จากผลการสำรวจเหตุผลของประชาชนที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะไปลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.95 ระบุว่า คิดว่าน่าจะดีกว่าฉบับเดิม เพราะผ่านการกลั่นกรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิมาดีแล้ว มีสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง รองลงมาร้อยละ 21.12 ระบุว่า ต้องการเห็นการปฏิรูปประเทศ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อยากให้ประเทศเดินหน้า และเศรษฐกิจดีขึ้น ร้อยละ 8.51 ระบุว่า ชื่นชอบระบบการทำงานของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล คสช.และระบบการทำงานของทหารที่จริงจัง เข้มงวด ร้อยละ 8.02 ระบุว่า ต้องการให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตามระบอบประชาธิปไตย ร้อยละ 7.83 ระบุว่า มีกฎหมายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริต คอร์รัปชันของกลุ่มนักการเมือง การคัดกรองนักการเมือง และบทลงโทษของนักการเมืองและข้าราชการที่ประพฤติมิชอบ ร้อยละ 4.74 ระบุว่า ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสวัสดิการ ด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล ปากท้องของประชาชน เบี้ยผู้พิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้มีรายได้น้อย ร้อยละ 4.69 ระบุว่า ไม่ต้องการให้ยืดเยื้อ หากไม่รับร่าง อาจเกิดความขัดแย้งความวุ่นวายตามมา ประเทศก็จะย่ำอยู่กับที่ ต้องเสียเวลาและงบประมาณในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ร้อยละ 1.84 ระบุว่า รับร่างฯ เพราะทำตามสิทธิและหน้าที่ของตนเอง ร้อยละ 1.55 ระบุว่า รับร่างฯ ตามกระแสสังคม คำบอกเล่าของคนในครอบครัว เพื่อน คนรอบข้าง ร้อยละ 1.45 ระบุว่า เบื่อหน่ายระบบการเมืองแบบเดิมๆ และ ร้อยละ 1.30 ระบุอื่นๆ ได้แก่ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน , ควรให้โอกาสและลองใช้ดู , ควรเคารพการตัดสินใจของผู้บริหารประเทศขณะที่บางส่วนระบุว่า จะรับร่างหรือไม่รับร่างก็ไม่แตกต่างกัน http://www.naewna.com/politic/230317 ............................................................. โดยหลักๆคนที่รับร่างฯ เพราะเชื่อว่าดีกว่าฉบับเดิมและเชื่อมั่นนายกฯว่าจะสามารถนำประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปได้ หลุดพ้นความขัดแย้งและเบื่อการเมืองแบบเก่าๆ
เป็นไปได้ไหมว่าการลงคะแนนโดยไม่มีเงินมาชักจูงชี้นำอย่างในครั้งนี้ จะเป็นสาเหตุที่ผลการลงคะแนน ออกมา ผิดคาด เอามากๆ และหากข้อสงสัยนี้เป็นจริง รัฐบาลและ กกต. ควรจะเชื่อมั่นและตั้งใจยิ่งขึ้นที่จะทำให้การใช้เงินทองเป็นสื่อชักจูงล่อใจประชาชนลดน้อยลงหรือหมดไปโดยพื้นฐาน ได้จริงๆ มีบางท่านที่ทำงานภาคประชาชน ไม่อยากรับรัฐธรรมนูญและไม่เห็นด้วยกับคำถามพ่วงที่ให้ ส.ว. ร่วมกับ ส.ส. เลือกนายกรัฐมนตรีในห้าปีแรก พากันเพลียใจกับผลประชามติ แต่สิ่งที่คนทำงานในภาคประชาชนควรคิด คือ เวลานี้เราคิดไม่เหมือนประชาชนจริงๆเสียแล้ว แล้วชื่อของงานของเรายังควรชื่อภาคประชาชนหรือเปล่า ถ้าไม่หยิบยกประชามติมาทบทวนความคิดของเรา มีบางท่านที่คิดว่าตนเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ท่านก็ต้องคิดว่า เอ๊ะ ! ประชาชน เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญและเห็นด้วยกับคำถามพ่วง ซึ่งดูไม่เป็นประชาธิปไตยนา ประชาธิปไตยกับสิ่งที่ประชาชนคิดไม่เหมือนกันนะครับ มีสองพรรคใหญ่ที่ควรทบทวนความคิดแผนการและยุทธศาสตร์รวมทั้งการจัดวางกำลังของตนเองอย่างจริงจังและเร่งรีบ แน่นอน การลงประชามตินี้ ฝ่ายที่ไม่รับ ไม่เอา ไม่มีโอกาสที่จะรณรงค์และคัดค้านได้ แต่จากสื่อสังคมและจากสื่อมวลชน ประชาชนรู้ได้ว่าผู้นำของตนคิดอย่างไร จะรับ จะเอา หรือ ไม่รับ ไม่เอา และเสียงที่รับและเอานั้นก็ชนะขาด ชัดเจน ควรที่ฝ่ายแพ้ก็ควรยอมรับ และฝ่ายชนะเองก็ไม่ควรเหิมเกริม ประชาชนนั้นตกลงจะให้รัฐธรรมนูญที่รับรองว่าจะมีรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีไม่ใช่นักการเมืองจากการเลือกตั้งก็ได้ และนายกรัฐมนตรีมาจากเสียงสนับสนุนร่วมของ ส.ว. และ ส.ส. ในห้าปีแรกได้ แต่นั่นเป็นกลไกทางรัฐธรรมนูญและกฏหมาย ในทางพฤติกรรมนั้น ยากรู้หยั่งถึง ถ้านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไม่อยู่ในร่องในรอย ก็ไม่มีใครประกันได้หรอกว่าประชาชนจะไม่ออกมาขับไล่ สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำต่อจากนี้ไป คือ ทำให้ประชาชนพอจะมองเห็นว่า รัฐบาลที่ผิดแผกจากประชาธิปไตยทั่วไปนั้น จะเอาความมั่นคงและเสถียรภาพไปทำอะไร แน่นอนไม่ใช่เพื่อการเสวยสุขของ ฝ่ายคนนอก ฝ่ายพรรคใหญ่ ฝ่ายพรรคกลางและเล็ก แต่ต้องเป็นไปเพื่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปฏิรูปและเพื่อสันติสุข ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพตส์บทความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง คิดอย่างไรกับผลการลงประชามติ http://www.isranews.org/isranews-article/item/49108-neklaothamatas.html#.V685BeC9pM4.facebook ................................................................ ถึงจะอ้างว่าขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างไรก็ตาม ในทุกพื้นที่นักการเมือง หัวคะแนนต่างๆไม่สามารถชี้นำประชาชนได้แล้ว น่าจะหมายถึงว่า ครั้งนี้เป็นเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
เรื่องมันก็ง่ายๆ ชัดเจนโค็ด แบบนี้แหละ บอกแล้วว่าไม่เห็นต้องอ่าน บอกแล้วว่ามันไม่เกี่ยวรธน. มันแค่ ประชาชนเค้าต้องการความสุขสงบ
ตอกยํ้าความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน ที่มั่นใจให้ความไว้วางใจกับรัฐราชการมากกว่ารัฐเอกชน ข้อดีข้อเสียระหว่างรัฐที่มาจากเอกชนกับรัฐที่มาจากราชการมันย่อมมีอยู่แล้ว แต่โดยรวมตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่ารัฐเอกชนบริหารประเทศล้มเหลวมาตลอด ภายใต้นโยบายกินใต้โต๊ะ,โกยส่วนแบ่ง,หักหัวคิว,ถอนทุนคืน แต่รัฐราชการก็มีข้อด้อยคือไม่มีคนรับผิดชอบชัดเจนบริหารแบบลอยตัวแต่ง่ายต่อการที่คนทั่วไปจะตรวจสอบ เพราะมีที่มาที่ไปชัดเจน
http://www.naewna.com/politic/230317 วิเคาะห์จาก"เหตุผล"ของคนที่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2559 มันชี้ให้เห็นได้เลยว่า คนไม่รับร่าง อ่านศึกษาร่าง "มากกว่า" คนรับร่างจริงๆ
อ่าวเฮ่ย ยังไม่เลิกอีกเหรอ เรื่องอ่า่นไม่อ่านเนี่ย วันก่อนโพสมาหลายรอบหลายคนมั้ง เอ๊า ท่าเลอกูชอบตอบ มันไม่เกี่ยว อ่านไม่อ่าน
รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน เข้าใจตรงกันนะ รอดูพวกกาสรสีชาดดิ้นอะ "บิ๊กตู่" ลั่น! เป็นรธน.ฉบับประชาชน หลังเทโหวตเอาด้วย ขออย่าเชื่อใครบิดเบือนว่าจัดทำโดยทหาร เตรียมแจงโร้ดแม็พผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ หลัง10ส.ค. ไม่สนต่างชาติท้วงประชามติ ยันปี60เลือกตั้งได้ เผยยังไม่มีแนวคิด"เซต ซีโร่" พร้อมเดินหน้าตามโร้ดแม็พ ไม่ตอบจะรับนั่งนายกฯคนนอก
อย่างที่ผมเคยบอกนั่นแหละ ที่บอกว่าอ่านร่างรัฐธรรมนูญมา ศึกษาร่างรัฐธรรมนูญมาแล้ว ที่อ่านน่ะแบบไหน อ่านจากที่ไหน สรุปร่างรัฐธรรมนูญแบบชวนเชื่อบิดเบือนหรือเปล่า ?
