ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เทวดาเป็นผู้จะต้องจุติจากเทพนิกายเมื่อนั้น นิมิตร ๕ ประการ ย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑ ผ้าย่อมเศร้าหมอง ๑ เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑ ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑ เทวดาย่อมไม่ยินดีใน ทิพอาสน์ของตน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจาก เทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจากเทวโลกนี้ไปสู่สุคติ ๑ ครั้นไปสู่สุคติแล้ว ขอจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑ ครั้นได้ลาภที่ท่าน ได้ดีแล้ว ขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี ๑ ฯ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามว่าข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลายอะไรเป็นส่วนแห่ง ลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว อนึ่ง อะไรเป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย พระเจ้าข้า ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่งการไปสู่ สุคติของเทวดาทั้งหลาย เทวดาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ย่อมได้ศรัทธาในธรรมวินัยที่พระตถาคต ประกาศแล้ว นี้แลเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว ก็ศรัทธาของเทวดานั้นแล เป็นคุณชาติตั้งลง มีมูลเกิดแล้วประดิษฐานมั่นคง อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก พึงนำไปไม่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดี ของเทวดาทั้งหลาย ฯ พุทธวจน เชียงดาว เมื่อไม่มีเรา โลกนี้ก็ไม่มี มนุษย์ยุคนี้วิ่งไล่ล่ากราบไหว้เทวดา เชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของเทวดา... ในขณะที่สัจจะความจริงบอกว่าเทวดาชั้นปุถุชนก็เป็นสัตว์ ก็มีตาย ตายแล้วก็กำเนิดในนรก เดรัจฉาน เปรตวิสัย หรือมนุษย์... ได้ทุกที่... ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ... ... เทวดาตายแล้วอยากเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์ก็หวังในลาภอันประเสริฐคือได้รู้ธรรมของพระศาสดา เมื่อได้รู้แล้วก็ปารถนาให้ยึดมั่น หยั่งลงมั่นในธรรมนั้นๆตลอดกาลนาน... นั่นคือความหวังอันสูงสุดของเหล่าเทวดาปุถุชน...
วัจฉะ ! ผู้ใดห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าเป็นอมิตร ผู้ทำอันตรายต่อสิ่ง ๓ สิ่ง คือ (๑) ทำอันตรายต่อบุญของทายก (ผู้ให้) (๒) ทำอันตรายต่อลาภของปฏิคาหก (ผู้รับ) (๓) และตัวเองก็ขุดรากตัวเอง กำจัดตัวเองเสียตั้งแต่แรกแล้ว วัจฉะ ! ผู้ที่ห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทาน ชื่อว่าเป็นอมิตร ผู้ทำอันตรายสิ่ง ๓ สิ่ง ดังนี้แล วัจฉะ ! เราเองย่อมกล่าวอย่างนี้ว่า "ผู้ใด เทน้ำล้างหม้อหรือน้ำล้างชามก็ตาม ลงในหลุมน้ำครำ หรือทางน้ำโสโครกซึ่งมีสัตว์มีชีวิตเกิดอยู่ในนั้น ด้วยคิดว่าสัตว์ในนั้นจะได้อาศัยเลี้ยงชีวิต ดังนี้แล้ว เราก็ยังกล่าวว่า นั่นเป็นทางมาแห่งบุญ เพราะการทำแม้เช่นนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการให้ทานแก่มนุษย์ด้วยกัน" ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง เรากล่าวว่าทานที่ให้แก่ผู้มีศีล เป็นทานมีผลมาก ทานที่ให้แก่ผู้ทุศีล หาเป็นอย่างนั้นไม่ และผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละเสียซึ่งองค์ ๕ และประกอบอยู่ด้วยองค์ ๕. ละองค์ ๕ คือ (๑) ละกามฉันทะ (๒) ละพยาบาท (๓) ละถีนมิทธะ (หดหู่ซึมเซา) (๔) ละอุทธัจจกุกกุจจะ (ฟุ้งซ่านรำคราญ) (๕) ละวิจิกิจฉา (ลังเลสงสัย) ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ (๑) ประกอบด้วยกองศีลชั้นอเสขะ (คือชั้นพระอรหันต์) (๒) ประกอบด้วยกองสมาธิชั้นอเสขะ (๓) ประกอบด้วยกองปัญญาชั้นอเสขะ (๔) ประกอบด้วยกองวิมุตติชั้นอเสขะ (๕) ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะชั้นอเสขะ เรากล่าวว่าทานที่ให้ในบุคคลผู้ละองค์ ๕ และ ประกอบด้วยองค์ ๕ ด้วยอาการอย่างนี้ มีผลมาก ดังนี้.
ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิสาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมหาบพิตร นกมีปีกจะบินไปทางทิสาภาคใดๆก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิสาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ...
เห็นด้วยครับ แต่การเป็นมนุษย์ไม่ใช่แค่มีบัตรประชาชนก็ใช้ได้ ต้องประกอบด้วยธรรม มนุษย์ 5 จำพวก 1. มนุสสเนรยิโก มนุษย์สัตว์นรก ได้แก่ มนุษย์ผู้ดุร้าย หยาบคาย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยฆ่าเจ้าทรัพย์ตายบ้าง ทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสบ้าง ข่มขืนแล้วฆ่าบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นทรมานผู้อื่นสัตว์อื่น เป็นคนไร้ศีลธรรม ไม่มีมนุษยธรรมคือศีล 5 ประจำตัวเลย นามว่า มนุสสเนรยิโก แปลว่า มนุษย์สตว์นรกคือเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจนั้นเลวทราม ดุร้ายหยาบคายเหมือนสัตว์นรกฉะนั้น 2. มนุสสเปโต มนุษย์เปรต ได้แก่ มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วยตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อยโลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แย่งชิงวิ่งราวเป็นต้น แม้พวกที่เที่ยวขอทาน ก็สงเคราะห์เข้าในประเภทนี้ด้วย 3. มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ได้แก่มนุษย์ทีขวางศีลขวางธรรม มีโมหะคือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น เป็นมนุษย์ผู้ไรศีลธรรม ดืมสุรา เสพยาบ้า กินกัญชา ทำอะไรทางกาย วาจา ใจ ก็ขวางๆผิดทำนองคลองธรรม นามว่า มนุสสติรัจฉาโน แปลว่ามนุษย์สัตว์เดรัจฉาน เดรัจฉาน แปลว่า ผู้ไปขวาง คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัวเหมือนคน คนเดรัจฉานก็ฉันนั้น ทำอะไรก็ขวางธรรม ขวางวินัย คือขาดศีลธรรมเสมอๆ 3. มนุสสภูโต มนุษย์แท้ๆ คือเป็นคนเต็มตัว ได้แก่คนรักษาศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ไม่ขาด ไม่ประมาทต่อศีลเพราะศีลเป็นมนุษยธรรม คือเป็นธรรมประจำมนุษย์ ธรรมที่ทำให้คนเป็นคน มนุสสภูโต แปลว่ามนุษย์แท้ๆ เพราะมีคุณธรรมของคนคือศีล ศีล ท่านแปลว่า เศียร คือ หัว ถ้าคนขาดศีล ก็คือคนหัวขาดนันเอง เพราะขาดจากคุณธรรมของความเป็นคน 5. มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา ได้แก่มนุษย์ผู้มีศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ มีหิริคือความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ คือความสดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาปอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นผู้มีใจสูงดุจเทวดา เพราะประกอบด้วยเทวธรรม 7 ประการคือ -บำรงเลี้ยงมารดาบิดา -ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อบุคคลผู้เจริญ -พูดจาไพเราะเสนาะหู อ่อนหวาน นุ่มนวล - ไม่พูดส่อเสียดผู้อื่น - ละความตระหนี่เหนียวแน่น - รักษาคำสัตย์ - ไม่โกรธ มนุษย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านขนานนามว่า มนุสสเทโว แปลว่า มนุษย์เทวดา ที่มา http://www.tangboon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=256391
ความยากที่เท่ากัน 3 อย่าง ภิกษุ ท. ! ยากที่จะเป็นไปได้ ฉันเดียวกันที่ใคร ๆ จะพึงได้ความเป็นมนุษย์; ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ จะเกิดขึ้นในโลก; ยากที่จะเป็นไปได้ ฉันเดียวกัน ที่ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองไปทั่วโลก ภิกษุ ท. ! แต่ว่า บัดนี้ ความเป็นมนุษย์ ก็ได้แล้ว;ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะก็บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว;และธรรมวินัย อันตถาคตประกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้พวกเธอพึงกระทำโยคกรรม เพื่อให้รู้ว่า“นี้ ทุกข์;นี้ เหตุให้เกิดทุกข์;นี้ ความดับแห่งทุกข์;นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์” ดังนี้ เถิด.
ชาวบ้านจังหวัดมุกดาหารแห่ดู ซากลูกควายประลาดออกมามี 2 หัว 4 ตา 4 หู 4 ขา จนเป็นที่ฮือฮาของชาวบ้าน... ที่บ้านเลขที่ 49 หมู่ 6 บ้านหนองผือ ต.หว่านใหญ่ อ.หว่านใหญ่ จ.มุกดาหาร เป็นบ้านของ นางสุรพร อินปาว อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของแม่ควายที่มีชื่อว่า คำแพง ตกลูกออกมา 1 ตัวเป็นลูกควายประหลาด มี 2 หัว 4 หู 4 ตา 4 ขา ซึ่งชาวบ้านที่ทราบข่าว ต่างแห่กันมาดูพร้อมจุดธูปเทียนกราบไหว้ขอโชคลาภ นางสุรพร อินปาว เจ้าของซากควาย 2 หัว เล่าว่า ได้เลี้ยงควายไว้ 4 ตัว เป็นตัวผู้ 1 ตัว ตัวเมีย 3 ตัว ซึ่งตัวเมียที่ตกลูกชื่อว่า คำแพง มีอายุร่วม 19 ปี ก่อนหน้านี้เคยตกลูกมาแล้วจำนวน 3 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งตกลูกลูกก็มีสภาพร่างกายปกติเหมือนควายทั่วไป แต่พอครั้งนี้ ซึ่งตกลูกออกมาผิดปกติ และหลังจากนี้จะนิมนต์พระ มาทำพิธีสวดบังสุกุล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ซากลูกควายตัวดังกล่าวและจะใช้เงินจำนวน 15,000 บาท สต๊าฟ ซากลูกควายไว้ในตู้กระจกไว้บูชากราบไหว้ ตามความเชื่อ... NATIONTV.TV โคตรน่าอนาถ... เกิดเป็นมนุษย์อันเป็นลาภอันประเสริฐที่แม้แต่เทวดาที่กำลังจะตายไฝ่หา ปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใด... เสือกไปกราบเดรัจฉานพิการ... ปาสบกามที่สัมผัสคนพวกนี้มาแสนนานในงาน... เชื่อโชคลาง ตั้งแต่จิ้งจกปี้กัน ไปยันทำขวัญควายตาย... (แต่ทานโทษเสร็จพิธีก็แดร๊กเรียบ...) มักง่ายแม่มแทบทุกเรื่องในชีวิต เรื่องผัวคนโน้นเอาเมียคนนั้น เมียไอ้นั่นหนีตามไอ้นี่... เป็นเรื่องแทบจะธรรมดาๆ มีให้เห็นได้ทุกหน่วยงาน เรื่องทำมาหากินทำแม่งให้เสร็จๆส่งๆไป ดี ไม่ดี ใครจะชิหายช่างแม่มึง พัฒนามาจนปัจจุบัน... เอาเปรียบแม่มให้ได้มากที่สุดคือกรูแน่ (เจื่อกไม่มาดูเอง) ฯลฯ ... ตามท้องไร่ท้องนาที่เคยเห็นมา... แม่มก็เหมือนกันหมด... ปีนี้ปลูกอะไรราคาดี... แห่ปลูกแม่งทั้งบาง คุณภาพไม่ต้องพูดถึง เน้นปริมาณ... เหมือนจำนำข้าวนั่นแร๊ะ... พวกเกษตรอินทรีย์ที่เค้าเน้นคุณภาพ เค้าไม่เห็นสนใจโครงการเหี้ยนั่นเล๊ย... เพราะเค้าขายได้มากกว่านั้นอยู่แล้ว แถมพ่อค้ามาจองตั้งแต่ยังไม่ได้เกี่ยวเลยด้วยซ้ำ... แต่แม่งก็พันราย... มีรายหรือสองรายละมั้งที่ทำสำเร็จ... ... ส่วนพวกเน้นปริมาณ ใครชิหายช่างแม่มมันก็... หว่านอย่างเดียว... ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง สารเร่งพ่อง เร่งแม่ม ... ใส่กันเข้าไปไม่มียั้ง ยังไงก็ได้ให้ออกลูกเร็วๆ เยอะๆ... เข้าทางตีนพ่อค้าปุ๋ย+นักแดร๊กเมืองแม่งทุกเม็ด ทุกดอก (แม่งก็เหี้ยกพันธุ์เดียวกัน หาแดร๊กอยู่ด้วยกันนั่นแร๊ะ) ... ... สุดท้ายคน, สัตว์ก็รับกันไปเต็มๆ... แต่เป็นสารเคมีล้วนๆนะ... สังเกตุได้ง่ายๆ เหมือนพวกใจเสาะ ล้มป่วยพักเดียว... ป๊อกเด้งเรียบร้อย สัตว์ก็แดร๊กแต่อาหารเคมี เล็มหญ้าก็สารเคมี ดีไม่ดีแม่งเป็น GMO มาทดลองทิ้งไว้เปล่าก็ไม่รู้... มันไม่สังเกตุกันมั่งเลยหรือ? ทำไมแม่งมีแต่วัวห้าขา ควายสองหัว (นักข่าวเจื่อกตื่นเต้นไปกะเค้าด้วย... สองหัว... สี่ตา สี่หู... กรูมึน) ส่วนใหญ่เกิดในดงไอ้พวกกราบควายนี่ทั้งนั้น พระศาสดาตรัสถึงกฎธรรมชาติของสัตว์โลก "อิทับปัจจยตา" เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น... เอามาคิดในหลักทางโลกก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ที่พวกบอกกรูเป็นพุทธบางคนบอกกรูรู้ดี และชอบอวดดี ที่แม่งไม่เคยมีอยู่จริง... แต่ก็ไม่เข้าใจ มึงรู้ดี มึงเก่ง... แต่มึงกราบควายตาย???? ทำไม??? -*-" แค่เรื่องคว๊าย ควายๆ... ยาวเรยกรู... เฮ้อออออออ ขอรับ...
เรื่องคนที่แสวงหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ หากมองให้ดีคนเหล่านี้น่าสงสารนัก ตัวเองมีวาสนาได้สร้างบารมีกลับไม่ทำ กลับเอากิเลสฝ่ายต่ำนำ หวังเพียงสมมุติบัญญัติที่เรียกว่าทรัพย์สิน ความสุข หายใจไร้ค่าไปวัน ๆ เมื่อตัวตายไป หวังได้เพียงอบาย ยากที่จะไปสู่โลกมนุษย์(หรือไม่) คนเหล่านี้หากกรรมยังตามไม่ทันยากจะเข้าใจในสัจจธรรม หากคิดแบบปัจเจกพุทธะ เรื่องแบบนี้ต้องปล่อยวาง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมของตัวเอง ก็ง่ายดี แต่จะขาดเมตตาไป
อวิชชาสูตร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าว อวิชชา ว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่า ไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของอวิชชา ควรจะกล่าวว่า นิวรณ์ ๕ แม้ นิวรณ์ ๕ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ ควรกล่าวว่า ทุจริต ๓ แม้ ทุจริต ๓ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของทุจริต ๓ ควรกล่าวว่า การไม่สำรวมอินทรีย์ แม้การไม่สำรวมอินทรีย์ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารแห่งการไม่สำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่า ความไม่มีสติสัมปชัญญะ แม้ความไม่มีสติสัมปชัญญะ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของความไม่มีสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่า การกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย แม้การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ควรกล่าวว่า ความไม่มีศรัทธา แม้ความไม่มีศรัทธา เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา ควรกล่าวว่า การไม่ฟังพระสัทธรรม แม้การไม่ฟังพระสัทธรรม เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของการไม่ฟังพระสัทธรรม ควรกล่าวว่า การไม่คบสัปบุรุษ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังพระสัทธรรมให้บริบูรณ์ การไม่ฟังพระสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์ ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ ทุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังนิวรณ์ ๕ ให้บริบูรณ์ นิวรณ์ ๕ ที่บริบูรณ์ ย่อมยัง อวิชชา ให้บริบูรณ์ อวิชชา นี้ มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์ อย่างนี้.! ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหยาบ ตกลงเบื้องบนภูเขา เมื่อฝนตกหนัก ๆ อยู่ น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธารและห้วยให้เต็มซอกเขา ลำธาร และห้วยที่เต็ม ย่อมยังหนองให้เต็ม หนองที่เต็ม ย่อมยังบึงให้เต็ม บึงที่เต็ม ย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อยที่เต็ม ย่อมยังแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่ที่เต็มย่อมยังมหาสมุทรสาครให้เต็ม มหาสมุทรสาครนั้น มีอาหารอย่างนี้ และเต็มเปี่ยมอย่างนี้ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การไม่คบสัปบุรุษ ที่บริบูรณ์ ย่อมยัง การไม่ฟังพระสัทธรรม ให้บริบูรณ์ นิวรณ์ ๕ ที่บริบูรณ์ ย่อมยัง อวิชชา ให้บริบูรณ์ อวิชชานี้ มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฉันนั้น เหมือนกันแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าว วิชชา และ วิมุตติ ว่า มีอาหาร มิได้กล่าวว่า ไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของวิชชาและวิมุตติ ควรกล่าวว่า โพชฌงค์ ๗ แม้ โพชฌงค์ ๗ เราก็ควรกล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่า ไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของโพชฌงค์ ๗ ควรกล่าวว่า สติปัฏฐาน ๔ แม้ สติปัฏฐาน ๔ เราก็กล่าวว่า มีอาหาร มิได้กล่าวว่า ไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของสติปัฏฐาน ๔ ควรกล่าวว่า สุจริต ๓ แม้ สุจริต ๓ เราก็กล่าวว่า มีอาหาร มิได้กล่าวว่า ไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของสุจริต ๓ ควรกล่าวว่า การสำรวมอินทรีย์ แม้การสำรวมอินทรีย์ เราก็กล่าวว่า มีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของการสำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่า สติสัมปชัญญะ แม้สติสัมปชัญญะ เราก็กล่าวว่า มีอาหาร มิได้กล่าวว่า ไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่า การทำไว้ในใจโดยแยบคาย แม้การทำไว้ในใจโดยแยบคาย เราก็กล่าวว่า มีอาหาร มิได้กล่าวว่า ไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ควรกล่าวว่า ศรัทธา แม้ศรัทธา เราก็กล่าวว่า มีอาหาร มิได้กล่าวว่า ไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของศรัทธา ควรกล่าวว่า การฟังพระสัทธรรม แม้การฟังสัทธรรม เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไร เป็นอาหารของการฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การคบสัปบุรุษ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้บริบูรณ์ ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์. โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยัง วิชชา และ วิมุตติ ให้บริบูรณ์ วิชชา และ วิมุตติ มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์ อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหยาบตกลงเบื้องบนภูเขา เมื่อฝนตกหนักๆอยู่ น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธารและห้วยให้เต็มซอกเขา ลำธาร และห้วยที่เต็ม ย่อมยังหนองให้เต็ม หนองที่เต็มย่อมยังบึงให้เต็ม บึงที่เต็มย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อย ที่เต็ม ย่อมยังแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่ที่เต็ม ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้เต็ม มหาสมุทรสาครนั้นมีอาหารอย่างนี้ และเต็มเปี่ยมอย่างนี้ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชา และวิมุตติให้บริบูรณ์ วิชชา และ วิมุตติ นี้ มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฉันนั้น เหมือนกันแล ฯ
สัปปบุรุษ หมายถึง ผู้ประกอบด้วยสัทธรรม 7 ใช่ไหมครับ 1. เป็นผู้มีศรัทธา 2. เป็นผู้มีหิริ 3. เป็นผู้มีโอตตัปปะ 4. เป็นผู้มีพหูสูต 5. เป็นผู้ปรารภความเพียร 6. เป็นผู้มีสติมั่นคง 7. เป็นผู้มีปัญญา. แม้โจรหากรู้จักคบสัปปบุรุษก็อาจบรรลุอรหัตผลได้
ธรรมะจากพระโอษฐ์องค์พระตถาคตควรพึงนำมาตรึกตรองเป็นนิจ แม้กาลผ่านมาล่วง 2500 กว่าปีแล้ว มีคำกล่าวอ้างว่านี่ก็เลยกึ่งพุทธกาลแล้ว ธรรมะของพระพุทธองค์ก็น่าจะล้าสมัย แต่ในความคิดผมพวกที่มีจิต คิดเช่นนั้เปรียบเสมือนมดแดงเฝ้ามะม่วง ไม่มีวันรู้ถึงรสชาดของมะม่วง ด้วยจิตเขาเหล่านั้นยึดแต่เปลือกนอกของ คำสอน บ้างก็ไปติดในพระวินัยปิฎก บ้างก็ไปติดในพระสุตันตปิฎก ที่เลวร้ายกว่านั้นคือพวกเดียรัตถีที่อาศัยผ้าเหลือง สำหรับผู้ที่ศรัทธาก็ไม่มีปัญญาแกร่งกล้าในการศรัทธากลายเป็นงมงายไป ยิ่งโดนเอาสวรรค์มาฉกนรกมาขู่ ทำบุญ 10 ล้านได้สวรรค์ 10 ชั้น ด่าพระ(ตัวกูนี่แหละ)ตกอบายภูมิ จริงเท็จทั้งตัวห่มผ้าเหลืองและไม่ห่มผ้าเหลืองก็ไม่รู้จริง อาศัยตรรกะการพูดให้วกวนคนทั้งหลายงงงวยก็คล้อยตาม อาศัยอุปทานหมู่สร้างอาณาจักรขึ้นมาเพียงเพื่อเสพสุข ก่อนตัวศาสดาจอมปลอมจะตายตกลงอเวจี เนื่องจากการทุศีล ชักจูงคนให้เห็นผิดเป็นชอบ
ล้วนแล้วแต่คือ "อวิชชา" ขอรับ มีปริพาชกเคยปรามาสพระศาสดาว่าเก่งนัก ทำไมไม่พาหมู่คนไปนิพพานเสียให้หมด หรือสักครึ่งนึงเสียเล่า... พระศาสดาตรัสถามกลับต่อปริพาชกว่า ท่านรู้จักทางไปเมืองราชคฤห์ (ถ้าจำชื่อเมืองไม่ผิดนะขอรับ) แล้วท่านสามารถบอกทางผู้คนไปเมืองราชคฤห์ได้หรือไม่? ปริพาชกบอกได้อย่างเชี่ยวชาญในทางนั้น พระศาสดาตรัสถามต่อว่าแล้วผู้คนที่ท่านบอกทางแก่เขาเหล่านั้น ล้วนไปสู่เมืองราชคฤห์ได้ทั้งหมดทุกคนหรือเปล่า? ปริพาชกก็ตอบว่าไม่ได้ บ้างก็ไปถึง บ้างก็หลงเสียระหว่างทาง... พระศาสดาตรัสถามต่อว่าทำไมท่านไม่บอกทางให้เขาเหล่านั้นไปให้ถึงเมืองทั้งหมดเล่า? ปริพาชกจึงตอบว่า ก็ตัวเขาเป็นเพียงผู้บอกทาง จะไปทำให้คนเหล่านั้นไปถึงยังเมืองทั้งหมดได้อย่างไร มันก็แล้วแต่ปัญญาของคนผู้นั้น... ... พระศาสดาจึงตรัสตอบ... พระองค์ก็เป็นเพียงผู้บอกทางเหมือนกัน ผู้นั้นจะไปถึงนิพพานได้ก็ด้วยความเพียร, ปัญญา และ/หรืออินทรีย์บารมีของเขาเหล่านั้นๆเช่นกัน...
ท่านมหากล่าวแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงเมื่อยามทักษิณกระสันต์อยากมีอำนาจอีกครั้งเมื่อหลังรัฐประหาร มี สารพัดอุบายจะปิดช่องโหว่ตนเอง สุดท้ายพังเพราะความโลภของตัวเอง ทรัพย์ประเทศสูญไปอาจหากลับมาได้ แต่ที่น่าเสียดายบารมีที่ทักษิณเคยบำเพ็ญมา คงไม่เหลือ กรรมหนักที่ได้ทำกับแผ่นดินเกิดคงจะทำให้ผมคง ไม่ได้พบกับผู้ชายคนนี้อีกในชาติต่อ ๆ ไป
กระพ๊มนึกถึงเทวทัตขอรับ... กระทำกรรมจนผลของกรรมส่งให้ได้พบพระตถาคต เป็นศิษย์พระตถาคต มีฤทธิ์มาก มีบริวารมาก... แต่ยังไม่ได้สำเหนียกแม้ธรรมขอพระตถาคตเลย... ... ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้มีทรัพย์มหาศาล บริวารมหาศาล ฯลฯ ก็เพราะผลกรรมชาติใดชาติหนึ่งตามคำตรัสพระศาสดานั่นแหละขอรับ... แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เครื่องประกันว่าจะเป็นคนดี เลว... เพราะบุพกรรม... พระศาสดาตรัส เราทุกคนเป็นมาหมดแล้วทั้งนั้น เป็นสัตว์ กำเนิดนรก กำเนิดมนุษย์ชาย หญิง พิการ สวย ขี้เหร่ รวยมหาศาล กษัตริย์ ยากจน... เราผ่านกันมาแล้วทั้งนั้นขอรับ พระศาสดายืนยัน... อย่างที่เคยกล่าวมาทั้งหมด... ทรัพย์อื่นหมื่นแสน วันนี้ "อริยทรัพย์" กับ "กรรม" นั่นแหละ... ที่จะติดตามเราไปตลอดสังสารวัฏนี้... ตราบเรายังไม่นิพพานขอรับ...
หากกล่าวถึงเรื่องเวรกรรม ชาติก่อน ชาตินี้ ทักษิณคงทำบุญไว้มากแต่ยังมัวเมาในกิเลส ชาตินี้บุญที่เคยกระทำถึงส่งผลได้ ไม่เต็มชาติ เกรงว่าชาติต่อ ๆ ไปคงต้องเสวยกรรมในอบาย ผมคงต้องเจริญอุเบกขามองเขาชดใช้กรรมที่ได้ก่อขึ้นมาเอง ว่าแต่การที่เราเจริญอุเบกขาธรรมนี้เป็นการสร้างบารมีหรือไม่
อุเบกขากับนิ่งเสียตำลึงทองนั่น... ไม่เหมือนกันนาขอรับ... การปล่อยวางเป็นคนล่ะแบบ การวางอุเบกขาพระศาสดาตรัสแบบง่ายคือ "สักแต่ว่า" ... ... เห็นอะไร ก็สักแต่ว่าเห็น... ... ได้ยินอันใด ก็สักแต่ว่าได้ยิน... ... ได้กลิ่นอันใด ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น... ... ลิ้นลิ้มรสอันใด ก็สักแต่ว่ารู้รส... ... สัมผัสกายอันใด ก็สักแต่ว่าสัมผัส... ... แทบจะเรียกได้ว่าตัด "เวทนา" สุข, ทุกข์ทั้งมวลเลยที่เดียวขอรับ... ในการเจริญสติและแผ่เมตตานั่น... การแผ่อุเบกขาพระศาสดาตรัสว่าเลิศสุด ผู้เจริญอุเบกขาได้หากตายไปยังไม่ได้บรรลุนิพพานแล้ว ได้ถึงอนาคามีอยู่ชั้นพรหมเลยทีเดียวขอรับ (แต่อายุยืนยาวมากๆๆๆๆ ข้ามยุคข้ามกัปป์ในระดับผ่านพระพุทธเจ้าจากองค์หนึ่ง จนอุบัติขึ้นใหม่อีกพระองค์... อนคามีบางองค์ยังไม่ปรินิพพานเลยก็มีปรากฏอยู่ในพระสูตรขอรับ...) ... ข้อเสียของอุเบกขา พระศาสดาตรัสไว้เพียงเรื่องเดียวคือ... มันดับไปได้... แค่นั้นเองขอรับ... แต่ถ้าถามกระพ๊มคงมีอีกข้อสำหรับปุถุชนเยี่ยงเราๆ... มันทำย๊ากกกกกกกกม๊วกกกกกกกกกกกก... แต่ก็ต้องเพียรต่อไปขอรับ... ไม่วันใดก็วันหนึ่งล่ะน่า... พระศาสดายืนยันไว้แล้ว...
ไอ้ที่ว่า ... เห็นอะไร ก็สักแต่ว่าเห็น... ... ได้ยินอันใด ก็สักแต่ว่าได้ยิน... ... ได้กลิ่นอันใด ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น... ... ลิ้นลิ้มรสอันใด ก็สักแต่ว่ารู้รส... ... สัมผัสกายอันใด ก็สักแต่ว่าสัมผัส... สำหรับคนธรรมดาอุดมด้วยกิเลสอย่างผม คงยากที่จะทำใจ แต่คงมองทักษิณลงนรกอย่างสะใจ ไม่คิดจะไปข้องแวะด้วย
เห็นพระสูตรนี้แล้วนึกถึงสังคมยุคนี้ขอรับ... คนพุทธส่วนใหญ่ที่เชื่อในความศักดิ์สิทธื์ของน้ำมนต์ หรือการท่องบ่นคาถาที่เชื่อว่าท่องแล้วจะดลบันดาลอันใดให้ได้ ใครลบหลู่นั่นโคตรเลว นรกกินกบาล (แบบที่เจอมาแร๊ว... ) ทั้งๆที่ถามคนเหล่านั้นแบบง่ายๆ... รู้มั้ย ที่ท่องมันแปลว่าอะไร? ร้อยละเก้าสิบเก้า ก็บอกว่า... ลบหลู่... มนต์ตั้งยาว เห็นท่องกันเป็นชั่วโมงๆ... แปลสั้นจังฟ๊ะ... บางรายหนักกว่านั้น... ท่องนะโมฯมาจนหัวหงอก ยังไม่รู้เลยนะโมฯ แปลความหมายแล้วคืออะไรก็มี... ... แต่คนเหล่านี้กลับเชี่ยวชาญมว๊ากกกกกกกกกกก... ถึงเรื่อง "อจินไตย" ที่พระศาสดาตรัสไว้ตามพระสูตรนี้ทุกประการ บอกได้เป็นฉากๆ ยกอาจารย์มากล่าวถึงได้ราวเห็นมากะตา ทั้งๆที่ครูบาอาจารย์ที่กล่าวมาบางท่านทำกาละไปแล้วร่วมๆร้อยปี... พระศาสดาตรัสถึงอจินไตย4ว่า "ผู้ที่คิดก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า"... หรือว่าคนพวกนั้น...
เฮ้ออออออออ... จริงๆ... เห็นข่าวคนพวกนี้แล้ว ล่าสุดเณรคำก็ยังอุตสาห์มีคนกราบออกสื่อได้อีกด้วย... ... พระศาสดาตรัสเรื่องการให้ทานไว้หลายแง่มุมมากๆ พระองค์กล่าวผู้ใดห้ามผู้อื่นให้ทานผู้นั้นไม่ใช่มิตร... แต่พระศาสดาก็ตรัสถึง อานิสงค์ของทานนั้น... ขึ้นอยู่กับผู้รับทานด้วย... ยกตัวอย่างสักพระสูตรเมื่อได้โต้วาทะกับนิครห์ณผู้หนึ่ง ที่นำพระราชาจากเมืองต่างๆมาเป็นสักขีพยาน สุดท้ายก็ต้องพ่ายต่อสัจจะจากคำพระตถาคต จึงเกิดความเลื่อมใสต่อพระศาสดา จึงกล่าวกับพระราชาทั้งหลายให้นำอาหารมาให้นิครห์ณในวันรุ่งขึ้นเพื่อถวายแก่พระศาสดา (เหล่านิครห์ณก็พวกชีเปลือยนั่นแหละ) เหล่าพระราชาก็นำอาหารมาให้นิครห์ณนั้นถวายต่อพระศาสดาในเช้าต่อมา เสร็จแล้วนิครห์ณได้กล่าวต่อพระศาสดาว่า... ขอให้อานิสงค์แห่งทานนี้จงมีแก่ข้าพเจ้า และพระราชาทั้งหลายนี้โดยทั่วกันเถิด... ... พระศาสดาตรัสตอบนิครห์ณว่า... อานิสงค์ของทานที่นิครห์ณถวายทานแก่เรา คืออานิสงค์ของการให้ทานกับผู้หมดกิเลสเช่นเรา... ย่อมไม่เท่าอานิสงค์ของทานที่พระราชานำอาหารมาให้แก่นิครห์ณ (เพื่อถวายแก่พระศาสดา) ... ผู้ยังมีกิเลสเช่นเธอ... ... การจะให้ทาน... ย่อมมีผลทั้งผู้ให้และผู้รับทานนั้น... หากสนับสนุนโจร โจรก็เข้มแข็ง เติบโตยิ่งขึ้น หรือเหมือนชาวเมืองโกสัมพี ที่รวมตัวกันไม่ลุกรับกราบไหว้ ถวายทานแก่ภิกขุผู้ทะเลาะกัน ไม่กระทำตามคำพระศาสดาจนพระศาสดาต้องเสด็จหนีไป... ภิกขุเหล่านั้นจึงต้องหันมากระทำตามปฏิปทา แล้วตามไปขอขมาต่อพระศาสดา ชาวเมืองทั้งหลายจึงกลับมาทำสามีจิกรรมต่อภิกขุเหล่านั้นเหมือนเดิม...
การที่หลายวัดไม่มีการคัดกรองกุลบุตรในการเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร เจ้าอาวาสและพระพี่เลี้ยงทั้งหลายไม่ใส่ใจในการอบรมเพราะ ถือว่ามาบวชชั่วคราว ทำให้ภาพไม่เหมาะแก่การเป็นบรรพชิต หากมีการคัดกรองแต่ต้นทาง ตลอดจนการอบรมดูแล ให้อยู่ในพระธรรมวินัย เพื่อให้บุคคลที่ได้ผ่านการอบรมดีแล้วให้เป็นบัณฑิตในทางโลก ได้เป็นหลักให้กับสังคมต่อไป
นี่สิจริงแท้ของพระศาสดา... ไม่ใช่ถวายไก่ย่างแล้วจะได้เป็นค๊อดพญาไก่ฟ้าหงอนเพชร เกล็ดทองบ้าบออะไรโน๊นนนนน....
อุโบสถศีลที่พระศาสดาได้ตรัสบอกแก่นาคผู้แปลงกายมาบวช ให้รักษาอุโบสถศีลนี้ทุก 15 ค่ำ (วันพระล่ะมั้งขอรับ) แล้วจะได้อัตภาพความเป็นมนุษย์ได้เร็วขึ้น... กระพ๊มพินาแล้วคิดว่า... นี่คือศีลในการรักษาอัตภาพความเป็นมนุษย์ได้อย่างนึงตามคำตรัสพระศาสดา หากยังหวังการเกิดอีกต่อไป... อุโบสถศีลนี้น่าจะเป็นวิธีหนึ่งในการทำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไปนะขอรับ...
เนปาลจัดเทศกาลสุดสลด ฆ่าสัตว์น้อยใหญ่กว่า 5 แสนชีวิต เซ่นเจ้าแม่กาธิมัย เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า เนปาลจัดเทศกาลสุดสลด ฆ่าฟันคอสัตว์น้อยใหญ่กว่า 500,000 ตัว บูชายัญเจ้าแม่กาธิมัย เชื่อจะนำโชคดีมากให้ ขออะไรได้ทุกอย่าง ด้านนักพิทักษ์สิทธิสัตว์ค้าน ยังคงเดินหน้าต่อต้านพิธีกรรมสุดโหดร้ายนี้ พิธีกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในหมู่บ้านปาริยะปุระ บริเวณชายแดนเนปาลที่ติดกับประเทศอินเดีย ชาวบ้านทั้งในหมู่บ้านเองและจากที่ต่าง ๆ ที่ศรัทธาในเจ้าแม่กาธิมัย เทพเจ้าฮินดู กว่า 2 ล้านคน ได้เข้าร่วมพิธีกรรมฆ่าสัตว์น้อยใหญ่กว่า 500,000 ชีวิต ตลอดช่วงเวลา 2 วันของเทศกาลบูชายัญเจ้าแม่กาธิมัยนี้ โดยสัตว์ที่ถูกฆ่านั้นมีตั้งแต่วัวควาย ไปจนถึงสัตว์เล็ก ๆ อย่างหนู ทั้งหมดจะถูกฆ่าด้วยวิธีเดียวกันคือฟันคอจนตาย กลิ่นเลือดคละคลุ้งทั่วหมู่บ้าน "ในหมู่บ้านผู้คนต่างรื่นเริงกันมาก พากันตื่นเต้นกันหมด ในตอนเช้าพิธีเป็นไปอย่างสงบ แต่ตอนนี้เราเริ่มบูชายัญกันแล้ว" หัวหน้านักบวช กล่าว "ผมได้เอาแพะมาบูชายัญกับเจ้าแม่กาธิมัย เพื่อให้ปกปักรักษาครอบครัวของผม ถ้าคุณศรัทธาในเจ้าแม่กาธิมัย ท่านก็จะทำให้คำขอของคุณเป็นจริง" นายสิตา ราม ยาดาฟ ชาวนาวัย 55 ปี ที่เดินทางมาร่วมพิธีนี้ กล่าว สำหรับพิธีกรรมบูชายัญเจ้าแม่กาธิมัยนี้ จัดขึ้นทุก ๆ 5 ปี ครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อปี 2552 โดยชาวบ้านมีตำนานเล่าขานกันมาว่า ครั้งหนึ่งเจ้าแม่กาธิมัยได้มาเข้าฝันชายคนหนึ่งว่าขอให้เขาสร้างวิหารให้ และเมื่อตื่นขึ้นมา ชายรายนี้ก็พบว่าเขาเป็นอิสระจากการถูกพันธนาการทุกอย่าง จึงเชื่อว่าเจ้าแม่กาธิมัยเป็นผู้ช่วยเขา หลังจากที่เขาหลบหนีออกมาในตอนนั้นก็ได้สร้างวิหารและบูชายัญด้วยสัตว์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ อย่างไรก็ดี การฆ่าสัตว์จำนวนนับแสน ๆ ตัวเช่นนี้ ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับบรรดานักพิทักษ์สัตว์เป็นอย่างมาก ทั้งในเนปาลเองและประเทศอื่น ๆ จนมีการส่งหนังสือร้องเรียนรัฐบาลเนปาลขอให้ยุติการจัดเทศกาลอันโหดเหี้ยมนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล ทุก ๆ 5 ปี ชาวเนปาลก็จะหลั่งไหลมาทำพิธีกรรมบูชายัญเจ้าแม่กาธิมัยเช่นเดิม http://hilight.kapook.com/view/112116 พอกะพุทธ (บางคน) ทุกวันนี้แร๊ะขอรับ... ปากบอกพุทธ ถือศีล กินเจ แต่ตบยุง บี้แมลงวัน ช่วงเทศกาลก็สั่งฆ่าสัตว์ไหว้เจ้า หรืออยากกินของดีๆสดๆ ก็ไปเลือกชี้เอาตัวนั้น ตัวนี้เป็นๆ... หรือกินเจมันสิบวัน หรือเข้าพรรษา90วัน แต่ที่เหลือสอง-สามร้อยกว่าวันต่อปี ฆ่า ลักทรัพย์ ผิดในกาม กล่าวเท็จ เมาเป็นว่าเล่น... ต่างกันแค่นั่นเค้าบอกชัดๆ เค้าไม่ใช่พุทธ... แต่คนพุทธ (บางคน) บอกตัวเป็นพุทธ ธัมมะทำโม๊ะเหลือแหล่ก... แต่กระทำตนไม่ต่างพวก... เดียรถีย์...
มหายัญของกูฏทันตพราหมณ์ สมัยนั้น พราหมณ์กูฏทันตะ ได้เตรียมโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคเมีย ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ และแกะ ๗๐๐ ผูกไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ. พราหมณ์และชาวบ้านขานุมัตต์ได้ทราบข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จมาประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตต์ ทั้งทราบเกียรติศัพท์แห่งพระพุทธคุณของพระองค์ จึงพากันเป็นหมู่ๆไปเฝ้าพระองค์ พราหมณ์กูฏทันตะได้เห็นพราหมณ์ และชาวบ้านขานุมัตต์เดินทางเป็นหมู่ๆ และได้ทราบจากนักการว่าพวกเขาจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่สวนอัมพลัฏฐิกา ก็คิดว่าตนตวรที่จะไปเฝ้า เพื่อทูลถามเรื่องพิธีบูชายัญ ซึ่งได้เตรียมทำพิธีอยู่ แต่ตนยังไม่ทราบในเรื่องยัญสมบัติ ๓ ประการ และบริวาร ๑๖ จึงให้นักการไปบอกพวกนั้นว่า ตนจะร่วมไปเฝ้าด้วย ขอให้คอยก่อน พราหมณ์หลายร้อยคนที่พักอยู่ในบ้านขานุมัตต์ เพื่อร่วมพิธีบูชายัญ เมื่อได้ทราบว่า พราหมณ์กูฏทันตะจะไปเฝ้าพระสมณโคดม ก็พากันไปห้ามว่า อย่าไปเฝ้าเลย ถ้าท่านไปท่านจะเสียเกียรติยศ พระสมณโคดมต่างหากควรจะเสด็จมาหาท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ ท่านเป็นผู้มีชาติกำเนิดดี มีทรัพย์มาก ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นผู้มีรูปงาม มีศีล มีวาจาไพเราะ เป็นอาจารย์ชนหมู่มาก มีมาณพเป็นอันมากพากันมาเรียนมนต์ในสำนักของท่าน เป็นผู้มีอายุมากกว่าพระสมณโคดม ทั้งเป็นผู้ที่พระเจ้าพิมพิสาร และพราหมณ์โปกขรสาติเคารพนับถือ และเป็นผู้ครองบ้านขานุมัตต์ พราหมณ์กูฏทันตะได้กล่าวว่า เรานี้แหละควรไปเฝ้าท่านพระสมณโคดม เพราะพระองค์ทรงเพียบพร้อมด้วยพุทธคุณอันประเสริฐ ทรงมีพระชาติสูงส่ง ทรงละพระญาติและราชสมบัติออกทรงผนวช มีพระรูปงาม เป็นผู้มีศีลประเสริฐ มีพระวาจาไพเราะ เป็นอาจารย์ของคนหมู่มาก พระองค์สิ้นกามราคะแล้ว เป็นกรรมวาที เป็นกิริยวาที เกียรติศัพท์แห่งพระพุทธคุณของพระองค์เป็นที่ทราบกันทั่วไป พระองค์ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีบริษัท ๔ ให้ความเคารพนับถือ เทวดาและมนุษย์เป็นอันมากเลื่อมใสพระองค์ยิ่งนัก พระองค์ทรงเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ทรงเป็นคณาจารย์ได้รับยกย่องว่า เป็นยอดของเจ้าลัทธิทั้งหลาย พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล และพราหมณ์โปกขรสาติ ก็ล้วนแต่เคารพนับถือพระองค์ และถึงพระองค์เป็นสรณะ เมื่อพระสมณโคดมเสด็จถึงบ้านขานุมัตต์ พระองค์ก็ทรงเป็นแขกของพวกเรา ที่พวกเราควรถวายความเคารพสักการะ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงไม่ควรเสด็จมาหาเรา ที่ถูกเราต่างหากควรจะไปเฝ้าพระองค์ท่าน เมื่อพราหมณ์กูฏทันตะกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า ท่านกูฏทันตะกล่าวชมพระสมณโคดมถึงเพียงนี้ ถึงพระองค์จะประทับอยู่ไกลจากที่นี้ตั้งร้อยโยชน์ ก็ควรแท้ที่จะไปเฝ้า เมื่อพราหมณ์กูฏทันตะพร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่ได้เดินทางถึงสวนอัมพลัฏฐิกา และเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พราหมณ์กูฏทันตะได้กราบทูลขอให้พระองค์ทรงอธิบายถึงยัญสมบัติ ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ ส่วน เพื่อที่จะได้ประกอบพิธีบูชามหายัญตามที่ปรารถนาได้ถูกต้องต่อไป ที่มา: กูฏทันตสูตร ๙[๑๙๙ - ๒๐๔]๑๔๕ - ๑๕๐ ว่าด้วยยัญของพระเจ้ามหาวิชิตราช[๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าถึงการบูชามหายัญของพระเจ้ามหาวิชิตราชในอดีตกาล ว่า พระเจ้ามหาวิชิตราช ผู้สมบูรณ์ด้วยราชทรัพย์ ครอบครองอาณาจักรไพศาล ใคร่จะบูชามหายัญ เพื่อประโยชน์และความสุข จึงรับสั่งให้เรียกพราหมณ์ปุโรหิตมาชี้แจงวิธีบูชามหายัญ พราหมณ์ปุโรหิต กราบทูลว่า การที่จะทำพิธีบูชานั้น ไม่สมควรกระทำ ในขณะที่บ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย ยังมีโจรผู้ร้ายอยู่ ควรจัดการบ้านเมืองให้สงบสุขเสียก่อน แต่มิใช่มด้วยวิธีปราบปรามรุนแรง เช่นประหารหรือจองจำ เพราะบางพวกที่เหลือจากถูกปราบปรามก็จักเบียดเบียนบ้านเมืองในภายหลังได้ไม่สิ้นสุด ควาใช้วิธีปราบปรามโดยชอบดังนี้ คือ ๑. พระราชทานพืขพันธ์ธัญญาหารแก่เกษตรกรที่ขยันขันแข็งในการกสิกรรม และการเลี้ยงสัตว์ ตามโอกาสอันควร ๒. พระราชทานเงินทุนแก่พ่อค้าที่อุตสาหะในการค้า ตามโอกาสอันควร. ๓. พระราชทานเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนแก่ข้าราชการที่ขยันขันแข็งในหน้าที่การงาน ตามโอกาสอันควร. พลเมืองเหล่านั้นนั่นแหละ จักเป็นผู้ขวนขวายในการงานของตนๆ บ้านเมืองของพระองค์ก็จะเจริญ มั่งคั่ง อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราช ได้ฟังคำชึ้แจงของพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว ก็ทรงดำเนินการตามคำชี้แจงนั้น เป็นผลให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ที่มา: กูฏทันตสูตร ๙[๒๐๕ - ๒๐๖]๑๕๐ - ๑๕๒
เนื่องในเดือนมหามงคล เห็นแล้วนึกถึงในหลวงกับวิธีการทำงานของพระองค์ทรงทำเพื่อสุขของมหาชนชาวสยาม โดยไม่ห่วงแม้ตัวพระองค์เอง ในหลวง กับสะเมิง “ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต” เป็นถ้อยรับสั่งที่แสนจะเรียบง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียเหลือเกิน ในปี 2518 นั้นพื้นที่อำเภอสะเมิงยังเป็นชนบทที่ยากลำบากทั้งเส้นทางคมนาคม ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน แค่มีกินแต่ไม่มีเงินใช้จ่าย เนื่องจากสะเมิงอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ และพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศก่อนและหลัง ที่ในหลวงเสด็จเพื่อพระราชทานปริญญาแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในทุกปลายปีช่วงฤดูหนาวนั้น พระองค์ท่านก็จะเสด็จเยี่ยมพสกนิกรในพื้นที่ชนบทป่าเขาทุกปี สะเมิงก็เป็นพื้นที่เป้าหมาย ผู้บันทึกต้องเข้าร่วมรับเสด็จพร้อมกับทางอำเภอและประชาชนชาวสะเมิงทุกปี เนื่องจากสะเมิงเป็นพื้นที่ที่มีความหนาวเย็น และไม่ไกลจากตัวจังหวัด จึงเหมาะแก่การทำโครงการหลวง ที่เน้นการทดลองนำพืชเมืองหนาวมาเพาะขยาย หรือแม้แต่ข้าวไร่ ที่พระองค์ท่านมีพระราชดำริให้จัดทำขึ้น เมื่อประสบความสำเร็จก็จะได้นำไปแนะนำชาวบ้านปลูกทดแทนฝิ่น และหารายได้ให้แก่ครอบครัวต่อไป การที่พระองค์ท่านทุ่มเทพระวรกายดังกล่าว จึงก่อให้เกิด ปัญหากับสุขภาพพระองค์ท่านขึ้นโดยไม่คาดคิดเลย “สาเหตุโรคพระหทัยของในหลวง” โดยสรุปดังนี้ ในหลวงทรงมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัยเต้นผิดปกติ หากจำกันได้ ในหลวงเคยต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2538 ครั้งนั้นพสกนิกรทั้งแผ่นดินแทบไม่เป็นอันทำอะไร ใครๆก็รู้ว่าโรคหัวใจไม่ใช่โรคล้อกันเล่นๆได้ ทั้งสมัยนั้นการผ่าตัดหัวใจก็เสี่ยงพอดู แต่ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่ทราบกันหรือไม่ว่าสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกตินี้ มาจากอะไร? ราวปี 2530 ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ทรงพบว่าชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอก ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทูลว่า มีการเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ แต่ชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะไม่รู้จักก็กลัวจะเป็นอันตราย ในหลวงจึงรับสั่งให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์ ชาวบ้านได้รับเกลือพระราชทาน จึงยอมเชื่อว่าเกลือชนิดนี้กินได้ จนแพร่หลายต่อๆมา ปัจจุบันไม่มีคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงแล้ว นอกจากนี้ยังทรงเสด็จขึ้น-ลงสะเมิงอีกหลายครั้ง เพื่อติดตามแก้ปัญหาเรื่องน้ำและถนน จนชาวบ้านทำกินกันได้เป็นปกติสุข มีรายได้เลี้ยงชีพได้พอเพียง หากกลับเป็นพระองค์เองที่ทรงพระประชวร ในหลวงทรงได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าจากการเสด็จไปที่สะเมิงนี้เอง อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่เมื่อปี 2538 ดังเล่ามาแล้ว ในหลวงเคยมีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า... “ ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต” เป็นถ้อยรับสั่งที่แสนจะเรียบง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียเหลือเกิน ที่มา http://2g.pantip.com/cafe/siam/topic/F13015631/F13015631.html
จากกรณีที่บนโลกออนไลน์แสดงความคิดเห็นกรณีที่นุ๊ก สุทธิดา อดีตดารานักร้องชื่อดังเปลี่ยนศาสนาหลังจากที่เคยบวชพุทธมาก่อน และย้ายเข้าศาสนาอิสลาม กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ล่าสุด พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าวว่า ในทรรศนะส่วนตัวของอาตมา มองปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เรื่องการนับถือศาสนา หรือการเปลี่ยนการนับถือจากศาสนาหนึ่งไปอีกศาสนาหนึ่งนั้น ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละบุคคล พูดอย่างชาวบ้าน ในรัฐธรรมนูญ เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกาย ของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการ ปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความ สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นี่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานเป็นเสรีภาพอันสมบูรณ์อย่างเดียวที่เรามีอยู่ เป็นสิ่งที่เราควรภาคภูมิใจที่สุดแล้ว สำหรับประเทศนี้ ที่ให้เสรีภาพอันสมบูรณ์ในการนับถือศาสนาแก่เรา แม้ว่าเสรีภาพอย่างอื่นของเราจะถูกริดรอนไปแล้วจนหมดสิ้นก็ตามที โดยเฉพาะก็สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง กรณีของโยมดาราท่านนี้ซึ่งเลือกที่จะเปลี่ยนศาสนาก็เหมือนกัน อาตมามองว่า เขาต้องมีเหตุผลส่วนตัวมากพอ และได้พิจารณาดีแล้ว เขาจึงเปลี่ยนศาสนา หรือไม่ก็ต้องการที่จะลองดำเนินชีวิตตามหลักการของศาสนาใหม่ ในเมื่อแนวทางของศาสนาเดิมที่เขาได้ลองปฏิบัติหรือนับถืออยู่ในปัจจุบันนี้ ขีดเส้นใต้คำว่า ปัจจุบันนี้ ไม่ได้ให้คำตอบที่ดีกว่าสำหรับเขา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อย่างที่บอกไปแล้วว่า เรื่องของการนับถือศาสนา เป็นเสรีภาพอันสมบูรณ์ของแต่ละบุคคล นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนศาสนาเลย บางคนที่ถือศาสนาอื่นโดยไม่เปลี่ยนศาสนาเดิมก็มี ที่เห็นได้ชัดก็คือ คนพุทธเราเดี๋ยวนี้ นับถือผี 90 เปอร์เซ็นต์ นับถือพราหมณ์ 80 เปอร์เซ็นต์ (คำนวนเองนะ) ในขณะที่บอกว่าตัวเองเป็นคนพุทธ แต่กลับ ไหว้เจ้า เข้าผี นับถือเทพอะไรไม่รู้ มั่วไปหมด พราหมณ์ก็ดีจะถือ ผีก็ดีจะไหว้ ดังนั้น เรื่องที่ดาราเปลี่ยนศาสนานี่ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะทุกวันนี้เราก็เปลี่ยนศาสนากันทุกวัน ถือศาสนากันมั่วอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง การจะนับถือศาสนาอะไรนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ การปฏิบัติตนตามหลักของศาสนานั้นนั้นต่างหาก เป็นสิ่งที่ควรตระหนักให้มาก เช่น ถ้าคุณบอกว่าคุณเป็นพุทธ คุณมีความเข้าใจในหลักการของศีล ๕ แค่ไหน เป็นคริสต์ เข้าใจถึงหลักของบัญญัติ ๑๐ ประการหรือเปล่า เป็นอิสลามคุณเข้าใจถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในเรื่องหลักศรัทธา ๖ ประการอย่างไร คนเมื่อนับถือศาสนาใดแล้ว ต้องเข้าให้ถึงความดี ความจริง และความงามของศาสนานั้นนั้น ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องทั้งต่อเพื่อนร่วมศาสนาเดียวกัน และเพื่อนต่างศาสนาคนอื่น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนมีศาสนา มีศาสดาในหัวใจ อย่างแท้จริง MThai News ภาพจากเฟซบุ๊ค พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ "สังโยชน์เบื้องต่ำ" สามอันดับแรกเป๊ะๆ... เพราะมีสักกายทิฐิ (หลงยึดว่าขันธ์ทั้งหลายเป็นเรา) จึงเกิดวิจิกิจฉา (ลังเลสงสัยในปฏิปทาฯ ว่าจะสำเร็จได้จริง) จึงพาไปสู่สีลัพตปรามาส (การเปลี่ยนวีถีปฏิปทาไปสู่ความเชื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่แนวทางตามธรรมพระศาสดา) ...
อันการให้ทานตามแบบชาวพุทธในปัจจุบัน... จะมีสักกี่คนทราบว่าตถาคตตรัสไว้ว่าอย่างไร... เป็นทานอันมีอานิสงค์สูงสุด... รับรองได้... ล้านคนไม่ถึงพัล... คิกๆๆๆ
เบื่อเถียงกับพวกศาสดาพระไตรปิฎก... อ่าน ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง เคยใคร่ครวญเห็นความ "คลาดเคลื่อน" หรือ "ขัดแย้ง" ในเหตุผลระหว่างพระสูตรกับอรรถกถามั่งมั้ย? หรือแบบไปงานศพฟังพระสวดแบบท่องได้ยาวตลอด... แต่หมายความว่าไง... ไม่รู้... เฮ้อออออ อนาถจิต...