เป็นความฝันในใจมานาน ..สถานที่หนึ่งที่อยากไปดูนั่นคือ "กำแพงเมืองจีน" อยากไปชมด้วยตา ไปเห็นความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้างโดยน้ำมือของคนโบราณ แต่มีเหตุที่ต้องเลื่อนถึง 2 ครั้ง 2 ครา ครั้งแรก..ด้วยความไม่พร้อมของบัดดี้ร่วมทางตลอดทุกทริปที่ผ่านมาซึ่งเธอคือน้องสาว พอดีเธอติดสอบ อีกครั้งเหตุการณ์ถัดมาอีกปีหนึ่ง ได้ทำการโทร.จองตั๋วจนเกือบจ่ายมัดจำแล้ว แต่ข่าวน้ำที่อาจท่วมสุวรรณภูมิปลายปี 2554 ทำให้การไปจีนมีอันได้เจอโรคเลื่อนอีก เลยเปลี่ยนไปเกาหลีแทน คือการไปจีนนั้นมีขั้นตอนรอฟังผลผ่านวีซ่าด้วย ต่างจากไปสิงคโปร์หรือเกาหลีที่บินได้ง่ายกว่าโดยแค่มีพาสปอร์ตเท่านั้น มาปีนี้บริดวกโยธิน ทุกอย่างผ่านฉลุย เพียงแต่น้องเค้ายุ่งยากนิดหน่อยเนื่องจากนางยังไม่บรรลุนิติภาวะ การขอวีซ่าเข้าจีนจะต้องใช้สูติบัตรด้วย ..
ขั้นตอนที่ต้องเตรียมตัวสำคัญมากๆของการเที่ยวกำแพงเมืองจีนคือการสร้างกล้ามเนื้อรอบหัวเข่า และสร้างกล้ามบริเวณสะโพกรวมทั้งยืดเหยียดข้อพับขาทั้งหลายให้มีความยืดหยุ่น เพราะการไปลุยกำแพงเมืองจีนนั้นต้อง ใช้ขา เป็นอวัยวะที่สำคัญ ก็มีแต่ขาๆๆของท่านเท่านั้นที่เป็นเพื่อนท่าน ไม่มีใครให้ยืมใครได้ 555+ การบริหารหัวเข่าและขาที่ทำทุกวันคือทำท่ายกขาโดยผูกถุงทรายหนักประมาณ 1/2 ก.ก.ที่ข้อเท้า นั่งเก้าอี้ ห้อยขาลงก่อน แล้วพยายามเกร็งเหยียดเข่าให้สุดโดยเกร็งขาขนานกับพื้นโลก ค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นผ่อนลงช้าๆ ทำ 10-30 ครั้ง/รอบ วันละ 3 รอบ เมื่อผ่านวันเวลาไป ขาแข็งแรงขึ้น ให้เพิ่มน้ำหนัก และเพิ่มรอบ และอาจร่วมบริหารแบบ outdoor โดยการใช้เครื่องเตะ เหวี่ยง ค่อยๆทำ ค่อยๆเป็นไปนะจ๊ะ ( จะเข้ามาพาเที่ยวแบบช้าๆเรื่อยๆนะจ๊ะ ไม่ค่อยว่าง ยาวๆ เลย )
ดีจังเลยนะครับได้ทำตามความฝันจนได้ ปล นี่ถ้าเป็นช่วงชุมนุม กปปส คงไม่ต้องเตรียมความพร้อมของ"ขา"มากนักเพราะเราเดินกันแทบทุกวัน(ยาดม ยาลม ยาหม่อง เต็มกระเป๋า)
ที่ด่านจูหยง ( Ju Yong ) ในกรุงปักกิ่งนั้น รถยนต์สามารถขึ้นไปถึงด่านโดยเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ขึ้นกำแพงได้เลย ต่างจากที่ด่านปะต้าหลิง ( ฺBa Da Ling ) ซึ่งมีกระเช้าพาขึ้นแต่ก็ต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงกำแพง ทำให้มนุษย์ลุง มนุษย์ป้าที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมเรื่องของ " ขา " มาก่อนต้องบอกผ่านเป็นแถว ดู 2 ด่านจากแผนที่ประกอบโดยเอาจัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นศูนย์กลาง จุดซื้อตั๋วผ่านขึ้นกำแพงที่ด่านจูหยงอยู่ในรีพลาย #4
กำแพงเมืองจีน เป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลกในยุคกลางสมัยจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ สร้างด้วยแรงงาน เลือดเนื้อ และชีวิตของคนนับล้านคน ประกาศ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อปี ค.ศ. 1987 ความยาวรวม 14,600 ลี้ (ราว 6,700 กิโลเมตร ) จึงมีสมญานาม ' กำแพงหมื่นลี้ ' จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงมีบัญชาให้เสริมต่อกำแพงเมืองต่าง ๆ ของแต่ละเหล่าแต่ละก๊กของประเทศในรัชสมัยของพระองค์เข้าด้วยกันเป็นกำแพงเส้นเดียว ด่านจูหยง และ ด่านปะต้าหลิง อยู่ในกรุงปักกิ่ง ปัจจุบันส่วนที่หลงเหลือให้เห็นเป็นรูปกำแพงตามดินแดนตอนเหนือของจีน ได้แก่ ที่กรุงปักกิ่ง ( 18 ด่าน ) ที่นครเทียนจิน ( 2 ด่าน ) มณฑลกันซู่ ( 20 ด่าน ) มณฑลเหอเป่ย ( 43 ด่าน) มณฑลเหลียวหนิง ( 2 ด่าน ) มณฑลหนิงเซี่ย ( 15 ด่าน ) มณฑลซันซี ( 61 ด่าน ) และมณฑลส่านซี ( 24 ด่าน ) ซึ่งล้วนเป็นกำแพงเมืองที่ก่อสร้างในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น โดยสุดด้านตะวันออก คือ ด่านซันไห่กวน ในมณฑลเหอเป่ย และสุดด้านตะวันตก คือ ด่านเจียอี้ว์กวน ในมณฑลกันซู่
กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ 300 ถึง 500 หลา จะมีฐานสับเปลี่ยนเวรยาม ที่ทหารใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ แต่ละจุดเรียกว่าป้อม ในรูปจะนับได้สี่ป้อม ดูเหมือนใกล้นิดเดียว จากจุดเริ่มต้นท่ามกลางอากาศร้อนประมาณ 40 องศา ทุกคนบอกว่าจะพิชิตเท่านั้นป้อม เท่านี้ป้อม --เหอๆ
ถ้าทางเดินเป็นทางราบเหมือนเดินตามก้นลุงกำนันจะไม่ว่าอะไรซักคำเลย แต่ดูจากรูปละกัน (คือลองถ่ายย้อนลงไปจากกลางทางก่อนถึงป้อม1) มันเป็นทางลาดชันเจ้าค่ะ แรงยกขาย่อมมากกว่าเดินทางราบแน่นอน สุดติ่งกระดิ่งแมวเจงๆเจ้าประคุณรุนช่อง
ใครรักกันก็จะนำแม่กุญแจคนละลูกมาคล้องไว้ที่ราว เพื่อให้ความรักยั่งยืน พอคล้องเสร็จก็โยนลูกกุญแจไปไกลๆ ไม่ต้องมาไขกันอีก คือให้อยู่คู่กันทุกชาติ
ยินดีด้วยนะครับที่ได้ไปเที่ยวตามที่ใจอยาก พร้อมกับร่างกายที่เตรียมพร้อม ส่วนผมนี้........... "อยากไปเที่ยวสุดขอบฟ้า แต่เหมือนขามันไม่เป็นใจ" *ทำนอง เรือเล็กควรออกจากฝั่ง
หากอะไรยังไม่เป็นใจก็ตามหนูอ้อยไปเที่ยวพลางๆก่อนละกันนะคะ 55 มีข้อหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบทำ คือฝากจารึกไว้ตามสถานที่ท่องเที่ยว เราคนไทยไปเห็นก็อาจนึกตำหนิที่นักท่องเที่ยวไทยฝากตัวอักษรไว้ แต่ภาพที่ถ่ายมา ^^ลองอ่านดู ไม่เสียยี่ห้อเพราะไม่มีอักษรไทยสักตัว (แต่เรารู้ว่าเป็นคนไทย 555 +) (สุภิสา และ บูรนิน) http://travel.mthai.com/news/79100.html หน่วยงานที่ดูแลกำแพงเมืองจีนจัดให้บริเวณหอศึก หมายเลข 14 ของด่านมู่เทียนหยู ซึ่งเป็นกำแพงช่วงที่มีคนเยี่ยมชมมากที่สุด และมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดตอนหนึ่ง เป็นลานขีดเขียนตามใจชอบของนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่บอกว่า “ต่อไปอาจจัดให้นักท่องเที่ยวแสดงข้อความของตัวเองผ่านป้ายอิเล็กทรอนิกส์ด้วย”
พ้นจากทางขึ้นปรกติที่เป็น inclined plane ก็จะถึงส่วนที่เป็นขั้นบันได นักเรียนวัยรุ่นก็จ้วงขาเอา จ้วงขาเอา
ปัจจุบันตามป้อมต่างๆที่เคยเป็นหอสังเกตการณ์ของทหารโบราณ เปลี่ยนเป็นจุดพักเหนื่อยของนักเดินทาง มีป้ายห้ามนั่นห้ามนี่เช่นห้ามสูบบุหรี่ ห้ามปีนป่าย และให้ระแวดระวังผู้มีโรคประจำตัวติดเตือนไว้ แมงโม้คุยกันก่อนขึ้นกำแพงว่าจะพิชิตป้อมนั้นป้อมนี้ พอเอาเข้าจริงก็จอดกันแค่ป้อมสามเป็นอย่างเก่ง แค่นั้นก็หัวใจจะวาย แหะๆ ต้องรอพักขาอีกนาน กว่าจะเดินลงอย่างขาไม่สั่น นี่ขนาดเตรียมขามาเป็นปีนะนี่ 555+
ก็ถังขยะอีกแบบนึงไง และนี่ก็อีกแบบ จะงงอะไร คือชอบถ่ายรูปถังขยะอะมีไรไหม เอาไว้ใส่พวกกากๆ และพวกขยะ อะอะ อะอะ
แย่งกันกินแย่งกันใช้ในปักกิ่ง ดังนั้นเพื่อป้องกันการแย่งกันขึ้นรถเมล์ เลยทำซองให้ชาวบ้านขี้นรถเมล์แบบทีละ 1 ซะเลย
"หนี่ห่าว"ครับ"หนูอ้อย" (ผมพูดภาษาจีนไม่เป็นหรอกเปิดหาเอาในเน็ต ผมเป็นลูกครึ่งจีนกับอีสานก็จริงแต่เชื้ออีสานแรงกว่าสังเกตุจากดั้งที่เรียบแบนแต่ก็ถือเป็นข้อดีเวลาเกิดควันหรือกลิ่นไม่พึ่งประสงค์เราสูดเข้าไปได้น้อยกว่าคนอื่น ) เห็นกระทู้นี้แล้วคิดถึงจังเกือบปีแล้ว ตอนนั้นผมก็พึ่งกลับเข้าบอร์ดได้ใหม่ๆ และยังไม่สนิทกับหนูอ้อยเหมือนเดี๋ยวนี้ ตอนนั้นคิดอิจฉา(แต่ไม่ริษยานะครับ)หนูอ้อยเหมือนกันที่กล้าและได้ทำในสิ่งที่ฝัน ตัวผมเองก็มีความฝันอยากไปนู้นไปนี้หลายอย่างแต่ก็ได้แต่เพ้อฝันไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ชีวิตเลยได้แต่วนอยู่แต่ที่อยู่แต่ในจินตนาการ อาศัยมองความสวยงามผ่านรูปภาพแต่ไม่อาจไปสัมผัสมันได้สักที มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกลุงๆของผม(พี่ชายของพ่อ)ท่านเดินทางไปบ้านเกิดของปู่ผมที่จีน(ลุงคนโตเกิดที่นั้น)ทั้งหมู่บ้านใช้"แซ่"เดียวกันหมดท่านถ่ายรูปมาให้ดู ดูแล้วแห้งแล้งกว่าอีสานบ้านเราอีก ไปถึงพอเขารู้ว่าใช้"แซ่"เดียวกันและกลับมาบ้านเกิดชาวบ้านมาตอนรับกันเต็มไปหมด เหมือนพวกลุงๆเป็นคนสำคัญเลย "เหมยฮัว" ผู้ขับร้อง เติ้งลี่จวิน Cr : Sulley Monster
ตุ๊กๆเล็กอีกคันในปักกิ่ง นั่งได้เต็มที่ 5 คน (สี่คนสบายๆ) ลมโชย มิมีแอร์ค่ะ ในภาพกำลังจอดรอรับผู้โดยสาร