ตอนนี้อาจใช่ ยาวๆไป ไม่แน่ครับ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีกูรู ฟันธงว่า อีกนานกว่า ศก จีนจะตาม เมกาทัน ทุกวันนี้จ่อคอหอยแระ แต่ความเลว ยังไม่มีใครเทียบได้
แสดงว่าคุณสมเกียรติยังไม่อ่านอันนี้แน่เลย เขาว่าไว้อย่างงี้ BRICS : อิฐห้าก้อนที่จะก่อเป็นกำแพงยักษ์ อะไรคือก้อนอิฐห้าก้อน? BRICS เป็นตัวอักษรห้าตัวที่แทนชื่อประเทศ 5 ประเทศ อันได้แก่ B : Brazil R : Russia I : India C : China S : South Africa 5 ประเทศข้างต้น คือใครบ้าง ผมคิดว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ก็คงพอจะทราบอยู่บ้าง โดยเฉพาะจีน อินเดีย และรัสเซียสำหรับบราซิลและแอฟริกาใต้นั้น ไม่น่าจะเป็นที่รู้จักมาก ฉะนั้นผมจะหาโอกาสขยายความเกี่ยวกับ 2 ประเทศนี้ให้ท่านผู้อ่านรับทราบในจังหวะที่เหมาะสมต่อไป แต่สำหรับสัปดาห์นี้ ผมจะขออนุญาตนำท่านผู้อ่านเข้าสู่การประชุมสุดยอดกลุ่มห้ายักษ์เกิดใหม่ที่เรียกว่า Fifth BRICS Summit ที่เมือง Durban ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 26-27 มีนาคม 2556 เพื่อรับรู้ว่าก้อนอิฐห้าก้อนกำลังทำอะไรกัน และคิดอ่านจะทำอะไรต่อไปในอนาคต อิฐห้าก้อนสามารถก่อเป็นกำแพงยักษ์ ก่อนจะรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน ลองมารู้จักอิฐทั้งห้าก้อนกันดูสักนิด ว่าพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ลำหักลำโค่นขนาดไหน ในแง่ขีดความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการในปัจจุบัน (2012) จีนผลิตสินค้าและบริการได้ปีละประมาณ 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับสองคือบราซิลประมาณ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อินเดียกับรัสเซียพอๆ กัน คือผลิตได้ประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนน้องนุชสุดท้อง คือแอฟริกาใต้ผลิตได้เพียงประมาณ 0.4 ล้านล้านดอลลาร์ (ใหญ่กว่าประเทศไทยเล็กน้อย) เมื่อรวมทั้งกลุ่ม (อิฐห้าก้อน) ผลผลิตประชาชาติรวมกันจะเท่ากับประมาณ 14 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับประมาณ “หนึ่งในสี่” ของ GDP โลก ซึ่งก็คือตัวเลขเดียวกับ GDP ของสหรัฐอเมริกานั่นเอง แต่ถ้าดู “อัตราการเติบโต” จะเห็นว่า BRICS โตเร็วกว่าสหรัฐถึงสองสามเท่า ซึ่งนั่นแปลว่าในอีกไม่ถึงสิบปี กลุ่ม BRICS จะมีขนาด GDP เป็นสองเท่าของสหรัฐพูดภาษาชาวบ้านก็คือ อีกไม่นานก็รู้แล้วว่า “ใครใหญ่?” นี่พูดในแง่ของ “ความสามารถในการผลิต”แต่ในแง่ของ“ตลาดที่จะรองรับผลผลิต” ก็ต้องบอกว่า “อิฐห้าก้อน” ของผมเป็นตลาดที่มหึมาที่สุด เพราะตัวเลขล่าสุด BRICS มีประชากรรวมกันทั้งสิ้นเกือบ 43% ของประชากรโลก หรือกว่า 3,000,000,000 คน (สามพันล้านคน) ในปัจจุบัน ซึ่งหากรวมประชากรในทวีปแอฟริกาที่กลุ่ม BRICS กำลังเกี้ยวพาราสีอยู่ ตลาดก็จะขยายไปครอบคลุมประชากรโลกกว่า 4,000,000,000 คน เรียกว่าค้าขายกันเองในกลุ่มก็ครอบคลุมตลาดเกินครึ่งโลกแล้วและนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่การประชุม“ซัมมิต”ของกลุ่มในปีนี้จัดที่เมืองเดอร์บาน ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีประเทศแอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพและท่านผู้อ่านจะยิ่งเข้าใจเกมมากขึ้นถ้ารู้ว่าเดิม BRICS”นั้นมีเพียง BRIC ไม่มี “S” คือประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเพิ่งได้รับเชิญเข้าร่วมกลุ่มเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ.2010 คือเมื่อสองปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี้เอง ส่วน BRIC เดิมนั้นเป็น Strategic Cluster ที่ Goldman Sachs นำเสนอขึ้นเมื่อปี 2001 เพื่อใช้วิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ของพัฒนาการเศรษฐกิจของโลกในอีก 20-30 ปีข้างหน้าโดยเชื่อว่า “ตัวขับเคลื่อน” เศรษฐกิจโลกในยุคหน้าประกอบด้วย “จีนกับอินเดีย” ในทวีปเอเชีย ส่วนในทวีปอเมริกาก็คือ “บราซิล” ส่วนยุโรปก็คือ “รัสเซีย” ต่อมาได้เพิ่ม “แอฟริกาใต้” เพื่อเป็นตัวแทนของทวีปแอฟริกา 10 ปีที่ผ่านมา ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่า BRICS เป็นก้อนอิฐที่ไม่ธรรมดา ทั้งแข็งแกร่งทั้งเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนจะเกาะกลุ่มกันได้ดีพอสมควร ซัมมิต ครั้งที่ 5 : และแล้วประเทศด้อยพัฒนาก็มีธนาคารเพื่อการพัฒนาของตนเอง เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา 5 ประเทศกำลังพัฒนาภายใต้ชื่อ BRICS ได้ตกลงที่จะร่วมกันจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่ง BRICS ขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ประเทศสมาชิก และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ นอกเหนือจากธนาคารพัฒนาที่มีอยู่เดิมเช่น“ธนาคารโลก”“ไอเอ็มเอฟ”และ“ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย” (ADB) เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ เป็นการประกาศอย่างเปิดเผยต่อประเทศในซีกโลกตะวันตกว่า“วัน เวลา” แห่งความเป็นอิสระทางการเงินกำลังใกล้เข้ามาแล้ว การจัดตั้ง “ธนาคารเพื่อการพัฒนา” สำหรับกลุ่ม BRICS ในสไตล์เดียวกับธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ เท่ากับเป็นการท้าทายอย่างซึ่งหน้า เพราะสำหรับระบบทุนนิยมแล้ว “ทุนธนาคาร” คือศูนย์กลางแห่งอำนาจ และเป็นตัวแทนอำนาจสูงสุดของระบบ การที่ BRICS จะจัดตั้งธนาคารเพื่อดูแลการพัฒนาเศรษฐกิจกันเอง ย่อมแสดงถึงความแข็งแกร่ง และความพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินทุนเพื่อการพัฒนาจากธนาคารโลกอีกต่อไป โต้โผใหญ่ในงานนี้หนีไม่พ้น"จีน”ครับเพราะจีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 3,000,000,000,000 (3 ล้านล้าน) ดอลลาร์สหรัฐ และจีนรู้ดีว่าหลาย 10 ปีก่อน สหรัฐได้ใช้ธนาคารโลกเป็นเครื่องมือในการแผ่ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ (และการเมืองด้วย) ครอบงำแทบทุกจุดในโลกและได้ผลอย่างดียิ่ง มาวันนี้จีนก็เพียงเจริญรอยตามรุ่นพี่(สหรัฐอเมริกา)ใช้“เงินทุน” เป็นตัวล่อในการบุกและรุกเข้าครอบงำเศรษฐกิจในแอฟริกาได้อย่างขั้นเทพเป็นที่ต้อนรับอย่างอบอุ่นในทุกที่ที่เข้าไป หมดยุคแล้วครับสำหรับการใช้ลัทธิอุดมการณ์ (เช่นมาร์กซ์-เลนิน และความคิดเหมาเจ๋อตง)เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่อิทธิพลเข้าครอบงำประเทศในโลกที่สามยุคนี้ต้องทุนและอินเทอร์เน็ตครับ. วีระ มานะคงตรีชีพ 1 เมษายน 2556 เป็นยังไงบ้างครับ สัญญาณจากกลุ่ม BRICS ชัดไหมครับ
แค่อาทิตย์ที่แล้ว FED พูดลอยๆว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยตลาดหุ้นนี่พุ่งพรวดทั่วโลก(รวมทั้งจีนด้วย) จีนนี่เจอภาวะหุ้นตกติดๆกันมาหลายอาทิตย์ใส่มาตรการไปเยอะยังกระดิกขึ้นนิดเดียว แต่แค่ FED มะกันพูดทีเดียวนี่พุ่ง
กลุ่ม BRIC น่าจะเดิน ศก ที่เน้นการบริโภคภายในมากขึ้น จากประชากรที่มีมหาศาล และต้องการการลงทุนจากภาครัฐ เพื่อสร้างความเจริญให้พื้นที่ชนบท แนวทางนี้เล่นได้อีกหลาย 10 ปี ถ้ารัฐบาลกลางไม่โกง การใช้เงินแบบนี้จะคุ้มค่ามากครับ คิดถึงบ้านเราแล้วเหนื่อย
ผมไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ เลยคิดเดาๆเอา ว่า อเมริกามันคงคล้ายๆ กับ CP มั๊ง ถึงจะเกลียดมันแค่ไหน ผมก็ต้องเข้าเซเว่นทุกวันอยู่ดี จีน อินเดีย รัสเซีย กลุ่มบริกซ์ ก็คงคล้ายๆ มี Big C , Lotus , Familly mart , Max Valu โผล่ขึ้นมา ซึ่งก็ดี เวลาหมั่นไส้ เจ้าสัว ผมก็เดินเข้า max valu บ่อยๆ famiry mart ปรับปรุงใหม่ก็ไฉไล น่าเข้าไปเสียตังค์ไม่หยอก แต่ยังไงเจ้าตลาดก็ยังเป็น เซเว่นอยู่ดี วิชามารแม่มก็เยอะโครต ล่าสุดก็มี คิริคุมะ มาอีกล่ะ กรูก็โดนล่อให้กลับไปเข้าเซเว่นประจำอีกเหมือนเดิม
อเมริกา เศรษฐกิจไม่มีวันล้ม เพราะควบคุมทิศทางกระแสการเงินโลกได้ วูบทีก็ทำ QE ได้ ใครเศรษฐกิจกำลังโต ก็ส่งพ่อมดการเงินไปทุบเศรษฐกิจให้ยุบได้
ก็นี่แหละครับ ที่ใคร ๆ บอกไอ้กันแพ้สงครามเวียดนาม คงต้องคิดใหม่ ตอนนี้ไอ้กันได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์แบบตลอดชีพ เพราะตอนที่เข้ามารบในเวียดนามได้ปล่อยไวรัสที่เรียกว่า "ดอลล่าห์ "เข้ามาให้คนเอเชียติดกันงอมแงม ส่วนภาวะสงครามเศรษฐกิจโลกตอนนี้ เมกาก็เหมือนแชมป์ที่ถูกท้าอยู่เป็นระยะ ๆ ถ้าผมเป็นประเทศอื่น ๆ ก็คงหมั่นไส้เหมือนกัน อยู่ดี ๆ นึกอยากพิมพ์แบ็งค์ ก็หาข้ออ้างปั๊มเงินออกมาแบบที่ ทำ QE ปั่นป่วนไปทั่วโลก นึกอยากจะดึงเงินกลับก็เลิก แล้วขึ้นดอกเบี้ย เมกา ยุโรป จีน กำลังทำสงครามเศรษฐกิจกัน มดปลวกอย่างเราก็โดนก่อน ฟังข่าวเมื่อวาน เห็นว่า เกาหลี ก็หนักสาหัสอยู่
เกล็ดเล็กเกล็ดน้อย พูดถึงเมือง Durban ฝรั่งจะออกสำเนียงเป็น "เดอร์เบิ้น" เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศชั้นแนวหน้าของอาฟริกา ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว (แต่นักการเมืองเป็นคนอินเดีย)