เดี๋ยวก็จับ เดี๋ยวก็ปล่อยกันอยู่นั่นแหล่ะ... จนป่านนี้ น่าจะรู้ได้แล้วว่า...ไอ้พวกเหียกนี่... ยังไง มันก็ยังต้องเป็นขี้ข้าทักษิณ อยู่วันยันค่ำ... แล้วมี ขี้ข้าทักษิณตัวไหน ที่ ไม่พูดโกหก ตลบตะแลง เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่นบ้าง ? ---------------------------- ------------------------------ http://news.mthai.com/hot-news/politics-news/480182.html --------------------------- ------------------------------ หรือเพื่อนๆ คิดเห็นเช่นไรต่อเรื่องนี้ เชิญได้ครับ...
ผมมอง2มุมครับ 1.ที่จริงทางฝั่งคสชรู้อยู่แล้วว่าถึงจะเชิญไปกี่ครั้งก็เหมือนเดิม 2.แต่ที่ต้องทำเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของพวกที่จ้องอยู่เบื้องหลังเจ้าพวกนี้มากกว่า ปล.คนเบื้องหลังนี่ เราก็รู้ว่าใคร คนที่พยายามทำตัวเป็นตำรวจโลกนั่นแหละ
อย่าไปคิดมากครับ มันก็คือดัวประกอบฝ่ายชายแค่นั้นเอง ไอ้ตัวนักแสดงนำฝ่ายชายก็พ่อของมัน ส่วนนักแสดงนำฝ่ายหญิงก็ นังข้าวเน่า คางคกมันจะพยายามแย่งซีนและไต่ขึ้นมาเป็นนักแสดงนำให้ได้ แต่ไปไม่ถึงไหนก็วนลูปอยู่แบบเดิม ๆ ส่วนแก๊งค์ตัวประกอบบางตัวไม่กล้านำเสนอเพราะใจจริงลึก ๆ มันก็กลัว ทำได้เพียงแค่ขอเกาะบ้างอย่าง เหวง เคว้งคว้าง นั่นไง อาชีพพวกนี้คือการสร้างวาทกรรมไปวัน ๆ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ตอแหลเพื่อปากท้อง เพราะพวกนี้เก่งที่สุดในสายอาชีพในการใช้คำพูดเท่านั้น แต่ทำจริงมันเหลว ถ้าไม่แสดงตนว่าข้าแน่ เดี๋ยวบรรดาอุปกรณ์การเกษตรทั้งหลายจะลืม ทำให้นักแสดงตัวประกอบตกกระป๋อง
เผาเมืองก็ทำให้แล้ว ต้องการให้มีคนตาย ก็ทำให้แล้ว แต่จนบัดนี้ มีกระสุนลั่นไปแล้ว เป็นหมื่นเป็นแสนนัด ยังไม่เห็นหัวนายเลยอะครับ แบบนี้มันน่าบ่นไหม คิดถึงใจเขาใจเราบ้าง อย่าสักแต่ด่าพวกเดียวกันเอง
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่11 ควบคุมตัวนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ไปยังมณฑลทหารบกที่11ว่า เป็นการเชิญมาขอความร่วมมือและพูดคุยทำความเข้าใจ เกี่ยวกับการให้ความเห็นต่อประเด็นต่างๆ ผ่านสื่อในช่วงนี้ เพราะการให้ความเห็นของนายจตุพรช่วงที่ผ่านมาในบางเรื่อง เป็นการไปขยายความเพิ่มระดับความขัดแย้งและชี้นำ ตลอดจนพาดพิงบุคคลและองค์กรอื่น ๆ พ.อ.วินธัย กล่าวว่า การเชิญนายจตุพร มาเป็นการพูดคุยกันธรรมดา มีเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นผู้ร่วมพูดคุย จากนั้นก็ได้ให้นายจตุพรเดินกลับบ้านเหมือนปกติที่เคยเชิญมา ด้านนายจตุพร ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้รับการปล่อยตัวจากมณฑลทหารบกที่11 ว่า เป็นเพียงการเชิญตัวเพื่อพูดคุยกันถึงสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งคสช.ไม่ได้กำชับอะไรมาเป็นพิเศษ นอกจากขอความร่วมมือให้ระมัดระวังการแสดงความคิดเห็น ซึ่งได้ยืนยันว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาการแสดงความคิดเห็นเพื่อมุ่งประคับประคองให้บ้านเมืองให้ เดินไปได้ อาจจะเห็นไม่ตรงกับรัฐบาลและคสช.บ้าง แต่ก็ให้เกียรติกันมาตลอด และการแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ของประเทศ ไม่เคยมุ่งหวังที่จะโค่นล้มคสช.
จากบทความนี้ เขาว่าว่า... เป็นครั้งที่ 5 และยังว่า ว่า… ครั้งนี้ น่าจะไม่เหมือนเคย... ------------------------------------------ ทันทีที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จัดรายการที่ถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม พีซ ทีวี เสร็จเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ก็มีนายทหารเข้าไปพบเพื่อพูดคุย และเชิญตัวจตุพรไปคุยต่อที่ค่ายทหาร การเชิญตัว จตุพร ไปครั้งนี้ นับเป็นครั้ง 5 เพียงแต่สาเหตุที่ทำให้ต้องเชิญไปหนนี้ ไม่ได้เป็นเพราะจตุพรพูดเรื่องการเมือง หรือไปพาดพิงถึงทหารอย่างเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ถูกเชิญตัวไปปรับทัศนคติ นั่นเป็นเพราะจตุพรไปพูดถึงประเด็นร้อน คือ การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 20 ซึ่งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ถูกเสนอชื่อให้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่เรื่องราวทำท่าว่าจะยุ่งเหยิง เพราะมีการเคลื่อนไหวของพระที่พุทธมณฑล มีการเคลื่อนไหวของพระที่นำโดยหลวงปู่พุทธะอิสระ และมีการเคลื่อนไหวของฆราวาส ที่มีหลากหลายฝ่าย รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวของหน่วยงานรัฐอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่เข้าไปตรวจสอบรถเบนซ์โบราณ ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) เป็นผู้ครอบครอง ในส่วนของ คสช.นั้น มองเห็นว่า จตุพร เป็นนักการเมือง เป็นแกนนำมวลชน การที่จตุพรไปพูดในเรื่องที่อ่อนไหวต่อมวลชน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ แต่หนนี้ก็ไม่ใช่หนแรกของจตุพร แล้วก็น่าเชื่อว่า น่าจะมีครั้งอื่นๆ อีก มีข่าววงในว่า เรื่องนี้ คสช.ก็ได้หารือเช่นกันว่า จะปล่อยให้จตุพรพูดสิบครั้ง แล้วเชิญมาสิบครั้ง เป็นไปอย่างนี้หรือ หรือจะจัดการแก้ปัญหาด้วยการถอนประกัน! สุดท้ายก็มีการเชิญตัวจตุพรพร้อมผู้ติดตาม 3-4 คน และถูกพามาที่กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ย่านดินแดง “ดูเหมือนคุณจตุพรจะมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นคณะนายทหารที่เข้ามาพูดคุย” แหล่งข่าวเล่าถึงนาทีแรกที่จตุพรมาถึง แต่เมื่อพูดคุยกันได้เพียงเล็กน้อยก็มีการเปลี่ยนสถานที่ และมีการแจ้งต่อจตุพรว่า ต้องไปกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) นั่นก็สร้างความตกใจให้แก่จตุพร ถึงกับหลุดปากมาว่า “จะย้ายผมไปไหน” เป็นที่รู้กันว่า ที่ มทบ.11 นั้น ถูกใช้เป็น "เรือนจำชั่วคราว” คุมขังนักโทษสำคัญในคดี มาตรา 112 และนักโทษคดีระเบิดศาลท้าวมหาพรหม แต่ที่ มทบ.11 นั้น มีทางเข้า 2 ประตู ประตูใหญ่จะตรงเข้าไปยังกองบัญชาการ ส่วนประตูข้างที่เรียกว่า ประตูอำนวยสงคราม ซึ่งทหารเลือกใช้ประตูนี้ ซึ่งมีป้ายติดไว้ชัดเจนว่า “เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี” เมื่อมาถึงจุดที่เตรียมไว้ เจ้าหน้าที่ทหารได้แยกจตุพรออกมาส่งให้แพทย์ตรวจเช็กร่างกาย และให้เข้าไปนั่งในห้องพูดคุยกันเพียงคนเดียว โดยที่นั่นมีนายทหาร 4-5 นาย รออยู่แล้ว คำถามที่ดูเหมือนจะเป็นการพูดคุยเสียมากกว่าประโยคหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ทหารเชื่อว่า จตุพร “เข้าใจ” ก็คือ ถ้าอยากให้มีการตั้งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ ก็ไม่ควรเอาการเมืองไปเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะจะยิ่งทำให้เกิดปัญหายุ่งยากเข้าไปอีก พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ทหารเชิญตัวจตุพรมาก็เพราะต้องการขอความร่วมมือและพูดคุยทำความเข้าใจ เกี่ยวกับการให้ความเห็นต่อประเด็นต่างๆ ผ่านสื่อในช่วงนี้ เพราะการให้ความเห็นช่วงที่ผ่านมาในบางเรื่อง เป็นการไปขยายความเพิ่มระดับความขัดแย้งและชี้นำ ตลอดจนพาดพิงบุคคลและองค์กรอื่นๆ พ.อ.วินธัย ยืนยันว่า เชิญมาและได้กลับบ้านเหมือนเคย แต่เชื่อว่า ลึกๆ ความรู้สึกของการ “มา” ครั้งนี้ สำหรับจตุพรแล้วน่าจะ “ไม่เหมือนเคย” ---------------------- (ถก 'จตุพร' เฉียดคุก มทบ.11 : โดย...ทีมข่าวสืบสวนสอบสวน) ------------------------------------------ นี่แหล่ะ ที่โบราณเขาว่า ว่า… "คางคก ยางหัวไม่ตก ไม่รู้สำนึก".. .ท่าจะจริง...
ข่าววงไน๊..ใน"กระซิบข้างหู"ว่า ไอ้แม้วมันสั่งไว้ ถ้าไอ้ตัวไหนโดนทหารเรียกไปปรับทัศนคติ มันให้ครั้งละตั้งหมื่น แล้วถ้าถูกคุมตัวมันให้อีกวันละพันสอง พวกมันเลยขยันออกมาเห่ากันไง..เจงๆนะ.