ผมว่า ความทุเรศ กร่าง ยิ่งใหญ่คับฟ้า น่าจะไม่ต่างไปจาก ไอ้ สส.ประสาทแห่งจังหวัดคนดีศรีสุรินทร์ ที่ติดคุกอยู่ด้วยข้อหา หมิ่นเบื้องสูง... หลังจากต้อง โลว์โปรไฟล์ ด้วยพิษของปากพาไป... สุดท้าย ก็เจอรวบ...เตรียมชดใช้กฏแห่งกรรมอีกหนึ่ง... ----------------------------- ----------------------------- ----------------------------- ---------------------------- ----------------------------- ----------------------------- ----------------------------- ---------------------------- ผมมีความเชื่อว่า สส.ลูกจ้างพลพรรคเผาไทย น่าจะได้รับการ 'ตามทัน' จากกฏแห่งกรรม ให้ได้เห็นกันมากขึ้น และบ่อยขึ้นไปอีก... ไม่ต้องรอกันชาติหน้าแล้ว เพียงแต่เมื่อไหร่ จะถึงคิวนายใหญ่ เจ้าของพรรค เท่านั้นเอง...
เป็นข่าวดี อีกข่าวหนึ่งของวันนี้... อยากให้นักข่าว ขุดคุ้ยต่อไปว่า เชาวรินทร์ ถอนเงินไปทำอะไรบ้าง ไปตรวจข้อมูลธุรกรรมการเงิน เงินเข้า-เงินออก จากสมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธ ไทย-จีน ดูกันดีไหมครับ
ฮิ ฮิ จอมสร้างภาพ รุ่นดึก สงสัยคงจะเป็นขาลงของชีวิต มาลงเอาบันปลายของชีวิตด้วย ช่วงอยู่ไทยรักไทย พันธบัตรกงเต๊กหมื่นล้านเหรียญ ขุมทองถ่ำลิเจียทำนายใหญ่ขายหน้า เลยถูกลดบทบาท มาตลอดจน ล่าสุดเจอคดีจาตุคาม หนึ่งปีไม่รอลงอาญา ยามชราสงสัยขึ้นโรงพัก โรงศาลและโรงพยาบาล ก่อนไปโลงจริงแหงๆ
ช่วยแถ... ควายขี้ข้าฯ (ช่วยแปล... ควายขี้ข้าทั้งหลายทั้งสิ้น) ช่วยหาข่าวสาร ข้อมูล เอาข่าวแปะก็ยังดี... เรื่องดีๆของพลพรรคเหี้ยกๆนายพวกเมิงที่กระทำต่อแผ่นดิน และสังคมมาสักตัว, สักเรื่องดิ๊ขอรับ... กระพ๊มจนปัญญา... ไม่รู้จะหาที่ไหน รื้อไปก็เจอแต่เรื่องเหี้ยกๆ ไม่ก็ moonrise (ช่วยแปล... จันไร) หรือไม่ก็เข้าขั้นอับPD (ไม่แปล... ไม่รู้ก็ค๊อดควาย... สมควรเป็นขี้ข้าฯ) หนักแผ่นดินไปเสียทู๊กกกกกกกกกกกกกกตัว... ตะล่ะตัวขั้นต่ำๆก็เหี้ยกยันเงา... ทั้งสิ้น... ฮึ๊ยๆๆๆ
ข่าว 7 สี - อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองรวบตัวคาสนามบิน ข้อหาแฮกข้อมูลอินเตอร์เน็ต ฉ้อโกงเงิน 11 ล้านบาท อดีตรัฐมนตรีช่วยคนดังกล่าว คือ ร้อยตำรวจโทเชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ถูกตำรวจ สน.ดุสิต ควบคุมตัวมาดำเนินคดีตามหมายจับของศาลอาญา ข้อหาฉ้อโกง และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยร้อยตำรวจโทเชาวรินทร์ ถูกเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสุวรรณภูมิ รวบตัวได้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ขณะกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ นายพิทักษ์ ศรีนวกุล ตัวแทนของบริษัท บีพีซี จำกัด ซึ่งเป็นผู้เสียหายเปิดเผยว่า บริษัททำธุรกิจโดยใช้เว็บไซด์และอีเมลในการทำธุรกรรมโอนเงินซื้อขายสินค้า กระทั่งมาพบว่ามีผู้เข้าไปโจรกรรมข้อมูล และปลอมแปลงอีเมลของบริษัท แก้ไขบัญชีปลายทางในการโอนเงิน เป็นบัญชีของสมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทย-จีน ซึ่งมีผู้ต้องหาเป็นนายกสมาคม โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 บริษัทได้โอนเงินจำนวน 11 ล้านบาท และเงินถูกถอนออกไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม เมื่อบริษัทตรวจพบ ก็ได้ติดต่อกับผู้ต้องหาให้คืนเงิน แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยง เมื่อนำหลักฐานไปแสดง ผู้ต้องหาก็ยอมรับว่าใช้เงินไปหมดแล้ว และไม่ยอมคืนเงิน จนต้องแจ้งความดำเนินคดี แต่ผู้ต้องหาก็หลบเลี่ยง จนถูกศาลออกหมายจับดังกล่าว
คดีนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้? ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี “ร.ต.ท.เชาวรินธร์” ฉ้อโกงหลอกขายจตุคามรามเทพ รุ่น “ทรัพย์สินเนืองนอง เงินทองไหลมา” ปี 50 แต่จำเลยรับสารภาพลดโทษ เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ที่ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (20 ธ.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.2084/2555 ที่เจ้าพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 คดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 พ.ค. - 30 มิ.ย. 2550 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้บังอาจกระทำผิดกฎหมาย เจตนาทุจริต โดยหลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดความจริงที่ควรบอกแก่ประชาชน โดยนำข้อความลงประกาศในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ในวันที่ 16 มิ.ย. 2550 เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปสั่งจองและซื้อวัตถุมงคลจตุคามรามเทพ รุ่น “ทรัพย์สินเนืองนอง เงินทองไหลมา” โดยจำเลยได้เป็นประธานกรรมการในการจัดสร้าง พร้อมกับปลุกเสกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และศาลหลักเมือง ที่ล้วนเป็นเท็จ เพราะความจริงแล้วไม่มีการนำวัตถุมงคลดังกล่าวไปปลุกเสกตามสถานที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด ทำให้มีประชาชนทั่วไปจำนวนมากสั่งจองและจ่ายเงินวัตถุมงคลดังกล่าว ทั้ง ร.ต.นพดล เดชาฤทธิ์ จ่ายเงินจำนวน 1,791 บาท และนายสุริยาวุธ มีบุญมาก จำนวน 1,194 บาท ให้แก่จำเลย เหตุเกิดที่แขวงบรมมหาราชวัง, แขวงเสาชิงช้า, เขตพระนคร, จ.ราชบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ภายหลังสืบพยานไปบางส่วนจำเลยขอถอนคำแถลงให้การ ปฏิเสธ และให้การใหม่โดยรับสารภาพ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 343 วรรคแรก ฐานฉ้อโกงประชาชน ลงโทษจำคุก 3 ปี ทั้งนี้เมื่อสืบพยานไปบางส่วน จำเลยได้แถลงขอรับสารภาพ จึงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ ส่วนคำขออื่นให้ยก สำหรับคดีนี้ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ได้ขออนุญาตสำนักพระราชวังบวงสรวงพระแก้วมรกต และพระบุรพมหากษัตริย์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการบูรณะเปลี่ยนพื้นหินอ่อน พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ จ.ราชบุรี ซึ่งทางสำนักพระราชวังได้อนุญาตไปเพียงเท่านั้น ไม่เคยอนุญาตให้ปลุกเสกองค์จตุคามรามเทพ โดย ร.ต.ท.เชาวรินธร์ได้จัดสร้างจตุคามรามเทพ ขึ้นจำนวน 4 หมื่นองค์ ให้เช่าในราคาองค์ละ 199 บาท สำหรับ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ มีชื่อเดิมว่า “เชาวริน” ก่อนเปลี่ยนเป็น “เชาวรินทร์” และ “เชาวรินธร์” ตามลำดับ เคยเป็น ส.ส.พรรคชาติไทยหลายสมัย และตั้งฉายาให้ตัวเองว่าเป็น “ส.ส.สากกะเบือ” เคยเป็นข่าวอื้อฉาวกรณีเข้าไปขุดถ้ำลิเจีย จ.กาญนบุรี โดยอ้างว่ามีทองคำญี่ปุ่นฝังอยู่ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่พบอะไร ต่อมาในปี 2550 ได้ย้ายมาอยู่พรรคพลังประชาชนที่เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบ และได้รับเลือกเป็น ส.ส.ระบบสัดส่วน ภาคกลาง ปี 2551 เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบและตั้งพรรคเพื่อไทยขึ้นมาแทน ก็ย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งปี 2554 ร.ต.ท.เชวรินธร์ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยลำดับที่ 100 และไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ต่อมา ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 2 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 2 แสนบาท ภายหลังได้ประกันตัว ร.ต.ท.เชาวรินธร์ กล่าวว่า คดีนี้ตนได้สร้างจตุคามรามเทพ เพื่อจะหาเงินในการบูรณะอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ในจังหวัดราชบุรี โดยบริเวณฐานทรุดตัวเนื่องจากหินอ่อนที่ปูไว้แตกหัก ขณะเดียวกันในการจัดสร้างก็ได้ให้โรงเรียน 9 แห่งในจังหวัดราชบุรีรับจองให้กับประชาชนทั่วไป ส่วนเงินค่าจององค์จตุคามฯ ก็มอบให้โรงเรียนดังกล่าวทั้งหมด ไม่คิดว่าเงินค่าจองเพียง จำนวน 2,895 บาท จะทำให้ตนเองติดคุก ทั้งที่ได้จ่ายเงินคืนผู้เสียหายไปแล้ว แต่ก็ยอมรับคำพิพากษาของศาล และจะยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป
โดนดอกนี้เข้าไปเต็มๆ ถึงกับนอนโรงพยาบาลเลยนะ ขอแค่อัมพฤกษ์ก็พอไม่มากหรอก ตำรวจออกหมายเรียกพี่ไปพบถึง ๒ ครั้ง แต่พี่ไม่ไปพบ พอตำรวจเค้าจับพี่ พี่ออกมาโวยวายว่าจงใจทำให้เกิดความเสียหาย งั้นผมก็คิดได้นะว่าที่พี่ไม่ไปพบตำรวจตามหมายเรียกนั้น เพราะพี่มีเจตนาจะโกงเงินเค้าและพี่ก็ยิ่งใหญ่จนไม่มีตำรวจหน้าไหนกล้าจับ หาม 'เชาวรินธร์' ส่ง รพ. เครียดจนวูบ หลังถูกจับฉ้อโกง "...ซึ่งก่อนจะเดินทางไปอังกฤษก็ได้แจ้งให้ทราบแล้วว่า เราจะเดินทางไปอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้รับหมายเรียกแล้ว แต่เนื่องจากเราไม่ว่าง ก็ติดต่อไปว่าไปไม่ได้ ครั้งที่สองก็ให้ตัวแทนไป แต่พอจะเดินทางไปส่งลูกสาวที่อังกฤษก็มาจับกุม ถือว่าจงใจให้เกิดความเสียหาย ซึ่งต้องปล่อยให้ลูกสาวกับภรรยาเดินทางกันไป 2 คน อย่างไรก็ตาม ตนก็จะต้องสู้คดีต่อไป."
สนข.อิศราจอมขุดคุ้ย เล่าว่า http://www.isranews.org/เรื่องเด่น-สำนักข่าวอิศรา/item/35773-nacc01_35773.html พลิกทรัพย์สิน“เชาวรินธร์”ก่อนถูกจับข้อหาฉ้อโกง-เคยค้างค่าจัดมวย 2.5 ล. วันอังคาร ที่ 13 มกราคม 2558 เวลา 15:37 น. พลิกปูมทรัพย์สิน “ร.ต.ท.เชาวรินธร์” อดีต ส.ส.เพื่อไทย ก่อนถูกจับคดีฉ้อโกงเงินบริษัทกัมพูชากว่า 11 ล้าน หนี้อ่วม! เคยค้างค่าจัดมวย 2.5 ล้าน หนี้ค้ำประกันภาษี 75 ล้าน “ภรรยา” มีบัญชีเงินฝากสลากออมสิน 25 ล้าน เงินลงทุน 5 ล้าน ชื่อของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตกเป็นที่จับตาของสาธารณชนอีกครั้ง ! ภายหลังตำรวจเข้ารวบตัว ร.ต.ท.เชาวรินธร์ คาสนามบินสุวรรณภูมิ ในข้อหาฉ้อโกงบริษัท บี.พี.ซี. เทรดดิ้ง จำกัด (ประเทศกัมพูชา) มูลค่า 11,428,308 บาท ตามคำพิพากษาศาลอาญา โดยทำการแก้ไขใบสำคัญเรียกเก็บเงินค่าสินค้าของบริษัทฯดังกล่าว ทำให้บริษัทฯหลงเชื่อ และโอนเงินค่าสินค้าดังกล่าวเข้าบัญชีที่ถูกปลอมแปลง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 ที่น่าสนใจคือทรัพย์สินทั้งหมดของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ มีมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นของภรรยากว่า 33 ล้านบาท และเชื่อหรือไม่ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ แจ้งติดค้างเงินค่าจ้างจัดมวยอยู่ถึง 2.5 ล้านบาท ! สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 พบรายละเอียดดังนี้ แจ้งว่า สมรสกับนางจรรยภัทร์ ลักธศักย์ศิริ มีรายได้ทั้งหมด 971,880 บาท เป็นของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ 761,700 บาท (เงินเดือน 687,000 บาท, เงินบำนาญ 74,700 บาท) ของนางจรรยภัทร์ 210,180 บาท (เงินบำนาญ) มีรายจ่ายแค่ 48,213 บาท เป็นค่าผ่อนรถยนต์ 28,213 บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับลูกรายที่ 7 2 หมื่นบาท มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 50,720,733 บาท เป็นของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ 17,571,451 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 100,076 บาท, ที่ดิน 13 แปลง 9,971,375 บาท, คอนโดมีเนียม 1 ห้อง 7.5 ล้านบาท ส่วนนางจรรยภัทร์ 33,074,648 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 1,142,872 บาท, เงินกองทุนสลากออมสิน 25 ล้านบาท, ที่ดิน 1 แปลง 4 แสนบาท, ยานพาหนะ 1,531,775 บาท, สิทธิและสัมปทาน เป็นหุ้นในบริษัท ศักดิ์ศิริภัทรา จำกัด 5 ล้านบาท ขณะที่บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีเงินฝาก 74,633 บาท ด้านหนี้สินมีทั้งสิ้น 112,082,936 บาท เป็นของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ 84,825,102 บาท แบ่งเป็น เงินกู้ธนาคาร 6,214,966 บาท หนี้สินตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกา 1,010,000 บาท หนี้สินกับกรมสรรพากร ในการค้ำประกัน ขอทุเลาชำระภาษี 75,100,136 บาท และค้างค่าจ้างจัดมวยกับบริษัท เพชรยินดีโปรโมชั่น จำกัด บริษัทโปรโมเตอร์มวยยักษ์ใหญ่วงการมวย 2.5 ล้านบาท (ข้อมูลตามที่ระบุไว้ในบัญชีทรัพย์สิน) ส่วนนางจรรยภัทร์ มีหนี้สิน 27,257,834 บาท เป็นเงินเบิกเกินบัญชี 1 ล้านบาท เงินกู้จากธนาคาร 25,750,000 บาท และหนี้สินกับบริษัทรถยนต์ 507,834 บาท สำหรับ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เคยเป็นอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในช่วงปี 2551-2554 และในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ส่วนนางจรรยภัทร์ เป็นเจ้าของโรงเรียนจรรยภัทร์บริบาล ขณะที่ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ระบุว่า ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เคยเป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ของพรรคประชาธิปัตย์ สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และได้รับสารพัดฉายาจากนักข่าว เช่น สากกะเบือ หรือโกโบริน เป็นต้น ขณะเดียวกันก็เป็นผู้สร้างสีสันในรัฐสภา โดยชอบแต่งกายด้วยชุดข้าราชการ ติดตราประดับต่าง ๆ รวมถึงพูดคุยคำหยาบคายในรัฐสภาอีกด้วย ทั้งหมดคือเบื้องหน้า-ทรัพย์สินของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ผู้มากสีสันในวงการการเมืองไทย ก่อนจะโดนมรสุมข้อหา “ฉ้อโกง” อยู่ในขณะนี้
หาม “เชาวรินทร์” ส่ง รพ.เครียดหนักหลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงเงิน 11 ล้านบาท เมื่อเวลา 07.00 น. วันนี้ (14 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักย์ศิริ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดราชบุรี พรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ ยังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงเงิน 11 ล้านบาท ที่บริษัทในประเทศกัมพูชาจ่ายเป็นค่าปูนซีเมนต์ให้แก่บริษัทปูนซีเมนต์ ทีพีไอ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ เกิดอาการวูบจนถูกหามส่งโรงพยาบาลเมืองราช ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลเมืองราช พบ ร.ต.ท.เชาวรินทร์ เข้าพักตัวอยู่ที่ห้อง 810 โดยยังมีสีหน้าอิดโรยจากการอดนอนเพราะเกิดอาการเครียดอย่างหนักอยู่บนเตียง โดยมีคณะแพทย์ และพยาบาลกำลังตรวจเช็กร่างกายอยู่ ทั้งนี้ ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.58 ตนกับภรรยาจะเดินทางไปส่งลูกสาวคือ น.ส.คันธรัตน์ ลัทธศักย์ศิริ ไปเรียนต่อในระดับปริญญาโท ที่ประเทศอังกฤษ แต่มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจนไม่สามารถเดินทางไปส่งลูกสาวได้ ก็เกิดอาการเครียด และภายหลังประกันตัวออกมาด้วยเงินสด 1 ล้านบาท เพื่อมาสู้คดีก็นอนไม่หลับจึงเกิดอาการวูบ คนใกล้ชิดก็เลยช่วยกันนำส่งโรงพยาบาล ประกอบกับตนเองนั้นทำบอลลูนเส้นเลือดมาถึง 4 เส้น เลยส่งผลให้เกิดอาการหน้ามืด ส่วนเรื่องของคดีก็สู้กันไป มีการตั้งข้อหาว่าไปแฮกข้อมูล ทั้งที่ตนเองนั้นใช้โทรศัพท์รุ่นธรรมดามาก ในชีวิตยังไม่เคยเปิดคอมพิวเตอร์เลย จะไปแฮกข้อมูลได้อย่างไร ส่วนเงินที่บอกว่าฉ้อโกงนั้นคนบริจาคมาทั่วโลกเพื่อมาสมทบทุนสร้าง เจ้าแม่กวนอิมสูง 84 เมตร บนยอดเขาแก่นจันทน์ใน จ.ราชบุรี ใช้งบประมาณ 2,500 ล้านบาท มาเข้าบัญชีสมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทย-จีน ซึ่งมีตนเองนั้นเป็นนายกสมาคม แต่เงินก้อนนี้ก้อนโตหน่อย ถือว่าใครโอนมาก็มีเจตนามาร่วมบริจาค พวกมดส้มเห็นเป็นขนม จู่ๆ ก็จะมาขอคืนอ้างโอนผิด ซึ่งการโอนเงินจะต้องโอนตามบัญชี เลขบัญชี แล้วจะผิดได้อย่างไร และถ้าโอนผิดก็ต้องรีบไปแจ้งความที่กัมพูชา ซึ่งเป็นต้นทางในการโอนเงิน แล้วก็แปลเป็นภาษาไทยให้สถานทูตไทยรับรองแล้วส่งมา ซึ่งตนก็จะนำเอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อจะคืนเงินให้ ซึ่งก็ทำไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2557 “แต่จู่ๆ ก็จะมาให้คืนเงินเราทำไม่ได้ เพราะต่อไปถ้ามีคนโอนเงินมาเป็นพันล้านไม่ต้องคืนหมดเหรอ ซึ่งก่อนจะเดินทางไปอังกฤษก็ได้แจ้งให้ทราบแล้วว่า เราจะเดินทางไปอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ได้รับหมายเรียกแล้ว แต่เนื่องจากเราไม่ว่างก็ติดต่อไปว่าไปไม่ได้ ครั้งที่สองก็ให้ตัวแทนไป แต่พอจะเดินทางไปส่งลูกสาวที่อังกฤษก็มาจับกุม ถือว่าจงใจให้เกิดความเสียหาย ซึ่งต้องปล่อยให้ลูกสาวกับภรรยาเดินทางกันไป 2 คน แต่อย่างไรก็ตาม ผมจะต้องสู้คดีต่อไป” http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000004881 น่าสงสาร 810 งวดนี้เปล่า
Update คำตัดสินคดีศาลอุทธรณ์ครับ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เพิ่มโทษจำคุก 3 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีฉ้อโกงเงินจำนวน 11 ล้านบาท จากบริษัทเอกชนในประเทศกัมพูชา โดยศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวออกไปด้วยวงเงิน 1 ล้านบาท ข่าว 7 สี - ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงบริษัทต่างชาติ ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา คดีที่ร้อยตำรวจโทเชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคเพื่อไทย และพวก ถูกบริษัทเอกชนในประเทศกัมพูชา แจ้งความดำเนินคดีฐานร่วมกันฉ้อโกงและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการเข้าไปแก้ไขข้อมูลการโอนชำระเงินค่าสินค้า ที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน พับบลิค จำกัด ออกให้แก่ผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายเข้าใจผิดโอนเงินค่าสินค้าเข้าบัญชีของจำเลยกว่า 11 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อปี 2557 คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ชัดเจนว่าจำเลยฉ้อโกง หรือ แก้ไขข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์อย่างไร แต่ก็ได้พิพากษาว่าจำเลยผิดฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่คดีที่โจทก์ฟ้อง แต่ศาลระบุว่า มีอำนาจพิพากษาได้ โดยให้จำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้คืนเงินกว่า 11 ล้านบาทให้ผู้เสียหายจำเลยยื่นอุทธรณ์ในประเด็นยักยอกทรัพย์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ พิพากษาแก้ให้จำคุกตามบทลงโทษหนักสุด ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ให้จำคุก 3 ปี แต่การนำสืบของจำเลย เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ลดโทษลง 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 2 ปี และให้คืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย