สรุปว่า ติดคุกแล้วแน่ๆเหรอ แน่นะ สุดที่ศาลฎีกาแล้วใช่ปะ ใครช่วยย้ำอีกทีหน่อยน่า เผืิ่อจะมีคนกันเองแบ่งปันฝากของดีไปให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ค ingshin21 ระบุว่า สูตรเคล็ดลับผิวขาวของสาวเกาหลี ขาวได้ไม่ต้องฉีดไม่ต้องทานยา สบู่หอมๆก้อนเดียวblinkkkkkk ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจค่ะมีอะไรดีๆก็อยากแบ่งปันนะคะ
http://www.matichon.co.th/news/262665 ส่วนนายไกรสร และนายไชยยันต์ จำเลยที่ 2-3 องค์คณะมีมติเสียงข้างมากให้พิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 2 หมื่นบาท กรณีที่จำเลยที่ 2-3 ไม่ได้จัดทำข้อมูลวิเคราะห์ผลการเปลี่ยนแปลงสัญญาดังกล่าวว่ามีผลกระทบต่อรัฐอย่างไร ทั้งที่จำเลยทั้งสองเคยปฏิบัติหน้าที่ด้านการสื่อสาร กระทรวงคมนาคม และกรมไปรษณีย์โทรเลข ย่อมทราบข้อเท็จจริงดีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่มีอำนาจในการแก้ไขหรืออนุมัติสัญญาดังกล่าว โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 5 ปี
ทั้งนี้จากการสืบพยาน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เบิกความทำนองว่า ขณะเกิดเหตุกระทรวงไอซีทีได้มีหนังสือส่งมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตนได้ตรวจสอบดูแล้วเห็นว่า ไม่สามารถนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ เนื่องจากนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) มีฐานะเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท ชิน คอร์ปฯ และเป็นคู่สัญญากับภาครัฐ ดังนั้นหากนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนขึ้นได้ ทั้งนี้นายบวรศักดิ์ เบิกความอีกว่า ได้โทรศัพท์กลับไปยัง นพ.สุรพงษ์ เพื่ออธิบายกรณีดังกล่าวแล้ว และขอให้ นพ.สุรพงษ์ ถอนเรื่องดังกล่าวออกจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่ นพ.สุรพงษ์ ไม่ยอม ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงทำหนังสือตอบกลับไปว่า ไม่เข้าหลักเกณฑ์ ดังนั้นพฤติการณ์ของ นพ.สุรพงษ์ ที่ปล่อยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่เข้าหลักเกณฑ์ และทำหนังสือหารือถึง อสส. จึงเป็นการสร้างหลักฐานเพื่อป้องกันตนเองเดือดร้อน และถูกฟ้องร้องในอนาคต ศาลพิเคราะห์อีกทำนองว่า ขั้นตอนการแก้ไขสัมปทานดาวเทียมดังกล่าว มีพิรุธหลายประการ ไมว่าจะเป็นการ การที่บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ฯ เป็นผู้ทำหนังสือขออนุมัติจากกระทรวงไอซีทีเอง แต่กลับไม่มีมติที่ประชุมของบริษัท ชิน คอร์ปฯ รองรับในการขอปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นแต่อย่างใด http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/49523-mholeab_49523.html
เมื่อไม่ถกกันเรื่องเนื้อหา แต่มาเปิดฉากสะกิดสะเกาลบหลู่ลามปามก่อนก็ต้องโดนอัดกลับเป็นธรรมดา อ่านของท่าน 5555 แล้วไม่มีการแก้ข่าวจากแฟนขับนักโทษชายเลี๊ยบ เลยเข้าใจว่าห้องกระบือมีแต่ควายอย่างเดียว ไปไม่ถูก ถึงกับเข้ามาแก้ไขข้อความ อิอิ ดริฟท์โดยการลบไปแบบน้ำขุ่นๆ วันหลังศึกษากับกระดูกมาร์กซ และข้อมูลต่างๆให้ถ่องแท้ก่อนนะ ไม่อยากซ้ำเติมเบยยยยย
จะมาโทษจ๋อง อย่างเดียวก็ไม่ถูก ต่อมา ในเดือนธันวาคม 2546 บริษัท ชินแซทเทลไลท์ ได้มีหนังสือถึงกระทรวงไอซีที ขออนุมัติลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จากเดิมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 โดยให้เหตุผลว่าธุรกิจให้บริการช่องสัญญาณดาวเทียมเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก โดยเฉพาะโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาพันธมิตรเพื่อขยายศักยภาพในการแข่งขันให้มีความเข้มแข็ง และมีเงินทุนเพียงพอที่จะดำเนินกิจการ ซึ่งการหาพันธมิตรหรือแหล่งเงินทุนดังกล่าวจะมีผลทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปฯ ลดลงจาก 51% อยู่แล้ว เนื่องจากต้องให้พันธมิตรหรือเจ้าของแหล่งเงินทุนเข้ามามีส่วนในการถือหุ้น ดังนั้นนายสุรพงษ์ ในฐานะ รมว.ไอซีที ซึ่งเข้ามาอำนวยความสะดวกในเรื่องนี้จึงชงเรื่องเข้า ครม. เพื่อแก้สัญญาสัมปทาน ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ที่ต้องถือในบริษัทชินแซทเทลไลท์ จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 แต่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตอบกลับมาว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเข้า ครม. นายสุรพงษ์ ในฐานะ รมว.อซีที จึงดำเนินการแก้ไขสัญญาสัมปทานดังกล่าวเอง
นอกจากนี้ยังอ้างเหตุผลกำกวม เช่น สภาพการแข่งขันของธุรกิจดาวเทียมในตลาดโลกที่สูงขึ้น จำเป็นต้องจับมือร่วมกับพันธมิตรเพื่อขยายศักยภาพทางธุรกิจ จึงจำเป็นต้องปรับลดสัดส่วนหุ้น เพื่อให้พันธมิตรเข้ามาร่วมถือหุ้น เพื่อเพิ่มแหล่งเงินทุน และประสบการณ์ในการทำธุรกิจ จึงขอปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปฯ จาก 51% เหลือ 40% แต่กลับไม่ได้แนบมาว่า พันธมิตรรายใดที่ต้องการเข้ามาร่วมหุ้น หรือจะมีการให้ร่วมหุ้นในอัตราสัดส่วนเท่าใด ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเลื่อนลอย และไม่มีความจำเป็นที่แท้จริง ทั้งนี้ในภายหลังที่ รมว.ไอซีที อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมปรับลดสัดส่วนหุ้นแล้ว ปรากฏว่า บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ฯ ได้ออกหุ้นเพิ่มทุนเป็นจำนวน 208 ล้านหุ้น เพื่อขายให้กับบุคคลทั่วไป ไม่ได้มีพันธมิตรเข้ามาซื้อหุ้นดังกล่าวตามที่ทำหนังสืออ้างแต่อย่างใดด้วย ดังนั้นการกระทำดังกล่าวของ นพ.สุรพงษ์ จึงฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2535 เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ปราศจากข้อแก้ตัว เพื่อให้สาธารณชนเห็นภาพชัดขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปคำพิพากษา-พฤติการณ์ในคดีดังกล่าวมาเผยแพร่ให้ทราบ ดังนี้ http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/49523-mholeab_49523.html .................................................................................
ตลกดีนะจ๋อง จ๋องบอกเองว่าทหารต้องประนามเพราะเข้าข้างพวกเดียว แล้วทำไหมคดีนี้เป็นการเอื้อประโยชน์พวกพ้องแบบผิดกฎหมาย จ๋องไม่เห็นพูดเหมือนเดิมละ งั้นที่จ๋องว่าเพื่อความยุติธรรมก็โกหกซินะ
ลุงก็เบื่อจ๋องเหมือนกัน มีแต่พูดเองเออเอง แต่ตอบอะไรไม่ได้เลย จ๋อง เอย! อายุอานามก็ใกล้จะลงโลงแล้ว หัดเข้าวัด ฟังธรรมดีกว่า สร้างบุญสร้างกุศล ชีวิตจะได้เป็นสุข
พี่จ๋องฟังข่าวทีวีบ้างซิฮ๊าฟ เอาแต่จมปลักอยู่ในดงกาสรสีชาดแล้วมันจะรู้อะไรละฮ๊าฟ ในคลิปเวลาที่ 0.40-1.15 นะฮ๊าฟ ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก “นพ.สุรพงษ์” 1ปี คดีแก้สัมปทานดาวเทียมไทยคมเอื้อประโยชน์กลุ่มชินคอร์ป ไม่รออาญา วันนี้ (25ส.ค.59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา คดีที่นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที นายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สมัยรัฐบาลสมัย นายทักษิณ ชินวัตร และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51%เป็นไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยทราบดีอยู่แล้วว่า เหตุที่บริษัทขอลดสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อต้องการหาพันธมิตรขยายศักยภาพในการแข่งขันให้มีความเข้มแข็งและมีเงินทุนเพียงพอในการดำเนินการโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ ล่าสุด ศาลฏีกาฯ ได้พิพากษาจำคุกนพ.สุรพงษ์ 1ปี โดยไม่รอลงอาญา ขณะที่อดีตปลัดไอซีทีและ ผอ.สำนักกิจการอวกาศฯ สั่งจำคุก1 ปี ปรับ 20,000 บาท แต่โทษให้รอลงอาญา
พอเฮอะจ๋อง ที่ผมไม่พูดเพราะจะหาว่ารุมคนเดียว ที่พูดนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะต่อปากต่อคำกับจ๋องนะ จะบอกว่าเสื้อแดงเนี่ย ทั้งหมดอะแหละเห็นในราชดำเนิน จ๋องก็แค่พูดตามเค้าเด๊ะ คดีนายกปูก็มาตราเดียวกันเนี่ยแหละ แถไปเรื่องคอรัปชั่นไม่คอรัปชั่น ผิดไม่ผิด คราวนี้หมอเลี๊ยบ มาตราเดียวกัน แถไปบอกไม่มีใครเสียหาย ฟ้องเรื่องนึงแก้คดีไปอีกเรื่องนึง ไม่รู้ว่าทนายแก้คดีไปแบบนั้นเองหรือเปล่า
ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ การแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมดังกล่าว เป็นอำนาจของ รมว.ไอซีที (หมอเลี๊ยบ) โดยไม่ต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรีหรือไม่ ประเด็นต่อมา การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมดังกล่าว ทำไปโดยสุจริตหรือไม่ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวของ นพ.สุรพงษ์ จึงฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2535 เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ปราศจากข้อแก้ตัว ประเด็นต่อมา การแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมดังกล่าว ทำให้รัฐเสียหายหรือไม่ ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า การกระทำของ นพ.สุรพงษ์ ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/49523-mholeab_49523.html
สรุปได้ว่าเรื่องให้ต่างชาติถือหุ้นดาวเทียมเกินครึ่ง ต้องเอาเข้า ครม. เพราะตอนทำสัญญาสัมปทานอนุมัติโดยครม. แต่ครมไม่ยอมให้เอาเข้าเพราะเดี๋ยวนายใหญ่ซวย แต่คุณหมออยากดันเรื่องนี้(อาจรับใบสั่งมา) เลยต้องเสี่ยงอนุมัติเอง เอวังนายมึงไม่มาติดคุกด้วย
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 ส.ค. ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อม.66/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือหมอเลี๊ยบ อดีต รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร, นายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดกระทรวงไอซีที และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ และอดีตปลัดกระทรวงไอซีที ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีที่มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยทราบดีอยู่แล้วว่า เหตุที่บริษัทขอลดสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อต้องการหาพันธมิตรขยายศักยภาพในการแข่งขันให้มีความเข้มแข็งและมีเงินทุนเพียงพอในการดำเนินการโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ วันนี้จำเลยทั้งสามเดินทางมาศาล โดยมีครอบครัวและผู้ใกล้ชิดมาให้กำลังใจ นพ.สุรพงษ์ กล่าวก่อนเข้าพิจารณาว่า ยอมรับว่าตนเองรู้สึกกังวลในส่วนของคดี ส่วนกรณีที่ที่ก่อนหน้านี้ ตนได้ถูกศาลพิพากษาสั่งจำคุก1ปีและปรับ20,000 บาท ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ โดยรอลงอาญา1ปี ในคดีที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้กระทำการแทรกแซงเสนอชื่อ3อดีตผู้บริหาร ธ.ทหารไทย–กรุงไทย เป็น กรรมการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะส่งผลตีอคดีนี้หรือไม่ จะต้องรอผลการตัดสินของศาลเสียก่อน กระทั่งเวลา 14.00 น. ศาลฎีกาตรวจสำนวนและปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า องค์คณะทั้ง 9 มีเสียงเอกฉันท์ เห็นว่านพ.สุรพงษ์มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ทำให้รัฐเสียหายจากกรณีที่อนุมัติให้มีการแก้ไขสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียม โดยให้บริษัทชิน แซทฯ ลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นบุคคลสัญชาติไทยจาก 51% ให้เหลือ 40 % ทำให้เกิดความเสี่ยงในการครอบงำกิจการของชาวต่างชาติที่จะมีผลต่อกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ ขัดต่อเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายกิจการโทรคมนาคม ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้นำเสนอต่อครม.ตามขั้นตอน แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่าได้ส่งหนังสือหารือถึงอัยการสูงสุด แต่ก็ปกปิดความจริงที่เลขาธิการครม.ปฏิเสธการรับเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม เนื่องจากนายทักษิณชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นคู่สัญญา ทำให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน การกระทำของจำเลยไม่ได้ทำให้รัฐได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น แต่กลับได้รับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนนายไกรสร และนายไชยยันต์ จำเลยที่ 2-3 องค์คณะมีมติเสียงข้างมากให้พิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 2 หมื่นบาท การกรณีที่จำเลยที่ 2-3 ไม่ได้จัดทำข้อมูลวิเคราะห์ผลการเปลี่ยนแปลงสัญญาดังกล่าวว่ามีผลกระทบต่อรัฐอย่างไร ทั้งที่จำเลยทั้งสองเคยปฏิบัติหน้าที่ด้านการสื่อสาร กระทรวงคมนาคม และกรมไปรษณีย์โทรเลข ย่อมทราบข้อเท็จจริงดีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่มีอำนาจในการแก้ไขหรืออนุมัติสัญญาดังกล่าว โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 5 ปี ต่อมาเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัว นพ.สุรพงษ์ ขึ้นรถตู้เพื่อไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ รับโทษตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าว http://www.newsplus.co.th/111751
สำนักข่าวอิสราสรุปได้รู้เรื่องดี http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/49523-mholeab_49523.html
เรื่องของเรื่องคดีตัดสินสิ้นสุดแล้วมีคนอยากรู้หลักฐานอะไรทำนองนั้น ประสงค์ไม่อย่าพูดเพราะประสงค์ไม่รู้มาก ประสงค์เคารพศาลนะ แต่ที่ประสงค์อยากรู้มีคนชื่อจ๋องกี่คน จ๋องอย่างโน้นจ๋องอย่างนี้ คนเขียนก็จ๋องด้วย ประสงค์ว่าปัญญาไม่สมประกอบเรียกตัวเองด้วยชื่อตัวเอง กลัวตัวเองไม่รู้ว่าชื่ออะไรเรอะประสงค์สงสัยทำไมต้องเรียกตัวเองเป็นคนที่สาม จ๋องอย่าโกรธประสงค์นะคนดี จุ๊บๆ
ศาลตัดสินไปแล้ว ต้องคุยว่ามันจงใจ ทำผิดกฏหมาย ผิดเจตนารมย์ของการปล่อยสัมปทานป่าว เวลาคุยกันเรื่องการลงโทษโดนศาลตัดสิน ต้องคุยก่อนว่ามันผิดกฏหมายป่าว แค่นั่นแหละ จะลากไปไหนให้มันยื่นยาว ไปนั่งคุยเรื่องอืนก็เหมือนกับเรื่องเกี่ยวกับคน แต่ไปคุยเรื่องควาย เข้าใจยัง
คนที่ทุ่มชีวิตให้กับตระกูลชิน ติดคุกกันไปเท่าไหร่แล้ว แต่ตระกูลชินยังร่ำรวยลอยนวลกันอยู่น่ะครับ คิดว่าดีก็ทำต่อไป...
ศาลฎีกาฯจำคุก 1 ปีหมอเลี้ยบส่งเข้าเรือนจำทันทีเป็นอดีตรมว.ICT ยุคทักษิณแปลงสัญญาดาวเทียมช่วยชินคอร์ป "ในฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีที่มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด " อันไหนไม่จริง ผิดจากข้อความข้างบนค่อยมาเถียงละกันน๊ะจ๋อง ผมนับถือหมอเลี๊ยบจริง ๆ ถ้าผิดก็เดินเข้าคุก....ไม่ยอมเป็นหมาหางจุกตูด หนีไปเมืองนอก
เอาเป้นว่าจ๋อง เห็นว่าตรงไหนตรงคำตัดสินไม่จริง ก็ว่ามาละกัน แถวนั่นควายเยอะ ขี้เกียจเข้าไปเดี๋ยวขี้เลื่อยเข้าสมอง
ข่าวคืบหน้าของนักโทษชายเลี้ยบ.. นช.เลี้ยบ คืนแรกในคุก มีความดันโลหิตสูงเล็กน้อย.... "ปลัดยุติธรรม"เผย คนนี้นอนคุกคืนแรก มีความดันโลหิตสูงเล็กน้อย ไม่มีโรคประจำตัว คาดว่าใช้เวลาสักระยะก็จะปรับตัวได้ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2559 ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินเรื่องนี้ ขั้นตอนก็คือทำการควบคุมตัวอยู่ที่แดนแรกรับของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนที่จะมีการนำชื่อเข้าคณะกรรมการพิจาณาจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง และเมื่อคณะกรรมการฯ มีความเห็นแล้ว ทางเรือนจำก็จะได้รับไปดำเนินการส่งตัวต่อไป..... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/politic/450871
ในเรื่องของคดี.ศาลท่านตัดสินไปแบ้ว... ไร้ประโยชน์ ที่จะถกเถียง แต่กลับอาจ มีโทษ เข้าให้ก็ได้... ถ้าไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรให้ท่านเสียหาย... มาตามดูกันต่อดีกว่าว่า เวรกรรมแบบไหน เช่นไร อย่างไร และกับขี้ข้าคนใด จะตามมาได้อย่างทันเวลา(ในชาตินี้)และสาสมแก่ เวรกรรม ที่ได้กระทำไว้กับประเทศชาติ...... ป๋าหนก เตือนไว้ได้น่าฟัง... *** *** *** *** *** ***
พี่โยธกา เต็มทุ่งนาอีกแล้วนะครับ แก้ข้อเห็นแย้งในกระทู้ไม่ได้ ก็อยู่ในทุ่งนาต่อไปนะ จ๋องไม่ว่าหรอก ทีึ่จ๋องลงข้อสรุปให้อ่านไปแต่จ๋องลบออกเพราะไม่อยากมีเรื่องกับศาล พวกขี้ฟ้องในนี้เยอะ จ๋องรอประเทศเป็นประชาธิิปไตยเสียก่อน http://pantip.com/topic/35526808
ได้มีโอกาสอ่านความเห็นของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปิยบุตร แสงกนกกุล (น.บ. (เกียรตินิยมอันดับ 2) ธรรมศาสตร์ และ D.E.A. de droit public, l’Université de Nantes ประเทศฝรั่งเศส) ในเฟสบุ๊ค เกี่ยวกับคำพิพากษาให้จำคุกหมอเลี๊ยบ เป็นข้อคิดเห็นเชิงวิชาการข้อกฎหมายโดยสุจริต ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับ แม้แต่ฉบับชั่วคราวให้การยอมรับ อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นอีกคดี ที่ประชาชนและนักวิชาการ เกิดความไม่สบายใจ อันเป็นสิทธิของประชาชนที่จะรู้สึกเช่นนั้น (รายละเอียดหาอ่านได้ในเฟสบุคของอาจารย์ "Piyabutr Saengkanokkul" เนื่องจากเป็นบทความวิชาการที่ออกมาโดยสุจริต โดยอาจารย์ทางกฎหมาย จึงขอคัดเอาบางส่วนที่เห็นว่าน่าสนใจมาให้อ่านกันดังนี้..... .......... แม้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯจะเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอยู่ แต่เพื่อพิจารณาจากขั้นตอนการทำงานแล้ว เห็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ก่อนจะใช้ดุลพินิจอนุมัติ ลำพังแต่เพียงการไม่เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีจึงยังถือไม่ได้ว่าการอนุมัติดังกล่าวเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ป สำหรับประเด็นที่ว่าการอนุมัติดังกล่าวทำให้บริษัทชินคอร์ปได้ประโยชน์ที่ไม่ต้องไปกู้เงินมาลงทุนนั้น หากมองในทางกลับกันก็จะเห็นได้ว่าบริษัทชินคอร์ปก็เสียประโยชน์ในลักษณะที่สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทไทยคมลดน้อยลงเช่นกัน ส่วนประเด็นที่ว่าการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในบริษัทไทยคมเป็นสาระสำคัญนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าการแก้ไขสัญญาดังกล่าวไม่อาจกระทำได้ สำนักงานอัยการสูงสุดเองเมื่อครั้งที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯได้หารือไปนั้นก็ไม่ได้โต้แย้งว่าข้อสัญญาดังกล่าวเป็นข้อสัญญาที่ห้ามแก้ไข การจะอนุมัติให้แก้ไขหรือไม่แก้ไขสัญญาจึงเป็นดุลพินิจในทางบริหาร เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทคู่สัญญามีความจำเป็นที่จะต้องลงทุน และรัฐเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวจะนำมาซึ่งประโยชน์ให้การจัดทำบริการสาธารณะ คือ การมีดาวเทียมสำรองดวงใหม่ที่มีเทคโนโลยีดีกว่าเดิมซึ่งจะทำให้การจัดทำบริการสาธารณะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการลดสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าวไม่มีผลกระทบใดๆต่อความรับผิดของบริษัท รัฐมนตรีฯในฐานะฝ่ายบริหารก็สามารถดำเนินนโยบายและผลักดันนโยบายในเรื่องดังกล่าวได้ให้ปรากฏเป็นจริงในทางปฏิบัติได้ สำหรับประเด็นที่ว่าการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปมีผลเป็นการกระจายความเสี่ยงไปให้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์นั้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ที่ลงทุนย่อมต้องศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการปกปิดข้อมูลสัดส่วนการถือหุ้น ผู้ลงทุนรายย่อยก็ต้องตัดสินใจโดยคำนึงถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนดังกล่าว ที่ศาลฎีกาฯเห็นว่าการลดสัดส่วนการถือหุ้นมีผลเป็นการบั่นทอนความมั่นคงและมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของบริษัทชินคอร์ปในฐานะผู้รับสัมปทานโดยตรงที่ต้องมีอำนาจควบคุมการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้นั้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าความมั่นคงและมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมไม่ได้เกิดจากการที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะมีอำนาจควบคุมการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นอีกหลายประการที่สนับสนุนและลดทอนความมั่นคงและมั่นใจในการดำเนินโครงการ เช่น ผู้ถือหุ้นที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจเป็นใคร มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจดังกล่าวมากน้อยเพียงใด มีสถานะทางการเงินอย่างไร ฯลฯ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้ว คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าการอนุมัติให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในบริษัทไทยคมเป็นการใช้ดุลพินิจทางบริหาร ซึ่งเมื่อไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่าการใช้ดุลพินิจดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว กรณีย่อมจะถือว่าการตัดสินของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปไม่ได้" ........... http://pantip.com/topic/35528732
ขำดีนะ มีคนที่น่าเชื่อถือกว่านี้ไหม คนที่ไม่ได้ทำตัวตรงกันข้ามกับคสช. หรือเกี่ยวข้องกับประชาไท อีกอย่างทำไมจ๋องไม่พูดเองละว่าผิดยังไง หรือว่าจ๋องจริงๆก็ไม่รู้อะไรแต่พูดไปยังงั้น
ประเด็นข้อเท็จจริงยังจับไม่ถูก ศาลให้รอลงอาญาเพราะเห็นว่าเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ไพล่ไปมโนว่าเพราะไม่เคยโดนคดีมาก่อน แค่อ่านตัวหนังสือง่ายๆตรงๆก็จับใจความไม่ได้แล้ว ยังหาญจะมาวิแคะตามอย่างลิเบอร่านเที่ยงคืน ไม่ไหวละมังกาสรราชดำเนิน อิอิ
ป้าอ้อยนั่นแหละตาฝาง จ๋องหมายถึงหมอเลี๊ยบ ที่โดนรอลงอาญาก่อนหน้านี้ องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน จึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท แต่เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ภายหลังจากจำเลยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการ (บอร์ด) ธปท.แล้ว แม้คณะกรรมการคัดเลือกจะได้คัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ธปท.ก็ตาม แต่ต่อมามีการยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกฯ และบอร์ด ธปท.ที่ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าว จึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก ประกอบกับไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยได้รับการลงโทษมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี
ตาฝางเป็นไงฟระ อิอิ เขมรหรือเปล่าสะกดหนังสือแค่นี้ไม่ถูก กลับไปดูใหม่ นายโควทความเห็นที่ชั้นพิมพ์ถึง "ขี้ข้า" เฟร้ย อย่ามามั่ว หวังว่าคงลูกผู้ชายอย่าไปดริฟท์ลบข้อความ ความเห็น #24 อีกนะ 55555555 ว่าจะอ่านเฉยๆแล้วสิ อดไม่ได้ ต้องทนเสี่ยงเล่นด้วย แล้วโดนลบหลู่แบบกาสร อิอิ ถกด้วยแล้วมั่วว่ะหมอนี่ จับประเด็นง่ายๆ ยังไม่ถูกเลย ทางปลักคงต้องส่งไปเรียนการอ่านจับใจความภาษาไทยมาใหม่
เรื่องนี้เอาแบบความจริงไม่อิงนิยาย คือ Here แม้วขายหุ้นลดสัดส่วนก่อน แล้วให้ Here เลี๊ยบออกกฏหมายย้อนหลังตามมาต่างหาก หมายข่าวเจาะ กับ สันติสุข มะโรงศรี ผ่าคดีหมอเลี๊ยบชันสูตรชะตากรรม ม้ารับใช้นายใหญ่ ******************************************************** ถ้าอยากเห็นชัดๆ ก็ไปอ่านในรายงานงบการเงินของบริษัทชินแชทฯ ในปี 2547 ของตลาดหลักทรัพย์ได้เลย เรื่องการออกหุ้นสามัญ เขียนไว้ในหัวข้อ "ทุนเรือนหุ้นและส่วนเกินมูลค่าหุ้น" หน้าที่ 31 http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/datafile/FS/2004/030320040380T03.doc
ให้ดูโพสที่ลบไปแล้ว จ๋องลบเองด้วย แล้วจะรู้ได้ไงว่าโพสอะไร นี้จ๋องเบลอหรือจ๋องเมาเนี้ย หรือว่าใกล้จะลงโลงแล้วก็เลยเพ้อเจ้อ
ประสงค์ขอบอกทุกๆท่านนะว่าอย่าเถื่อนกับจ๋อง(มาก)(เดี๋ยวจะหายหน้าไป) ประสงค์ว่านานๆทีจะมีคนน่ารักอย่างจ๋องเข้ามา ปล่อยอีแร้งอีกาสักตัวไม่ได้เหรอครับ จ๋องเข้ามาประสงค์ก็คิดว่าจ๋องมีความคิดที่แคบๆแต่ดูเขาก็น่ารักนะ เป็นคนใจเดียวคือพูดเป็นแค่ว่าอะไรที่เสียหายแก่รัฐ อะไรทำนองนี้แระ ประสงค์มโนเองนะว่าคงเป็นเรื่องของการเสียภาษีมั้งแต่ประสงค์ไม่มีความรู้เรื่องนี้จริง คนรู้มากแสนรู้ต้องคนชื่อมือดีจากนรก ไปถามคนนั้นจิจ๋อง