ไม่รู้ว่าผมฟุ้งซ่านไปเองหรือเปล่า มาตราการหลายอย่างที่ออกมาจากรัฐ เหมือนพยายามเปิดหน้าให้ถูกถล่ม รัฐบาลนี้คงไมมีใครมาล้มได้ นอกจากไปเพราะแพ้ภัยตัวเอง หริอว่าเบื่อที่จะเป็นรัฐบาลแล้วเลยหาทางลง แต่ทางลงทีหลายวิธี...!!!ยังไงลงให้สวยงามก็แล้วกันเอาที่สบายใจ
มันเป็นแผนการปรองดองครับ ตอนนี้เหมือนจะปรองดองกันแล้วแหละ ด่ากันเละ... ไอ้ห่า รถคันเกือบล้าน มีเบาะมีประตูพร้อม แม่มไม่ให้นั่ง
ตอนมาใหม่ๆปี2ปีไม่มีใครกล้าประท้วง แต่หลังๆมาเริ่มไม่กลัวแล้ว อยู่ในช่วงขาหลงแล้ว ขนาดคุมสื่อได้หมดยังเอาไม่อยู่ ถึงขนาดต้องปล่อยคุณสนธิญาณ มาออกไบร์ททีวี สปิงนิว นิวทีวี 2-3ช่องเลย คิดดูอาการน่าจะหนัก
การที่คิด และออกกฎหมายจราจรข้อนี้ออกมาได้ แสดงถึงการไม่เข้าใจ เข้าถึง วิถีชีวิตอันยากลำบากของคนส่วนใหญ่ในประเทศ การประดิษฐ์คำ "อำมาตย์" "ชนชั้นปกครอง" "ไพร่" ของพรรคเพื่อแม้ว เลยเป็นที่เข้าใจ ถูกใจ คนส่วนใหญ่ของประเทศ แล้วตอกย้ำด้วย"คุกมีใว้ขังคนจน" "สองมาตรฐาน" ยิ่งหาพวกได้ง่ายขึ้น ช่วยถกกันสักตั้งก็ดีว่า ***กฎหมายนี้ทำใครเดือดร้อนบ้าง ***สาเหตุหลัก ที่ทำให้เกิดอุบัติ มาจากอะไรกันแน่
ยากที่จะฝืนสภาพความเป็นจริงของประเทศ ว่าเรายังยากจนอยู่ ระบบขนส่งมวลชนเรายังไม่พอ ไม่พร้อม ************************************************ ถอยแล้ว!! นายกฯ ไฟเขียว ขยายเวลาจับปรับ นั่งแคป-ท้ายกระบะไปหลังสงกรานต์ http://www.komchadluek.net/news/breaking-news/269875
Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย "ผู้ช่วยผบ.ตร. อธิบายว่า วัตถุประสงค์ของแคปคือ มีไว้เพื่อตั้งวางสิ่งของเท่านั้น ที่ผ่านมากลับมีการใช้บรรทุกคนจนเคยชิน ซึ่งแคปนั้นไม่มีอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยของผู้ที่นั่งอยู่ในแคป และไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้คนนั่ง " อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/social/378541582/ ท่านใดเป็นนักกฎหมายช่วยบอกหน่อยก็ดีน่ะครับ เป็นความรู้ ว่าการตีความนี้อิงกฎหมายมาตราไหน
ไม่รู้สิเห็นตำรวจ,ทหาร,มูลนิธิ,กรมทางหลวงยันสองแถวใหญ่GMCรถทหารถ้ากะบะไม่ปลอดภัยรถพวกนี้ต้องเข้าข่ายหมดแต่ไม่พูดถึงหลังสงกรานต์ผู้ปกครองต้องจ่ายค่ารถตู้เพิ่มจากที่เคยจ่ายแค่รถสองแถวงานบวชงานแต่งคราวนี้รถคงเป็นร้อยคันเป็นพัน หน่วยงานราชการยังบังคับใช้ไม่ได้เลย อย่ามาพูดว่าขออนุญาตหรือมีข้อยกเว้นในกรณีพิเศษมันไม่แฟร์กับประชาชน ถ้าจะทำต้องเด็ดขาดอย่ามาแอบลักลั่น รถกะบะทะเบียนสีฟ้าก็ต้องยกเลิกให้หมด
ปัดฝุ่นกฎหมายเก่าสมัยรัฐบาลนายกฯ เขียวหวานบรั่นดี มาบังคับใช้ ก็เป็นเรื่องให้คนสาปส่งทั้งประเทศ พ.ร.บ. รถยนต์ 2522 มาตรา 21 ใช้รถยนต์ผิดประเภทที่จดทะเบียนไว้ http://www.highway.police.go.th/highway4-20-9999-update.pdf พูดถึงรถตำรวจ ดูในหนังฝรั่งไม่เห็นมีรถตำรวจเป็นกระบะจับคนร้ายแบบบ้านเราเลย
มีเจ้าหน้าที่บางคนออกมาพูดว่ากฏหมายนี้มีมานานแต่เราละเลยจนกลายเป็นความเคยชินหรือวัฒนะธรรมที่ว่าละเลยใครเป็นคนละเลยประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกันแน่อย่าพูดเอาดีใส่ตัวโยนชั่วให้คนอื่นจนเป็นนิสัยทำดีก็ชมทำไม่เข้าท่าก็ตำหนิและจะไม่ทำตัวเป็นติ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาให้พวกแดงมันว่าเอาได้ว่าหลงจนลืม
บอกว่ากะบะนั่งแล้วอันตรายแต่กลับให้กะบะไปจดทะเบียนสีฟ้าเป็นกะบะบรรทุกผู้โดยสารได้แล้วป้ายฟ้านั้นปลอดภัยว่ากะบะธรรมดาตรงใหน ถ้าบอกว่าให้ใส่เบาะใส่คอกข้างใส่หลังคาให้เรียบร้อยก่อนบรรทุกพอเข้าใจได้ แต่นี่กลับกลายเป็นการเลือกปฏิบัติ เรื่องคาดเบลทุกที่นั่งทำไมรถเมล์,รถตุกตุกรถไฟ,รถไถ,รถอีแต๋น ไม่ต้องคาดเบลเพื่อความปลอดภัยด้วยล่ะ
กรณีรถกระบะและรถอื่นๆที่จะมีปัญหาตามมา หลังสงกรานต์ก็ยังไม่ควรบังคับใช้ครับ รัฐควรไปหารือกับผู้ผลิตรถ กรมขนส่ง ตำรวจ ให้เรียบร้อยก่อนว่าจะเอาอย่างไรแล้วค่อยมาบอกประชาชน เข้าใจเจตนาครับว่าอยากลดอุบัติเหตุ แต่ต้องเข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่ได้ก่อเองด้วยครับ
ก่อนออกกฎหมายแบบนี้ ควรเพิ่มโทษพวกเมาแล้วขับ พวกขับประมาท ทำคนอื่นเดือดร้อนก่อนนะครับ แบบติดคุกทันที ยึดทรัพย์ ยึดรถ เอาหนักๆเลย เพราะส่วนมากพวกนี้เป็นตัวก่อเหตุ ไม่ได้ต่อต้านคาดเข็มขัดเพราะปกติคาดอยู่แล้ว แต่จะบอกให้คาดเข็มขัดรอให้ไอ้พวกนี้มาชนหรือไง เรื่องกระบะก็ด้วย คนไม่ได้นั่งกระบะยังปวดหัวแทน
แก้วมันร้าวแล้ว... คงดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่... ถ้าฝืนใช้ ก็มีแต่ รอวันแตก? หรือไม่ก็ "โยนทิ้ง"... ถือว่า "เข้าทาง"... ***** ***** ***** ลองมีใคร ชักนำ เชิญชวนพี่น้องรถกระบะ ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมตัวกัน ขับรถเข้าทำเนียบ ขอให้พิจารณาปรับปรุง หรือยกเลิก กดหมาย ที่ข้าราชการ หรือไอ้พวกรักษากฏหมาย มันเองยังทำกันไม่ได้ดู... ผมว่า ความปรองดองของคนในชาติ เกิดขึ้นแน่ๆ...
ผมว่าเป็นวิถีคนกล้า ที่กล้าทำสิ่งที่ผิด ทั้งผิดระเบียบ ผิดกฏหมาย ให้เข้ารูปเข้ารอย นำประเทศสู่อารยะ เราละเลยไปนานจนติดเป็นนิสัย แบบว่า ไทยแลนด์โอนลี่ เช่น ลัดคิว หยวนน่า พ่อกูเป็นใคร พ่อกูใหญ่ ไกลไม่รับ รถติดไม่รับ รังแกคนจน ฯลฯ จนการแก้ไขกระทบเป็นวงกว้าง คนก็ไม่พอใจย่อมเป็นปรกติ แต่ถ้าคนเหล่านั้นมองต่อไปข้างหน้าหรือเคยมีประสบการณ์ในต่างประเทศแบบที่ในยุโรป อเมริกา ผลลัพท์ที่ได้จากการจัดระเบียบมันหอมหวาน ประเทศชาติเป็นระเบียบเรียบร้อย คุณภาพชีวิตคนที่ดีขึ้น ระเบียบวินัยในสังคมที่ยั่งยืนสู่ลูกหลาน รัฐทำแบบยั่งยืนดีกว่ามาแนวการตลาดแบบ จัดระเบียบสังคมออกสื่อเอาหน้าเพื่อคะแนนเสียง หรือสงครามยาเสพติดปลิดชีวิตคนเพื่อคะแนนเสียง
ก็ถูกครับ ในกรณีที่เป็นเรื่องดีๆที่ควรปฏิบัติ แต่เรื่องที่ร้อนเนี่ยก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่ามันดีนี่ครับ อย่างที่สาหัสสุดคือห้ามนั่ง cab รองไปก็เรื่อง นั่งกระบะ เรื่องนั่ง cab เนี่ยค่อนข้างชัด ส่วนการนั่งกระบะเนี่ยคนเมือง คนมีอันจะกินอาจไม่เข้าใจ แต่คนชนบทจะซึ้งครับ เด็กไป รร ต้องโบกรถก็มีเยอะ คนเจ็บคนป่วยช่วยกันพาหาหมอ ไปงานบุญต่างๆ ฯลฯ ผมว่าเรื่องหลายๆเรื่องจะใช้อุดมคติไม่ได้หมดหลอกครับ แต่เห็นด้วยครับว่าถ้านั่งขอบกระบะควรโดนจับ เพราะถ้าหล่นลงมาชาวบ้านจะเดือดร้อน
อันนี้เข้าใจครับ แต่มันมีสองมุมมอง คือ ในแง่ความปลอดภัย ซึ่งเข้าใจว่ามาออกช่วงนี้หวังผลลดคนตายช่วงสงกรานต์ กับ เรื่องสภาพความสะดวกสบายของการมีรถ เพื่อใช้งาน ทั้งในส่วนฉุกเฉิน ความจำเป็นตามสภาพ ไม่ใช่เรื่องอุดมคติ แต่การเรียกร้อง ต้องเสนอทางออกที่ดีกว่าการกลับไปใช้แบบเก่าที่มันเน่าเฟะ แล้วอ้างแค่ว่าเพราะสภาพความจน ความไม่มี ความไม่สะดวกสบาย รังแกคนจน ปัญหาเลยไม่ได้แก้ไขหมักหมมจนถึงจุดที่ยากแก้ไข ผมยกตัวอย่างเช่น เสนอทางเลือกประวิงเวลา รอการปรับสภาพรถให้เหมาะสมนั่งหลังได้ ในขณะเดียวกันรัฐต้องจัดบริการรถสาธารณะมาชดเชย ถ้าพร้อมก็จัดวันคัดออฟใช้กฏหมาย เช่นเรื่องแบบนี้ใช้เวลาอีกหนึ่งปี แต่ละฝ่ายไปเตรียมมา ครบปีก็บังคับกฏหมาย ไม่มีข้อยกเว้น ผมเชื่อว่าสุดท้ายรัฐจะถอยเรื่องนี้ แต่หลังสงกรานต์
ย้อนกลับไปดูเรื่อง บังคับใช้ให้ใส่หมวกกันน็อคตอนขี่ - ซ้อนมอไซค์ ก็ต้องผ่านความเจ็บปวดมาอย่างยาวนานกว่าจะยืนหยัดใช้ได้จริง ก็ต้องผ่านการกระแนะกระแหน เรื่องจน-รวย (อ๋อ ไอพวกทำกฎหมายมันขี่เก๋งกันนี่) ต้องผ่านความไม่เข้าใจจำนวนมากเรื่องการมาบังคับขืนใจ (ก็ชีวิตกรุ กรุจะตายก็เรื่องของกรุ) ฯลฯ ลองตรองดูดีๆ รัฐบาลอยากมาทะเลาะกับประชาชนจริงๆหละหรือ คิดให้ซึ้งแล้วจะได้คำตอบว่า ความยากลำบากของการบังคับใช้กฎหมายก็คือ ช่วงเปลี่ยนผ่านที่จะบังคับใช้กันจริงๆนี่หละ
เกี่ยวกับ "ระยะเวลา" ในเรื่องกฏหมาย และประเพณี กรณีที่มีการออกกฎหมายห้ามนั่งท้ายกระบะเล่นสาดน้ำสงกรานต์ ในรายการ "ข่าวใส่ไข่" ในช่วงนาทีที่ 2.00 พิธีกรชื่อม้า อรนภา ได้ถามว่า การที่นั่งกระบะแล้วสาดน้ำกัน เป็นประเพณีไทยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน ซึ่ง มดดำ คชาภา พิธีกรร่วมตอบว่าไม่กี่สิบปีมานี้ การห้ามรถกระบะมีแคป บรรทุกคนโดยสารมีเขียนเป็น พ.ร.บ. รถยนต์มาเกือบ 40 ปีแล้ว กล่าวคือ หากพบ จะถูกจับปรับ ในข้อหาใช้รถยนต์ผิดประเภท ซึ่งถือว่าผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 21 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท นอกจากนี้กรณีที่ให้ผู้โดยสารนั่งข้างหลังกระบะก็ถือว่าผิดเช่นกัน http://www.tnews.co.th/contents/k/308932 http://www.tnews.co.th/contents/308919
รัฐบาลริดรอนเสรีภาพในการเลือกที่จะตายหรือเปล่า ... ไม่ใช่สิ คิดไม่ถูก ตามเฟซบุ๊กมีหลายคนหยิบวาทกรรม "ธรรมชาติคัดสรร" มาใช้แล้ว ผมคิดว่า บ้านเราเหลวแหลกมานานหลายเรื่อง หยวนๆ อะลุ่มอล่วยในหลายเรื่อง มาจนเคยตัว ปล่อยปละละเลยบ่อยๆ จนแก้ไขอะไรไม่ได้ ? การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่จริงจัง และสังคมบิดเบี้ยวมานาน ทำให้คนที่มีทัศนคติชังชาติ ลิเบอรงลิเบอร่านอะไรนั่น ตามโลกออนไลน์ตามกระแนะกระแหนมาหลายปีแล้ว มีคนยอมรับ มีคนฟัง เพียงเพราะว่ามันเป็นความจริงที่ต้องยอมรับ คือมันมีข้ออ้างให้พวกชังชาติเอามาเล่นได้บ่อยๆ แต่คนพวกนี้เครดิตติดลบ เพราะชอบทำอะไรย้อนแย้ง โทษคนอื่นเป็นนิจ เอาแต่ใจตัวเอง สรรหาตรรกะที่ฟังไม่ขึ้น ตรวจสอบคนอื่นได้ แต่ถ้ามีใครมาตรวจสอบตัวเองก็หัวร้อนกันเป็นแถบ สำหรับกรณีนี้ผมได้บทเรียนเรื่องหนึ่งที่น่าคิด คือ จะซื้อรถ ไม่ใช่แค่มองการใช้งาน ไม่ใช่แค่ฟังคำโฆษณา คุณสมบัติจากค่ายรถ ยังต้องศึกษาข้อกฎหมายเรื่องกฎหมายรถยนต์ด้วย จะจดทะเบียนประเภทไหน อย่างไร ก็ถึงว่า ป้ายทะเบียนตัวเลขคนละสี เพราะรถและการใช้งานคนละประเภท มันอาจดูหยุมหยิม จู้จี้จุกจิก แต่มันมีประโยชน์สำหรับเรา เรื่องการบรรทุกคนหลังกระบะ ถ้าจะให้โอนอ่อนผ่อนตามแบบไทยๆ เลย คือหาที่กั้นไม่ให้คนกระเด็นตกรถคอหักก็พอแล้ว จะเป็นคอกเหล็กหรือหลังคาแครี่บอยก็แล้วแต่ แล้วแก้กฎหมายรถยนต์อีกสักครั้ง หรือไม่ก็ยกร่างออกใหม่ทั้งฉบับเลย เพราะออกมาเกือบ 40 ปีแล้ว ส่วนเรื่องเข็มขัดนิรภัย ผมเห็นด้วยว่าควรใช้กับรถยนต์ รถที่ติดเข็มขัดมาอยู่ก่อนแล้ว แต่รถสาธารณะพวกรถเมล์ รถสองแถว ที่ติดเข็มขัดไม่ได้ก็ไม่ต้องติด อย่าอาย และ ควรยอมรับ ถ้าเราบอกว่าไม่รู้กฎหมายจริงๆ แค่อยากซื้อรถตามรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ ไม่ต้องเอาฐานะการเงินมาอ้าง แบบหาบเร่แผงลอยที่หากินบนทางเท้าสาธารณะ ซึ่งทำให้ตัวเองดูแย่ไปด้วย ถ้าโลกโซเชียลกางข้อกฎหมายมาคุยกัน เอาเหตุผลมาคุยกัน มากกว่าเฮทสปีชกับดราม่า จะดูดีกว่านี้ครับ ผมว่า
หลังสงกรานต์ เสร็จสิ้นโครงการบวชเณรฤดูร้อนแล้ว จะไปบอกกับเด็กๆน้องๆชาวเขาเหล่านี้ ว่าไงดี? หรือจะให้บอกว่า พวกหนูและชาวบ้าน ทำผิด กม.กันมานาน รัฐบาลนี้ เขาไม่ยอมให้ทำผิดกฏหมายอีกต่อไป... อย่าเอาเรื่องความยากจนมาอ้าง... เขายกเว้นแค่ช่วงสงกรานต์เท่านั้น ?... ***** ***** ***** ***** ***** ***** เกิดอุบัติเหตุ รถตกเขาขึ้นมา เดี๋ยวจะตายกันยกคัน น่ะนู๋น่ะ… ต้องหารถตู้ หรือไม่ก็รถที่มีเข็มขัดนิรภัย...
ความจริงกฏหมายพวกนี้มันมีอยู่แล้วแค่ออกมาประกาศดึ๋งดั๋งผิดจังหวะถ้าคอยว่ากล่าวตักเตือนไปสักระยะหนึ่งให้ผู้ใช้รถค่อยๆปรับตัว เน้นยํ้าเรื่องความปลอดภัยคงจะไม่มีแรงต้านมากแบบนี้
นั้นแปลว่ารัฐไม่ได้เผด็จการอย่างที่คิดไงครับ ถ้ารัฐเอาจริงและโหดเหี้ยมละก็ ป่านนี้มือด้วนคงเป็นอาหารปลาไปแล้วว่าไหม
ถ้ากฏหมายตีความว่าทำได้แม้ไม่ปลอดภัยก็ต้องยอมรับครับ แล้วค่อยเรียกร้องแก้กฏหมายผ่านไปตามระบบ โดยหลักการต้องยึดกฏหมายเป็นหลักไว้ก่อน เหมือนเรื่องหมวกกันน๊อค
ถามจริงๆครับ ท่านมองว่าการนั่งใน cab ไม่ปลอดภัยมากกว่านั่งมอเตอร์ไซด์ รถตู้ โหนรถเมล์ ฯลฯ เหรอครับ ปลอดภัยไม่ปลอดภัยอยู่ที่คนขับมั๊ยครับ??? หลักๆคือตอนนี้สู้กับการตีความของตำรวจเพื่อจับ ปรับ ครับ...
ผมกลับมองตรงข้าม ถ้ามันเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการอยู่แล้ว แต่ติดอุปสรรค หรือ แต่แม้แต่ ประชาชนมีสำนึกอยู่แล้ว แต่ทำไปเพราะไม่มีทางเลือก การที่ท่านออกมาแก้ปัญหามันคือความกล้าหาญ แต่ถ้าประชาชนไม่ได้ต้องการ หรือไม่คิดว่ามันผิด การหักด้ามพร้าด้วยเข่าแบบนี้ มันต่างอะไรกับพวกแนวคิดโลกสวย แบบโง่ๆ ทำอะไรต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีครับ ทำงานไม่มีแผนกลยุทธ์ มันจะแปลกอะไรที่จะโดนชาวบ้านเค้าด่า ผมสนับสนุนเรื่องการห้ามนั่งท้ายกระบะ แต่ผมรับไม่ได้เรื่องห้ามนั่งแคป ถ้าผมเป็นนายก ผมจะไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่าแบบนี้ และคนธรรมดาอย่างผม ยังสามารถจิตนการวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ได้เลย ประเด็นสำคัญคือ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่รัฐบาลทำนั้นมันผิด แต่มันกำลังแสดงว่า รัฐบาลนำโดยนายกตู่ อ่อนด้อยในเรื่องการแก้ปัญหาให้ประชาชน ไม่ใส่ใจประชาชน นึกถึงแต่ความต้องการของตนเอง เป็นเผด็จการบ้าอำนาจ และโง่ อย่างที่เสื้อแดงมันปรามารถไว้จริงๆ
ไอ้เรื่องนั่งท้ายกระบะเนี่ยผมเฉยๆน่ะ เพราะไม่ให้ใครนั่งอยู่แล้ว ร้อนจะตาย แต่ที่แสดงความเห็นไปก็เพราะเห็นความจำเป็นบางอย่าง คนขับรถกระบะไม่จนอย่าที่ว่ากันครับ แต่คนที่อาศัยท้ายกระบะคนอื่นเนี่ยมันไม่ใช่เจ้าของรถน่ะครับ ที่รับไม่ได้คือเรื่อง cab นั่งกันมาได้ 20 กว่าปีอยู่ดีๆบอกนั่งไม่ได้ (ไม่รู้ตั้งใจโยนระเบิดให้ คสช รึเปล่า)ปัญหาตรงๆครับ ส่งลูกไป รร 2 คน ตัวใหญ่นั่งหน้า ตัวเล็กนั่ง cab ถ้านั่งไม่ได้ทำไงล่ะครับ ต้องซื้อรถใหม่เหรอ? รถน่ะครับไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว กินไม่ได้ซื้อใหม่
ไปคิดว่า ขับไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ก็ ปลอดภัยแล้ว คิดแบบนี้ ไม่ถูก นะ ต้องคิด เผื่อ ว่า ถ้า เกิดแล้ว แล้ว จะทำอย่างไร ให้รอดได้ ถ้าไม่คิด รถยนต์ คง ราคาถูกกว่า นี้ ไม่ต้อง ผ่านการทดสอบอะไร เลย สำหรับ เรื่อง คนจน ผมว่า ต้องเปลี่ยนวิธีคิด เช่น ต้องการ เดินทาง โดย รถกะบะ เพราะ สะดวก และ ประหยัด ถ้า ห้าม แล้ว จะเดินทาง อย่างไร? คำตอบ คือ มนุษย์ ต้อง หาวิธีการแก้ปัญหา หาทางเลือก ใหม่ และต้องวางแผน จะเอา ง่าย ๆ จะกลับบ้าน สงกรานต์ แล้ว กระโดด ขึ้นกะบะเลย ควรเลิกได้แล้วครับ ผมว่า ถ้าเกิด อุบัติเหตุ แค่ มีคนตาย สักคนเพราะ นั่งกะบะ ก็ ไม่คุ้มแล้ว เรา เห็นตัวเลขการตาย 500 คนต่อสงกรานต์จนเราชิน พอเรา เห็นตัวเลขลดลง 300 คนต่อสงกรานต์ เราดีใจ แต่ผมมองว่า มันล้มเหลว แต่ คนที่ยังสนุก อยู่ เพราะ 300 คนนัั้น มันไม่เกี่ยวกับ เรา และ 300 คนนั้น มันน้อยมาก กับ คน 60 ล้านคน แทบจะหาความสัมพันธ์ ไม่ได้เลย ทำให้ ไม่กลัวกัน แต่ รัฐ จะไปคิดแบบนี้ ไม่ได้ "cab ถ้านั่งไม่ได้ทำไงล่ะครับ ต้องซื้อรถใหม่เหรอ? รถน่ะครับไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว กินไม่ได้ซื้อใหม่" ผมตอบ คือ ซื้อรถใหม่ หรือ หาทางแก้ปัญหาในชีิวิต โดยหาทางเลือกอื่น ถ้า รัฐ ไม่มีอะไร รองรับ ก็ไป กดดัน รัฐ เรา จะคิดแบบเดิมไม่ได้ เพราะ ถนนมันดีขึ้น รถ มันวิ่ง ได้ เป็น 100 กม / ชม และ เหล้า มันซื้อหา ได้ง่าย
ท่าน เห็นที่ไหน ในโลก ที่เอา รถกะบะ มาทำ เป็น รถขนส่ง คนไหม? ทำไม เขา ไม่ส่งเสริม ละ? ผมตอบ เหมือนเดิม คือ ไปคิดว่า ขับไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ก็ ปลอดภัยแล้ว คิดแบบนี้ ไม่ถูก นะ ต้องคิด เผื่อ ว่า ถ้า เกิดแล้ว แล้ว จะทำอย่างไร ให้รอดได้ ถ้าไม่คิด รถยนต์ คง ราคาถูกกว่า นี้ ไม่ต้อง ผ่านการทดสอบอะไร เลย
ครับก็ต้องแก้ปัญหากันไป ก็ต้องเริ่มจากง่ายไปยากน่ะครับ ง่ายสุดก็คืองัดกฎหมายมาว่ากันว่าจริงๆผิดกฎหมายหรือไม่ครับ ส่วนเรื่องการตายเพราะอุบัติเหตุนั้น สถิติเกิน 50% เป็นรถมอเตอร์ไซด์ครับ "ข้อสี่ จักรยานยนตร์เป็นยานพาหนะที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ประมาณ 2 ใน 3 หรือ239 ราย รองลงมาคือรถปิคอัพ (ร้อยละ 16)" http://thaipublica.org/2016/05/varakorn-162/ เพื่อความปลอดภัยเราต้องห้ามขับมอเตอร์ไซด์มั๊ยครับ
ความเห็น ผมนะ ในแง่มุมของความปลอดภัย คิดว่า ควรห้าม ถ้าจะอนุญาติให้ใช้ ก็ ต้องมีข้อจำกัด ที่รัดกุม สุด ๆ
คนอินเดียนั่งบนหลังคารถไฟ คนเวียดนามนั่งมอเตอร์ไซค์กัน4-6คนต่อคัน คนไทยนั่งกระบะท้าย จะอ้างว่าเป็นวิถีชีวิต ฐานะทางเศรษฐกิจ ระบบขนส่งสาธารณะไม่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ แต่ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนแปลง ผมไม่แปลกใจเลยที่รัฐบาลลุงตู่ผลักดันกฏหมายความปลอดภัยจราจร และจะผิดหวังอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลลุงตู่ไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้ ถ้าเราพูดกันเรื่องประเทศไทย4.0 แต่หลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องเรืองการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องของการใช้รถใช้ถนน หลับตาให้ทำผิดกันต่อไป ผมเองจะบอกว่ารัฐบาลลุงตู่ปากอย่างใจอย่าง แต่แกกล้าแตะเรื่องนี้ ผมชื่นชมครับ
เห็นข่าวที่มีคนให้กำลังใจตำรวจที่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับมาตรการของทางการ ผมนึกถึงเสื้อแดงให้กำลังใจแกนนำ นปช. และอดีตนายกฯ ปู ตามเฟซบุ๊ก คอมเมนท์มาเต็ม ขอเป็นกำลังใจให้อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่ปลอดภัยมาตั้งนานแล้ว
ครับ ถ้าเป็นเรื่องที่ดินก็ครอบครองปรปักษ์ไปแล้วครับ ท่านไม่คิดว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ ผู้รักษากฎหมายบ้างเหรอครับที่ปล่อยมานานขนาดนี้ ไม่เคยบอกเลยว่านี่คือผิด
คิดครับ เป็นการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ที่มีมานานแล้ว เราติดกับดักของการอะลุ่มอล่วยจนทำให้กติกาบ้านเมืองหย่อนยานมาตลอด
แต่ผมว่ากรณีนี้ไม่ใช่การอะลุ่มอล่วย ผมเองก็อายุเยอะแล้วน่ะ ผมไม่เคยรู้เลยจริงๆว่าการนั่ง cab การนั่งกระบะ คือการผ่อนปรนของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เองก็ใช้เวลาขนผู้ต้องหา จริงๆ
กรณีของการใช้ cab ในรถกระบะ ผมได้ยินมาว่า จริงๆ แล้ว cab มีไว้วางของ วางสัมภาระ และเป็นที่ว่างสำหรับการเอนเบาะไปข้างหลังครับ เป็นกระบะ 2 ที่นั่ง ส่วนเบาะใน cab ไม่ได้มากับโรงงานผลิตรถ แต่พนักงานเอามาแถมหรือขายให้ทีหลัง เพราะคิดว่านั่งได้
ไม่เหมือนเพื่อนมือด้วนครับ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะขี่จักรยานในวันสงกรานต์ เพราะยังติดคุกอยู่ น่าเศร้าจริงๆ