http://www.naewna.com/politic/columnist/20466 เฮือกสุดท้าย...ของ ‘นายทักษิณ’ การถูกถอดยศ “พันตำรวจโท” ของนายทักษิณ ซึ่งควรอยู่ในตะรางเป็นนักโทษ แต่กลับหนีไปอยู่ต่างแดน ทิ้งลูกหลานบริวารและเมียเก่าเผชิญชะตากรรมอยู่ในเมืองไทย โดยยังอาศัยคนเหล่านี้ส่งสัญญาณทางการเมืองอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นความปวดร้าวอย่างแสนสาหัสของเขาแน่นอน แม้จะอ้างคำพระปลอบใจตัวเอง และถ่ายเป็นคลิป เพื่อให้เมืองไทยนำมาเผยแพร่ว่า “ตายไปก็เอาไปไม่ได้” แต่จากสันดานในการแสดงออกหลายสิบปีที่ผ่านมาในความรับรู้ของคนไทย นายคนนี้ก็ “กอบโกย” สิ่งที่ “ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้” ไปสารพัด เขาจึงเป็นแค่ “ปลวกในห่อคัมภีร์” ที่บังเอิญกัดกินใบลานมาถึงท่อนที่จารึก “คำพระ” ตรงประโยคนี้พอดี เหมือนจะดูสวยงามสำหรับเหล่าบัวใต้น้ำที่ไม่ต้องคิดอะไรย้อนหลังหรือดูปูมหลังของเจ้าปลวกตัวนี้ เห็นมันคาบคำพระมา ก็นึกว่ามันบรรลุธรรม ที่ไหนได้ 1) จะมีอะไรเจ็บปวดไปกว่านี้ สำหรับทักษิณ ชินวัตร โคตรญาติและบริวาร ทักษิณอยู่เมืองไทยไม่ได้ เพราะกรรม เพราะโกง และเพราะเกมทางการเมืองที่ตนเองก่อไว้ กลายเป็นคดีความที่ยากจะหาความสุจริตมาสู้ (เพราะถ้ามี เขาคงจะสู้แล้วล่ะ) เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไปซื้อแผ่นดินอื่นอยู่ และ “ลบอาย” ด้วยการให้บริวารยังเทียวไปพินอบพิเทา และเพรียกหาเหมือนศาสดาที่สูญหาย ทำให้ทักษิณดูมีค่า หลอนกันไปหลอนกันมา ก็อิ่มเอมใจดี แม้ต้องสละทรัพย์บางส่วนเพื่อสร้าง “โลกเสมือน” ที่ชุบชูใจนี้มาโดยตลอดก็ตาม ทักษิณถูกยกเลิกหนังสือเดินทางไทย สักพัก เมื่อน้องสาวและบริวารขึ้นมาเป็นใหญ่ในเกมแห่งอำนาจ ก็คืนพาสปอร์ตให้ และต่อมาถูกยกเลิกใหม่ เขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร เพราะไปซื้อสัญชาติอื่นไว้สำหรับร่อนเร่เรียบร้อยแล้ว ทักษิณถูกริบทรัพย์บางส่วนตามกฎหมาย เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ป้องกันครอบครัวไว้ด้วยการหย่ากับเมีย และกระจายเงินไปไว้ในหลากหลายที่ พอมีพอใช้ พอชุบเลี้ยงบริวารให้ทำงานแทนไปได้ทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ ตลอดจนหาเพิ่มได้อีกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะโดยการหาผ่านการทำงานสุจริต ปั่นเงินตามระบบทุนนิยมโลก หรืออาศัยอำนาจทางการเมืองด้วยการ “เชิด” มาจากแดนไกล ตลอดมา ไม่ว่าทักษิณจะสูญเสียอะไร “เงิน” ของเขาจะหาสิ่งใกล้เคียงกันมา “ชดเชย” ได้เสมอ ยกเว้น ยศ “พันตำรวจโท” ที่ใช้ไม่เลิกนี่แหละ ที่ไม่รู้จะไปหาที่ไหน มาตรการ “บังคับใช้กฎหมาย” ที่หย่อนยานและยกเว้นละเว้นกันมานานในเรื่องนี้ของบิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงถือว่าเป็น “จระเข้ฟาดหาง” เข้าที่ปลายคางชนิด “บาทาลูบพักตร์” จนทักษิณหงายหลังตึงเลยทีเดียว จึงจะเห็นว่าเขา “ออกอาการ” ตั้งแต่พูดแล้วอัดคลิป เพื่อต้องการ “ระบาย” และ “บำบัด” ความเสียหน้า เสียดาย เสียใจ เสียเหลี่ยม ตลอดจนเสียอำนาจและบริวารที่เฝ้า “ยื้อ” เกมนี้กันมานานไปจนหมดสิ้น คนปกติที่ไหน หรือคนเข้าถึง “ธรรม” ที่ไหน จะ “จงใจ” พูดแล้วถ่ายคลิปขึ้นเผยแพร่ ไหนจะลูกเต้าบริวารที่ดาหน้ากันออกมา “เติมก็ไก่ให้นายทักษิณ” กันชุลมุนไปหมด ราวกับ “บวชหน้าไฟ” ให้บุพการีที่ล่วงลับ เป็นบุญสุดท้ายที่ไปช่วยค้ำ “ดวงวิญญาณ” ให้ “ตายตาหลับ” และ “ไปดี” จึงนับว่าบิ๊กตู่ท่าน “ตีถูกจุด” เรียกว่า ฟาดโครมไปที่กล่องดวงใจของนายทักษิณกันทีเดียว ซึ่งมีผล 2 ทาง ทางหนึ่งคือส่งสัญญาณให้ทักษิณรู้ว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ไม่มีกลัว ไม่มีออมชอม ไม่มีประนีประนอมอีกแล้ว เพราะหนึ่งปีที่บิ๊กตู่เข้ามา ฝ่ายทักษิณไม่เคย “สงบ” และให้โอกาสท่านได้ “เยียวยาประเทศ” โดยง่ายเลย ส่วนผลอีกทางคือ ประชาชนที่รอคอยมานาน ว่าเมื่อไหร่ทักษิณจะถูกถอดยศ เพราะเรื่องทั้งหมดเข้ากรอบของการต้องถูกถอดยศอย่างจะแจ้ง ทั้งการต้องคำพิพากษาจำคุกและการต้องหมายศาลแล้วหลบหนีไปต่างประเทศ ตลอดจนมีนายตำรวจนอกราชการ ถูกถอดยศกันไปแล้วหลายคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ มิใช่กระทำกับนายทักษิณเป็นคนแรก
ต่อ...... ทักษิณเองก็รู้ชะตา ตั้งแต่เห็นพลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ตั้งที่ปรึกษา สบ 10 ขึ้นเป็นประธานกรรมการทบทวนเรื่องนี้ เพราะบุคคลผู้นั้นมิใช่ “ขี้ข้าบริวาร” ของทักษิณอย่างแจ่มชัดมานมนานแล้ว ไม่เหมือนตำรวจอื่นๆ ยิ่งเห็น พล.อ.ไพบุลย์ คุ้มฉายา เข้ามาแก้ปัญหาการ “ซื้อเวลา” ด้วยการเรียกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปนั่งประชุมหาคำตอบ ว่าจะถอดยศกันได้หรือยังแล้ว ก็หนาวยิ่งกว่าหมีขั้วโลกเจอพายุหิมะเข้าเสียอีก หากจับกระแสจาก “ศุภรัตน์ นาคบุญนำ” ที่จัดรายการผ่านช่องไบรท์ทีวี จะพบว่าเธอส่งรหัสมอสผ่านหน้าจอถี่ยิบเสมอในช่วงเวลานั้นว่า “รอแต่กระบวนการโปรดเกล้าฯ” ซึ่งรหัสนี้ “ไม่ธรรมดา” นะครับ แม้จะตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงตามกระบวนการ แต่การถูกย้ำทุกวันทุกเช้าอย่างมีนัย ก็ใช่จะไม่นับเป็น “สัญญาณ” อะไรบางอย่าง แต่พล.อ.ประยุทธ์ท่านเป็น “ทหารของพระราชา” โดยแท้ ท่านจึง “ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม” ยอมให้ไฟไหม้มือ เจ็บแทน ด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แทนการนำความขึ้นกราบบังคมทูล และให้เหตุผลกับสื่อมวลชนสั้นๆ ว่า “เพื่อลดพระราชภาระ” และตามมาด้วยคำอธิบายของบุคคลแวดล้อมชัดเจนขึ้นมา เพื่อตัดกระแสความขัดแย้งที่จะลามเลยไปถึงองค์พระประมุข ซึ่งหากใครได้อ่านหนังสือ “ถอดรหัสรัฐประหาร จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ ผมก็ได้ชี้ไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ท่านรักและจงรักภักดีสมเป็นชายชาติทหารด้วยการ “ตัดไฟ” ไม่ไห้ “ลาม” และ “ลามปาม” มาครั้งหนึ่งแล้ว ในการตัดสินใจ “รัฐประหาร” ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากทำ เพราะจำเป็นต้อง “หยุด” ความขัดแย้งทั้งหมดไว้ที่จุดนี้ ไม่เช่นนั้น เรื่องจะขึ้นไปถึงสถาบันเบื้องสูง ไม่ว่าจะโดยวุฒิสภาหรือโดยมวลมหาประชาชน ที่ต้อง “เปิดทางออก” ให้ประเทศไทย ด้วยการนำชื่อใครสักคนขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นนายกฯ ชั่วคราว นายกฯ คนกลาง หรือนายกฯ คนนอก ซึ่งย่อมจะมีทั้งฝ่ายที่รับได้และรับไม่ได้ เพราะรัฐบาลรักษาการที่เหลืออยู่แค่ฟายมือเดียวในตอนนั้นบอกว่า “นาที่นี้ ยังไม่ลาออก” ให้กระบวนการมันสวยงามและราบรื่นได้ ผลจากการใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด เป็นธรรม และเสมอหน้ากับข้าราชการตำรวจรายอื่นๆ ที่ถูก “ถอดยศ” ไปแล้ว จึงนำมาซึ่งความเคลื่อนไหวในช่วงนี้ที่ต้องจับตาดู 2) ผมเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ “หมดใจ” ที่จะ “ปรองดองลมๆ แล้งๆ” กับบางฝ่ายแล้ว ท่านได้ให้เวลา ให้โอกาสมาเป็นแรมปี แต่กลับไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักพอเสียที ก็ต้องเป็นตัวท่านเองที่จะหยุด คือหยุดหวังว่า “โจรจะกลับใจ” การถอดยศจึงเป็นสัญญาณเช่นกันว่า “แตกเป็นแตก” แต่ต้องทำให้ “ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด” และกระชับอำนาจของ คสช. เข้ามาเต็มพิกัด ผ่านอะไรบ้าง 2.1 ผ่านการปรับตำรวจ ทหาร ชนิดที่ไม่ต้องนั่งเย็นสันหลังวาบๆ ในช่วงที่ยังต้อง “ควบคุมสถานการณ์” ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ ซึ่งเกินกว่าที่ท่านจะขอให้หยุดความแตกแยก หยุดยุยงปลุกปั่น หันมารักกัน แล้วทำเพื่อประเทศชาติได้แล้ว ท่านรู้แล้วว่าบางคน บางพวก มันไม่ทำ และ “ไม่ฟัง” 2.2 ผ่านการที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน สปช. จะพูดให้สวยงามอย่างไรก็ไม่ยากหรอก แต่พูดความจริงกันเถิดว่า ประเทศไทย ยังไปถึงขั้นผ่านรัฐธรรมนูญร่างดังกล่าวนั้นไปสู่การทำ “ประชามติ” ยังไม่ได้หรอก เพราะประชาชนยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่ยังห่วง “อำนาจและผลประโยชน์” ก่อนการทำประชามติ ก็เห็นสัญญาณการลุกขึ้น “ปลุกปั่น” ประชาชนกันชัดเจนแล้ว ไม่ง่าย ที่ฝ่ายความมั่นคงจะยอมให้บ้านเมืองกลับมาถูกปลุกให้ “ลุกเป็นไฟ” อีกรอบ หลังจากควบคุมให้สงบขึ้นมาได้เป็นปีๆ และทำท่าว่าจะดีกว่าเดิมได้แล้ว ประกอบกับมีความผิดพลาดในการ “สร้างการความรู้ทางบวก” ต่อเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่เนื้อหาที่เลวแต่อย่างใดเลย มีเพียงไม่กี่ข้อที่ยัง “สร้างการรับรู้เชิงบวก” ไม่พอ จึงไม่เป็นที่พอใจหรือเข้าใจตรงกัน โดยเฉพาะสำหรับประชาชนนั้น รัฐธรรมนูญเป็น “เรื่องยาก” สำหรับเขา เขาก็จะหันไป “รับสัญญาณ” จาก “ตัวบุคคล” แทน “เนื้อหา” บุคคลที่เป็นระดับหัวโจกทางการปลุกปั่นจึงทยอยแสดงตนออกมาทันทีในช่วงท้ายๆ ก่อนวันที่ สปช. จะมีมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ สัญญาณความวุ่นวายดังกล่าว สัญญาณความไม่พร้อมที่จะไปสู่การเลือกตั้งที่มีคุณภาพของประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว จึงนำมาซึ่งการ “ไม่ผ่าน” ร่างรัฐธรรมนูญ แต่ถามว่าเป็นการ “ต่ออายุ” รัฐบาล คสช.ไหม ตอบว่า ไม่เชิงหรืออาจถึงขั้น “ไม่ใช่” เพราะยังเป็นไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ไม่ได้แหกเงื่อนไขและเงื่อนเวลาใดๆ เลย เพียงแต่การไปถึงการเลือกตั้งจะล่าช้าไปอย่างน้อย 7 เดือน คือ 1 เดือน ต้องหากรรมการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อีก 6 เดือน เป็นเวลาที่ใช้ในการร่างและสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องต่อเนื้อหาและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การไม่ผ่านในชั้น สปช. จึงมีข้อดีหลายประการ เช่น ทำให้รัฐบาลได้มาตั้งหลักขับเคลื่อนเรื่อง “การปฏิรูป” ที่เป็นข้อเรียกร้องของประชาชนได้อย่างจริงจังขึ้น หากรัฐบาลมีใจที่จะปฏิรูปจริงๆ ก็ควรถือโอกาส “กางแผนงานการปฏิรูป” สร้างความรับรู้เชิงบวก และปลุกพลังคนไทยขึ้นร่วมมือนำชาติบ้านเมืองเข้าสู่การปฏิรูปเพื่ออนาคตที่ดีกว่า โดยสลับฐานะของร่างรัฐธรรมนูญที่เคยทำเป็นเรื่องใหญ่สุด ให้มาเป็นเพียง “เครื่องมือหนึ่ง” ของการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิมและการอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาที่เข้มงวด แข็งแรงกว่าเดิม และการไม่ผ่านครั้งนี้ ทำให้ฝ่ายปลุกปั่นได้สติว่า ระยะทางและระยะเวลาสู่การ “ปลดปล่อย” บ้านเมืองเข้าสู่เกมของ “นักเลือกตั้ง” นั้น อยู่ในมือของ คสช. และยิ่งนานวันภายใต้รัฐบาล คสช. ที่เอาจริงเอาจังเรื่องความโปร่งใส ไม่โกง ไม่เอาประโยชน์เข้าตัว ยิ่งเพิ่มพูนความรักความนิยม จนพร้อมที่จะอยู่กับรัฐบาลแบบนี้ได้ ถึงเขาจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนก็ตามที แต่เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะใช้อำนาจที่มี ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน 3) เกมการเมืองระหว่างฝ่ายทักษิณกับรัฐบาล คสช. หลังถูกถอดยศ จะเข้มข้นขึ้น ดูสัญญาณจากบริวารทักษิณ เขาเริ่มขยับกันแล้ว แคมเปญหลักที่กำลัง “เร่งมือ” กันอยู่ ตอนนี้คือ “โจมตีเรื่องเศรษฐกิจ” การที่พล.อ.ประยุทธ์ ปรับทีมเศรษฐกิจ และใช้อดีต “คนสนิท” ของทักษิณ อย่าง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งรู้ไส้รู้พุง “ทักษิโณมิกส์” คือระบบการจัดการระบบเศรษฐกิจแบบทักษิณ มาคลี่คลายสถานการณ์นั้น สร้างความหวั่นใจให้ฝ่ายทักษิณมาก จึงจะเห็นว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่ายทักษิณลุกขึ้นวิจารณ์ประเด็นเศรษฐกิจกันอย่างหนักหน่วง ทั้งเรื่อง ลอกนโยบาย ทั้งเรื่องเคยต่อต้านทักษิณ-ยิ่งลักษณ์กัน รัฐบาลนี้ทำตั้งหลายโครงการเหมือนยิ่งลักษณ์-ทักษิณ พวกสลิ่มไปไหนหมด รวมไปถึงส่งบริวารที่ไม่ได้มีประวัติดีหรือสมองดีออกมาวิจารณ์ เช่น กิตติรัตน์ ณ ระนอง ออกมาแก้ต่างเรื่องจำนำข้าวกับรถคันแรก รองโฆษกหญิงโนเนม 2 คน หรือแม้กระทั่ง (ขี้) ข้าราชการเก่าอย่าง “ยรรยง พวงราช” ก็ออกมาเปรียบเทียบตัวเลขสารพัด เพื่อจะบอกว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของ คสช. ล้มเหลว หน้าด้านถึงขนาดเปรียบเทียบตัวเลขราคาข้าวว่า สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชาวนาขายข้าวได้เกวียนละ 15,000 บาท ยุคนี้ต่ำกว่านั้นมาก และเอาราคาปาล์มน้ำมันกับยางพาราขึ้นมาผสมโรงด้วย เพราะเล็งว่าเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลนี้ และรู้ว่าเกษตรกรกำลังเดือดร้อนและเตรียมจะเคลื่อนไหว ขณะที่สัญญาณจากบิ๊กตู่ก็ แรง-ชัด” ไม่แพ้กัน ตั้งแต่เชิญพิชัย นริพทะพันธุ์ กับการุณ โหสกุล ไป “เลี้ยงข้าวและพูดคุย” พร้อมส่งสัญญาณว่าใครให้ร้ายรัฐบาลด้วยความเท็จ กฎหมายปกติจะจัดการกับพวกเขา การพูดถึงรัฐบาลเก่าๆ ที่สร้างความเสียหายให้บ้านเมือง การ “แซวน้องปู” ว่าด้วยอย่าคิดว่าใครก็มาเป็นนายกฯ ได้ แค่อ่านโพย แถมอ่านผิดอีกต่างหากนั้น เป็นสัญญาณที่แจ่มชัดถึงภาวะ “สิ้นเยื่อขาดใย” ต่อจากนี้ไป ดูเกมของฝ่ายทักษิณ และยลเกมของ คสช. ที่พลิ้วไหวไม่เบา ว่าเขาจะ “ห้ำหั่น” กันอย่างไร แต่สำหรับคนไทย เกมดังกล่าวไม่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น และไม่ช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้น จึงไม่ควรเอาตัวเองไปเป็นเครื่องมือของการ “ทำลายชาติ” หรือ “ปั่นป่วนชาติ” ให้ทรุดหนักกว่านี้ Our Home Our Country, Stronger Together เราจะต้องสร้างบ้านเมืองให้เติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน
เห็นด้วยกับบทความเรื่องการถอดยศ ประชาชนไม่ได้ไม่เสียอะไร แต่กับข้าราชการที่เคยเป็นขี้ข้าคงต้องสะเทือนไม่น้อย
Pratheep Nualsesth ว่ากันตรงๆ สถานะการณ์ของฝ่ายทักษิณขณะนี้ กำลังเพลี้ยงพล้ำเหมือนโจโฉตอนแตกทัพ แม่ทัพนายกองคออยู่บนเขียงกันหมด กระบวนการยุติธรรมกำลังเดินหน้ากวาดเก็บเต็มที่ ไปศาลอาญาเมื่อไรเจอแต่คนพวกนี้ที่ต้องมาขึ้นศาลในคดีครั้งเผาบ้านเผาเมืองและคดีที่เกี่ยวเนื่อง ...แต่ถ้ามีจังหวะและโอกาศคนพวกนี้พร้อมสู้ตาย สู้แบบไม่มีอะไรต้องเสียกันอีกแล้ว สู้เพื่อให้ได้อำนาจรัฐไว้ในมือตนเพื่อเปลื่ยนโชคตาตัวเอง ลำพังฝ่ายการเมืองและพลังประชาชนฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถต่อกรกับพวกนี้ได้แน่ หากไม่มีทหารมาควบคุมอำนาจอยู่ขณะนี้ ...ภารกิจกวาดล้างคนชั่ว ปฏิรูประเทศ เราจึงต้องฝากไว้กับลุงตู่จนกว่าภาระกิจจะสำเร็จ
คนกลุ่มนี้ กลุ่มลูกน้องไอ้ทัก ไม่สู้ตายครับ คนจะสู้ตาย หรือพลีชีพเพื่ออะไรสักอย่าง --- เงินเป็นปัจจัยที่เล็กมาก . . . อุดมการณ์ ความเชื่อ ศรัทรา ทำให้คนสู้ตาย **** แบบที่มาเคียส วาลี ว่าไว้ จงใช้ทหารเกณฑ์ อย่าใช้ทหารรับจ้างไปรบ เพราะทราบรับจ้างรบเพื่อเงิน อำนาจ แต่ทหารเกณฑ์ รบเพื่อบ้านเกิดเมือนอน เพื่อครอบครัว **** แต่ผมดูทีมงานพี่ทักแล้ว การโคจรมาพบกัน - ธาตุที่พามาให้เป็นพวกกัน = เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน ผมเชื่อว่า พอถึงจุดนึง ที่โดนบีบรัดเข้ามามาก พอจวนตัวเข้าจริงๆ ติดคุกแน่แน่ เงินที่มี ไม่เหลือแน่ ลูกเมียลำบากแน่ แน่ ถึงจุดนั้น จะมีการร้องขอการต่อรองแน่นอน เช่นแฉออก TV ** รับเงินจากไหน *** จากใคร **** ยังไง ***** ให้ทำอะไร ******ที่ไหน *******ยังไง . . . คดีกรุงไทยเป็นตัวอย่างชั้นดีครับ ทุกคนที่เข้าคุก มีใน บช. 8หลัก up ทั้งนั้น แต่มันมีประโยชน์อะไร ถ้าต้องตายในคุก ไม่ได้ใช้สักบาท เชื่ดดิ มีย้ายข้างแน่ มีสักคน มันจะตามอีกเป็นพรวน คิดว่าที่เค้ามาแจมกับพี่ พี่เพราะเค้ารักพี่ จริงๆรึว่ะครับ พี่ทัก ถ้าเป็นไปตามทฤษฎีนี้ ตู่ - เต้น น่าจะคนแรกที่ย้ายข้างทีเดียว คือคนมัน ลิ้มรสความลำบากมาทั้งชีวิต เพิ่ง ป็อกเข้าฮอส สบายได้แค่ไม่กี่วัน มันไม่กล้าปล่อยให้ลูกมัน เพชิญสิ่งที่มันเคยเจอหรอกครับ wait and see
ผมเอาใจช่วยลุงตู่มาตั้งแต่พฤษภาปีที่แล้วและจะเอาใจช่วยต่อไป ผมเชื่อใจแก แต่ก็หนักใจกับคนไทยจำนวนหนึ่งนะครับ พวกนี้เคยเกลียดทักษิณและเชียร์ลุงตู่ แต่พอไม่ได้อย่างใจจะเรื่มมีข้อกล่าวหา เกี้ยเซี้ยบ้าง ถูกเงินปิดปากบ้าง ฯลฯ ผมกล้าพูดว่านี่เป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่เราจะกู้ชาติไทยให้กลับมางดงามเหมือนเดิม เรามีพวกขายเสียงขายลูกกินอยู่ไม่น้อยและพวกนี้เกือบทำไทยสิ้นชาติมาแล้ว พวกนี้นิสัยเปลี่ยนยากแต่ถ้าไม่มีเงินมาฟาดหัว ก็น่าจะอยู่นิ่งๆให้การปฏิรูปเดินหน้าไปได้
ฝ่ายแดง ก็มีพวกยอมพลีชีพเหมือนกันนะ แต่ต้องมีคุณสมบัติเกลียดชังอย่างรุนแรง แบบวิปริตผิดมนุษย์ กับ โง่เกินมนุษย์ ซึ่งฝ่ายที่เข้าเค้า ก็มีพวกร่านจัดๆ กับ พวกโง่จนเจ็บ ตายควายๆ ซึ่งพวกนี้ก็เป็นส่วนน้อยของเสื้อแดงอยู่ดี เพราะ อุดมการณ์หลักๆของพวกนี้มีพื้นฐานที่เงิน ทั้งนั้น
