่อบรรเทิง ไม่ใช่สารคดีหรือโฆษณาชวนเชื่อ ผมขำประโยคหนึ่งที่มักใช้ในหนังหรือหนังสือคาวบอย สมัยเด็กก็ไม่เท่าไหร่ พอโตมาก็รู้สึกขำ ในหนังคาวบอย มักมีประโยคพูดว่า "เราเข้ามาในอาณาเขตของพวกอินเดียแดงแล้ว" หรือประมาณ "เราอยู่ในเขตของพวกอาปาเช่" คือจริงๆ พวกเอ็งนะก็อยู่ในบ้านเขาตั้งแต่เริ่มเรื่องแล้ว
เป็นสุนทรพจน์ที่งดงามมากที่สุดจริงๆ พวกนักวิชาการร่านๆ ที่แข่งกันออกทีวีวิเคราะห์เหตุการณ์บ้านเมืองกันทั้งหลายจะเข้าใจมั่งรึเปล่านะ
ลองซื้อหนังสือแปล ตลกร้าย ของริชาร์ด เพาเวลล์ ให้ลุงคุณอ่านดูซิครับ(คุณลองอ่านก่อนก็ได้) เป็นหนังสือเก่าคงต้องหาตามร้านขายหนังสือมือสอง เอาที่"เทศภักดิ์ นิยมเหตุ"แปลนะครับ สนุกเกือบทุกเรื่อง อ่านๆไปคุณจะหัวเราะ หึ..หึ..อยู่ในลำคอ ลองเรื่อง"ฟ้าใหม่ในซานมาร์โค" ก่อนก็ได้ แล้วจะติดใจ เลือกเอาดูนะครับ ตามลิงค์นี้ มีแฟนพันธุ์แท้คุณเทศภักดิ์อยู่หลายคน http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/08/K6883608/K6883608.html
ผมมีทุกเล่มของคุณเทศภักดิ์ นิยมเหตุ. หายไปหนึ่งเล่ม คือ แผ่นดินนี้เราจอง ไม่รู้ใครจิ๊กไปแล้วไม่คืน โทรไปถามที่สำนักพิมพิ์ ตอนนี้หมด
สุนทรพจน์จับใจเหลือเกิน แต่นับวันจะมีคนเข้าใจน้อยลง ถ้าเอาไปให้ปัญญาชนแถวท่าพระจันทร์อ่าน เขาคงไล่ให้หัวหน้าเผ่าไปลงสมัครรับเลือกตั้งก่อน
ดีใจจัง ที่เจอคนคอเดียวกัน ที่บ้านพี่ๆน้องๆชอบอ่านหนังสือ กันเกือบทุกคน ยืมกันไป ยืมกันมา เลยตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใคร เรื่องนี้"แผ่นดินนี้เราจอง" มีคุณกาญจนา นาคนันท์ เขียนเลียนแบบด้วย ให้ชื่อว่า"ธรณีนี่นี้ ใครครอง" http://www.booksonline.in.th/product.php?productid=3325
ทีตัวเองด่าพันธมิตรปิดสนามบิน ทีตัวเองทำเป็นขุดอดีต จริงบ้างเท็จบ้างแต่ส่วนใหญ่เท็จ ไดโนเสาร์หว่ะ ก๊ากกกกกกกกกกกกกก
เวลาคุณเจอใคร คุณจะรู้ได้ไงว่า คนที่คุณเจอเป็นคนอย่างไร ถ้าคุณไม่มองจากพฤติกรรมในอดีตของเขา หรือคุณนั่งทางในก็รู้ได้หมดทุกอย่าง
เป็นไปได้ครับ ป่าช้าใช้วิชาที่เรียนจากทำมี่นะจ๊ะที่สืบทอดจากแม่ชีปัดระเบิด นั่งสมาธิแล้วเห็นอนาคตครับ
อ้าวไดโนเสาร์หว่ะ พฤษภาทมิฬที่ไอ้ตู่หนีก่อนเพื่อนนะเหรอ ที่เจ้าพ่อปชต.ยืนกุมเป้า ไม่มีบิ๊กจ๊อดไม่มีไทยคมนะเหรอ ว่าแต่ทหารตอนนั้นชื่ออะไรเหรอ บอกหน่อยสิป่าช้า