ตลกแดกและรัฐบาล คุณอยากให้คนชั้นกลางมีลูกเพิ่ม ต้องแจกให้ตรงใจครับ เช่นช่วยค่าเล่าเรียนโรงเรียนอินเตอร์50%
มีลูกหนึ่งคน กว่าจะเรียนจบ ม6 ใช้เงินไปเกือบ2ล้าน เฉพาะค่าเรียนหนังสือกะกวดวิชา คนโตสอบเข้าโครงการวิทย์ได้ มีเงินอุดหนุนให้ 6 แสน คนเล็กยังต้องลุ้นสอบเข้า รร ทรงลูกข่าง สอบติดต้องจ่าย แสนสี่ ลูกหลายคนมีตายครับ
คิดไว้แล้วว่ารูปนี้ต้องมาลงที่นี่ แต่ความจริงแล้วรัฐบาลไทยให้มากกว่านี้นะครับ คือรูปมันไม่แสดงความจริงนะครับ 1. ให้สิทธิลดหย่อนทางภาษีเพิ่มเติมจากเดิม ประกาศใช้มาเกือบปีแล้วครับ http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/news15_2559.pdf 2. เรื่องวันลาหยุดสำหรับผู้ชาย ของไทยให้ 15 วันครับ 3. เงินสนับสนุนเด็กแรกคลอด https://csg.dcy.go.th/index.php/en/2011-11-25-09-29-40/143-2559-3 https://csg.dcy.go.th/images/content/doc-ref1.pdf ล่าสุดเพิ่มเป็น 600 บาท/เดือน https://th.theasianparent.com/เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด/ ส่วนกองทุนสุขภาพอะไรนั่นนะ ของประเทศไทยไม่ต้องมีครับ เพราะของไทยมันไปรวมอยู่ในงบประกันสุขภาพถ้วนหน้ารักษาฟรีอยู่แล้วครับ
ว่าแล้วว่าต้องมีอะไรแหม่งๆ สวัสดิการของไทยน่าจะมีมากกว่านี้ ขอบคุณที่รวบรวมมาให้ครับ ทางการจะให้สวัสดิการชั้นยอด แต่ไม่มีคนจ่ายภาษีหนักๆ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดครับ ทุกอย่างมีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน
อย่าว่าผมมองโลกในแง่ร้ายนะ แต่การที่ คนพอมีความคิดหน่อย ไม่ค่อยมีลูก ก็น่าเห็นใจอยู่นะ นอกจากเรื่องค่าใช้จ่าย สิ่งที่สำคัญ กว่านั้นคือ สังคมของเด็กครับ ลองคิดดูว่า ท่านเลี้ยงลูกดีมาก สอนก็ดี ให้การศึกษาอย่างดี แต่พอเด็กไปโรงเรียน ท่านตามเค้าไปได้หรือไม่ เจอเพื่อนไม่ดี เจอสิ่งแวดล้อมไม่ดี โลกโซเชียล ก็มีหลากหลาย ไปห้าม ไปบังคับ ก็เดี๋ยวจะเตลิด คิดสะระตะแล้ว ก็เลยปล่อยผ่านไปเลย ไม่อยากมีก็มาก อันที่จริง ผมว่าช่วงปรับตัว ก็ควรเป็นแบบนี้ ปล่อยให้มีการเกิดน้อยลง จริงอยู่ คนที่ให้กำเนิด ไม่มีเงิน ไม่มีปัญญาเลี้ยงให้ดี แต่คิดแง่ดี ถ้ามีเด็กน้อย ครูพอสอน รัฐบาลให้ความใส่ใจได้เพียงพอ จากเด็กแย่ ๆ มีคนเอาใจใส่ มันก็ดีกว่า ถูกเอาไปเปรียบเทียบ กับเด็กรวย ๆ พ่อแม่มีฐานะความรู้ดี ขณะที่ตนเอง ขาดไปเสียทุกอย่าง เปรียบง่าย ๆ ลูกไก่อมโรค ถูกเลี้ยงในฟาร์ม ที่ไม่แออัด สภาพแวดล้อมดี อาหารเพียงพอ หยูกยามีพร้อม คนดูแลต่อเนื่อง มันก็โตเป็นไก่ สุขภาพดีได้ คนก็เหมือนกัน ตอนนี้ที่ออกมา ดูว่าวัยรุ่นแย่ เพราะรัฐบาลมีงบประมาณ ไม่พอดูแล ครูก็อยากไปสอนพิเศษ สำหรับลูกที่พ่อแม่มีเงิน อีกหน่อย สถานการณ์เปลี่ยน เด็กน้อยลง ค่าใช้จ่าย ภาครัฐก็น้อยลง ครูก็จะมีเวลามากขึ้นโดยเฉลี่ยต่อนักเรียนแต่ละคน ไม่ต้องไป สนับสนุนให้มีลูกหรอกครับ เอาไอ้ที่มีอยู่ ที่เกิดมาแล้ว ดูแลให้มันดีเถอะ
เห็นตั้งแต่เมื่อวาน คิดอยู่เหมือนกันว่าต้องมีอะไรสักอย่างเพราะเห็นยกมาด้วนๆเลย อยากเปรียบเทียบน่าจะเปรียบรายได้ ภาษี ค่าครองชีพด้วย
จริงครับ สิ่งแวดล้อมใน รร มีผลต่อการเรียนและพฤติกรรมเด็ก ลูกผมอาจโชคดีได้ทุนเรียนในหลักสูตรวิทยาศาสตร์ รอบตัวมีแต่เด็กเก่ง ตัวเองออกปานกลาง เลยต้องฝึกหนักกว่าจะทันคนอื่น หลานชายอายุไล่เรี่ยกัน อยู่เอกชน เข้ากลุ่มนักบอลโรงเรียน ออกแนวเล่นทุกอย่าง แรกๆก็เหล้า หลังมาเนี่ยเจอบุหรี่อีก ยังไม่รู้จะไปทางไหนเลย แต่อย่าคิดหวังพึ่งครูใน รร นะ ยาก ดีที่เรียนที่ มหาลัยครึ่ง รร ครึ่ง พอได้ความรู้เพิ่ม แต่ อจ มหาลัยก็สอนยากเกิ้น
มีคนคอมเมนท์ในเฟซบุ๊กว่า อัตราการเกิดน้อยลง วัยแรงงานลดลง เหมาะกับยุคที่เทคโนโลยีเครื่องจักร กลไก โปรแกรม ทำงานแทนแรงงานมนุษย์
ของสิงคโปร์ตรงใจคนชั้่นกลางมากกว่าครับ ถ้าอยากให้คนชั้นกลางมีลูก สิ่งที่ให้ต้องให้แบบมีคุณภาพเช่นเรื่องบ้าน ก็ไม่ใช้บ้านแบบเอื้ออาทร... เช่น เรื่องเรียนประเทศไทยคุณภาพต่ำจริงๆจนพ่อแม่ต้องดิ้นรนส่งไปเอกชน รัฐก็ช่วยตรงนั้นสัก30-40% รักษาแบบ30บาทมันก็รักษาแบบคุณภาพแย่จนพ่อแม่พาลูกหนีไปเอกชน รัฐก็ช่วยตรงนั้นสัก30-40% เพื่อนผมเป็นแพทย์หญิง ฉลาดมากแต่ไม่ยอมมีลูกเพราะเขาบอกสมัยนี้เลี้ยงยาก == รัฐต้องไปดูว่าเงื่อนไขอะไรที่ทำให้คนฉลาดๆการศึกษาสูงไม่อยากมีลูก เว้นแต่รัฐอยากให้ประเทศไทยมีทายาทเด็กแว้นเยอะๆก็แล้วแต่เลย
จริงครับ อย่างน้องเก๋าที่โดนยิงตาย นั่นก็เด็กราชวินิต จะหาสถาบันที่ไม่มีเด็กเหลวไหลนี่ยากมาก (ถ้าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะห่วงมากๆเรื่องเพื่อนลูก) ปล.ขนาดจุฬายังมีเด็กแบบน้องเนเลย พฤติกรรมเขานี่คือช่างยุนะฮะ ผมดูๆแล้วคือยุให้เพื่อนลุยส่วนตัวเองทำถูกระเบียบเป๊ะ ออกแนวสมศักดิ์เจียม คือยุให้เพื่อนไปตายส่วนตัวเองเกาะกระแสดัง
ประเด็นของผมคือ จะอธิบายเรื่องข้อมูลในภาพที่ไม่ถูกต้องครับ ส่วนใครจะชอบนโยบายประเทศไหนหรือไม่ชอบก็ตามสบายเลยครับ จะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่เลยครับ ผมไม่สนใจ ขอแค่ข้อมูลที่เอามาแสดงถูกต้องแค่นั้นพอครับ
พวกทำรูปด่านโยบายรัฐช่วงนี้ ให้ต้องสงสัยไว้ก่อนครับว่าข้อมูลไม่ครบ เพราะพวกนี้ยังเป็นมือสมัครเล่นด้านการด่ารัฐบาลครับ หรือไม่บางทีก็เป็นพวกอยากเรียกยอดไลค์
หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้เดินหน้า รณรงค์ให้คนไทยมีบุตรเพื่อชาติ... แต่หลังจากนั้นยังมีข้อสงสัยจากคู่สมรสว่า การมีบุตรเพื่อชาติดีอย่างไรและจะได้รับการดูแลจากรัฐอย่างไรบ้าง ทำให้กรมอนามัย รวบรวมสิทธิที่จะได้รับ ถ้ามีบุตรเพื่อชาติให้เข้าใจ
สำนักข่าวไทย 16 ม.ค.-การประชุม ครม. วันนี้ ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การออกมาตรการส่งเสริมภาษีให้มีบุตร เนื่องจากปัจจุบันประชากรไทยน้อยลง และมีผู้สูงอายุมากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ไม่นิยมมีบุตร รัฐบาลจึงมีมาตรการสนับสนุนให้คนมีลูกกันมากขึ้น ส่วนจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ติดตามในประเด็นร้อน ครม.-สำนักข่าวไทย การประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบการจัดทำงบกลางปีพิเศษเพิ่มเติมปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1 แสน 5 หมื่นล้านบาท พร้อมเห็นชอบมาตรการส่งเสริมคนไทยมีบุตรเพิ่ม คนที่ 2 หักลดหย่อนภาษี 6 หมื่นบาท หลังไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สำหรับมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนผู้มีบุตรคนที่ 2 ทางกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า จะมีผู้ใช้สิทธิ์หักลดหย่อนภาษีสำหรับการฝากครรภ์และคลอดบุตรประมาณ 4 แสนราย และทำให้มีเด็กที่เกิดเป็นบุตรคนที่ 2 ในปี 2561 ประมาณ 3 แสน 5 หมื่นราย ทั้งนี้เพื่อลดภาระในการเลี้ยงดูบุตรช่วยเพิ่มประชากรวัยทำงาน สร้างความสมดุลระหว่างช่วงวัย รองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต
แล้วดูพ่อพิมพ์ของชาติที่อำเภอบัวใหญ่สิครับ เอาเด็กผู้หญิงม.2เป็นเมีย พ่อพิมพ์คนเดียวกันนี้เพิ่งเอาเงินสองแสนปิดคดีเด็กป.6ที่มันนอนด้วย เลวอย่างนี่แทนที่กระทรวงศึกษาธิการจะไล่ออก แต่ยังอุตส่าห์เกี้ยเซี้ยย้ายให้ อย่าให้จบแค่ครูหื่นคนนี้ ผู้บริหารกระทรวงฯต้องรับผิดชอบฐานที่ไม่ไล่ออกตั้งแต่มันนอนกับศิษย์ป.6 หรือมันเป็นอย่างนี้กันหมดทั้งกระทรวง
การเพิ่มจำนวนประชากรให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ กลายเป็นวาระแห่งชาติไปแล้วนะครับ โดยล่าสุดรัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการมีบุตร คนที่ 2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ให้คู่สมรสที่มีเงินได้ ได้รับสิทธิแยกยื่นภาษีหักลดหย่อน คนละ 6 หมื่นบาท เพื่อจูงใจให้มีลูกเพิ่ม เป็นการเตรียมความพร้อมเพิ่มประชากรที่จะเป็นกำลังแรงงานในช่วงที่ประเทศเข้าสู่สังคมผุ้สูงอายุอย่างเต็มตัว ติดตามได้จากรายงาน คนที่อยากมีลูกแต่ยังลังเลเพราะค่าใช้จ่ายที่จะต้องมี ตั้งแต่ ตั้งครรภ์ ทั้งการฝากครรภ์ไปจนถึงการคลอด/ ตอนนี้ น่าจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น จากมาตรการทางภาษีของรัฐบาล ที่ให้คู่สามี-ภรรยาที่มีเงินได้ สามารถนำค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร มาหักลดหย่อนภาษีได้ รวมไม่เกิน 6 หมื่นบาท ติดตามได้จากรายงาน
คนชั้นล่าง ก้อมีนะ เขาให้อยู่เขตชั้นนอก สังคมคนแก่ก้ออยู่เขตชั้นนอก มีสวัสดิการรัฐช่วย รับของจากห้างที่ใกล้หมดอายุ เช่นเค็ก อาหารสด อาหารปรุวสำเร็จต่าง โดยทีมอาสาสมัคร นักเรียน จัดแยกคัดนำไปส่งให้ การศึกษาก้อไม่ต่างจากทั่วๆไปของประเทศไทยนะ รวมๆไปแล้วของเราน่าจะดีกว่า แต่เฉพาะแหล่งเฉพาะสถาบันละก้อโอเค สถาบันเอกชนนานาชาติ บางแห่ง เราอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่านะ
คนสิงคโปร์ โดยทั่วไปเคลียดนะ ไหนต้องแข่งกันเอง ต้องแข่งกับชาวโลก มีประชากรมากกว่าภูเก็จไม่เท่าไร ที่ไม่อยากเก่งก็อมี แต่รัฐบังคับให้ต้องเก่ง ยัดอะไรต่ออะไรมาก เหมือนบ้านเราหากไม่เก่ง ค้าขายก้อได้ ชาวสิงกิตละ ทำไรได้ เก่งคอมฯเหรอ หากินซ่อมคอมฯ เกาะแค่นั้นหากินไรได้ ทั่วไปค้าขายคับ เมื่อ 40-50ปีก่อนนะ สมัยแร่ดีบุกรุ่งเรืองนะ ไม่เถียง บอกว่าอีกไม่นาน อยู่ไม่ได้หรอก จะอาศัยมาเลเซีย ก้อไม่ไหว อุ้มไร แยกไปแล้วก้อเอาตัวให้รอดตลอดไป ไปเรียกร้องจากอังกฤษนู้นนนนน
บ้านสิงคโปร์ล้นตลาดสอนอะไรเรา | ดร.โสภณ พรโชคชัย - กรุงเทพธุรกิจ http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/638371 มีรัย ถามด๊อกฯนะ แสนรู้ไปโหมด!!! *** เฉพาะข้อ2 ข้อเดียว 1% ของเรานะ ด๊อกฯ ลองคิดเป็นพื้นที่ฯให้หน่อยว่าสักเท่าไร ตรูมึน!
@credit from คุณคิส คนไทยในสิงคโปร์ พื้นฐานของสิงคโปร์นี่เค้าเหมือนหุ่นยนต์อะ เป็นประเทศที่สำเร็จรูปมาก จะเกิด จะตาย ทุกอย่างรัฐบาลเค้ากำหนดอะไรให้หมดแล้ว ต้องทำอะไรยังไง ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้มีบอกไว้หมด แล้วทุกอย่างก็เป็นเงินเป็นทอง ทำอะไรก็เสียเงิน แล้วก็ผลิตสินค้าเองน้อย เป็นเมืองท่า อะไรก็นำเข้า ของก็แพง ต้นทุนแพงก็ต้องขายแพง ที่ระบายความเครียดก็น้อย ของธรรมชาติแท้ๆก็หาได้ยาก เวลาคุณคุยกับคนสิงคโปร์ ถ้าคุณไม่มีพื้นฐานภาษาจีน มาเลย์ ฮกเกี้ยน คุณอาจจะงงได้ง่ายๆ เพราะพวกเขาจะพ่นออกมารวมกันเป็นเบรคแดนซ์หมอลำ เวลาคุยภาษาอังกฤษกับคนที่นี่ เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ!!
คุณต้องเก่งภาษาแบบสิงกิตมั้ยยยย??? คำที่คุณจะได้ยินแน่ๆ รับประกันเลยว่าถ้าคุณรู้จักคนสิงคโปร์จะต้องเจอแบบนี้แน่นอน คำแรกที่คุณก็รู้ว่า...ลา!! จะพูดอะไรก็แล้วแต่ คนที่นี่จะลงท้ายประโยคด้วยคำว่า"ลา"แบบไร้ที่มาที่ไป มันคืออะไรก็ไม่มีใครรู้ แต่คุณจะได้ยินมันแน่นอน โอเคลา...โนลา...แคนลา มันหลอนซะจนติดไปกับพวกเขาแล้ว!! ร้ายกาจมากค่ะพี่น้อง T T คำที่สอง "ฟัก" แม่นแล้ว มันก็คือคำยอดฮิตติดชารทเดียวกับบ๊อกออฟฟิตเมกัน อันนี้ไม่รู้ว่าเพราะว่าเจอแต่คนเด็กกว่ารึป่าว คนทั่วไปที่นี่"ฟัก"กันพร่ำเพรือมาก ฟักยู ฟักออฟ บางทีก็ออกมาลอยๆกับสายลม...ฟ๊าก..กกก ได้ยินจนรู้สึกเฉยๆไปเลยละ คำที่สาม "แคน" เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของภาษาอังกฤษเเย่ๆของคนที่นี่เลยก็ว่าได้ สมมติถามว่า can you do this?? เค้าก็ตอบกันเยสโนว่ากันไป คนสิงคตอบ แคนแคน!! หรือจะตั้งประโยคคำถามเช่น ช่วยส่งของอันนี้ไปให้หน่อยได้มั๊ย ก็อาจจะบอกว่า u pass this stuff to mr..., can or not ฟังแล้วก็....อะไรเนี้ย ช่วยกลับไปเรียงลำดับประโยคก่อนออกมาจากบ้านจะได้มั๊ย ฟังแล้วปวดหัว เด็ดกว่านี้ก็มี จะถามว่าไปไหน คนสิงคจะถามว่า you go where เรียนภาษาอังกฤษระบบรีเวริสกันหรอ คำที่สี่ "บลัฟ" อันนี้ก็ไม่ทราบว่าคนที่นี่หลอกลวงกันเป็นอาชีพหลักหรือว่าอะไร เวลาจะพูดจะเล่าจะขออะไรก็จะต้องเน้นเหลือเกินว่า i'm not bluff you la หรือว่า don't bluff me la พูดเกือบจะทุกคนค่ะ แปลกดี คำที่ห้า "ชัตอัฟ" อันนี้ได้ยินบ่อยเหมือนกัน แต่ไม่ได้โดนกับตัวนะ(จริงๆก็น่าอยู่หรอก แหกปากทั้งวัน) ได้ยินในวงสนทนาเกือบจะทุกครั้ง เพราะคนที่นี่ถ้าเป็นเพื่อนกันจะพูดจาหยอกล้อกันค่อนข้างรุนแรง คำอื่นๆก็มีประปราย ต้องอยู่ไปสักพักถึงจะจับใจความกันได้ อย่าง "วะหล่าวเว่ย"(พ่อเมิงหรอ...,ไอห่าเอ๊ย...) "ซี้เปย..."(โคตร...) "โซเซียน"(เบื่อชิบหาย) "อั่งม่อ"(ฝรั่งหัวแดง) "ไป่เซย"(น่าอาย,เขิน) คนไทยพูดอังกฤษ ฝรั่งฟังแล้วบอกว่า คนไทยพูดเพราะได้ทั้งไวยกรณ์ และสำเนียง ไม่กระด้าง ลูกสะใภ้อังกฤษ และเพื่อนที่รู้จักยืนยันได้ แต่ทางกลับกัน เขาก้อกลัวนะ เวลาโกรธละมาหมด ไวยกงไวยกรณ์ไม่ต้องมี คำผวนคำแปลแปลกๆ ไม่ต้องแปลก้อเข้าใจ มาหมด
80%ของคนสิงคโปร์จะจบยูจากออสเตเรีย อาจจะส่วนตัวไปหน่อย แต่เท่าที่รู้จัก จบกันมาจากออสทั้งนั้น เพราะการเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่สิงคโปร์เป็นเรื่องหินมากค่ะ ไม่ได้มีเปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทางแบบบ้านเรา เจอข้อนี้ ร้องเฮ้ยยยเลย ไงนี้นะ
เพื่อนคนสิงคโปร์ที่เคยทำงานด้วยกันบอกว่า คนทำงานสิงคโปร์ไม่สามารถรีไทร์ได้ ต้องทำงานตลอดชีวิต เพื่อมีเงินไว้ใช้จ่ายจนตาย เหมือนหนูถีบจักร ประเทศเหมือนกงล้อ หมุนวนไปตลอดด้วยขาหนูที่คอยถีบ เราจึงเห็นคนสูงอายุในประเทศนี้ ทำงานเป็นคนเก็บกวาดจานอาหารตาม foodcourt มากมาย ทรัพยากรธรรมชาติก็ไม่มี บ้านช่องที่จ่ายเงินซื้อก็เหมือนเช่า อยู่จนครบ 99 ปีก็ต้องคืนรัฐไป ไม่สามารถเป็นเจ้าของแบบขายขาดได้ แต่ภาษาอังกฤษแบบสิงคโปร์ ฟังง่ายกว่าอังกฤษมาเลย์นะฮะ
สิงแมนต้องเป็นทหารทุกคน เรียกฝึกทุกปี จนถึง 35ปี รับรองไม่มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คนไหนมาบอกว่าหนีทหารเด็ดขาด