ช่วงนี้ดูหัวหน้าที่หนีคดี มีแรงฮึดอีกครั้ง เห็นปากดีว่าถูกยัดข้อหา สังเกตดู สภาพจิตไม่ปกติเท่าไหร่นะครับ ช่วงนึงก็โพสต์รูปนั่งสมาธิ ช่วงนึงก็ เซ็ตซีโร่ มาตอนนี้ก็ท้าทายอีกครั้ง หากคสช.คุมเกมส์ช่วงนี้ได้ ก็คงโพสต์รูปลงว่า ปล่อยวางแล้ว
มีแต่กระบอกปืน รถถัง ที่ล้มทักษิณและเสื้อแดงได้ นอกนั้นเป็นไอ้ตุ๊ดปากดีประตูหลัง รวมถึงตุ๊ดคีย์บอร์ดด้วย 555
ทักษิณ โปะหนี้ IMF โดยการ หมุนหนี้ ยืมที่หนึ่ง เอามาใช้อีกที่หนึ่ง ยอดเยี่ยม ... เลียนแบบแม่ค้า นี่หว่า ไม่ค่อยแมน
คนใจดำนี้มันก็ใจดำวันยันค่ำจริง เอาแต่สน กปปส. เพื่อนตัวเองไม่เคยพูดถึง ถ้าอ้างว่าการไม่ยอมรับคือใจตุ๊ด hot boy ก็คงใจตุ๊ดละ ที่ไม่ยอมรับเพื่อน
รู้อยู่แล้วครับว่าเจ๋งเหม่งจ๋ายเป็นกระเทย ไม่ต้องแกล้งพาลด่าคนอื่น ที่นี้ไม่มีใครเขาเตะกระเทยหรอก(หรือมี?) เดียวนี้สังคมเขายอมรับแล้ว
นี่แหละอยู่แต่ในกะลาแดง อ่านแต่พาดหัวข่าว แต่ไม่ได้อ่านเน้ื้อข่าว ประเด็นอยู่ที่ย่อหน้าสุดท้าย รายงานระบุว่า มูลเหตุคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยในคดีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษก เดินทางมารายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระหว่างนั้นมีทีมทนายความนำถุงขนมใส่เงิน จำนวน 2 ล้านบาทไปให้แก่เจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และมีการแจ้งความดำเนินคดี ส่วนเงินของกลางได้คืนแก่ทีมทนายความไป หลังจากนั้นศาลได้แจ้งข้อหาละเมิดอำนาจศาลกับทั้งสาม และไต่สวนข้อเท็จจริง กระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน 2551 ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำคุกนายพิชิฏ กับพวก คนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล จนพ้นโทษเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2551 แง้มกะลาแดงหน่อยนะ ตุ๊ดบอย พวกควายแดงนี่อ่านหนังสือไม่เกิน 3 บรรทัดจริงๆ
คดีติดสินบน อัยการไม่ฟ้องจริง แต่คดีละเมิดอำนาจศาล นี่โดนไปติดคุกไป 6 เดือนแล้วนะ อัยการไม่ฟ้องเพราะจำเลยไม่ระบุว่าจะติดสินบน "ใคร" ต่างหาก แต่เรื่องละเมิดอำนาจศาล เอาเงินไปตั้งไว้ 2 ล้านนี่ ศาลก็ตัดสินว่าเป็นความจริงเหมือนกันนะ ******************************************** จำคุก 6 เดือน แก๊งทนายแม้วติดสินบนศาล! ศาลฎีกาสั่งจำคุก 6 เดือนทนายแม้ว-เสมียน-หลานหญิงอ้อ ละเมิดอำนาจศาล หิ้วเงินสด 2 จูงใจเจ้าหน้าที่ศาลฯ ศาลชี้พฤติการณ์อุกอาจท้าทายศาลสูงสุดของประเทศ หวังประโยชน์เชื่อมโยงคดีที่ดินรัชดา สมควรลงโทษสถานหนักไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง พร้อมสั่งออกหมายจับหลานหญิงอ้อ เบี้ยวฟังคำสั่ง ให้เลขาศาลฎีกา แจ้งความข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงานอีกกระทง ที่ห้องพิจารณาคดี ศาลฎีกา สนามหลวง วันที่ 25 มิ.ย.51 เวลา 15.00 น. นายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา นายวีรพล ตั้งสุวรรณ และนายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา องค์คณะผู้พิพากษาไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีที่มีทนายความอดีตนักการเมือง นำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านบาทมามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.51 ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่ง คดีดำ ลอ.1/2551 หมายเลขแดงที่ 4599/2551 ความแพ่ง ระหว่างนายอนันต์ วงศ์ประภารัตน์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหา และนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร , น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-3 เรื่องละเมิดอำนาจศาล คดีนี้สืบเนื่องจากนายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ทำหนังสือบันทึกลงวันที่ 10 มิ.ย.51 ถึงนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.51 เวลา 9.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มารายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งวันดังกล่าวนายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ศาลฎีกาฯ หลังจากนั้น หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ชมพูนุช นิติกรประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เข้ามาสอบถามเรื่องที่ทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิ่งของซึ่งเป็นถุงกระดาษสีขาวปิดสก็อตเทปใสมิดชิด มาให้เจ้าหน้าที่ว่าจะรับไว้ได้หรือไม่ โดยเมื่อเปิดถุงแล้วพบธนบัตร 1,000 บาท จำนวน 2 ตั้งๆละ 10 มัด รวมประมาณ 2 ล้านบาท นายอนันต์จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ส่งคืน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึงศาลเพื่อรายงานตัว จากการไต่สวนหม่อมหลวงฐิติพงศ์ ชมพูนุช นิติกรประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ความว่า ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึง นายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 สั่งให้นางสาวศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แจ้งต่อม.ล.ฐิติพงศ์ ว่าให้ไปพบเพื่อจะปรึกษาคดี ม.ล.ฐิติพงศ์ จึงไปพบที่ห้องพักทนายความ ซึ่งภายในห้องมีเพียง 2 คน โดยม.ล.ฐิติพงศ์ นั่งโต๊ะตรงข้ามกับนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ซึ่งได้หยิบถุงกระดาษส่งให้ พร้อมบอกว่า “ระยะนี้ต้องมาติดต่อบ่อย เห็นใจเจ้าหน้าที่ เลยเอาของมาฝาก ให้ไปแบ่งกัน” จากนั้น ม.ล.ฐิติพงศ์ จึงได้เดินไปหานายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ แต่ไม่อยู่ เนื่องจากเดินทางไปประชุมที่รัฐสภา จึงไปพบนายอนันต์ ที่ตรวจงานอยู่ นายอนันต์จึงสั่งให้เปิดถุง เมื่อพบว่าเป็นเงิน จึงสั่งให้คืนเจ้าของไป เพราะการรับถุงไว้น่าจะเป็นการไม่ชอบ อาจละเมิดอำนาจศาล และเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน โดยได้มีการถ่ายรูปธนบัตร และถุงไว้เป็นหลักฐาน ศาลฎีกาประชุมตรวจสำนวนแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.51 เวลา 9.30 น. นายพิชิฏ,นางสาวศุภศรี และนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ขึ้นไปยังชั้น 4 เพื่อยื่นคำร้องการรายงานตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน จำเลยในคดีทุจริตซื้อขายที่รัชดาภิเษก หลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งมีม.ล.ฐิติพงศ์ เป็นผู้ดูแลสำนวน โดยนางสาวศุภศรี เสมียนทนายของนายพิชิฏ ซึ่งเป็นทนายเจ้าของคดี ได้นำคำร้องยื่นต่อศาลก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯเพื่อรายงานตัว โดยนางสาวศุภศรีได้มาแจ้งกับ ม.ล.ฐิติพงศ์ ว่า นายธนา ให้ไปพบ เพื่อปรึกษาคดีที่ห้องพักทนายความ ทั้งที่นายธนายืนห่างเพียง 1 วา และเมื่อเข้าไปพบ นายธนา กลับยื่นถุงกระดาษซึ่งปิดผนึกมิดชิด ภายในบรรจุเงิน 2 ล้านบาท โดยไม่บอกว่าภายในบรรจุอะไร เพียงแต่ให้เอาแบ่งกัน ซึ่งจากการไต่สวนนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 อ้างว่า เมื่อคืนวันที่ 9 มิ.ย. เวลา 21.00 น. นายบุญชาญ อักษรสุวรรณ ได้นำเงินจำนวน 2 ล้านบาท ที่ได้ซื้อบ้านผู้ถูกกล่าวหาในราคา 5.3 ล้านบาท มาให้ และได้เตรียมนำเงินดังกล่าวไปฝากธนาคารในวันรุ่งขึ้น โดยให้ภรรยาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน นำเงินบรรจุใส่ถุงกระดาษปิดผนึกมิดชิด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ให้ภรรยา ไปซื้อช็อคโกแลต และห่อในลักษณะเดียวกัน เพื่อเตรียมมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลในวันที่ 10 มิ.ย.51 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องรายงานตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่างๆในคดี ขณะที่วันเกิดเหตุได้นำเกิดเหตุได้นำถุงขนมวางไว้ที่นั่งด้านหลังเบาะรถ ส่วนห่อเงินได้ใส่ไว้ที่กระโปรงหลังท้ายรถ แต่ตนได้หยิบถุงผิดไป เมื่อทราบจึงแจ้งให้นายพิชิฏ ทราบเพื่อทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ โดยนายพิชิฏ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้โทรศัพท์หา ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมกล่าวคำขอโทษ แต่ม.ล.ฐิติพงศ์ แจ้งว่าได้ทำบันทึกถึงผู้บังคับบัญชาแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า นายธนา รู้หรือควรรู้ว่าในถุงมีเงินอยู่หรือไม่ ซึ่งในการไต่สวน ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้การว่านายธนา เป็นผู้หยิบถุงเงินที่ปิดมิดชิดมอบให้โดยไม่แจ้งว่าเป็นสิ่งใด ก่อนจะเปิดพบเป็นเงิน ผู้บังคับบัญชาจึงได้สั่งให้ส่งคืนไป โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลนำถุงส่งคืนกับมือนายธนา พร้อมถามว่า รู้หรือไม่ว่าข้างในมีอะไร นายธนา ได้ตอบว่า รู้ และเดินกลับไป โดยไม่มีท่าทีอิดเอื้อนตอบกลับ ซึ่งเป็นพิรุธ เห็นว่า หากเป็นไปตามที่นายธนากล่าวอ้าง ว่าหยิบถุงผิดไป โดยคนขับรถเป็นผู้นำถุงผิดมาให้ตน โดยไม่มีการตรวจสอบก่อน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าของ 2 สิ่งลักษณะห่อเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติว่าจะมีการหยิบผิด และเมื่อเจ้าหน้าที่ทักท้วงก็ต้องเปิดดู และตรวจสอบสิ่งของ แต่กลับไม่ดำเนินการ อีกทั้งหากนายธนา จะนำช็อคโกแลตมามอบให้จริงก็ควรจะนำไปมอบให้ที่เคาน์เตอร์อย่างเปิดเผยเพื่อความบริสุทธ์ใจ จึงเชื่อว่านายธนาได้รู้อยู่แล้วว่าในถุงกระดาดังกล่าวมีเงิน 2 ล้าน คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อว่า นายพิชิฏ และน.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกลาวหาที่ 1และ2 มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความร่วมมือในการกระทำของนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 หรือไม่ จากการไต่สวน ม.ล.ฐิตพงศ์ ได้ความว่านายพิชิต เป็นทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ส่วน น.ส.ศุภศรี เป็นเสมียนทนายและเลขานุการส่วนตัวของนายพิชิฎ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ส่วนนายธนา เป็นผู้ติดตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันเกิดเหตุผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน ได้มายื่นคำร้อง ขณะที่ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มาแจ้ง ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้ไปพบนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ปรากฏว่า ทั้งนายพิชิต และ น.ส.สุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-2 อยู่ในเหตุการณ์ด้วย อีกทั้งเมื่อ ม.ล.ฐิติพงศ์ เดินเข้าไปพบนายธนา ที่ห้องพักทนายความแล้วเดินออกมาพร้อมถุงกระดาษ นายพิชิต และน.ส.ศุภศรี ก็ได้เห็นเหตุการณ์ วิสัยของคนทำงานร่วมกัน นายพิชิต จะต้องสอบถามและซักไซ้หรือบอกกล่าวให้รู้กันว่าจะนำชอคโกแลตมาให้เจ้าหน้าที่ศาลโดยไม่ต้องปิดบัง ซึ่งนายพิชิฎ เป็นหัวหน้าคณะทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน การกระทำของนายธนา นอกจากจะเป็นเรื่องร้ายแรงแล้วยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีและกระทบต่อวิชาชีพของนายพิชิฎ แทนที่จะซักไซ้ไล่เรียงให้เกิดความชัดเจนหรือนำถุงสิ่งของที่ถูกต้องมาเปลี่ยนมอบให้หรือต่อว่านายธนา แต่ นายพิชิต กลับทำตามคำร้องขอของนายธนา โทรศัพท์มากล่าวขอโทษกับ ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมทั้งสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว พฤติการณ์ของนายพิชิต ชัดแจ้งว่ามีส่วนร่วมถือเป็นตัวการร่วม ส่วน น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แม้เป็นเสมียนทนายความ แต่ก็ร่วมรู้ในเหตุการณ์ โดยเป็นผู้เรียก ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้ไปพบกับนายธนา พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่า น.ส.ศุภศรี มีส่วนร่วมรู้เห็นกับนายธนา และแบ่งหน้าที่กันทำจึงฟังได้ว่า ทั้งนายพิชิต และ น.ส.ศุภศรี เป็นตัวการร่วมกับนายธนา คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่าทั้งสาม กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เห็นว่าการนำถุงกระดาษใส่เงิน 2 ล้ายบาทให้ ม.ล.ฐิติพงศ์ ถือว่าเป็นเหตุจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ กระทำการอันมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่อาจเชื่อโยงเป็นประโยชน์ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามซึ่งกระทำการร่วมกันจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพานิชย์ ม.31 (1) , 33 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา ม.83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายละเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายย่อมตระหนักดีกว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรมและจะส่งผลกระทบกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาในการปฎิบัติหน้าที่ของบุคคลากรในอำนาจตุลาการจึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน ส่วนความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงานนั้น ให้นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหาคดีนี้ไปดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำสั่งออกไปเป็นเวลา 7 วัน อ้างว่าปวดศีรษะ ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุเพียงพอ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้ออกหมายจับนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 มาบังคับคดีตามคำสั่งศาลต่อไป ที่เหลือไปอ่านต่อที่นี่นะ http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000074787
ผู้สื่อข่าวถามว่า เท่ากับทนายความทั้งสามคนไม่ได้กระทำความผิดและติดคุกฟรี อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า เป็นการเข้าใจผิดเพราะคดีละเมิดอำนาจศาล เป็นความผิดเกี่ยวกับการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล และเป็นความผิดคนละประเภทกัน ที่ศาลลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลจำคุกคนละ 6 เดือนจนออกจากคุกมานั้น ศาลลงโทษเหมาะสมแล้ว อัยการเห็นด้วยไม่ขัดข้อง ต้องป้อน ต้องเคี้ยว ให้ตลอด
อ่ะ.. แง้มกะลาให้ อ้าปากกว้างๆ เดี๋ยวเคี้ยวป้อนนะ อย่ากินแต่ขี้แม้ว คดีละเมิดอำนาจศาล คือมีความพยายามติดสินบนจริง ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำคุกนายพิชิฏ กับพวก คนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล จนพ้นโทษเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2551 ส่วนคดีติดสินบนศาลยกฟ้อง เพราะ เอาเงินมาให้ศาล แต่ศาลไม่รับสินบน เลยไม่มีความผิดในคดีนี้
ส่วนคดีติดสินบนศาลยกฟ้อง เพราะ เอาเงินมาให้ศาล แต่ศาลไม่รับสินบน เลยไม่มีความผิดในคดีนี้ คดีติดสินบน ศาลรับ หรือ ไม่รับ ความผิดคดีนี้ ถ้าเป็นจริงยังไงมันก็ต้องมี มันต้องผิดอยู่แล้ว คนจะเอาเงินให้ คนที่จะติดสินบน จะไม่มีความผิดได้ไง
พยายามเอาเงินมาให้ศาล แต่ไม่มีคนรับ เลยไม่ผิดคดีติดสินบน เพราะคดีติดสินบนจะสำเร็จได้ ต้องมีคนรับสินบน ที่เอาลิ้งค์มาแปะได้อ่านหมดหรือยัวหรืออ่านแต่พาดหัวข่าว
เอางี้นะ... สมมุติผมฝ่าไฟแดง ตำรวจเลยเรียก ผมกะจะเอายัดเงินเพื่อไม่ให้ถูกจับ แต่ตำรวจไม่รับเงินนี้ จะจับผมข้อหาฝ่าไฟแดงให้ได้ แบบนี้ผมก็ไม่มีความผิดในข้อหาติดสินบนใช่ไหม เพราะตำรวจไม่รับ?
ขอเถอะครับ ขอเนื้อหาคำพิพากษาจากสื่ออื่นเถอะนะ ผมไม่อยากคลุ้มคลั่งถูกล้างสมอง จากสื่อเทียมโกเต๊ก จนเป็นเหมือนพวกคุณ
ชัดแล้วล่ะครับ ที่ผ่านมาพากันถูกล้างสมอง ข่าวการเมือง อัยการสั่งไม่ฟ้องทีมทนายทักษิณ คดีสินบนถุงขนม 2 ล้าน
ที่จำคุกคนละ 6 เดือนจนบัดนี้พากันออกจากคุกมาแล้วนั้น แท้จริงเค้าโดน "คดีละเมิดอำนาจศาล" ซึ้งเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ไม่ได้ติดคุกเพราะติดสินบน
อยากได้ของมติชินเหรอ ก็มีให้นะ จะว่าไปของเดลินิวส์ก็มีนะ กลายเป็นกรณีศึกษาของคณะนิติศาสตร์ ม.รังสิต ด้วย ทนายพี่แม้วเค้าเยี่ยมจริงๆ ************************************** "สภาทนายความ"เตรียมถอดใบอนุญาตทนายทักษิณ- อ่านรายละเอียดคำสั่งศาล สภาทนายความ เปิดเผยถึงกรณี ศาลฎีกามีคำพิพากษาตัดสินให้ นายพิชิต หรือพิชิฏ ชื่นบาน , น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ และนายธนา ตันศิริ ทีมทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา มีความผิดกรณีนำเงินสด 2 ล้าน ใส่กล่องขนมมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา ว่า อาจจะพิจารณาลงโทษทนายความสูงสุด ถึงขั้นถอดใบอนุญาตทีมทนายความทั้งหมด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.50 น. ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาจำเลยที่ 1-2 ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก และน.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ ทีมทนายความคดีเดียวกัน ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัว แต่ศาลฎีกามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว จากนั้น นายพิชิฏได้เดินทางออกจากห้องพิจารณาคดี โดยถูกใส่กุญแจมือ แต่ใช้เสื้อสูทคลุมไว้ ซึ่งนายพิพิฏมีใบหน้าเศร้าและมีน้ำตาคลอด ขณะที่ น.ส.ศุภศรีได้เดินก้มหน้าตลอดเวลา ซึ่งเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์กำลังนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ขึ้นรถตู้เพื่อนำตัวไปยังเรือนจำต่อไป ขณะที่นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ที่ปรึกษาทางกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จากการนำกล่องขนมบรรตุเงิน 2 ล้านบาทไปมอบให้ศาล ว่า ยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการพิจารณาคดีของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ของพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เพราะศาลจะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นายวิชิต กล่าวว่า เบื้องต้นจะต้องปรับเปลี่ยนทีมทนายใหม่ เพราะในชั้นไต่สวนจำเป็นต้องใช้ทนายความ แต่ยังไม่ได้หารือเรื่องนี้กับนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เลขานุการส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด ส่วนตนจะเป็นทนายให้พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่นั้น ต้องไว้หารือกันก่อน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายพงศ์เทพนัดแถลงกับสื่อมวลชนในเรื่องดังกล่าว ที่มูลนิธิบ้านเลขที่ 111 แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อยู่แถลงข่าว โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจต้องไปงานศพ .................... รายละเอียดคำสั่งศาล ตามที่มีผู้นำเงินจำนวน 2 ล้านบาท มาให้เจ้าหน้าที่แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ศาลฎีกาได้มีคำสั่งแต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษาขึ้นเพื่อทำการไต่สวนหาข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว และองค์คณะได้ทำการไต่ส่วนพยานเสร็จสิ้นแล้ว โดยนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 25 มิถุนายน 2551 เวลา 14.00 น.นั้น วันนี้เวลา 14.00 น. องค์คณะไต่สวนได้อ่านคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องฟังแล้วตามทางไต่สวนปรากฎข้อเท็จจริงว่า มีผู้ถูกกล่าวหา 3 คน คือ นายพิชิต หรือพิชิฏ ชื่นบาน ที่ 1 น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ ที่ 2 และนายธนา ตันศิริ ที่ 3 ข้อเท็จจริงในการไต่สวนได้ความว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นำถุงกระดาษข้างในบรรจุเงินประมาณ 2 ล้านบาท มามอบให้หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ชมพูนุท นิติกรประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจริง โดยน่าจะมีเจตนาจูงใจหม่อมหลวงฐิติพงศ์และเจ้าหน้าที่ในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ให้การกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ โดยผู้ถูกกล่าวหาที่2 และที่ 3 ไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นนั้น ไม่อาจรับฟังได้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการร่วมกันประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ซึ่งการกระทำดังกล่าวกระทำที่ศาลฎีกา เป็นกรณีร้ายแรงจึงลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 จำคุกคนละ 6 เดือน และการกระทำของผู้ดังกล่าว ข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ที่ว่าหยิบถุงผิดโดยประสงค์จะมอบถุงบรรจุช็อกโกแลตให้แก่พนักงานและที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และที่ 2 ต่อสู่ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นนั้น ไม่อาจรับฟังได้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการร่วมกันประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีความแพ่ง มาตรา 31 (1) ,33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งการกระทำดังกล่าวกระทำที่ศาลฎีกา เป็นกรณีร้ายแรง จึงให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 จำคุกคนละ 6 เดือน และการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามน่าจะมีมูลความผิดให้สินบนแก่พนักงานตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิด อื่นต่อเจ้าพนักงานนั้น ให้เลขานุการศาลฎีกาดำเนินการตามกฏหมาย แก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ที่มา : มติชนออนไลน์ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=3919 ********************************************
คุก 6เดือน!พิษถุงขนมเชือดทีมทนายทักษิณ แจ้ง ตร.เอาผิดคดีสินบนพิชิฏลั่นมีคนอื่นสานต่อ ลงดาบเชือด "ทีมทนายแม้ว"ศาลฎีกาตัดสิน จำคุกคนละ 6 เดือนไม่รอลงอาญา"พิชิฎ-ศุภศรี-ธนา"โทษฐานละเมิดอำนาจศาลคดีสินบน 2 ล้านบาท หลังจากไต่สวนข้อเท็จจริงหลักฐานมัดแน่นในวันเกิดเหตุ “ญาติหญิงอ้อ”ให้เสมียนทนาย เรียก “นิติกร 5” ไปพบในห้องทนายความ อ้างนำขนมมาฝาก แต่พอเปิดถุงดูกลายเป็นแบงก์พัน 10 มัดเลยรีบรายงานผู้ใหญ่มาตรวจ ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหายืนยัน หยิบถุงช็อก โกแลตมาให้ผิด ส่วนเงินเป็นค่าซื้อขายบ้าน แต่ศาลพิเคราะห์แล้วฟังไม่ขึ้น เชื่อหวังผลจูงใจให้กระทำการอันมิชอบ แถมท้าทายศาลสูงสุดของประเทศ สมควรลงโทษสถานหนักไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง สั่งแจ้งความไล่บี้เอาผิดข้อหาติดสินบนซ้ำ หลังถูกตัดสิน “พิชิฏ-ศุภศรี” ถึงกับเครียดหนัก ร่ำไห้คอตกเข้าเรือนจำ “ธนา” ไม่ยอมมาฟังเจอถูกออกหมายจับแล้ว ด้านสภาทนายเตรียมลบชื่อออกจากการเป็นทนาย เผยวันเกิดเหตุ “ทักษิณ” ก็เดินทางมาด้วย มั่นใจไม่มีผลกระทบคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ จากเหตุการณ์มีผู้นำถุงขนมใส่เงินจำนวน 2 ล้านบาท ไปให้เจ้าหน้าที่ภายในศาลฎีกา สนามหลวง เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา บอกว่าให้ “เอาไปแบ่ง ๆ กัน !” แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีใครกล้ารับพร้อมยังรายงานผู้พิพากษามาตรวจสอบแล้วบันทึกภาพเอาไว้ก่อนจะส่งคืน หลังเกิดเรื่อง นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ได้มีคำสั่งแต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คนขึ้นไต่สวนข้อเท็จจริง เบื้องต้นทราบว่าในวันเกิดเหตุได้มีนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมลูกทีมทนายได้เดินทางไปยื่นคำร้องเพื่อรายงาน ตัวต่อศาลฎีกาตามคำสั่งศาล หลังจาก พ.ต.ท. ทักษิณ เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ แต่นายพิชิฏยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตามที่เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวัน ที่ 25 มิ.ย. ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศตั้งแต่ช่วงสายได้มีกลุ่มสื่อมวลชนจำนวนมากทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์มาปักหลักรอทำข่าวเนืองแน่น หลังจากทางองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่ง กรณีสิน บนในถุงขนม 2 ล้านบาท โดยมีการเสริมกำลังรปภ.มาคอยดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด ต่อมานายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความที่ถูกพาดพิงถึง พร้อมด้วย น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนาย ได้เดินทางมาถึงศาลแล้ว แต่ไม่ยอมเปิดเผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บอกแต่เพียงว่าหลังจากฟังคำสั่งแล้วจะเปิดเผยถึงรายละเอียดต่าง ๆ ส่วนนายธนา ตันศิริ 1 ในทีมทนายที่ถูก กล่าวหาด้วยไม่ได้เดินทางมาอ้างว่าป่วย กระทั่งเวลา 15.00 น. นายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา นายวีรพล ตั้งสุวรรณ และนายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา องค์คณะผู้พิพากษาไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีที่มีทนายความอดีตนักการเมือง นำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านบาท มามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 51 ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่ง คดีดำ ลอ.1/2551 หมายเลขแดงที่ 4599/2551 ความแพ่ง ระหว่างนายอนันต์ วงศ์ประภารัตน์ เลขา นุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหา และนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร, น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-3 เรื่องละเมิดอำนาจศาล สืบเนื่องจากนายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ทำหนังสือบันทึกลงวันที่ 10 มิ.ย.51 ถึงนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 51 เวลา 09.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มารายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งวัน ดังกล่าวนายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่ศาลฎีกา หลังจากนั้น ม.ล.ฐิติพงศ์ ชมพูนุช นิติกร 5 ประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เข้ามาสอบถามเรื่องที่ทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ นำสิ่งของซึ่งเป็นถุงกระดาษสีขาวปิดสก๊อตเทปใสมิด ชิด มาให้เจ้าหน้าที่ว่าจะรับไว้ได้หรือไม่ โดยเมื่อเปิดถุงแล้วพบธนบัตร 1,000 บาท จำนวน 2 ตั้ง ตั้งละ 10 มัด รวมประมาณ 2 ล้านบาท นายอนันต์ จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ส่งคืน โดยเหตุการณ์ ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึงศาลเพื่อรายงานตัว จากการไต่สวน ม.ล.ฐิติพงศ์ ได้ความว่า ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาถึง นายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 สั่งให้ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แจ้งต่อ ม.ล.ฐิติพงศ์ ว่า ให้ไปพบเพื่อจะปรึกษาคดี ม.ล.ฐิติพงศ์ จึงไปพบที่ห้องพักทนายความ ภายในห้องมีเพียง 2 คน โดย ม.ล.ฐิติพงศ์ นั่งโต๊ะตรงข้ามกับนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้หยิบถุงกระดาษส่งให้ พร้อมบอกว่า “ระยะนี้ต้องมาติดต่อบ่อย เห็นใจเจ้าหน้าที่ เลยเอาของมาฝาก ให้ไปแบ่งกัน” จากนั้น ม.ล.ฐิติพงศ์ จึงได้เดินไปหานายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯแต่ไม่อยู่ เนื่องจากเดินทางไปประชุมที่รัฐสภาจึงไปพบนายอนันต์ ที่ตรวจงานอยู่ จึงสั่งให้เปิดถุง เมื่อพบว่าเป็นเงิน จึงสั่งให้คืนเจ้าของไป เพราะการรับถุงไว้น่าจะเป็นการไม่ชอบ อาจละเมิดอำนาจศาล และเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน โดยได้มีการถ่ายรูปธนบัตร และถุงไว้เป็นหลักฐาน ศาลฎีกาประชุมตรวจสำนวนแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 51 เวลา 09.30 น. นายพิชิฏ น.ส.ศุภศรี และนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ขึ้นไปยังชั้น 4 เพื่อยื่นคำร้องการรายงานตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน จำเลยในคดีทุจริตซื้อขายที่รัชดาภิเษก หลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งมี ม.ล.ฐิติพงศ์ เป็นผู้ดูแลสำนวน โดย น.ส. ศุภศรี เสมียนทนายของนายพิชิฏ ซึ่งเป็นทนายเจ้าของคดี ได้นำคำร้องยื่นต่อศาลก่อนที่ พ.ต.ท. ทักษิณ จะเดินทางมาถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯเพื่อรายงานตัว โดย น.ส.ศุภศรีได้มาแจ้งกับ ม.ล.ฐิติพงศ์ ว่า นายธนา ให้ไปพบ เพื่อปรึกษาคดีที่ห้องพักทนายความ ทั้งที่นายธนา ยืนห่างเพียง 1 วา และเมื่อเข้าไปพบนายธนากลับยื่นถุงกระดาษซึ่งปิดผนึกมิดชิด ภายในบรรจุเงิน 2 ล้านบาท โดยไม่บอกว่าภายในบรรจุอะไร เพียงแต่ให้เอาแบ่งกัน จากการไต่สวนนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 อ้างว่า เมื่อคืนวันที่ 9 มิ.ย. เวลา 21.00 น. นายบุญชาญ อักษรสุวรรณ ได้นำเงินจำนวน 2 ล้านบาท ที่ได้ซื้อบ้านผู้ถูกกล่าวหาในราคา 5.3 ล้านบาทมาให้ และได้เตรียมนำเงินดังกล่าว ไปฝากธนาคารในวันรุ่งขึ้น โดยให้ภรรยาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน นำเงินบรรจุใส่ถุงกระดาษปิดผนึกมิดชิด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ให้ภรรยาไปซื้อช็อกโกแลต และห่อในลักษณะ เดียวกัน เพื่อเตรียมมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลในวันที่ 10 มิ.ย. 51 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องรายงานตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่าง ๆ ในคดี ขณะที่วันเกิดเหตุได้นำถุงขนมวางไว้ที่นั่งด้านหลังเบาะรถ ส่วนห่อเงินได้ใส่ไว้ที่กระโปรงหลังท้ายรถ แต่ตนได้หยิบถุงผิดไป เมื่อทราบจึงแจ้งให้นายพิชิฏ ทราบเพื่อทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ โดยนายพิชิฏผู้ถูก กล่าวหาที่ 1 ได้โทรศัพท์หา ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมกล่าวคำขอโทษ แต่ ม.ล.ฐิติพงศ์ แจ้งว่าได้ทำบันทึกถึงผู้บังคับบัญชาแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า นายธนา รู้หรือควรรู้ว่าในถุงมีเงินอยู่หรือไม่ ซึ่งในการไต่สวน ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้การว่านายธนา เป็นผู้หยิบถุงเงินที่ปิดมิดชิดมอบให้โดยไม่แจ้งว่าเป็นสิ่งใด ก่อนจะเปิดพบเป็นเงิน ผู้บังคับบัญชาจึงได้สั่งให้ส่งคืนไป โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลนำถุงส่งคืนกับมือนายธนา พร้อมถามว่า รู้หรือไม่ว่าข้างในมีอะไร นายธนา ได้ตอบว่า รู้ และเดินกลับไป โดยไม่มีท่าทีอิดเอื้อนตอบกลับซึ่งเป็นพิรุธ เห็นว่าหากเป็นไปตามที่นายธนา กล่าวอ้างว่าหยิบถุงผิดไป โดยคนขับรถเป็นผู้นำถุงผิดมาให้ตน โดยไม่มีการตรวจสอบก่อน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าของ 2 สิ่งลักษณะห่อเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติว่าจะมีการหยิบผิด และเมื่อเจ้าหน้าที่ทักท้วงก็ต้องเปิดดู และตรวจสอบสิ่งของแต่กลับไม่ดำเนินการ อีกทั้งหากนายธนา จะนำช็อกโกแลตมามอบให้จริงก็ควรจะนำไปมอบให้ที่เคาน์เตอร์อย่างเปิดเผยเพื่อความบริสุทธิ์ใจ จึงเชื่อว่านายธนาได้รู้อยู่แล้วว่าในถุงกระดาษดังกล่าวมีเงิน 2 ล้าน ส่วนนายพิชิฏ และ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และ 2 มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความร่วมมือในการกระทำของนายธนา ผู้ถูกกล่าว หาที่ 3 หรือไม่ จากการไต่สวน ม.ล.ฐิติพงศ์ ได้ความว่านายพิชิฏ เป็นทนายความของ พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ส่วนน.ส.ศุภศรี เป็นเสมียนทนายและเลขานุการส่วนตัวของนายพิชิฏ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ส่วนนายธนา เป็นผู้ติดตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันเกิดเหตุผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คนได้มายื่นคำร้อง ขณะที่ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มาแจ้ง ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้ไปพบนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ปรากฏว่า ทั้งนาย พิชิฏ และ น.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-2 อยู่ในเหตุการณ์ด้วย อีกทั้งเมื่อ ม.ล.ฐิติพงศ์ เดินเข้าไปพบนายธนา ที่ห้องพักทนายความแล้วเดินออกมาพร้อมถุงกระดาษ นายพิชิฏและ น.ส. ศุภศรี ก็ได้เห็นเหตุการณ์ วิสัยของคนทำงานร่วมกัน นายพิชิฏจะต้องสอบถามและซักไซ้หรือบอก กล่าวให้รู้กันว่าจะนำช็อกโกแลตมาให้เจ้าหน้าที่ศาลโดยไม่ต้องปิดบัง ซึ่งนายพิชิฏ เป็นหัวหน้าคณะทนาย ความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน การกระทำของนายธนา นอกจากจะเป็นเรื่องร้ายแรงแล้วยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีและกระทบต่อวิชาชีพของนายพิชิฏ แทนที่จะซักไซ้ไล่เลียงให้เกิดความชัดเจนหรือนำถุงสิ่งของที่ถูกต้องมาเปลี่ยนมอบให้หรือต่อว่านายธนา แต่นายพิชิฏ กลับทำตามคำร้องขอของนายธนา โทร ศัพท์มากล่าวขอโทษกับ ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมทั้งสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว พฤติการณ์ของนายพิชิฏ ชัดแจ้งว่ามีส่วนร่วมถือเป็นตัวการร่วม ส่วนน.ส.ศุภศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แม้เป็นเสมียนทนายความ แต่ก็ร่วมรู้ในเหตุการณ์ โดยเป็นผู้เรียก ม.ล.ฐิติพงศ์ ให้ไปพบกับนายธนา พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่า น.ส.ศุภศรี มีส่วนร่วมรู้เห็นกับนายธนา และแบ่งหน้าที่กันทำจึงฟังได้ว่า ทั้งนายพิชิฏ และ น.ส.ศุภศรี เป็นตัวการร่วมกับนายธนา
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่าทั้งสาม กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เห็นว่าการนำถุงกระดาษใส่เงิน 2 ล้านบาทให้ ม.ล. ฐิติพงศ์ ถือว่าเป็นเหตุจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ กระทำการอันมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่อาจเชื่อมโยงเป็นประโยชน์ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามซึ่งกระทำการร่วมกันจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ ม.31 (1), 33 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา ม.83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ตามประมูลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายย่อมตระหนักดีว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรมและจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการจึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน ๆ ละ 6 เดือน ส่วนความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงานนั้น ให้นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหาคดีนี้ไปดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำสั่งออกไปเป็นเวลา 7 วัน อ้างว่าปวดศีรษะ ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุเพียงพอ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้ออกหมายจับนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 มาบังคับคดีตามคำสั่งศาลต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั่งรอฟังคำสั่ง ตอนแรกนายพิชิฏไม่แสดงอาการเครียดหรือวิตกกังวลแต่อย่างใด ยังได้พูดคุยกับ น.ส.ศุภศรี พร้อมกับตบหลังให้กำลังใจกัน นอกจากนี้นาย พิชิฏ ยังได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวอย่างเป็นกันเองว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่การกระทำนั้นเกิดจากนายธนา เป็นผู้ดำเนินการเองโดยตลอด อย่างไรก็ดี ภายหลังศาลมีคำสั่งจำคุกไม่รอลงอาญา นาย พิชิฏ และ น.ส.ศุภศรี มีสีหน้าท่าทางอาการเครียดเห็นได้ชัด น.ส.ศุภศรี ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่น้ำตาไหลพรากออกมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เข้ามาควบคุมตัวทั้งสองและให้ถอดเครื่องประดับทรัพย์สินมีค่าและอุปกรณ์สื่อสารฝากญาติไว้ ต่อมานายพิชิฏ ได้ให้ทีมทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัวพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดต่อศาลฎีกาโดยไม่ยอมเปิดเผยจำนวนเงิน แต่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เกิดขึ้นภายในบริเวณศาลฎีกาดังนั้นคำสั่งของศาลฎีกาจึงเป็นที่สุดให้ยกคำร้องประกันตัว จากนั้นเวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้สวมกุญแจมือนายพิชิฏ นำตัวขึ้นรถตู้ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยระหว่างทางนายพิชิฏ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงคดีที่ดินรัชดาภิเษกสั้น ๆ ว่า คดีนี้มีทีมทนายความคนอื่นรับผิดชอบอยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร ส่วน น.ส.ศุภศรี ระหว่างถูกนำตัวไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางบางเขน เอาแต่ก้มหน้าหลบตลอดเวลา ด้านนายอเนก คำชุ่ม ทีมทนายความที่ดินรัชดาภิเษก กล่าวว่า คดีละเมิดอำนาจศาล ที่ศาลสั่งจำคุกนายพิชิฏ จะไม่กระทบกระเทือนกับการว่าความในคดีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษก เพราะคดีนี้ตนก็รับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น โดยเป็นผู้ดูแลด้านเอกสารหลักฐานและคำถามซักค้าน พยานโจทก์ในคดี โดยวันที่ 30 มิ.ย.จะยื่นบัญชีรายชื่อพยานจำเลย 22 ปาก เช่นเดียวกับโจทก์ 22 ปาก และศาลนัดพร้อมคู่ความเพื่อตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 1 ก.ค.นี้ และนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกวันที่ 8 ก.ค. เมื่อถามว่าได้รายงานเรื่องนี้ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ทราบหรือยัง นายอเนก กล่าวว่า ตนไม่เคยรายงานใครรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องคดีเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับคดีละเมิด โดยมั่นใจในพยานเอกสารหลักฐานที่มีว่าจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับลูกความได้ ไม่จำเป็นต้องติดสินบนเจ้าหน้าที่ธุรการศาลแต่อย่างใด ขณะเดียวกันนายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานกรรมการมารยาทสภาทนายความ ให้สัมภาษณ์ ว่า หลังจากได้คำสั่งจากศาลฎีกาแล้วก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการมารยาทสภาทนายความ เพื่อพิจารณาโทษของทั้งสามคน โดยโทษของคดีละเมิดอำนาจศาล มีสถานเดียวคือการลบชื่อออกจากการเป็นทนายความ ส่วนที่มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล 1 ในทีมทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลฎีกาสั่งจำคุก นายพิชิฏ และพวก 3 คนว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม คิดว่าคงจะไม่กระทบกับการพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเชื่อว่าศาลให้ความยุติธรรมในการต่อสู้คดี ที่กรมราชทัณฑ์ นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า นายพิชิฏ และน.ส.ศุภศรี คืนแรกจะอยู่ในแดนแรกรับ เบื้องต้นไม่ได้สั่งการให้ดูแลเป็นพิเศษ แต่ก็สั่งเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องดูแล โดยในช่วงแรกจะเน้นการปรับให้ผู้ต้องหาขังแรกรับสามารถใช้ชีวิตในเรือนจำร่วมกับผู้อื่นให้ได้ตามปกติ จากนั้นก็จะเข้าสู่ระเบียบของทางเรือนจำ โดยผู้ชายจะถูกนำตัวไปตัดผม อย่างไรก็ตามคดีละเมิดอำนาจศาลนี้ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้. http://203.149.30.199/law/news_detail.php?bn_id=1405
จนบัดนี้ เพลานี้ มันก็ล่วงเลยเข้าไป 6-7 ปีแล้ว นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ก็ยังไม่ดำเนินการตามกฏหมาย เพื่อจะเอาผิด ในคดีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ต่อผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องเลย
5555 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ยอมรับว่าบางทีก็งง เจอมันตอแหลหน้าด้านๆจนผมถึงกับเขวไปก็มี คิดว่ามันมีข้อมูลทันสมัยกว่า แต่ปรากฏว่าทุกงานล้วนโกหกตอแหล ไม่ก็หน้าด้านลักไก่เอา สันดานนายจ้างลูกจ้างนี่มันช่างเหมือนกันจริงๆ
รายนามอัยการสูงสุดของไทย[2] ศาสตราจารย์ ดร.โกเมน ภัทรภิรมย์ (1 มี.ค. 2534 - 1 ต.ค. 2536) นายโอภาส อรุณินท์ (1 ต.ค. 2536 - 30 ก.ย. 2537) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.คณิต ณ นคร (1 ต.ค. 2537 - 30 ก.ย. 2540) ศาสตราจารย์ สุชาติ ไตรประสิทธิ์ (1 ต.ค. 2540 - 30 ก.ย. 2544) นายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ ( 1 ต.ค. 2544 - 30 ก.ย. 2546) ศาสตราจารย์พิเศษ เรวัต ฉ่ำเฉลิม (1 ต.ค. 2546 - 30 ก.ย. 2547) ศาสตราจารย์พิเศษ คัมภีร์ แก้วเจริญ (1 ต.ค. 2547 - 30 ก.ย. 2548) นายพชร ยุติธรรมดำรง (1 ต.ค. 2548 - 30 ก.ย. 2550)[3] ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยเกษม นิติสิริ (1 ต.ค. 2550 - 2552) ศาสตราจารย์พิเศษ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ (1 ต.ค. 2552 - 30 ก.ย. 2556) กรูว่าแล้วมันแปลก เลยลองไปดูชื่ออัยการช่วงคดีถุงขนมหน่อย พอเกษียณไม่นาน ก็ได้เป็นรัฐมนตรีเลย นี่มันยังมีหน้ามาอ้างอัยการสั่งไม่ฟ้องอีกน๊ะเนี่ย 555
เขาไม่ฟ้องเพราะมันไม่โจ่งแจ้งไง ซึ่งปกติคนให้สินบนก็ทำแบบลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนี้อยู่แล้ว หรือคุณว่าไอ้ถุงขนม 2 ล้านของทนายแม้วนี่มันไม่ใช่การให้สินบน? โลกสวยกับแม้วสมเป็นเสื้อแดงจริง ๆ