“พรรครีพับลิกัน” ขี่กระแสความไม่พอใจของอเมริกันชนที่มีต่อคณะรัฐบาลและนโยบายที่ไม่ได้รับความนิยมของประธานาธิบดีบารัค โอบามา จนสามารถกวาดชัยชนะอย่างงดงามในศึกเลือกตั้งกลางเทอม โดยได้ครองเสียงข้างมากทั้งในสภาสูงและสภาล่างสำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้การผลักดันนโยบายต่างๆ ของผู้นำทำเนียบขาวในช่วงสองปีสุดท้ายที่อยู่ในตำแหน่งของเขา ยากเย็นเข็ญใจขึ้นอีกหลายเท่า ขณะที่รีพับลิกันมีภาษีดีขึ้นถนัดตาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปในปี 2016 ขณะที่การนับคะแนนยังไม่เสร็จสิ้นทั้งหมด แต่คำนวณได้อย่างชัดเจนแล้วว่า เสียงในวุฒิสภาของรีพับลิกันภายหลังการเลือกตั้งกลางสมัยในวันอังคาร (4 พ.ย.) จะเพิ่มขึ้นจาก 45 ที่นั่งเป็นอย่างน้อย 52 ที่นั่ง จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง ทั้งนี้ในการเลือกตั้งคราวนี้มีที่นั่งวุฒิสมาชิกที่ครบวาระหรือผู้ดำรงตำแหน่งขอเกษียณอายุ ให้เลือกตั้งกันใหม่รวม 36 ที่นั่ง มิตช์ แมคคอนเนล ผู้นำของรีพับลิกันในวุฒิสภา ซึ่งกำลังจะพลิกฐานะจากการเป็น “ผู้นำฝ่ายเสียงข้างน้อย” ไปเป็น “ผู้นำฝ่ายเสียงข้างมาก” ในสภาสูง กล่าวปราศรัยกับบรรดาผู้สนับสนุนว่า อเมริกาได้ทดลองใช้ระบบรัฐบาลที่มีขนาดใหญ่แต่ไร้ประสิทธิภาพตามแบบของพวกพรรคเดโมแครตมานานพอแล้ว ขณะนี้จึงถึงเวลาที่จะเปลี่ยนไปสู่เส้นทางใหม่ อย่างไรก็ดี แมคคอนเนล ซึ่งก็เพิ่งคว้าชัยชนะเป็นวุฒิสมาชิกต่ออีก 6 ปี ในการแข่งขันที่หืดขึ้นคอที่สุดในรอบ 30 ปีในรัฐเคนทักกี กล่าวด้วยน้ำเสียงประนีประนอมว่า เขาและโอบามามีหน้าที่ต้องร่วมมือกันในประเด็นที่สามารถตกลงกันได้ รีพับลิกันนั้นครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรที่มีทั้งหมด 435 ที่นั่งและมีวาระคราวละ 2 ปี มาตั้งแต่ปี 2010 จากการเลือกตั้งคราวนี้ คาดว่าอาจได้ ส.ส. เพิ่มขึ้นจากเดิม 18 คน ทำให้มีเสียงข้างมากมั่นคงที่สุดนับจากปี 1946 นอกจากนี้ ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกนับจากปี 2006 ที่รีพับลิกันยึดครองได้ทั้งสภาสูงและสภาล่าง ไม่เพียงเท่านั้น รีพับลิกันยังกำชัยในการเลือกตั้งผู้ว่าการมลรัฐที่เปิดแข่งขัน 36 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ โดยคนของพรรคนี้ได้รับเลือกตั้งสมัยที่สองในฟลอริดา วิสคอนซิน และแคนซัส และยังชนะในรัฐที่เป็นฐานเสียงของเดโมแครตอย่างเช่นแมริแลนด์และแมสซาชูเซตส์ มิตช์ แมคคอนเนล วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันจากเคนทักกี ซึ่งกำลังกลายเป็น “ว่าที่ผู้นำฝ่ายเสียงข้างมากในวุฒิสภา” พร้อมกับภรรยาของเขา อดีตรัฐมนตรีแรงงาน อีเลน เชา ร่วมเฉลิมฉลองกับพวกผู้สนับสนุนของเขาในคืนวันเลือกตั้ง 4 พ.ย. ที่เมืองหลุยสวิลล์, เคนทักกี ปล ไม่ต้องพูดมากเข้าใจกีนดี อิ อิ http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000127701
เอาจริงนะผมว่าอเมริกันชนแม่งก็โดนเผด็จการกลาย ๆ อยู่ดี ไม่เดโมเครต ก็รีพับลิกัน รัฐบาลพรรคไหนขึ้นมาไอ้พวกนายทุนค้าอาวุธ นักดูดทรัพยากร นักเศษฐศาสตร์ทุนนิยมสามานต์ มันก็ปรับตัวได้ทั้งนั้นแล้วไม่ใช่ว่าอีกพรรคมันจะดีกว่าอะไรหรอก ดูความเฮียของไอ้บุชพ่อว่าเฮียแล้ว ไอ้บุชลูกเฮียทำลายสถิติพ่อ จนกระทั่งไอ้เฮียโอบาม่าตัวเฮียระดับตำนานเข้ามา สรุปคือผู้นำชาตินี้ยุคใหม่ ๆ แม่งแข่งกันว่าใครจะทำเฮียกับชาวโลกได้มากกว่ากัน
ประชาชนตบหน้าสั่งสอน เพราะการบริหารที่ห่วยแตก นโยบายที่ห่วยแตก แม้กระทั่งรัฐแมรีแลน ที่มีประชากรผิวสีไม่น้อยยังหันไปเลือกพรรคคู่แข่ง ในช่วงปีแรกที่โอบาม่าได้รับเลือกแล้วยังทำงานไม่คล่องไม่ราบรื่น ผมยังคิดว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความเป็นคนผิวสี และคนไอ้กันไม่น้อยที่ยังมีความคิดในเรื่อง เหยียดสีผิว แต่หลัง 2 ปีแรกไปแล้ว ยันจนถึงได้รับเลือกสมัย 2 ต้องยอมรับกันอย่างชัด ๆ ว่า เป็นเพราะการทำงานที่ ห่วยแตก ของมันจริง ๆ อีกทั้งมีการขัดแข้งขัดขาแย่งซีนกันเอง เช่น ฮิลลารี่ที่สู้เสียงโหวตในการคัดเลือกลงประธานาธิบดีไม่ได้ พอมาเป็น รมต.ต่างประเทศ ก็แทบไม่ได้ส่งเสริมช่วยเหลืองานของโอบาม่าเลย มีพฤติกรรมแย่งซีนและทำงานเพื่อปูพื้นหวังลงสมัครในงวดหน้าชัดเจน แถมยังแต่งตั้งโยกย้าย+ดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยวิธีข่มขู่คุกคามประเทศอื่นอย่างน่ารังเกียจ ซึ่งที่สุดแล้วนโยบายแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้ เศรษฐกิจดีขึ้นหรือประชาชนอเมริกาปลอดภัยขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับทำให้ประเทศต่าง ๆ เบื่อหน่ายเอือมระอากับวิธีการเอาแต่ได้+เห็นแก่ตัวของรัฐบาลโอบาม่าไปตาม ๆ กัน ถ้ารีพับรีกันรู้จักใช้โอกาสนี้ ผ่านคณะกรรมาธิการต่าง ๆ ในสภาล่างและสภาสูงผลักดันนโยบายตรงกันข้ามกับที่โอบาม่าทำ ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฟื้นกระเตื้องดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้
ฮิลลารี เตรียมตัวมานาน มีการออกหนังสือชีวประวัติตัวเองครับ พูดเป็นนัยๆ ว่า ถ้าคราวหน้าเลือกตัวเอง เมกา จะอย่างโน้นอย่างนี้ ส่วน รีพลับบลีกัน นี่เป็นสายอนุรักษ์นิยมชัดเจน มีเค้าว่าจะไม่ยอมตามนโยบายบาม่าหลายเรื่อง เช่นเกี่ยวกับผู้อพยพ หรือ การรักษาฟรีครับ