http://www.naewna.com/politic/146333 24 ก.พ.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ลงนามในคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ 356/2558 เรื่องลงโทษไล่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกจากราชการ เนื่องจากกระทำความผิดอย่างร้ายแรง โดยไม่มาสอนหนังสือตามภาระที่ได้รับมอบหมายในปีการศึกษา 2557 ภาคเรียนที่ 2 จำนวน 2 วิชาคือ ประวัติศาสตร์ไทย 3 และประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลังปี 2535 ต่อมาคณะศิลปศาสตร์ได้มีบันทึกลงวันที่ 26 ธ.ค.57 ให้นายสมศักดิ์กลับมาปฏิบัติหน้าที่โดยด่วน แต่นายสมศักดิ์เพิกเฉย และไม่ได้มีการยื่นเรื่องลาประเภทใดๆ พฤติกรรมของนายสมศักดิ์ถือเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบ ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับความเสียหาย จึงเห็นสมควรให้ไล่ออกจากราชการ
ธรรมศาสตร์รับใช้เผด็จการ ธรรมศาสตร์ไม่เป็นประชาธิไตย อะไรอีกครัชชชชชช ฉลองงงงงงงงงงงงง เด็กๆรุ่นหลังจะได้หมดเวรหมดกรรมซะที
เค้าไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะทุ่มเททิ้งมรดก เสรีภาพและประชาธิปไตย ให้นิสิตนักศึกษา ได้สืบสานกันต่อไป คืนกลับมาก็เจอสารเขียวรังควาน อีก รังแกเด้ก รังแกคนแก่ เจริญละ
แก่กะโหลกกะลาสอนแต่สิ่งผิดๆชั่วๆ อย่างนี้ไม่เรียกว่ารังแกครัชชชชช ถ้าเข้าใจผิดเดี๋ยวจะทำให้สังคมวิบัติบอกตำรวจรังแกโจร ทั้งๆที่ตำรวจไปจับโจร
กลับมาเจอคุกต่างหากครับ แต่กรุณาคืนเงินเดือนย้อนหลังด้วยนะครับ เค้าสนใจหรือไม่แต่เขาเป่าหูเด็กใหม่ให้คิดแต่จะล้มเจ้าไม่ได้แล้วอีกตัวนึง แต่หงอกเจียมเนี่ยเหรอ วันๆได้แค่จิกกัด เสนอความคิดโง่ออกมาโดยไร้หลักฐานอ้างอิง แหมว่าเขารังแกเด็กรังแกคนแก่ บางแก็งฆ่าเด็กตาย เก่งกับผู้หญิง หัวเดียวกระเทียมลีบ กระทืบพระ ทำเป็นเงียบนะป่าช้า ทหารเขาทำตามกฎหมาย มีแต่ป่าช้านี่แหละทำตัวนอกกฎหมาย
ด่าโอ๊คไม่รู้กี่ครั้ง ด่าไอ้ตั้งเรื่องที่มันเที่ยวโอ้อวดเรื่องลี้ภัยด้วย ป่าช้ายอมด้วยเหรอ ป่าช้ายอมได้ไง
เวลานี้ร่านกำลังดิ้น 5555 เจียมเป็นศาสดาเอกแห่งศาสนาร่านไปแล้ว ที่จริงแล้วยังมีศาสดาอีกหลายคนมีอิทธิพลต่อชาวร่านอยู่อีกมาก ให้พูดชื่อก็ยังได้ บางแหล่งนั้นเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ร่านโดยแท้ ไม่ได้เหมารวมธรรมศาสตร์ทั้งหมด แต่แค่บางจุดบางแหล่งในแดนโดมที่ศาสดาร่านมีอิทธิพลอยู่ คำว่าล้างสมองนี่มีจริงครับ (แต่คนที่ถูกล้างมักไม่ยอมรับว่าโดนล้าง แถมยังบอกว่าเราทั้งหลายโดนล้างอีกต่างหาก)
รอบนี้อีจ่าปกป้องหงอกเจียมนะ หงอกเจียมไม่เคยทำผิดมาตรา 112 สิ่งที่หงอกเจียมพูดออกมาไม่เคยมีครั้งใดที่เป็นการทำความผิดตามกฏหมายนี้ การที่รัฐดำเนินคดีกับหงอกเจียมในมาตรานี้ทั้งๆไม่ได้ทำผิดอะไรตามข้อกฏหมาย ถือว่ารัฐไม่ให้ความเป็นธรรมกับหงอกเจียม
เพิ่งรู้ว่าจ่าพิจารณาแทนศาลเสียแล้วว่าศาสดาของเหล่าร่านไม่เคยทำผิด ม. 112 อยากได้ความเป็นธรรมก็มาสู้คดีครับเอานักกฏหมายจากธรรมศาสตร์ก็ได้มีเยอะไม่ใช่เหรอคนเก่งๆน่ะ แต่ที่หนีหางจุกตรูดไปนี่ หนีคำสั่งให้มารายงานตัวกับ คสช ไม่ใช่เหรอ เกี่ยวไรกับ 112
เปิดว๊าบ <div id="fb-root"></div><script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs);}(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script><div class="fb-post" data-href="" data-width="466"><div class="fb-xfbml-parse-ignore"><a href="[a href="https://www.facebook.com/DramaAdd">Drama-addict</a>.</div></div>
"รักและเสียดาย"- ความในใจ "สมศักดิ์ เจียมธีรสุกล" ถึง "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 06:45:40 น. ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นนักวิชาการทางประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย ที่เพิ่งถูกคำสั่งให้ออกจากราชการ เพราะขาดราชการเกินกว่าระเบียบราชการกำหนด จากกรณีที่ดร.สมศักดิ์เดินทางไปต่างประเทศ และไม่ยอมรับคำสั่งเรียกรายงานตัวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โพสต์เสตตัสในเฟสบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับความรู้สึกถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า ...ผมรักธรรมศาสตร์มาก แต่ผมเป็นคนประเภทที่ ในเรื่องความรัก ไม่ว่าต่อคน หรือสถานที่ หรืออะไรตาม ผมไม่ชอบพูด ไม่ชอบป่าวประกาศฟูมฟาย http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424821386
มีคนตั้งให้ วันที่ 23 กพ. เป็น "วันหงอกเจียม" ด้วยอ่ะ... อย่างเท่ห์เบยยย... ----------------------------------------------- ----------------------------------------------- ---------------------------------------------- ----------------------------------------------- แล้วเกิดมันมีอันเป็นไปด้วยกฏแห่งกรรมแบบ ตายโหง ตายห่า กระทันหันล่ะ จะตั้งวันนั้นของมัน เป็นวันอะไรดีเอ่ย...
สมศักดิ์ โพสต์เฟซฯ เหตุไม่มาทำงานเกิน 15 วัน ทำ มธ.ไล่ออก โดย ไทยรัฐออนไลน์ 25 ก.พ. 2558 11:07 นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ มธ. แจงเฟซบุ๊ก เหตุไม่มาทำงานเกิน 15 วัน ทำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่งหนังสือไล่ออกจากราชการ วันที่ 25 ก.พ. นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แจงเพจเฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul (24 ก.พ.) แจงกรณีคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไล่ออกจากอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยระบุว่า นี่เป็นหนังสือชี้แจงของผม ที่ส่งให้ทางมหาวิทยาลัยเมื่อต้นเดือนนี้ เมื่อทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการสอบสวนทางวินัย (๑) ดังที่ทราบกันแล้วว่า เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ได้มีคณะทหารกลุ่มหนึ่งเข้ายึดอำนาจการปกครอง ล้มรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรงที่สุด หลังจากนั้นไม่กี่วัน คณะทหารที่ทำการโดยมิชอบและผิดกฎหมายนั้น ได้สั่งให้บุคคลจำนวนมากเข้าไปรายงานตัว รวมทั้งผมด้วย เมื่อผมไม่ไปรายงานตัว ก็ส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ ๒ คันรถ ไปที่บ้านผม เมื่อไม่พบก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจติดตามรังควาน (harassment) ต่อภรรยา แม่ และพี่ชายของผม ถึงบ้านและที่ทำงานของพวกเขา โดยที่ญาติของผมเหล่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการกระทำใดๆ ของผมเลย ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันนับเดือน พร้อมกันนั้น คณะทหารดังกล่าว ยังได้ทำการยกเลิกหนังสือเดินทางของผม และออกหมายจับตัวผมที่ไม่ยอมไปรายงานตัว ผมไม่เคยคิด หรือเรียกร้องให้ใคร จะต้องมีท่าทีต่อการยึดอำนาจในลักษณะกบฏครั้งนี้แบบเดียวกับผม แต่ในส่วนตัวผมเองในฐานะพลเมืองและข้าราชการคนหนึ่งและในฐานะสมาชิกของประชาคมธรรมศาสตร์ ผมถือเป็นหน้าที่สูงสุดที่จะไม่ยอมทำตามการกระทำที่ผิดกฎหมายร้ายแรงที่สุดดังกล่าวของคณะทหารนั้น (แม้แต่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ก็มีบทบัญญัติให้เป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชนไทยที่จะต่อต้านการล้มรัฐธรรมนูญอย่างสันติ) ผมจึงไม่สามารถที่จะอยู่ปฏิบัติราชการ เพื่อให้คณะบุคคลที่ทำการกบฏดังกล่าวมาจับกุมตัวอย่างไม่ชอบธรรมได้ ผมถือว่านี่คือการปฏิบัติหน้าที่สูงสุดที่ในฐานะพลเมืองหรือข้าราชการคนหนึ่งหรือ “ชาวธรรมศาสตร์” ผู้หนึ่ง จะพึงปฏิบัติได้ ในการต่อต้านการกระทำผิดกฎหมายอันร้ายแรงที่สุดของคณะทหารดังกล่าว (๒) คณะทหารที่ทำการยึดอำนาจดังกล่าว หลังการยึดอำนาจแล้ว ก็ได้ดำเนินการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ (ที่เรียกกันว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) อย่างขนานใหญ่ ดำเนินการจับกุมคุมขังบุคคลต่างๆ ในเวลาสั้นๆ จนถึงขณะนี้รวมแล้วเกือบ ๓๐ คน หรือโดยเฉลี่ยกว่า ๓ คนต่อเดือน (หรือประมาณ ๑ คน ทุกๆ ๑๐ วัน) โดยที่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ระบบยุติธรรม” ของคณะยึดอำนาจนั้น แทบทุกคนที่ถูกจับไป ถูกปฏิบัติในลักษณะที่ถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีความผิด ไม่มีการให้ประกันตัว แม้กระทั่ง ในกรณีที่เป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายที่กำลังจะจบการศึกษา จนแทบทุกคนดังกล่าวถูกบีบบังคับให้จำเป็นต้องเลือกวิธี “สารภาพ” เพื่อจะได้หาทางย่นเวลาของการต้องถูกจองจำให้สั้นลง การใช้กฎหมายในลักษณะดังกล่าวของคณะทหารผู้ยึดอำนาจ ยังได้ส่งเสริมให้เกิดการใช้กฎหมายนี้อย่างผิดๆ มากขึ้นไปอีก หลังการยึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคม และหลังจากการมีหมายจับผมที่ไม่ยอมไปรายงานตัวกับคณะผู้ยึดอำนาจ แล้วเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คณะผู้ยึดอำนาจดังกล่าว ยังได้ให้เจ้าหน้าที่ออกหมายจับผมอีกหมายจับหนึ่งในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” โดยอ้างการเขียนข้อความทางโซเชียลมีเดียดังกล่าวอีกด้วย ตลอดเวลานับ ๑๐ ปี ที่ผมทำการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน รวมถึงการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมาย ผมได้กระทำภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่ โดยไม่คิดที่จะใช้วิธีการอื่นใดหรือหลบลี้หนีหน้าไปไหน ไม่ว่าจะถูกผู้ไม่เห็นด้วยข่มขู่คุกคามหรือใช้วิธีนอกกรอบของกฎหมายมาพยายามทำร้ายอย่างไร แต่ภายใต้การปกครองของคณะยึดอำนาจชุดปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแต่ได้ขยายปัญหาที่มีอยู่แล้วในกฎหมายดังกล่าวออกไปอีกอย่างมากมายไม่เคยปรากฏมาก่อน (การฟ้อง-การจับอย่างเหวี่ยงแห, การสันนิษฐานล่วงหน้าว่ากระทำผิด, การห้ามประกันอย่างผิดนิติธรรม และการตัดสินคดีในลักษณะครอบจักรวาลมากขึ้นๆ) แต่ยังได้แสดงให้เห็นชัดเจนมาตลอดตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจว่า มุ่งจะทำร้ายผมโดยเฉพาะเจาะจง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งแน่นอนว่า ผมจะไม่มีโอกาสโดยสิ้นเชิงที่จะได้รับการปฏิบัติต่ออย่างยุติธรรมตามหลักกฎหมาย ผมจึงมีความจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพของตน ด้วยการไม่ยินยอมให้คณะทหารที่ยึดอำนาจอย่างกบฏจับกุมและทำร้าย ตลอดเวลา ๒๐ ปี ที่ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมได้พยายามปฏิบัติงานอย่างสุดความสามารถตามหน้าที่โดยไม่ละเว้น (เช่น ผมแทบจะไม่เคยขาดการสอนเลย) ทั้งยังได้พยายามปฏิบัติตนในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศ และสมาชิกที่ดีของประชาคมธรรมศาสตร์ แต่ในภาวการณ์ที่มีผู้ทำผิดกฎหมายร้ายแรง ตั้งตนเป็นผู้ปกครองประเทศและหัวหน้าระบบราชการอย่างผิดกฎหมาย แล้วอ้างอำนาจที่ตัวเองไม่มีอยู่ มุ่งจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพของผมโดยตรงเช่นนี้ ผมถือเป็นทั้งสิทธิและหน้าที่ในฐานะข้าราชการ ในฐานะพลเมือง และสมาชิกของประชาคมธรรมศาสตร์ ที่จะไม่ปฏิบัติตามและต่อต้าน ปฏิเสธการพยายามจับกุมคุมขังและทำร้ายผมของพวกเขาดังกล่าว
ไม่ใช่วันระลึกถึงน้าชาติ ผู้ล่วงลับ ที่โดนรัฐประหาร รสช. เหรอ ไม่มีพี่จ๊อด ไม่มีไทยคม ........................ เห็นแต่ระลึกถึง 19 ก.ย. รัวๆ เห็นปกป้อง รำลึก ผู้ที่มีความเห็นกระทบกระแทกสถาบันฯ จังเลยนะ คิดอะไรกันอยู่ฟะ
ตอบคุณปรเมศวร์ ผมแม่งโคตรอยากเห็นเวอร์ชั่นโหดจัดเต็มจริงๆครัชชชช แต่ผมกลัวว่าท่านสมเจียมจะทำให้ท่านผิดหวัง เห็นเพื่อนสมาชิกบอกว่าท่านสมเจียมชอบหลบในส้วมอ่ะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิยาลัยธรรมศาสตร์ได้ลงในคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ 356/2558 เรื่องลงโทษไล่ออกจากราชการ โดยมีใจความว่า ด้วย ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตำแหน่งอาจารย์สังกัดภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลขที่อัตรา 2793 ได้กระทำผิดวินัยร้ายแรง โดยมีพฤติการณ์เมื่อได้รับบันทึกฉบับลงวันที่ 18 พ.ค.2557 จากหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ แจ้งให้ทราบถึงการพิจารณาการอนุมัติการลาไปปฏิบัติงานในประเทศ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการระหว่าง 1 ส.ค.57 - 31 ก.ค.58 ว่าด้วยการพิจารณาเป็นไปด้วยความล่าช้า
จริงมั้ย??? "...นายศิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ ปี 4 และสมาชิกกลุ่มสภาหน้าโดม กล่าวว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยต่อกรณีดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องที่รุนแรงมากเกินไป ทั้งที่นายสมศักดิ์ยื่นลาพักเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ 1 ปี ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่เซ็นอนุมัติ อีกทั้งยังยื่นหนังสือลาออกแล้วมหาวิทยาลัยก็ไม่อนุมัติอีก ที่ผ่านมาธรรมศาสตร์มีขบวนการผ่อนผันกับคนอื่น แต่กับนายสมศักดิ์ไม่มีการพิจารณา แต่ดันมาเข้มงวดและเด็ดขาดจนน่าสงสัย ทราบว่านายสมศักดิ์ชี้แจงมาโดยตลอดว่าขณะนี้สถานการณ์บ้านเมือง ไม่ปกติ ทางมหาวิทยาลัยน่าจะยืดหยุ่นบ้าง ธรรมศาสตร์เองก็น่าจะมีวิธีการช่วย ไม่ใช่มาทับถมกันอย่างนี้ ที่ผ่านมานายสมศักดิ์เองก็อยู่อย่างหวาดกลัวจนกระทั่งต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากถูกลอบยิงลอบทำร้าย หลังจากรัฐประหารแล้ว จนนักศึกษาส่วนใหญ่เห็นว่าธรรมศาสตร์ตกต่ำไปมาก..." http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424908559
โอ้พระเจ้า...ไม่อยากจะเชื่อว่า"สมศักดิ์" โดนไล่ออกจะส่งผลกระทบต่อนักศึกษารุนแรงขนาดนี้ "ธรรมศาสตร์"วันนี้ ไม่มีชื่อ"สมศักดิ์ เจียม"อีกต่อไป WED, 02/25/2015 - 02:59 JOM นายรังสิมันต์ โรม นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ Thaivoicmedia กรณีที่ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีคำสั่ง ไล่ออก อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ที่หยุดราชการติดต่อกันเกิน 15 วัน เนื่องด้วยอาจารย์สมศักดิ์ ปฎิเสธการรายงานตัวต่อ คณะรัฐประหาร และได้หนีออกนอกประเทศว่า การไล่อาจารย์สมศักดิ์ออก ส่งผลกระทบต่อการเรียนวิชาประวัติศาตร์ของนักศึกษาอย่างมาก ทำให้การเรียน หมดความน่าสนใจลงไปอย่างมาก เพราะความกล้าหาญทางวิชาการของอาจารย์สมศักดิ์ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถามตามหลักวิชาการซึ่ง หาไม่ได้ในอาจารย์คนอื่น แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดการณ์กันเอาไว้แล้ว แต่ก็ไม่ทำให้นักศึกษาหวาดกลัวต่ออำนาจเผด็จการภายในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด แต่กลับยิ่งทำให้่เกิดแรงขับให้เกิดการตื่นตัวด้านสิทธิเสรีภาพ การเรียกร้องประชาธิปไตย ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพิ่มมากขึ้น และแม้ว่าจะไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนกับอาจารย์ในห้องเรียน แต่ยังสามารถติดตามความคิดเห็น การวิเคราะห์ของอาจารย์สมศักดิ์ได้ผ่านทางโชเชียลมีเดีย แต่ยอมรับว่า ไม่เหมือนกับการเรียนในชั้นเรียนที่มีโอกาสได้โต้แย้ง ปะทะความคิดกับอาจารย์ได้
ไม่มาสอนตั้งหลายเดือน ไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนอะไรเลย ไล่ออกปุ๊บ ส่งผลกระทบทันที อุแม่เจ้า ตรรกะร่าน
กลุ่มสภาหน้าโดม นี่ยังหว่า คนจาบจ้วงสถาบัน กลับนิ่งเฉย แต่กับเจียม นี่จะเป็นจะตาย ผมว่ากลุ่มพวกนี้ อยู่ในขบวนการ ด้วยหรือเปล่า
ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน วาทะสำคัญนี้มีต้นเค้ามาจากบทความอันลือลั่นของกุหลาบ สายประดิษฐ์ สะท้อนชัดหลักการของประชาคมธรรมศาสตร์ นับแต่มหาวิทยาลัยนี้กำเนิดขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2477 ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเสมอภาคทางการศึกษา ธรรมศาสตร์จึงเป็นมหาวิทยาลัยแห่งสาธารณชน ที่พัฒนาสืบเนื่องตลอดระยะเวลากว่าเจ็ดทศวรรษ จากความเป็นตลาดวิชาสู่มหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ จากการมุ่งผลิตบัณฑิตสาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร ์ไปสู่การขยายหลักสูตรการศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสุขภาพ รวมถึงการขยายพื้นที่บริการการศึกษาสู่รังสิต ลำปาง และพัทยา จวบจนปัจจุบัน ธรรมศาสตร์ไม่เคยทอดทิ้งอุดมการณ์เพื่อประชาชน บัณฑิตกว่าห้าแสนคน เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ และเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมในหลากหลายสาขาอาชีพ เกียรติประวัติอันเปี่ยมด้วยคุณค่านี้สมควรแก่การสั่งสม รวบรวม และนำมาจัดแสดงเพื่อสืบทอดและปลูกฝังให้ลูกแม่โดม รวมทั้งสาธารณชนได้รำลึกจดจำ และเชื่อมร้อยอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกันผ่าน “หอประวัติศาสตร์เกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ฉันรักธรรมศาสตร์มากขึ้น เพราะธรรมศาสตร์ ไล่อาจารย์ที่ประชาชนไม่รักออกไป
อ่านแล้วร้องไห้"น้ำตาไหลเหมือนเผาเต่า"เลย วันก่อนยังด่าแม่ตัวเองอยู่เล้ย ความในใจ "สมศักดิ์ เจียมฯ" โพสต์ถึง "แม่" หลังลี้ภัยทางการเมือง วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 21:10:34 น. วันที่ 25 ก.พ. นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กหลังมีการเผยแพร่เอกสารคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงนามโดยนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิบการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ไล่ออกเนื่องจากกระทำผิดข้อบังคับมหาวิทยาลัย โดยระบุว่า ไม่ได้สอนหนังสือที่ธรรมศาสตร์อีกเป็น 1 ในความเสียใจ 4-5 เรื่องของการต้องลี้ภัย เรื่องอื่นๆ ก็เช่น ต้องทิ้งห้องสมุดส่วนตัวที่มีหนังสือฝรั่ง (ส่วนใหญ่เป็นหนังสือปรัชญา) นับพันเล่มไว้, ไม่ได้เล่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับบรรดา "ตัวเล็ก" ในหมู่บ้าน ฯลฯ แต่เรื่องที่ยอมรับว่าเสียใจมากที่สุดคือเรื่องแม่ ตอนนี้แม่ผมอายุ 91-92 แล้ว (เพิ่งผ่านวันเกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา) และแม้ว่า แม่จะโชคดี ไม่มีโรคภัยอะไร ไม่เป็นอัลไซเมอร์ ไม่เป็นพากินสัน ยังเดินเหิรไปมาด้วยตัวเอง เข้าห้องน้ำห้องท่า กินข้าว ทำอะไรได้เองตามปกติทุกอย่าง ยกเว้นก็ป่วยโน่นนี่ตามประสาคนแก่บ้าง เช่น เข่าข้อไม่ดี ความดันไม่ดี ฯลฯ แต่โดยรวมเรียกว่าโชคดีมากที่อายุขนาดนี้ยังสุขภาพระดับนี้ แต่ผม realistic หรือมองโลกอย่างเป็นจริงมากพอว่า ยังไง...........คสช. คงอยู่ในอำนาจนานแน่ ยกเว้นแต่จะมีคนมาไล่ (คือไม่ไล่ไม่ยอมลงจากอำนาจแน่) ซึ่งอย่างเร็วที่สุดก็คงเป็นเวลาถึง 4-5 ปี ถึงตอนนั้น ถ้าแม่ยังอยู่ก็คงต้องถือเป็นความโชคดีมหาศาลระดับมหัศจรรย์ แต่คนแก่อายุ 92 คิดจะให้อยู่ต่อถึงตอนนั้น เป็นอะไรที่ผมไม่สามารถคาดหวังได้มากและจำเป็นต้องยอมรับเผื่อไว้ว่า โอกาสคงน้อยทีเดียว แม่เองก็รู้ตัวดีเรื่องนี้ พูดเองบ่อยๆ (ไอ้เรื่องคิดจะอยู่ถึง 120 ปีอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งผมทั้งแม่ยังไม่สติไม่ดีแบบนั้น) ผมยอมรับว่า เมื่อคิดแบบตระหนักขึ้นมากับตัวเองว่า ลี้ภัยคราวนี้ คงจะต้องอยู่ยาว ความคิดนี้มันรบกวนใจมากเหมือนกัน ว่าโอกาสจะได้อยู่เจอแม่หรือให้แม่เจอในวันท้ายๆของแม่คงน้อยมาก อย่างที่เขียนในกระทู้ที่แล้วเรื่องความรักผมไม่ชอบการบอกไม่ชอบฟูมฟาย(ส่วนหนึ่งคงเพราะความที่โตขึ้นมาในครอบครัวคนจีนที่มีรากวัฒนธรรมแบบจีนเก่าไม่น้อยในวัฒนธรรมแบบนั้นการแสดงความรักความสนิทสนมใกล้ชิดในครอบครัว ไม่ใช่อะไรที่ทำกัน) แล้วครอบครัวที่ผมโตขึ้นมา ก็ไม่ใช่ครอบครัวในภาพมายาประเภทเพอร์เฟ็ค ก็มีพ่อแม่ทะเลาะกัน เราทะเลาะกับพ่อแม่เยอะเหมือนกัน สมัยผมเริ่มทำกิจกรรมการเมือง ก็ต้องทะเลาะหนักๆกับแม่บ่อย แม่รู้สึกพูดจาอะไรเราก็ไม่ฟัง เราก็รู้สึกว่า พูดจาอะไรไป แม่ก็ไม่เคยฟัง ฯลฯ แต่แม่ก็คือแม่ เราโตขึ้นมากับเขากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว สมัยที่ผมติดคุกตอน 6 ตุลาอยู่ 2 ปีที่บางเขน แทบทุกวัน ตอนเย็นๆแม่จะแวะมาเยี่ยม ตอนนั้นแม่ต้องขายอาหาร มาตอนกลางวันก็ไม่ได้ กว่าจะมาถึงก็เย็นเกินเวลาเยี่ยมแล้ว ผมลงไปพบเยี่ยมไม่ได้ แม่ก็ใช้วิธีฝากอาหารฝากขนมขึ้นมา พอของเยี่ยมส่งขึ้นมาถึงห้อง ผมรู้ว่าแม่มา ก็จะปืนขึ้นไปบนที่นอน ไปตรงช่องหน้าต่างที่มีลูกกรงกั้น ยื่นหน้ายื่นมืออะไรออกไปไม่ได้หรอก แต่พอมองเห็นลงไปด้านล่างข้างนอกตัวตึกได้นิดหน่อย แม่ส่งของขึ้นมาให้แล้ว ก่อนกลับก็จะแวะมายืนนอกตัวตึกตรงจุดที่ผมมองไปจากลูกกรงได้ ก็ส่งเสียงตะโกนทักทายกัน (เพราะห้องขังผมอยู่ชั้นบนสุด ไกลจากข้างล่างทีเดียว) ทุกครั้งผมก็จะตะโกนว่า ไม่ต้องลำบากมาทุกวันๆหรอก ของกินอะไรก็มี มาก็พบเยี่ยมไม่ได้ ตะโกนเสียงดุๆหนักๆโกรธๆไปยังไง วันต่อมา แม่ก็ยังมาแบบนี้อีก จนตอนหลังต้องปลงว่า ห้ามยังไงก็คงไม่ได้ผลแน่ (ผมเคยต่อว่าพี่ชายพี่สาวว่า ทำไมปล่อยให้แม่ลำบากมาทุกวันแบบนั้น เขาก็ว่า แม่ "แอบ" มา คือทำเป็นว่า จะออกไปซื้อของซื้อกับข้าว แต่สุดท้ายก็แวบมาเยี่ยมผมทุกที พอคนทีบ้านรู้เข้า ห้ามว่าไม่ต้องลำบากไป เขาก็ไม่ฟัง สุดท้าย เราทุกคนก็ได้แต่ปล่อยไป เพราะแม่รู้สึกสบายใจทีจะทำแบบนั้น) อย่างทีเขียนไปข้างต้น ความรู้สึกที่ว่า สุดท้าย ก็คงไม่ได้เจอแม่หรือให้แม่เจอในวันท้ายๆของแม่ เป็นอะไรทีรบกวนใจผมเป็นระยะๆเหมือนกัน ภาพประกอบ: ซ้ายสุดคือผมเองแหะๆสมัยเด็กๆอายุน่าจะราว4-5ขวบมั้ง "หัวโต" ให้เห็นตั้งแต่เด็ก ในภาพผมใส่หมวกคาวบอย แต่ถือ "ดาบ" (ไม้) อันนึง ซึ่งเป็นของเล่นโปรดตอนนั้น (สังเกตตรงมือที่จับ ตัวด้ามทีถือของดาบน่ะหักไปแล้ว) ภาพนี้ ผม "คร้อป" มาจากภาพใหญ่ที่ถ่ายกันทั้งครอบครัว คือมีพ่อและพี่น้องคนอื่นๆอยู่ด้วย บางคนอาจจะจำได้ว่า ตอนวันเด็กทีผมเขียนว่า คิดๆจะเล่น "มุข" โพสต์รูปตัวเองตอนเด็กๆ ก็คือภาพนี้แหละ ตรงกลาง คือแม่ที่ถ่ายในภาพเดียวกัน ผม "คร้อป" มาเฉพาะหน้า ขวาสุด คือแม่ ในวันตรุษจีนทีเพิ่งผ่านมา จะเห็น "อั้งเปา" ที่ผมฝากให้ และมีรูปถ่ายผมกับ "ตัวเล็ก" ที่หลายคนคงเคยเห็น คือแม่บ่นคิดถึงๆ ก็เลยให้คนอัดรูปไปให้
ละคร. Facebook ก่อนบ่ายคลายเครียด ทั้งโศก ทั้งเศร้า เคร้าน้ำตา เรื่องนี้คงสอนสมเจียมว่า ทุกคนก็มีของรักและศรัทธา ตอนสบายๆก็ไม่รักแม่ ทำแมนด่าลงเฟส ตอนลำบากถึงมารีดน้ำตา
มีนักศึกษาออกมาเรียกร้องทางการเมืองน้อยมากยามชาติต้องการ เพราะฉนั้นตอนนี้ออกมาก็ไม่มีน้ำหนักหรอกครับ กลับไปเล่นเฟซบุค สมัครเดอะสตาร์ เอเอฟ หรือ เดอะว๊อย โน่นเถอะครับ รุ่งกว่า