ดีเอสไอชี้มูล ธัมมชโยผิด คดีที่ดิน-เงินวัด อ้างต้องปาราชิก Font Size วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 11:03 น. จำนวนคนอ่านล่าสุด 10369 คน คำร้องของพุทธะอิสระเล่นงานธัมมชโยได้ผล ดีเอสไอแจ้ง ผลสอบสวนคดีที่ดิน-เงินวัด พระธัมมชโยส่งเรื่องให้สำนักพุทธฯจัดการ ชี้มีความผิดสำเร็จคดีเบียดบังทรัพย์สินของวัดไปใส่ชื่อตัวเอง ระบุเข้าข่ายละเมิดมาตรา 147 และ 157 แม้จะคืนให้วัดภายหลังก็แค่บรรเทาความผิด นอกจากนี้ ยังชี้ด้วยว่าพระลิขิตที่สมเด็จ พระสังฆราชวินิจฉัยให้ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกก็ชอบด้วยกฎหมาย แต่มหาเถรสมาคมมิได้ดำเนินการให้ครบถ้วน พร้อมให้ดำเนินคดีกับเจ้าคณะผู้ปกครองชั้นต้นด้วย เมื่อวันที่ 29 ม.ค. รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแจ้งว่า จากกรณีพระสุวิทย์ ธีรธัมโมหรือพุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย อ.กำ แพงแสน จ.นครปฐม ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติการณ์ที่น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดอาญาของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และเจ้าคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง ในฐานะเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายคณะสงฆ์ และขอให้รับเป็นคดีพิเศษ โดยดีเอสไอ ได้สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม กองบังคับการปราบปราม ผู้ตรวจการแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏข้อเท็จจริงทาง การสืบสวนสรุปได้ กรณีพระธัมมชโยถูกกองปราบ ปรามแจ้งข้อกล่าวหาและสั่งฟ้องต่อศาลอาญา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอสู้คดีในชั้นศาล ซึ่งเมื่อผ่านการต่อสู้ในชั้นศาลเป็นระยะเวลาเกือบ 7 ปี พนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอถอนคดีต่อศาลอาญา ให้เหตุผลสรุปได้ว่า จำเลยกับพวกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ที่มีทั้งที่ดิน และเงินอีก 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงเป็นไปตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยครบถ้วนทุกประการ อย่างไรก็ตาม การกระทำของพระธัมมชโยถือเป็นการกระทำผิดที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 ทุกประการแล้ว แม้จำเลยจะนำทรัพย์ที่ได้ยักยอกมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายในภายหลัง ก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป ที่สำคัญที่ดินที่มีข้อพิพาทในแทบทุกรายการเกิดจากการใช้ตัวแทนไปติดต่อขอ ซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยตรงแทบทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าของที่ดินยินยอมยกที่ดินให้กับทางวัด หรือบริจาคเงินให้กับวัดเพื่อให้ไปซื้อที่ดิน ให้พระธัมมชโยเป็นการส่วนตัว เมื่อ ซื้อแล้วพระธัมมชโยได้อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินในบัญชีของวัดพระธรรมกายไปซื้อ ที่ดินดังกล่าว และกลับใส่ชื่อของตัวเอง แทนที่จะเป็นชื่อของวัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ การที่จำเลยไม่ยอมมอบที่ดินคืนให้แก่วัดทันทีตามลิขิตของพระสังฆราช ที่ว่า "ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันทีไม่คิดให้โทษ เพราะคิด ในแง่ยกประโยชน์ให้ว่าในชั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนา ถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่าง เด็ดขาด" แต่พระธัมมชโยไม่ยอมคืนที่ดินให้วัด แต่กลับต่อสู้คดีทางศาล ซึ่งใช้เวลายาวนานกว่า 7 ปี เมื่อจำเลยรู้ว่าไม่มีทางที่จะทำให้ชนะคดีจึงยอมมอบทรัพย์สินที่มีข้อพิพาท คืนให้กับทางวัด การกระทำเช่นนี้ของพระธัมชโยกับพวกเป็นการกระทำที่มีเจตนาในการกระทำ ความผิด ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้วกลับกลายมาเป็นไม่มีความผิดไปได้ ใน ส่วนกรณีอาบัติปาราชิกนั้น เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2542 กรมการศาสนาได้นำพระดำริสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระดำริเพิ่มเติม กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิก เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณา และที่ประชุมมีมติมอบเอกสารให้เจ้าคณะภาค 1 พิจารณา โดยตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 8 บัญญัติว่า สมเด็จพระสังฆราชดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชา การคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมีพระวินิจฉัยในกรณีพระธัมมชโยแล้ว มหาเถรสมาคมย่อมต้องสนองพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชประทาน มาทั้งหมด ตามที่มหาเถรสมาคมมีมติที่ 193/2542 ให้สนองพระดำริโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎหมายเถรสมาคม แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการ ติดตามผลเพียงเรื่องเดียว คือ ติดตามรับมอบและคืนที่ดินของวัดพระธรรมกายเท่านั้น ในส่วนประเด็นวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชว่าพระธัมมชโยต้องปาราชิกนั้นยัง ไม่ได้มีการดำเนินการ ทั้งที่ผลการดำเนินการคดีทางโลกเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจากพยานหลักฐานทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ต่างมีพยานระบุยืนยันเจตนาการกระทำผิดของพระธัมมชโยอย่างชัดเจน จึงชี้ชัดได้ว่าพระธัมมชโยได้กระทำผิดโดยเจตนาแล้ว แต่ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมยังไม่สนองงานตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชให้ ครบถ้วนทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินการในเรื่องการลงนิคหกรรมแก่พระธัมมชโย ที่ต้องอาบัติปาราชิก จึงถือเป็นหน้าที่ตามระเบียบและกฎหมายที่มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคมโดยเร็วต่อไป หากปล่อยปละละเลยไม่ถือปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่อาจมีส่วนในการถูกพิจารณาความ ผิดทางอาญาฐานเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยดีเอสไอเห็น ว่ายังมีประเด็นที่สำนัก งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องพิจารณาใน 2 กรณี คือ 1.การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ที่มีมติมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและต้องปฏิบัติตามให้ครบ ถ้วน และ 2.ให้พิจารณาดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการตามข้อ 1 http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1454126674
ม่ายรู้ จะมีผู้ที่เช่าบูชา "ค้อนอภิมหามงคล จำลองเครื่องยศชาวสวรรค์" รวมตัวกันเอาค้อนพวกนี้ ไปใช้งานกับ DSI ด้วยอ๊ะป่าวดิ...
ปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้ แถมยังได้เพิ่มสมณศักดิ์อีกด้วย ความผิดของมส.น่าถือว่าได้กระทำสำเร็จแล้ว ในแง่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ สมควรฟ้องได้เลย ยังต้องรออะไรอีก....งง
มติ มส. "พระธัมมชโย" ไม่ต้องปาราชิก ชี้ไม่ขัดพระลิขิตฯ มส. นี้พระผู้ใหญ่ทั้งน้าน น่ามีอะไรก้ออะรัยบ้างนะ ละอายใจ ก้อสึก แล้วอยู่บำเพ็ญตน แค่ศิล 5 ให้ได้ก่อน ก้อพอ!!!
กรณีมาตรา157นั้นประชาชนทั่วไปที่มิใช่ผู็เสียหายโดยตรงจะฟ้องร้องมิได้ต้องยื่นเรื่องต่อ อัยการ หรือ ถ้าเป็ข้าราชการที่ไม่เกินc8เดิมให้ยื่นเรื่อต่อ ปปท.ถ้าเกินc.8ขึ้นไปยื่นต่อ ปปช.แต่โดยความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นกินของรัฐสภาได้ในทุกกรณีที่กล่าวมาแล้วครับ
การอุ้มโกงแบบคืนเงินแล้วจบ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคปฏิกูลทางกฎหมายครั้งสำคัญแล้ว นั่นก็คือเป็นยุคแห่งความเสื่อมทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่กำลังลุกลามยิ่งกว่าปลวกที่กินขื่อแปบ้านเมืองจนพินาศวายวอดไปทั้งหมด นั่นก็คือการขยายผลของความคิดและการปฏิบัติในเรื่องคืนเงินแล้วจบ ทั้งกรณีที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ และวงการอื่นๆ โดยเฉพาะวงการสงฆ์นั้น มีการทำมาหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน รู้เห็นเป็นใจให้คนห่มเหลืองที่เป็นปาราชิก เป็นอลัชชี เป็นเดียรถีย์ ประพฤติตนลวงโลก โกงวัด โกงชาติ โกงศาสนา โกงประชาชน ทำกันอย่างครึกโครมทั้งแผ่นดิน พอถูกจับได้ก็อุ้มโกงกันเป็นระบบ เป็นขบวน แล้วก็จะจบเรื่องแบบคืนเงินแล้วจบ ทรยศต่อพระธรรมวินัย ทรยศต่อกฎหมาย ชนิดไม่อายฟ้า ไม่เกรงดิน ไม่กลัวบาป ไม่กลัวนรกกันอีกต่อไปแล้ว ดังกรณีธัมมชโยที่เป็นปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมหาเถรสมาคมเมื่อครั้งที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังทรงพระชนม์อยู่ เคยมีมติรับรองพระลิขิตเหล่านั้นและมีมติว่าพร้อมสนองพระบัญชา แต่ต่อมาก็บิดเบี้ยวไม่ทำตาม อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งเป็นความผิดทางอาญาด้วย ต่อมาก็อาศัยอำนาจทางการเมืองถอนฟ้องคดีฉ้อโกงวัด จากนั้นก็อาศัยอำนาจอันวิปริตขอรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ให้แก่ผู้ต้องปาราชิกอีก ซึ่งเป็นการล่วงละเมิดที่ร้ายแรงและเป็นการทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรง http://www.naewna.com/politic/columnist/22698
ท่านธัมมชโยก็ได้นำเงินไปบริจาคคืนวัดแล้ว ที่ดำเนินการที่ผ่านมาใส่ชื่อตัวเอง เกิดจากความตั้งใจดี เพราะท่านธัมมชโย ต้องการให้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นสมบัติของชาติ เป็นสมบัติศาสนา ผมก็ยอมรับว่าใส่ชื่อตัวเองมันผิด ไม่ถูก แต่ท่านก็ได้ดำเนินการนำทรัพย์สินเหล่านั้นไปคืนในรูปแบบการบริจาคคืนให้วัดแล้ว .... เรื่องนี้มันจบไปแล้วแบบขาวสะอาดบริสุทธุ์ ผมไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จึงมีการจุดประเด็นเพื่อเชื่อมโยงกับปัญหาหลักที่เกิดขึ้นอีก วอนผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองให้หยุดโจมตีเถอะครับ
นี้ก้อสึกเถิด อย่าถ่วงศาสนาให้ต่ำกว่านี้เลย อีก 2ปี น่าจัดเข้าขบวนการจัดการได้อยู่ จุดไหนสางได้กวาดทิ้งเลย ขออย่ากวาดซุกใต้พรมเกลี่ยกระจายก้อพอ อย่างน้อยๆ ก้อบ่งบอกว่าเลิกสนับสนุนศิลจอมปลอม อเวศิล ศิล5 รักษาไม่ได้ อย่าอยู่หลอกคนว่าอยู่ในศิล 227 เลย ล้วนไม่ใช่ทั้งนั้น ผิดรูปผิดแบบหมดแล้ว ปรับเถิด!! อย่าให้เลวร้ายกว่านี้
นั่นคือหนึ่งประเด็น ในทางกฎหมายเองถือว่า ความผิดสำเร็จแล้ว ทำมี่ยังอยู่ภายในกฎหมายบ้านเมือง และสิ่งที่ทำคือ ยักยอกทรัพย์ ดังนั้น ตามพระธรรมวินัย ทำมี่ปาราชิกและพระสังฆราชได้มีพระลิขิตแล้ว เรื่องที่สอง การเทศน์มุสาว่า แม่ชีปัดระเบิด เรื่องที่สาม การวิจารณ์พระพุทธเจ้า ยกตนเหนือพระพุทธเจ้า เรื่องที่สี่ หลอกให้ทำบุญเพื่อขึ้นสวรรค์ชั้นสูงๆ ทั้งๆที่ศาสนาพุทธสอนให้ไปถึงนิพพาน สมควรมั้ย ใครกันแน่ที่ต้องหยุด เมื่อไหร่จะหวังดีต่อชาติบ้านเมือง
*************************************************** 3 ก.พ. l ข่าว 09.00 น.วานนี้เจ้าหน้าที่ได้พิจารณาประเด็นความผิดของกลุ่มผู้รับเช็คจากอดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งดีเอสไอและอัยการ ได้เห็นชอบดำเนินคดี กับกลุ่มวัดธรรมกายและเครือข่ายในข้อหารับของโจรและฟอกเงิน
บอกตามตรงว่า ถ้านายกเลือกปรับ มรว.ปรีดียาธร ออกได้ ทำไม นายกฯ ยังไม่กล้าปลดนายสุวพันธ์ อะไรเนี่ยออกเสียที ทำงานมาเป็นปี จนเสร็จงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระสังฆราชไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถจัดการกับวัดพระธรรมกายได้ ผมคิดว่า คะแนนนิยมรัฐบาลชุดนี้จะค่อยๆ ลดลง เพราะการทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก วงการพระสงฆ์ฉาวโฉ่วขนาดนี้ ยังไม่ยอมทำอะไร มติชนก็ปล่อยให้มันเขียนแอบด่า แอบปลุกระดม สร้างความเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ เลี้ยงไปๆ ไม่จัดการสื่อชั่วอันนี้เสียที รอวันฉิบหายได้เลยครับ ผมขอทาย ทั้งเรื่องตำรวจ รถไฟ พระสงฆ์ ไม่ได้แก้อะไรเลย เละลงเรื่อยๆ
http://www.matichon.co.th/news/26006 “ผอ.ดีเอสไอ”ชี้ “พศ.”ไม่พิจารณากรณี “พระธัมมชโย” อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษส่งหนังสือถึง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อให้พิจารณา พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช หลังการถือครองที่ดินและทรัพย์สินเข้าข่ายกระทำผิด ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 และอยู่ในความรับผิดชอบของ มหาเถรสมาคม (มส.) ที่จะต้องวินิจฉัยกรณีดังกล่าวว่าผิดหรือไม่ หากผลออกมาเป็นอย่างไรต้องดูกันอีกที โดยหนังสือจากดีเอสไอ ยังไม่ใช่การชี้มูลความผิด แต่เป็นการแจ้งประสาน พศ. ให้ดำเนินการและหากไม่ดำเนินการ พศ. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พ.ต.ต.วรณัน กล่าวต่อว่า ดีเอสไอ ส่งหนังสือให้ พศ. ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยทาง พศ. ทำหน้าที่เลขานุการของ มส. ไม่มีอำนาจกำหนดให้พระปาราชิกได้ แต่สามารถเสนอเรื่องเข้าการประชุมของ มส. เพื่อให้พิจารณาในลำดับต่อไป ส่วนการประชุมของ มส. จะมีมติอย่างไรตอบไม่ได้แต่จะต้องมีการแจ้งตอบกลับมายังดีเอสไอ ให้ทราบถึงมติ มส. ออกมาเป็นอย่างไร หากมติ มส. ออกมาแล้ว และมีผู้ไม่เห็นด้วย สามารถใช้สิทธิในการดำเนินการฟ้องร้องคดีเองได้ หรือมาร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการเอาผิดกับ มส. ได้ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับมติของ มส. พร้อมกับเสนอให้รื้อกระบวนการพิจารณากันใหม่ http://www.matichon.co.th/news/25987 “ชยพล” ลั่นมีคำตอบให้ดีเอสไอกรณี ‘ธัมมชโย’ แล้ว พร้อมตอบทุกข้อสงสัยสัปดาห์หน้า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งหนังสือเรื่องให้ดำเนินการต่อนายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการ พศ.โดยเนื้อหาในหนังสือระบุให้ผู้อำนวยการ พศ.พิจารณาดำเนินการกับพระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และเจ้าคณะผู้ปกครองที่เกี่ยวข้อง ที่น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดอาญา จากกรณีการถือครองที่ดิน และทรัพย์สิน จนเป็นสาเหตุให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตให้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น พศ.ได้ศึกษาในข้อสงสัยตามที่ดีเอสไอระบุในหนังสือเข้าใจแล้วทุกรายละเอียด และ พศ.มีคำตอบสำหรับทุกข้อสงสัยนั้นแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ อย่างไรก็ตาม ตนขอหารือกับคณะสงฆ์ และทีมงานของ พศ.ให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเข้าพบดีเอสไอภายในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ อาจจัดแถลงเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
สงสัยจะโดน 157 กันทั้ง พศ. ทั้ง มส. แล้วละมั้ง สำนักพุทธ-ผู้แทน มส.หารือดีเอสไอ 2 ประเด็นทั้งกรณีพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชและคดีพระธัมมชโย ขณะที่พระพรหมบัณฑิตกรรมการมส.ชี้แจงหลักธรรมวินัยให้ดีเอสไอเข้าใจ ขณะที่รองผอ.พศ. เตรียมเสนอข้อมูหารือต่อมส. 10 ก.พ.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ผู้แทนสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้มาหารือร่วมกับ พระพรหมบัณฑิตและพระพรหมโมลี ผู้แทนมหาเถรสมาคม(มส.) นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) นายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.พศ. เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับกรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช และกรณีที่เกี่ยวเนื่องกับ พระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในข้อกล่าวหายักยอกทรัพย์ ว่า ผิดพระวินัยอาบัติปาราชิกหรือไม่ โดยประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมงที่สำนักงานพศ. อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยนายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.พศ. บอกหลังประชุมว่า ดีเอสไอสอบถามว่า พศ. และ มส. ว่าเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับข้อคำถามหรือไม่ใน 2 เรื่อง คือ 1.การตอบสนองพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชทาง พศ.และ มส.ได้สนองตอบอย่างไรบ้าง โดยพระพรหมบัณฑิต และ พศ. ชี้แจงว่า การตอบสนองพระลิขิตต้องให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎ มส. และกฎหมาย 2. เกี่ยวกับหลักการพิจารณาคณะผู้วินิจฉัย นิคหกรรม เกี่ยวกับกรณีพระธัมมชโยว่า ทางพศ.และมส.มีหลักการพิจารณาอย่างไร ซึ่งพระพรหมบัณฑิตตอบดีเอสไอไปว่า การวินิจฉัยของคณะสงฆ์ได้ยึดหลักการวินิจฉัยตามพระธรรมวินัย และหลักของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎนิคหกรรม โดยในเรื่องการยักยอกเงินตามหลักพระธรรมวินัยจะมีหลักองค์ประกอบพิจารณาอยู่แล้วว่า ภิกษุที่จะเข้าข่ายอาบัติปาราชิกจากกรณีนี้จะต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง โดยในพระธรรมวินัยกำหนดชัดเจนอยู่แล้ว แต่ในการหารือยังไม่ได้ชี้ชัดเกี่ยวกับโทษว่าปาราชิกหรือไม่ เพียงแต่ตอบโดยหลักการพิจารณาให้ดีเอสไอเข้าใจเท่านั้น ทั้งนี้ พศ.จะนำข้อหารือนี้เสนอให้ มส. พิจารณา โดยจะจัดทำสรุปรายงานให้ทันเพื่อนำเสนอในการประชุม มส. ในวันที่ 10 ก.พ.นี้ ยังคงมีความเคลื่อนไหวกดดันให้มหาเถรสมาคมดำเนินการกับพระธัมมชโยแห่งวัดพระธรรมกาย โดยเน้นย้ำให้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ซึ่ง มส.เคยมีมติรับรองไว้แล้ว แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ จนกรมสอบสวนคดีพิเศษต้องทำหนังสือทวงถาม นายไพบูลย์ นิติตะวัน และ นายแพทย์ มโน เลาหวณิช อดีตประธานและกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้เปิดแถลงข่าวที่รัฐสภา เกี่ยวกับการประชุมมหาเถรสมาคม หรือ มส.ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ โดย นายไพบูลย์ กล่าวว่า การประชุม มส.ในวันพรุ่งนี้ มส.ต้องดำเนินการตามหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ยธ 0805/56 ลงวันที่ 8 มกราคม 2559 ที่ให้ มส.ดำเนินการตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ให้พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งมหาเถรสมาคมเคยมีมติรับรองไว้แล้ว ฉะนั้น ประธานคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งก็คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) และกรรมการมหาเถรสมาคม ผู้มีอำนาจหน้าที่ จะต้องติดตามดำเนินการให้พระธัมมชโยสละสมณเพศ ตามกฏมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ข้อที่ 6 และ 7 หากไม่ดำเนินการ หรือมีความพยายามบ่ายเบี่ยงโดยไม่คำนึงถึงหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติในฐานะหน่วยงานรัฐ และเจ้าพนักงานของรัฐ อาจถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157