พูดได้ดี ถ้าทำได้จริง ตามที่พูด นี่คือสิ่งที่คนไทยทุกคนอยากเห็น อยากให้มีสื่อแบบนี้ ให้มากๆ -------------------------------------------------------------------------------- “ภาระของหนังสือพิมพ์แตกต่างจากภาระของคนทั่วไป นักหนังสือพิมพ์ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูง มีส่วนผลักดันประเทศให้ก้าวหน้า ขจัดความเน่าเฟะของสังคม เผยแผ่ความดีงามของสังคม แม้จะมีอิสระ สังคมจีนยังมีความเหลื่อมล้ำกันมาก ประชากรจีนจบปริญญาเอกก็มาก แต่คนไม่รู้หนังสือก็มี สำหรับหน้าที่นักข่าวจีนคือ “เป็นผู้ส่งสาร รายงานปัญหาให้กับรัฐบาลทราบเพื่อให้รัฐบาลรู้แล้วแก้ปัญหา ดังนั้นนักข่าวต้องเป็นผู้มีวิจารณญาณ เล็งเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อสังคม สิ่งใดที่ทำแล้วไม่ส่งผลดี ก็ไม่ทำ เขาบอกว่า นักข่าวจีนต้องมีวิจารณญาณในการเสนอข่าวเพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองต่อประเทศชาติและต้องรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่เกิดอะไรขึ้นก็เสนอไป” – อ่านคำให้สัมภาษณ์ของนักข่าวจีนคนนี้แล้ว ขนลุก ขนลุกเพราะสิ่งที่นายถาง หยวน เจี๋ย พูดนั้น วันนี้หาได้ยากมาในหมู่นักข่าวไทย http://chaoprayanews.com/blog/thaiflag/2015/07/15/อุดมการณ์ของนักข่าวจีน/
มันเป็นแนวคิดที่มีฐานความคิดแบบคอมมิวนิสต์ โดยสรุปคือประชาชนไม่ฉลาดพอที่จะคิดได้ด้วยตนเอง ต้องให้คนที่ฉลาดกว่ากรอง ซึ่งต่างกับแนวทางโลกเสรี ที่นักข่าวมีหน้าที่เสนอข่าว ประชาชนสามารถคิดได้เอง ทางตะวันตกเขาจึงเน้นเสรีภาพสื่อ คือผมไม่ได้จะบอกว่า"เสรีภาพ"ในการแสดงความเห็นดีที่สุด แต่มันเป็นแนวคิดที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ตอนนี้ ---คำถามง่ายๆ วิจารณญาณที่นักข่าวท่านนั้นว่า อิงอยู่ในมาตราฐานใคร? พรรค ประชาชน หรือความรักชอบส่วนตัว ฯลฯ บอกตรงๆนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ไทยนาม กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยังน่านับถือกว่านักข่าวจีนคนนี้เลย
สำหรับมุมของผม นักข่าวต้องได้รับทั้งเสรีภาพของสื่อ กล้าแสดงความคิดเห็น และต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม เคารพสิทธิส่วนบุคคล
สำหรับผมชอบสิ่งที่เขาพูดตามนี้ครับ ******ขจัดความเน่าเฟะของสังคม เผยแผ่ความดีงามของสังคม แม้จะมีอิสระ ******ดังนั้นนักข่าวต้องเป็นผู้มีวิจารณญาณ เล็งเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อสังคม สิ่งใดที่ทำแล้วไม่ส่งผลดี ก็ไม่ทำ *****ต้องมีวิจารณญาณในการเสนอข่าวเพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองต่อประเทศชาติและต้องรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่เกิดอะไรขึ้นก็เสนอไป ------------------------------------------------------------------------------------------ ส่วนจะใช้"วิจารณญาณ"อย่างไรนั้น ขอเพียงแค่มีสติปัญญาแยกแยะ"ความดี-ความเลว"ได้ ผมว่าก็พอจะตัดสินใจได้แล้วละครับ
ตรงนี้ไม่ใช้หน้าที่ของนักข่าวครับ คือนักข่าวที่อยู่รอดในรัฐบาลคอมมิวนิสต์ผมก็เข้าใจนะว่าต้องจำกัดเสรีภาพตัวเอง ส่วนเรื่องความดี-ความเลว ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา เช่นความดีสำหรับเสื้อแดงคือพวกพ้องต้องมาก่อน ถ้าคุณเอามาตราฐานคุณไปด่าเขา เรื่องก็ไม่จบเพราะความดีเลวไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเลือกเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อผมไม่ค่อยเห็นด้วย แม้จะอ้างว่ามีวิจารณญาณ เพราะผมเชื่อว่าประชาชนคิดได้เองครับ (ผมไม่ได้พูดว่าไม่ต้องรับผิดชอบกับข่าวที่ผิดๆนะ)
มีความรับผิดชอบ แต่ขาดเสรีภาพ ขาดอิสระ ไม่ดี มีเสรีภาพ มีอิสระ แต่ขาดความรับผิดชอบ นี่ก็ไม่ดี เป็นสื่อ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
อันนี้ไม่เห็นด้วย ทุกอาชีพ ต้องมีกรอบ มีหมุดที่ตรึงไว้ ไม่ให้ออกนอกทาง แม้แต่โลกเสรี ซึ่งก็ไม่ได้หมายว่าเสรีทุกอย่าง แม้เข้าใจว่า ประชาชน จะสามารถคิดได้เอง ตัวอย่างจากบ้านเราที่ใช้ เสรีภาพ อิสระภาพ แบบศรีธนญชัย ไม่ว่าองค์กร สมาคม หรือสำนัก ไม่สามารถ ควบคุมสื่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการลาออก หรือไม่ให้ความสำคัญเลย ซึ่งสถาบัน องค์กร ที่เคยสังกัด ไม่สามารถ ทำอะไรได้เลย ไม่มีข้อจำกัดว่า ต้องอยู่ภายไต้กฎระเบียบ อะไรบ้าง หรือมีใบอนุญาติ อย่างไรบ้าง ถึงจะได้มา ทำข่าว เสนอข่าว หรือ อ่านข่าว เดี๋ยวนี้ แม้กระทั่ง ใบอนุญาติ จะมีหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจ
นึกถึงกรณี ลมเปลี่ยนทิศ ลงข่าวเก่า ข่าวเท็จ กรณี อียู คว่ำบาตรเมืองไทย เมื่อความจริงปรากฏ แค่ลบข่าวออกจากเวบ ทิ้งอุจจาระให้นักข่าวคนอื่นรับหน้าไป คนแบบนี้วงการสื่อยังยินดีแบกรับปัญหาที่พวกทิ้งไว้ให้ก็ไม่ว่าอะไรกัน แต่ภาพรวมทำให้ สื่อที่ดีพลอยมัวหมองไปด้วยโดยไม่จำเป็น
น่าชื่นชมตรงนี้ครับ ถึงแม้ฟังดูแล้ว รัฐฯค่อนข้างควบคุมการนำเสนอข่าวของสื่อแต่เมื่อให้ผลดีกับประเทศแล้ว ดีกว่าสื่อฯไทยครับ ในปัจจุบัน สื่อฯจะนำเสนอข่าวที่เกิดขึ้นทันที โดยไม่ตริตรอง ตรวจสอบ เพียงเพื่อความรวดเร็วและหวังผลยอดขาย เช่นกรณีภัยแล้งในตอนนี้ สื่อฯทุกสำนักแข่งกันเสนอภัยแล้งแต่ละพื้นที่ นำภาพแม่น้ำลำคลองที่แห้งขอดมาลง ผลคือการแตกตื่นของประชาชน เกษตรกรแย่งกันสูบน้ำเข้านา พื้นที่ตัวเอง ยิ่งทำให้ปริมาณน้ำปลายทางขาดหายไปอีกมาก
อเมริกา เน้นเสรีภาพสื่อมากมาย แต่ยังไง เรื่องที่เป็นผลร้ายต่ออเมริกา ทุกสำนักต่างพร้อมใจกันเงียบ หรือถ้าเป็นประโยชน์ ก็มีแนวโน้มเสนอข่าวตามๆกัน เพื่อช่วยประเทศตัวเอง แม้จะมีบ้างที่คิดต่าง ก็แย้งแบบสุภาพมีเหตุผล อ้างชื่อ ดร. ศาสดาจารณ์ อะไรๆ มาเป็นแบ๊คอัพ มีหลักฐานว่า กรูไม่ได้คิด(มโน) เองนะ ส่วนนักข่าวไทย เรื่องซวยๆเกี่ยวประเทศไทย ยังประโคมข่าวกันจนเละ มีใส่ไข่ มโนจัดเต็ม ด่าประเทศตัวเองด้วย ส่วนเรื่องดีมีประโยชน์ เงียบหรืออยู่ในกรอบเล็กๆ ข่าวดีไม่มีใครสนใจ มันขายไม่ได้ หากสังเกตุให้ดี นักหนังสือพิมพ์บางคน บางหัวใช้วิธีมโน เขียนข่าว ไม่มีตรวจเช๊ค ไม่มีอ้างอิง แถมพอโดนแย้ง เงียบ....... นอกจากไม่แก้ให้แล้วยังพล่ามถึงเสรีภาพสื่อ ให้ต้องเค้าฟ้อง โน่นล่ะถึงจะออกมาขอโทษ ส่วนสภา ที่อาดอ้างว่าตั้งขึ้นมาเพื่อกำกับจรรยาบรรณสื่อ........
สมมุติว่าสื่อแห่งหนึ่ง ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้อย่างละอียด ถึงวิธีการเดินทาง การเตรียมตัว การติดต่อสื่อสาร เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่ม ISIS สื่อควรจะทำอย่างไร ก. เผยแพร่ทุกรายละเอียด ข. เก็บข้อมูลนั้นไว้อ้างอิง และส่งข้อมูลให้หน่วยงานความมั่นคง แต่จะไม่เผยแพร่สู่สาธารณะชนเป็นอันขาด ค. ใส่ลิ้นชิ้ก แล้วลืมมันซะ เสมือนสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ผมว่าท่านที่มีวิจารญาณคงตอบกันได้มั้งครับ ข้อไหนถูกที่สุด ถ้าเลือก ก. สังคมรับทราบความจริง ข่าวก็ขายได้ดีต่อธุรกิจ แต่คงมีมุสลิมหัวรุนแรง แห่กันไปร่วม ISIS เป็นแน่ ผมว่าสื่อก็ต้องมีการเซ็นเซอร์ตัวเองด้วย ไม่ใช่อะไรๆ ก็ต้องเผยแพร่ได้หมด ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต้องสังคม และบริทบของสังคมนั้นด้วย บริบทของสังคมอเมริกา ก็ไม่เหมือนบริทบของสังคมไทย บริบทของสังคมไทย ก็ไม่เหมือนบริบทของสังคมจีนด้วย ใครสื่อไหนวิจารญาณดี สื่อไหนวิจารญาณห่วย ประชาชนตัดสินได้ครับ
ผมว่าสื่อก็ต้องมีการเซ็นเซอร์ตัวเองด้วย ไม่ใช่อะไรๆ ก็ต้องเผยแพร่ได้หมด ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต้องสังคม และบริทบของสังคมนั้นด้วย บริบทของสังคมอเมริกา ก็ไม่เหมือนบริทบของสังคมไทย บริบทของสังคมไทย ก็ไม่เหมือนบริบทของสังคมจีนด้วย ------------------------------------------------------------------------------------------ ตรงใจเลยครับ
ย้อนแย้งตรงที่ คุณบอกว่าสื่อต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง ในขณะที่บรรทัดสุดท้ายคุณบอกว่าประชาชนตัดสินได้ โดยตรรกะแล้ว ถ้าคุณเชื่อว่าประชาชนตัดสินได้ สื่อก็ไม่ควรเซ็นเซอร์ตัวเองครับ
ผมสนับข้อคิดของคุณควันหลง เพราะผมเข้าใจแบบนี้ครับ(และคิดว่าไม่ย้อนแย้งกัน) ***เซ็นเซอร์ตัวเองคือรู้ว่าควรเสนอข่าวอย่างไรในทางสร้างสรรค์ ไม่ใช่ยุแหย่ให้แตกแยก หรือบ่อนทำลายประเทศของตัวเอง ***ประชาชนแยกแยะได้คือรู้ว่านักข่าวคนนี้ หรือสื่อนี้ เลวหรือดี ควรติดตามอ่านหรือไม่ ตัวอย่างเช่นผมแทบจะไม่อ่านหรือดูสื่อที่เป็นขี้ข้า เพราะผมแยกแยะถูกว่าสมควรติดตามสื่อพวกนี้หรือไม่ ปล.ตรงหรือไม่ต้องรอคำเฉลยของคุณควันหลงเองละครับ
พูดถึงการเซ็นเซอร์ ผมนึกได้อยู่อย่างหนึ่ง เรื่องที่ควรเซ็นเซอร์ ไม่ควรนำเสนอสู่สาธารณชน คือ พื้นที่ของจุดยุทธศาสตร์ของทหาร/ตำรวจ แผนการรับมือฝ่ายตรงข้าม กรณีกระทบกระทั่งตามชายแดน เพราะข้อมูลนั้นอาจเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามได้ รวมถึงการปกปิดแหล่งข่าว กรณีข่าวคอรัปชั่นในองค์กร ข่าวที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และข่าวอาชญากรรม กรณีแหล่งข่าวนั้นเป็นบุคคลระดับสูงในองค์กรที่เป็นผู้เสียหาย หรือพยานผู้เห็นเหตุการณ์ เพื่อความปลอดภัยของแหล่งข่าวนั้น ข้อมูลที่ให้สัมภาษณ์จริงเท็จประการใด ชาวบ้านจะใช้วิจารณญาณเอง
พวกนักข่าวหรือผู้สื่อข่าวอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ขอให้ยึดหลัก"คุณค่าของข่าว"ตามที่ได้เรียนกันมาก็พอ ไม่รู้ยังจำกันได้หรือเปล่า The Five Ws, Who did that? What happened? When did it take place? Where did it take place? Why did that happen? ถ้าข่าว บทความที่เขียน ไม่ได้ตอบคำถามข้างต้น เค้าไม่เรียกว่าข่าว