ประเทศชาติ ฉิปหายกันไป ไม่รู้เท่าไหร่ ต่อเท่าไหร่แล้ว... ยังไม่รู้จักเข็ด จักจำกันจริงๆ... ------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------- มันเป็นยิ่งกว่าบุรุษแห่งปี แน่นอน… เพราะคิดวางแผนการณ์ ไปยันรุ่นลูก รุ่นหลานนู่น... ------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------- หรือเพื่อนๆ คิดเห็นเช่นไร เชิญได้ครับ...
จะเป็นใคร ที่ไหนอีกละครับ... ถ้าโอ๊ค เป็นนายกแล้วไม่มีทายาท ก็เอาหลานฝ่ายนี้ก็ได้...ของมันแหง๋ๆ ตามระบอบประชาธิปตายกันอยู่แล๋น... "ครบทั้ง ลูก ทั้งหลาน"
คิดอย่างทักษิณ จนตัวเองต้องติดคุก ติดตารางแทน... อย่างงี้ ควรเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า... -------------------------------------------------------------- คดีฆาตกรรมในสงครามยาเสพติดของทักษิณ กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง… 23 ก.ค.2558 ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ พิพากษาประหารชีวิตตำรวจ 2 นาย ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องดาบตำรวจอังคาร คำมูลนา, ดาบตำรวจสุทธินัน โนนทิง, ดาบตำรวจพรรณศิลป์ อุปนันท์, พันตำรวจโทสำเภา อินดี พันตำรวจเอกมนตรี ศรีบุญลือ และ พันตำรวจโทสุมิตร นันท์สถิตย์ เป็นจำเลย ที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, เคลื่อนย้ายศพเพื่อปิดบังสาเหตุแห่งการตาย และเป็นเจ้าพนักงานกระทำการในตำแหน่งอันมิชอบ เรื่องเกิดในยุคที่รัฐบาลทักษิณดำเนินนโยบายสงครามยาเสพติด ตำรวจได้ร่วมกันฆ่าเด็กหนุ่มวัย 17 ปี นำไปแขวนคอในกระท่อมกลางนา พื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่ออำพรางว่าเป็นการแขวนคอตาย ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ประหารชีวิตดาบตำรวจอังคารและดาบตำรวจพรรณศิลป์, ส่วนดาบตำรวจสุทธินันให้การเป็นประโยชน์ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุก 50 ปี, พันตำรวจโทสำเภา พิพากษาแก้จากยกฟ้องให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากมีการร่วมกันกระทำความผิด และให้จำคุกพันตำรวจเอกมนตรี อดีตผู้กำกับการ และพันตำรวจโทสุมิตร เป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากมีส่วนรู้เห็น 1) หากจำกันได้ ช่วงที่เกิดเหตุนั้น ตำรวจทั่วประเทศกำลังสนองนโยบายรัฐบาลทักษิณ “สงครามยาเสพติด” นโยบายกำปั้นเหล็กอย่างอุกอาจ ในช่วงเวลา 3 เดือน ของนโยบายดังกล่าว เฉพาะในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เกิดเหตุวัยรุ่นถูกฆาตกรรม อุ้มฆ่า นำศพไปผูกคอตาย กว่า 20 คดี! ทั่วประเทศในระหว่างนั้น ก็มีการอุ้มฆ่า สังหารกันเป็นใบไม้ร่วง ทักษิณอ้างว่า เป็นการฆ่ากันเองในหมู่ผู้ค้ายา เรียกว่า “ฆ่าตัดตอน” เพื่อตัดตอนความผิด มิให้ไปถึงตัว แต่หลังจากนั้น ปรากฏการสอบสวนของหน่วยงานต่างๆ พบว่า การฆาตกรรมในช่วงสงครามยาเสพติดของทักษิณนั้น มิใช่การ “ฆ่าตัดตอน” หรือการฆ่ากันเองของพ่อค้ายา แต่อาจเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกดดันให้ทำยอด ทำเป้าให้ได้ตามนโยบายของฝ่ายการเมือง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ล่าสุด ยืนยันว่า การฆาตกรรมในคดีดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของตำรวจ แต่การดำเนินคดีที่ผ่านมา ยังไม่เคยดำเนินคดีกับฝ่ายการเมืองผู้กำหนดนโยบาย 2) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยแถลงเองด้วยซ้ำว่า ในสงครามยาเสพติดยุคทักษิณ มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,596 คน เป็นผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1,164 คน และไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1,432 คน เท่ากับว่า คนที่ถูกฆ่าตายมากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือราวๆ 1,400 คน ล้วนเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เอาเข้าจริง... เราไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ตนที่ถูกฆ่าตายทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำของทางการ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงหรือไม่ เพราะคนที่ถูกฆ่าในยุคนั้น ยังไม่ได้ถูกตัดสิน ไม่ถูกพิพากษา ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม หลายกรณี ปรากฏข้อเท็จจริงกระจ่างชัดในภายหลังว่า ผู้มีชื่อในบัญชีดำและถูกฆ่าตายไปจำนวนมาก ไม่ได้เป็นผู้ค้ายาเสพติดแต่ประการใด ที่แน่ชัด คือ การขึ้นบัญชีดำของทางการในขณะนั้น มีความบกพร่องร้ายแรง พ่อค้ายาบางรายไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ แต่คนมีชื่ออยู่ในบัญชีดำจำนวนมากกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้าขายยาเสพติดเลย รัฐบาลทักษิณใช้วิธีการเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจัดทำบัญชีรายชื่อของประชาชนผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (บัญชีดำ) โดยวิธีการให้ประชาชนในชุมชนแจ้งรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพและผู้ค้า โดยหย่อนรายชื่อในกล่องให้ทางการ เหมือนลงคะแนนโหวตเลือกผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เกิดความคลาดเคลื่อน ผู้บริสุทธิ์ถูกขึ้นชื่ออยู่ในบัญชีดำจำนวนมาก เพราะเกิดการใส่ร้ายป้ายสีกันระหว่างผู้มีความขัดแย้ง ศัตรูคู่อาฆาต คู่แข่งทางธุรกิจการค้าในท้องถิ่น คู่แข่งทางการเมือง เกิดการแก้แค้นผู้ที่มีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือทางราชการ รวมไปถึงการเลือกปฏิบัติโดยอคติทางชาติพันธุ์ อคติต่อชาวเขา 3) ในยุคนั้น ทักษิณได้เร่งรัด สั่งการ กดดันเจ้าหน้าที่ของรัฐ ลงมือปฏิบัติการทำสงครามขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติดภายในระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ต้องปราบปรามผู้มีรายชื่อในบัญชีดำให้ได้อย่างน้อยถึงร้อยละ 25 พูดง่ายๆ ว่า ต้องตัดยอดบัญชีดำ ทำให้ลดลงอย่างน้อย 25% ภายในเวลา 3 เดือน โดยกำหนดหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดผลในการตัดยอดคนในบัญชีดำ 3 อย่าง คือ (1) การจับกุมดำเนินคดีจนถึงขั้นอัยการส่งฟ้องศาล (2) การวิสามัญฆาตกรรม และ (3) การที่ผู้มีรายชื่อในบัญชีดำเสียชีวิต ไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม รัฐบาลทักษิณ ถึงกับสั่งการ กดดันเจ้าหน้าที่ให้เร่งทำยอด ซึ่งหากไม่สามารถทำได้ ก็จะต้องถูกโยกย้ายหรือพิจารณาโทษทางวินัย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกับกำชับและข่มขู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานว่า “ถ้าล้มเหลว ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดก็คงต้องไปด้วยกัน” ยิ่งกว่านั้น ทักษิณยังได้สั่งการ มอบหมายนโยบาย และชี้นำผู้ปฏิบัติงานโดยใช้ถ้อยคำ วาทกรรมที่รุนแรง ในลักษณะยุงยงส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงนอกระบบกฎหมายเข้าจัดการอย่างเด็ดขาด เช่น “ท่านต้องใช้ Iron fist หรือกำปั้นเหล็ก ใช้ความเด็ดขาดอย่างชนิดไม่ต้องปรานี พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เคยกล่าวไว้ว่า ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องยาเสพติดผมมั่นใจว่าตำรวจไทยจัดการได้” - “การทำงานหนักของท่าน 3 เดือน ถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ” หรือ “บางทีถูกยิงตายแล้วต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ผมคิดว่าเราต้องเหี้ยมพอกัน” หรือ “ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดมี 2 ที่ คือถ้าไม่ไปคุก ก็ไปวัด” รวมไปถึง “ผมจัดการแน่นอน ไม่เก็บไว้ทำพ่อหรอก ขอให้บอกเบาะแสมา ใครขายยาผมจะหิ้วให้หมด จะส่งไปเยี่ยมยมบาลให้หมด” ด้วยเหตุนี้ ภายในช่วงเวลา 3 เดือน จึงมีการ “ทำยอด” และปรากฏว่า ประชาชนที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำของทางการถูกยิงทิ้งจำนวนมาก! ถึงวันนี้ ควรจะมีการดำเนินคดีเพื่อเอาผิดกับตัวการใหญ่ ผู้สั่งการ ผู้ชี้นำ ไม่ว่าจะเป็น ตัวการ ผู้ร่วมกระทำการ ผู้ใช้จ้างวานให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาให้กระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ ให้รางวัลแก่ผู้กระทำความผิด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างแท้จริง การฆ่าประชาชนผู้มีชื่อในบัญชีดำที่บกพร่อง เพื่อทำยอด ทำผลงาน ตามคำสั่งการหรือนโยบายของฝ่ายการเมือง ก็ไม่น่าจะเรียกว่า “ฆ่าตัดตอน” แต่น่าจะเป็นการ“ฆ่าล่าแต้ม” ! ฆ่าตามใบสั่ง ตามนโยบาย หรือตามเป้าหมายของฝ่ายการเมือง อย่าปล่อยให้ตัวการใหญ่ลอยนวล! สารส้ม --------------------------------------------------------------
ประทับใจกับความคิดและความเสียสละของท่านทักษิณครับ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาท่านบอกว่า "ถ้าผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าใครจะมีความสุขได้" เวลาผ่านไปไม่กี่ปี เดี๋ยวนี้ท่านบอกว่าอายุ66แล้ว จะอยู่ที่ไหนก็ได้ ทุกข์สุขไม่สำคัญ ท่านห่วงเยาวชนรุ่นหลัง "คิดถึงแต่ว่าลูกหลานเราจะอยู่กันอย่างไร" ความจริงท่านน่าจะพูดให้แคบเข้ามาหน่อยว่า "แล้วพวกลูกหลานกู มันจะอยู่กันอย่างไร" มากกว่า
เครือข่ายโทรทัศน์ออนไลน์เพื่อคนไทย Thai Community TV Network http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1438047152 "แม้ว"สงสารปชช. ยินดีเป็นที่ปรึกษาศก.ให้รัฐบาลแค่"บอกมา ถ้าอยากให้ช่วย" อยากให้ช่วยมากเลย ช่วยไปอยู่ไกลๆๆๆ ศก. ดีขึ้นเองแหละ!!
ใกล้ฤดูเลือกตั้ง ใช้วิธีการการตลาดเดิมๆที่ควายแดงยังชอบชาบูชาบู ถ้าจะสู้ เราก็ใช้วิธีเดียวกัน ใช้โซเชีลมีเดียในมือพูดความจริงอธิบายความจริงความเท็จและแชร์ความชั่วกันคนลืม ทำกันสักหลายพันคนสองสามเดือนก่อนเลือกตั้งนี่แหละ รับรองอกแตกตาย ออกมาร้องหาว่าผิดกฏหมาย ใส่ความ เอาความดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่น หนักเข้าก็จะสร้างเรื่องโกหก รูปโกหก พูดความจริงครึ่งเดียว ตั้งสมมุติฐานมั่วให้ตัวเองดูดี เริ่มลากเส้นโยงไปโยงมาหาสาระไม่ได้ บลา บลา บลา ถ้ารวมพลังกัน พูดความจริวเรื่อยๆ แสดงหลักฐานการทำชั่วของควายแดงเทพทักษิณ ร่วมกันแชร์ร่วมกันต้านอย่างไม่หยุดทุกวันก่อนถึงเลือกตั้ง ผมว่าเราเปลี่ยนแปลงความคิดสังคมได้
ไปเจอบทความนี้เข้า...ผมว่า... "ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง" แหละ… แต่ที่ใช่ และเห็นด้วยแน่ๆ คือ… ทักษิณไม่ได้ถูกปลดเกษียณ แต่ ถูกไล่ออก จากงาน... ************************************************* เมื่อโรคชรามาเยือนทักษิณ ชินวัตร ในวัย 66 ปีปูนนี้แล้วปลงเถอะลุง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโต และ อุ้งอิ้ง แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก พร้อมกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางมาร่วมงานฉลองคล้ายวันเกิด 66 ปี ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ หลังจากนั้นนายพานทองแท้ ได้โพสต์เฟซบุ๊ค ข้อความว่า ในงานวันเกิดปีนี้ คุณพ่อได้กล่าวว่า ปีนี้ผมอายุ 66 แล้ว หมดเวลาเป็นห่วงตัวเองชีวิตจะเป็นอย่างไร จะอยู่ที่ไหนทุกข์สุขไม่ใช่เรื่องสำคัญ คิดถึงแต่ลูกหลานเราว่าจะอยู่กันอย่างไร อดีตมันก็คือประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้วย่อมหวนคืนวันไปแก้ไขมันไม่ได้ ควรใช้มันเป็นบทเรียน แต่ก็ไม่ควรไปหมกมุ่นรื้อฟื้นแต่เรื่องราวในอดีต จนลืมทำหน้าที่ตนเองในปัจจุบันและไม่สร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับอนาคตปัจจุบันเป็นสิ่งที่จะต้องผ่านพ้นไป ไม่ควรเอ็นจอยกับมันมากจนเกินไปอนาคตคือสิ่งที่สำคัญซึ่งหากเราตั้งเป้าและดำรงความมุ่งหมายที่แน่วแน่วันที่ฝันซึ่งเราวาดไว้สำเร็จเป็นจริง โดยเฉพาะคนเป็นผู้นำ ถ้าไม่คิดถึงอนาคตแล้วคนที่เป็นผู้ตามก็ลำบาก นอกจากนั้นได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ช่วงหนึ่งของงานเลี้ยง พ.ต.ท. ทักษิณ ได้กล่าวกับผู้ที่มาร่วมงานถึงเรื่องสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยพร้อมกับแสดงความเป็นห่วงประเทศไทยว่า ตนรู้สึกสงสารประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาความยากจนอยู่ในขณะนี้ และตนยินดีรับเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้รัฐบาล ขอเพียงรัฐบาลบอกเท่านั้นว่า "อยากให้ตนเข้าไปช่วย" เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้วก็อย่าเพิ่งคิดอะไรทั้งสิ้น ต้องกลับไปคิดว่าคนที่พูดนั้นเป็นคนวัย 66 ปี ที่ปลดระวางแล้ว แม้จะยังทำงานด้านธุรกิจส่วนตัวอยู่ แต่งานด้านส่วนรวมที่เคยทำนั้นไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว นั่นก็คือไม่ได้ทำงานเช่นที่เคยทำ ก็เหมือนกับคนเกษียณอายุ ซึ่งคนเกษียณอายุหลายคนทำใจไม่ได้กับการมีบริวารแวดล้อม ยิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง คำป้อยอยกย่องสรรเสริญต่างๆ ก็เริ่มจะไม่ค่อยได้ยิน คอยติดตามว่าคนที่มาแทนตำแหน่งตนเองทำงานเป็นอย่างไร อยากให้เขามาปรึกษาเพราะหลงว่าตนเองเป็นคนเก่ง เมื่อเขาไม่ปรึกษาก็มองว่าผลงานของคนที่มาทำแทนตนน้นไม่ดี ไม่เหมือนเช่นที่ตนเองเคยทำ พาลโกรธเขาไปเสียอีก นี่เป็นลักษณะของคนเกษียณอายุประเภทที่ทำใจไม่ได้ แต่สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ การเอาคนเกษียณอายุมาเปรียบเทียบคงไม่ถูกต้องนัก เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ถูกปลดเกษียณอายุ หากแต่ถูกยึดอำนาจ เปรียบเสมือนถูกไล่ออกจากงาน เพราะกระทำผิดวินัยอยางร้ายแรง ซึ่งคนทั่วไปย่อมต้องพยายามทำตัวให้นิ่งให้เงียบสงบ เหมือนเช่น อดีตนายกฯ ชาติชาย ที่ถูกยึดอำนาจ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเอาความรู้สึกของคนเกษียณอายุ มาใช้ แทนจะเป็นความรู้สึกของคนถูกไล่ออกจากงาน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมาว่า "ยินดีรับเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้รัฐบาล ขอเพียงรัฐบาลบอกเท่านั้นว่า อยากให้ตนเข้าไปช่วย" ประโยคนี้ชัดเจนละว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หลงไปแล้ว ไม่ใช่หลงตัวเอง แต่เป็นหลงลืม เลอะเลือน จำไม่ได้ว่ตนเองถูกไล่ออกจากงาน คิดว่าตนเองเกษียณอายุออกมา ดังนั้นการพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในลักษณะนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ทว่าไม่ใช่สำคัญสำหรับคนไทย แต่มันสำคัญสำหรับลูกหลาน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะต้องคิดได้แล้วว่า พ่อ ลุง น้า ของตนแก่เฒ่ามากแล้ว ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว อาจเป็นโรคซึมเศร้า หลงลืม และอาจมีอาการอัลไซเมอร์รวมอยู่ด้วย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่จะกล่าวหาหรือแช่ง แต่อาการนี้ควรจะต้องให้แพทย์วินิจฉัยได้แล้วว่าเป็นโรคของคนชราหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็โชคดี แต่ถ้าใช่ก็จะได้รักษาเสีย ลูกหลานก็ควรดูแลใกล้ชิดเพราะท่านแก่มากแล้ว อย่าไปยุยงส่งเสริมให้ท่านละเมอเพ้อพกมากกว่านี้เลย ควรแนะทางสงบให้ท่านปลงเสียบ้างจะดีแก่สุขภาพของท่านด้วยซ้ำไป http://www.oknation.net/blog/2279/2015/07/28/entry-1 ************************************************* หรือเพื่อนๆ มีข้อคิดเห็น หรือจะเพิ่มข้อแนะนำประการใด ฝากผ่านทางลูก หลาน ข้าทาส บริวาร ของแก ก็เชิญกันได้ครับ...