ฮะ ผมเห็นด้วยครับ เพียงแต่ผมเคยเจอคนแบบนี้หลายคนกับญาติตัวเองก็เจอ คือมีนิยามความดีต่างกันไปตามใจตัวเองชอบ ที่เจอส่วนมากคือ "ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ" ทำให้ขณะเดียวกันก็ไม่สนใจคนอื่นเลยกลายเป็นคนใจดำไป เพราะคิดว่าคนอื่นเดือดร้อนไม่ใช่ความผิดตน จะช่วยหรือไม่ช่วยก็ได้
อันนี้แหละที่เป็นปัญหา เพราะคิดว่าศาสนายังสอนเรื่องของคนดีไม่เหมือนกันเลย ผมว่าไอ้ที่คิดว่าทำการใดๆ แล้วคนอื่นไม่เดือดร้อน บางทีก็เป็นแนวคิดของคนเห็นแก่ตัวนะ แปลไทยเป็นไทยจากที่คุณ Alamos บอกได้ว่า ไอ้ที่กลัวคนอื่นเดืิอดร้อนก็เพราะกลัวคนอื่นไม่พอใจ แล้วเขาจะตามเอาเรื่องกับตัวเองมากกว่า
แต่อย่าลืมว่า มนุษย์กับดิรัจฉานต่างกันที่นิสัยใจคอ การวางตัว และความประพฤติ มนุษย์ก็อย่าเอานิสัยสัตว์ที่แย่ๆ มาทำเสียเอง
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยหลายปีล่วงมาแล้ว มีกิจกรรมธรรมะของธรรมกาย เพื่อนคู่หูคู่ใจของผม พูดกับผมว่า มรึงจำกรณีธรรมกายได้ไหม คำพูดนี้ทำให้ผมนึกได้ว่าเคยมีข่าวนี้ แม้ระดับผู้นำของศาสนจักรออกมาท้วงติง ก็ยังไม่เกรงใจกัน แล้วเพื่อนคนเดิมนั่นก็บอกอีกว่า ถ้ามรึงบวชกับวัดนี้ มรึงกับกรูเลิกคบกันเลย คำพูดของแก ผมยังจำถึงทุกวันนี้ครับ การทำบุญไม่ใช่การลงทุนเอากำไร
คนบางพวกบางกลุ่มที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย อาจเป็นเพราะเขาคิดว่า เขาเป็นตัวของตัวเอง ไม่ยึดติดกับอะไร มีอิสระเสรี จะคิด จะพูด จะเขียน จะทำอะไร มันเป็นสิทธิ และเสรีภาพของเขา แต่ถ้าเขาศึกษาศาสนาพุทธแล้ว เขาอาจจะรู้ได้ว่า สิ่งที่เขาคิดว่าเขาเป็นนั้น มันไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเขาก็ไม่ แตกต่างกับ เรา ๆ ท่าน ๆ หรอก ตั้งแต่มีชีวิตเกิดมา มันก็มีภาระติดพันยึดเหนี่ยวกันอีรุงตุงนังไปหมด จะไปหาอิสระเสรีภาพตรงไหนยังมองไม่เห็น เพราะไหนจะพ่อแม่พี่น้อง ลูกเมีย เพื่อน ไหนจะทรัพย์สินเงินทองบ้านช่อง ไหนจะหน้าที่การงาน เรื่องเหล่านี้มันล้วนยึดเหนี่ยวผูกพันเราทั้งนั้น ยิ่งสะสมมากก็ยึดติดมาก พระพุทธเจ้าจึงสอนให้สละมันออกไป ถ้าอยากเป็นอิสระ แต่มันทำได้ยาก เพราะมีพ่อแม่ ก็ห่วงพ่อแม่ มีเมียก็ห่วงเมีย มีลูกก็ห่วงลูก มีทรัพย์สินเงินทอง บ้าน รถ ก็ห่วงไปหมด ยิ่งมีมากก็ยิ่งห่วงมาก แต่ขนาดมีภาระห่วงมากมายก็ยังอยากได้เพ่ิ่มอีกไม่รู้จักพอ แล้วจะไปหาอิสระเสรีจากตรงไหน พระพุทธเจ้าสอนให้สละออกไปเพื่อไม่ให้ยึดติด มันก็เลยอาจจะกลายมาเป็นการทำบุญให้พระให้วัดอย่างที่เห็นอยู่ปัจจุบัน แต่ความเข้าใจอาจถูกชักนำให้เปลี่ยนไปจนดูเหมือนว่า ญาติโยมสละทรัพย์สินเงินทองให้พระให้วัดนำไปสะสมเพื่อแลกเอาบุญจากพระจากวัดมาสะสมไว้เป็นทุนไปสวรรค์ยังงั้นแหละ
edit: อ่านละเอียดอีกหลายรอบแล้วถึงเข้าใจว่ายังไม่สรุปครับ หัวข่าวพาหลง เขาแค่ยืนยันว่ามติคราวก่อนไม่ได้ให้ปาราชิก รอบนี้ยังไม่รู้ผล http://news.thaipbs.or.th/content/พศยืนยันมติ-มสปี-2542-พระธัมมชโย-คืนทรัพย์สินแล้วไม่ต้องปาราชิก พศ.ยืนยันมติ มส.ปี 2542 "พระธัมมชโย" คืนทรัพย์สินแล้วไม่ต้องปาราชิก Thu, 19/02/2015 - 12:45 โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า จากการตรวจสอบมติ มส.เมื่อปี 2542 จากพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชฯ ทำให้ทราบว่าเมื่อพระธัมมชโยยอมคืนทรัพย์สินและที่ดินกว่า 900 ล้านบาทให้กับวัดพระธรรมกายแล้ว ไม่จำเป็นต้องปาราชิก และสามารถเป็นเจ้าอาวาสวัดได้ต่อไป แต่เนื่องจากมีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นอีกครั้ง จึงจะเสนอให้ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณาในวันพรุ่งนี้ (20 ก.พ.2558) นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) บอกว่า หลังจากตรวจสอบเอกสารตามมติมหาเถรสมาคมเมื่อปี พ.ศ.2542 ตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก พบว่าขณะนั้นอยู่ในความดูแลของกรมการศาสนา ดังนั้นการจะหยิบยกพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชฯ ขึ้นมาอีกครั้ง ต้องเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ส่วนประเด็นให้พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ระบุชัดเจนว่า หากพระธัมมชโยไม่คืนทรัพย์สินและที่ดินให้กับวัดพระธรรมกาย ซึ่งถือว่ามีความผิดชัดแจ้ง จึงให้ถือว่าเป็นปาราชิก แต่เนื่องจากการตรวจสอบพบว่า พระธัมมชโยได้คืนทรัพย์สินและที่ดินกว่า 900 ล้านบาทให้กับวัดพระธรรมกาย ดังนั้น มติ มส.ในขณะนั้นจึงไม่ได้ให้ปาราชิก และยังสามารถเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ แต่เมื่อมีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ทาง พศ.จะเสนอวาระนี้เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมในวันพรุ่งนี้ (20 ก.พ.2558) โดยอาจมีการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการ ที่ประกอบด้วยพระผู้ใหญ่ และฆารวาสที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อร่วมกันตีความพระลิขิตอีกครั้ง