เรือหายไปหลายลำ ศาลให้ประกัน'บรรยิน'เงินสด 2 ล้าน ห้ามออกนอก-รายงานตัวทุก 12 วัน อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650297 ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 14.50 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดพระโขนง ได้พิจารณาคำร้องขอประกันตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650297
ถูกต้องเลยคุณชายน้ำ ช่วงที่คุณชูวงษ์เข้ารวมกลุ่มนี้ก็ต้องยอมรับว่า สภาพเศรษกิจบ้านเราช่วงนั้นไม่ดี การหาเส้นสายทางการเมืองเพื่อสนับสนุนทางด้านธุรกิจหรือเอื้อประโยชน์ในธุระกิจนั้น เป็นสิ่งที่แกอาจจะคาดหวัง
ตำรวจกองปราบยึดรถปอร์เช่ พานาเมร่า ขณะพบโบรกเกอร์สาวผู้ต้องหาในคดีโอนหุ้นของ เสี่ยชูวงษ์ขับ ระบุเป็นคันเดียวกันที่พ.ต.ท.บรรยิน นำไปรีสอร์ทตอนถูกจับ พร้อมยึดมือถือตรวจสอบหาความเชื่อมโยงทางคดี http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000065392 ถอยรถคันละสิบล้านป้ายแดง คดียิ่งช้า เงินที่โกงมาน่าจะหมดไปไม่เหลือ
ถ้าไปฟังข้อมูลของพี่สาวคุณชูวงษ์เรื่องนางคนนี้กับพ่อขะหมองอิ่ม ก็รู้ความดูดดื่มระหว่างกันขนาดไหน แกท้าว่ากล้าไปสาบานต่อหน้าเมียไหมว่าไม่มีอะไรกัน....นางช้ำมาเยอะ
ตร.ยึดปอร์เช่หรูของ ‘ป้อนข้าว’ ไม่มีเอกสารแสดง ค้นรถเจอเสื้อผู้ชาย-ถุงกอล์ฟ วันที่ 03 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21:07 น. จากกรณีกองปราบปรามจับกุม พ.ต.ท. บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ ในฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และไตร่ตรองไว้ก่อน หลังมีหลักฐานเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตปริศนาของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้านจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่ขับโดย พ.ต.ท.บรรยินไปพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 นอกจากนี้ขณะจับกุมยังพบ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว โบรกเกอร์สาว 1 ในผู้ต้องหาคดีโอนหุ้นของนายชูวงษ์ อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ต่อมาศาลได้ให้ประกันตัว พ.ต.ท.บรรยิน ในวงเงิน 2 ล้านบาท ล่าสุดตร.เตรียมสอบพยานสำคัญ เชื่อมีพยานหลักฐานเอาผิดได้ รวมทั้งเช็กวงจรปิดในรีสอร์ตที่ปากช่อง ดูว่า "บรรยิน" มาพบกับ "ป้อนข้าว" ได้อย่างไร เนื่องจากก่อนหน้านี้ระบุว่าไม่รู้จักกันมาก่อน ส่วนน้องป้อนข้าวนั้นเตรียมสอบทั้งประเด็นการเสียชีวิตและเรื่องหุ้น โดยนัดมาให้การวันที่ 5 ก.ค.นี้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1บก.ป. ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบรถยนต์ ยี่ห้อปอร์เช่ สีดำ รุ่นพานาเมร่า ทะเบียนป้ายแดง ศ9972 กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ เนื่องจากในวันที่มีการบุกจับพ.ต.ท.บรรยิน แล้วก็พบว่าน.ส.อุรชาเดินทางกลับจากเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา มายังกรุงเทพฯนั้น ระหว่างทางได้ผ่านจุดตรวจของตำรวจทางหลวงได้ขอเรียกตรวจค้น โดยน.ส.อุรชา ระบุว่ารถคันดังกล่าวเป็นของตนเอง แต่เมื่อทางตำรวจขอตรวจสอบเอกสารการครอบครอง ทางน.ส.อุรชาไม่สามารถนำเอกสารการครอบครองรถคันดังกล่าวมายืนยันได้ เจ้าหน้าที่จึงยึดรถคันดังกล่าวไว้ นอกจากนี้ ในการตรวจค้นรถ เจ้าหน้าที่พบเสื้อผู้ชายไซส์ XL, ถุงกอล์ฟ และซิกก้า ซึ่งเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งไปยังกองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในวันอังคารที่ 5 ก.ค. ซึ่งพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้นัดหมายให้น.ส.อุรชาเข้ามาให้ปากคำ ก็อาจต้องสอบในประเด็นที่มาที่ไปของรถคันดังกล่าวว่าได้มาอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1467555023 อัพเดทซะหน่อย วันนี้วันที่่ 5 วันที่กองปราบนักป้อนข้าวให้ปากคำด้วยสิ
ต่อจากคุณอาวุโสโอเคเลยครับ มาเหนือเฆฆ ขำในความคิดและการวางแผนแก้เกมความสัมพันธ์ คนหนึ่งบอกไม่รู้จักมาก่อนหน้า แถมยังบอกว่า เป็นเมียคุณชูวงษ์ แต่อีกคน(ในฐานะเมีย) บอกเป็นเหมือนลูก อะไรมันจะแหลได้แบบคนดูงง ต่อละครไม่ถูกเลย โบรกเกอร์สาว พร้อมภรรยา 'บรรยิน' เข้าให้ปากคำคดีโอนหุ้น 'เสี่ยชูวงษ์' โดย ไทยรัฐออนไลน์ 5 ก.ค. 2559 13:30 8,344 ครั้ง "ป้อนข้าว" โบรกเกอร์สาว อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/655244 รูปล่างจากผู้จัดการhttp://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000066870
ตกลงว่าเป็นลูกน้อยของบานเย็นนะจ๊ะ พบหลักฐานมัด “บรรยิน-ป้อนข้าว” สัมพันธ์ฉันชู้สาว มีพยานรักลูกน้อย 3 เดือน http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000067066
ขออภัยพี่อาวุโสโอเค คนละคนกันครับ นั้นนาง น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล (น้องน้ำตาล) ส่วนนางป้อนข้าวนี้พึ่งได้ลูก เด็กตอนนี้3เดือน ก็เท่ากับเกิดมีนา59 แม่อุ้มท้องเก้าเดือน ถ้าย้อนไปก็น่าจะช่วงกรกฎาคม58 ตอนได้กัน ใครได้ใครกับใครไม่รู้ เพราะคุณชูวงษ์ตาย 26/6/58
ยุคนี้ผลประโยชน์มันมากกว่าศักดิ์ศรี ที่โบราณเคยว่าไว้ เสียทองท่วมหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร เดียวนี้เหรอ มันก็แค่เอ็นสั้นๆอันนึ่ง..จบ
น้องชาย “ป้อนข้าว” รับ “บรรยิน” ดอดหาพี่สาวกว่า 4 ครั้ง รับท้องจริง ปัดตอบใครเป็นพ่อเด็ก MGR Online - น้องชาย “ป้อนข้าว” รับ “บรรยิน” ดอดหาพี่สาวไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง พร้อมรับอดีตโบรกเกอร์สาวมีลูกน้อย ปัดตอบเป็นลูกใคร ด้านกองปราบปรามลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ สางปมการตายเมียเก่าบรรยิน เชื่อมโยงคดี “ชูวงษ์” วันนี้ (6 ก.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.00 น.นายชัยพรรณ วชิรกุลฑล หรือเฉียน น้องชายของ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว พร้อมด้วยนายเดชา ขุนทอง ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพื่อให้ปากคำในคดีของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ ผู้ต้องหาฆ่า นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจหมื่นล้าน โดยใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า จากการสอบปากคำนายชัยพรรณให้ความร่วมมือในการสอบปากคำเป็นอย่างดีในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.บรรยิน และ น.ส.อุรชา ซึ่งทางนายชัยพรรณ ได้ให้การยอมรับว่า พ.ต.ท.บรรยินเคยเดินทางไปหา น.ส.อุรชา พี่สาวของตนมากกว่า 4 ครั้ง อีกทั้งประเด็นที่ว่าในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดมีใครที่มีบุตร ทนายชัยพรรณได้ให้การรับว่า น.ส.อุรชามีบุตรสาว 1 คน ขณะนี้อายุ 3 เดือน ส่วนเป็นลูกระหว่าง น.ส.อุรชากับใครนั้นไม่ทราบ และไม่ขอให้การเนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว นายชัยพรรณให้การอีกว่า ปกติบ้านหลังดังกล่าวมีผู้พักอาศัย 4 คน คือ ตนเอง น.ส.ศรีธรา พรมมา มารดา, น.ส.อุรชา และลูกของ น.ส.อุรชา ในวัย 3 เดือน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ต้องสอบปากคำนายชัยพรรณในประเด็นดังกล่าวเนื่องจากในวันที่ชุดสืบสวน กก.1 บก.ป.ได้นำกำลังไปค้นที่บ้านพักของ น.ส.อุรชา ภายในหมู่บ้านแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9-ศรีนครินทร์ ขณะตรวจค้นพบของใช้ของเด็กแรกเกิดอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว สอดรับกับคำให้การของ น.ส.อุรชา ที่เข้าให้ปากคำเมื่อวานนี้ในลักษณะเดียวกันว่ามีบุตร 1 คน แต่ขอไม่เปิดเผยว่าใครเป็นพ่อของเด็ก อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่น่าสนใจหลังพบข้อมูลจากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Chaiyaphan Vachirakulthol” ที่ได้โพสต์ข้อความว่า “หลานสาว 3 เดือนแล้วค่ะ หนูน่ารักเหมือนแม่ไหมคะ” อย่างไรก็ดีอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าชุดสืบสวนได้ทำการตรวจสอบข้อมูลการแจ้งเกิดบุตรสาวของ น.ส.อุรชา พบว่า เมื่อราวเดือนมีนาคมที่ผ่านมา น.ส.อุรชาได้นำหลักฐานเป็นใบแจ้งเกิดจากโรงพยาบลแห่งหนี่งในกรุงเทพมหานครไปที่สำนักงานเขตเพื่อขอแจ้งเกิด โดยไม่ระบุว่าใครเป็นพ่อของเด็ก ซึ่งเป็นการแจ้งเกิดในลักษณะซิงเกิลมัม ทั้งนี้ ทางชุดสืบสวนยังพบหลักฐานสำคัญที่จะเชื่อมโยงได้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กที่เกิดกับ น.ส.อุรชา ซึ่งยังไม่ขอเปิดเผย แต่ทั้งนี้จากการสอบพยานแวดล้อมบุคคลใกล้ชิดที่รู้จัก น.ส.อุรชา ให้การตรงกันว่ามีการตั้งครรภ์และมีบุตรจริง ในส่วนกรณีรถยี่ห้อปอร์เช่สีดำ ที่ น.ส.อุรชา และ พ.ต.ท.บรรยิน ใช้เดินทางไปเขาใหญ่นั้นตรวจพบว่าเจ้าของรถคันดังกล่าวไม่ได้เป็นชื่อของ น.ส.อุรชา ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนว่าเป็นของใคร ก่อนที่จะเชิญตัวมาสอบปากคำ นอกจากนี้มีรายงานว่า พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1บก.ป.ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่ที่ จ.นครสวรรค์ เพื่อตรวจสอบข้อมูลคดีการเสียชีวิตของ น.ส.รสรินทร์ ศรีนุกูล ภรรยาเก่าของ พ.ต.ท.บรรยิน ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าบันทึกประจำวันของ สภ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ระบุว่าเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2534 ช่วงเวลา 23.00 น. สมัยที่ พ.ต.ท.บรรยินดำรงตำแหน่งรองสารวัตรจราจรยศ ร.ต.ท.ที่ สภ.แห่งหนึ่ง โดยในคืนเกิดเหตุขณะที่ พ.ต.ท.บรรยินและภรรยากลับจากรับประทานอาหารที่ร้านครัวชัยนาท อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ โดย น.ส.รสรินทร์เป็นคนขับ ใช้เส้นทางสายอุทัยธานีมุ่งหน้าเข้าเมืองนครสวรรค์ ระหว่างใกล้เข้าเขตนครสวรรค์นั้นเกิดเหตุรถสิบล้อแซงสวนขึ้นมาโดยสมัยนั้นถนนยังเป็นเลนสวน ทำให้รถของ พ.ต.ท.บรรยินหักหลบกะทันหันจนเสียหลักตกข้างทางไปชนกับต้นสะเดาขนาดใหญ่ข้างทางเป็นเหตุให้ภรรยา พ.ต.ท.บรรยินบาดเจ็บสาหัส นำส่งโรงพยาบาลพยุหะคีรี ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนี้ ชุดสืบสวนได้สอบปากคำพยานแวดล้อมบุคคลใกล้ชิด น.ส.รสรินทร์ ซึ่งทั้งหมดเกิดขอสงสัยและความเคลือบแคลงใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ โดยบุคคลใกล้ชิดภรรยาเก่า พ.ต.ท.บรรยิน ได้ให้การเป็นประโยชน์ และขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลโดยจะนำเหตุการณ์ในครั้งเป็นโมเดลในการคลี่คลายคดีการเสียชีวิตของชูวงษ์ด้วย http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000067425
ผลตรวจดีเอ็นเอเด็กยันชัดเป็นลูก"บรรยิน-ป้อนข้าว" http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000067846 เมียหลวงสุดยอดอดทน
เผยดีเอ็นเอเด็กจากเครื่องใช้-ของเล่น มัด“บรรยิน"มีลูกกับ"ป้อนข้าว” อัยการสั่งฟ้องโอนหุ้นมีพิรุธ โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 8 กรกฎาคม 2559 17:53 น. (แก้ไขล่าสุด 8 กรกฎาคม 2559 18:46 น.) พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ (แฟ้มภาพ) MGR Online - หลักฐานยันชัด “บรรยิน-ป้อนข้าว” มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง จากดีเอ็นเอเครื่องใช้และของเล่นเด็กที่หมู่บ้านย่านพระราม 9 ขัดต่อคำให้การก่อนหน้านี้ที่บอกไม่รู้จักกัน เผยล่าสุดอัยการมีความเห็นส่งฟ้องคดีโอนหุ้นโดยพิรุธ เตรียมออกหมายเรียก 4 ผู้ต้องหานำตัวส่งฟ้อง หากไม่มาพบออกหมายจับทันที วันนี้ (8 ก.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ กก.1บก.ป.บุกจับ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ ที่ลานจอดรถโรงแรมทอซคาน่า สวีท วัลเลย์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตามหมายศาลจังหวัดพระโขนง ในฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และไตร่ตรองไว้ก่อน หลังมีหลักฐานพบว่า พ.ต.ท.บรรยินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตปริศนาของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้าน จากอุบัติเหตุรถยนต์ที่ขับโดย พ.ต.ท.บรรยินพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ในพื้นที่ของ สน.อุดมสุข ทั้งนี้ ในขณะจับกุมยังพบ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว โบรกเกอร์สาวหนึ่ง ในผู้ต้องหาคดีโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย อย่างไรก็ตาม ศาลได้ให้ประกันตัว พ.ต.ท.บรรยิน ในวงเงิน 2 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า ก่อนหน้าที่จะมีการจับกุม พ.ต.ท.บรรยินที่รีสอร์ตดังกล่าวในเขาใหญ่นั้น ทางชุดสืบสวนได้ส่งกำลังไปเฝ้าสังเกตการณ์พบว่า พ.ต.ท.บรรยิน และ น.ส.อุรชา อาศัยอยู่ห้องเดียวกัน เนื่องจากพบว่าทั้งคู่ใส่ชุดนอนเดินออกทางระเบียงหลังห้อง สอดคล้องกับคำให้การของแม่บ้านและพนักงานในรีสอร์ตดังกล่าวที่ระบุว่าทั้งคู่เดินทางมาถึงพร้อมกัน และรับกุญแจก่อนเดินขึ้นห้องไปพร้อมกัน รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับผลการตรวจดีเอ็นเอของเครื่องใช้ และของเล่นเด็กแรกเกิดที่พบในบ้านพักของ น.ส.อุรชา ในหมู่บ้านบูเลอวาร์ด ย่านพระราม 9 ที่ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ยืนยันด้วยวาจากับ พ.ต.อ.จิรภพ ว่าตรงกับดีเอ็นเอของ น.ส.อุรชา และ พ.ต.ท.บรรยินนั้น ทางชุดสืบสวนจะนำผลดีเอ็นเอดังกล่าวไปประกอบสำนวนเพื่อให้เห็นชัดเจนถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งของทั้ง น.ส.อุรชา และ พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งทำให้เห็นว่าขัดแย้งกับคำให้การที่ก่อนหน้านี้ที่ พ.ต.ท.บรรยินเคยบอกว่าไม่ได้รู้จักกับ น.ส.อุรชา อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลดีเอ็นเอดังกล่าวน่าจะสามารถออกมาเป็นทางการภายในวันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคมนี้ ขณะที่ในส่วนของคดีการโอนหุ้นนั้น หลังจากที่พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำเพิ่มเติมในบางประเด็นตามที่อัยการพิจารณามีความเห็นให้สอบปากคำเพิ่ม ก่อนจะส่งให้อัยการพิจารณาตรวจสอบสำนวนตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนนั้น ล่าสุดทราบว่าอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว แต่อยู่ระหว่างดำเนินการทางเอกสาร อย่างไรก็ตาม หากอัยการสั่งฟ้องอย่างเป็นทางการ ตำรวจจะต้องออกหมายเรียกพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์, น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว, นางศรีธรา พรหมา มารดาป้อนข้าว และ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล พริตตี้สาว 4 ผู้ต้องหาในคดีการโอนหุ้นโดยพิรุธมาเพื่อนำตัวส่งฟ้องให้อัยการ แต่หากทั้ง 4 คนไม่มาพบจะต้องออกหมายจับตามขั้นตอนต่อไป ด้าน พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผบก.กองพิสูจน์หลักฐานกลาง เปิดเผยว่า ผลตรวจตัวอย่างดีเอ็นเอที่เก็บจากของใช้เด็กในบ้าน น.ส.อุรชา วชิรกุณฑล โบรกเกอร์สาว ย่านพระราม 9 พบว่ามีความเชื่อมโยงทางสายสัมพันธ์ระหว่าง น.ส.อุรชา กับ พ.ต.ท.บรรยินจริง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปผลดีเอ็นเอดังกล่าว เพื่อรายงานเป็นเอกสารส่งให้ พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000068244 จะฟ้องเรื่องหุ้นแล้วจร้า
ฟังเธอจอมขวัญถามตรงคดีนี้บาง ฟังข้อมูลที่ออกมาทางพี่สาวในปัจจุบันนี้ แล้วลองนึกเรื่องย้อนดูครับ ข้อมูลวงในบางเรื่อง สามารถตัดข้อสงสัยในอดีตได้หลายเรื่องเลยครับ ส่วนด้านล่างฟังรายการเจาะลึกทั่วไทย ถึงความคืบหน้าของทั้งสองคดี และจากปากของตำรวจที่ดำเนินคดี
ชัดเจนแล้วครับ ลูกใคร ตำรวจแถลงเอง และออกเป็นเอกสารแล้ว ผลการตรวจดีเอ็นเอ “บรรยิน-อุรชาและลูกสาว” ออกเป็นเอกสารแล้ว ยืนยันมีความสัมพันธ์ตรงกันแบบบิดา-มารดาและบุตร “จิรภพ ภูริเดช” ผกก.1 บก.ป. โต้ทั้งหมดดำเนิ อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/661399 ส่วนของแนวหน้าลงคล้ายกัน แต่เน้นการได้มาของดีเอ็นเอ เตือนสติบรรยิน DNAได้จากไหนแนวหน้าาเตือนสติบรรยิน วันจันทร์ ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 20.38 น. tags : กระพุ้งแก้ม, บรรยิน, DNA, ชูวงษ์, ป้อนข้าว, ลูก 11 ก.ค. 59 เมื่อเวลา 15.30 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. เปิดเผยความคืบหน้าคดีการคลี่คลายปมการเสียชีวิติของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้าน ว่าคดีคงยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่นำส่งให้กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจสอบ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ในส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมว.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ ผู้ต้องหาคดีฆ่านายชูวงษ์ ออกมาระบุว่าที่ผ่านมาไม่เคยให้เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ จึงไม่ทราบว่าไปเอาตัวอย่างดีเอ็นเอมาจากไหนนั้น ประเด็นนี้ขอชี้แจงว่า ทางตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา มีหลักฐานชัดเจน โดยตัวอย่างดีเอ็นเอของ พ.ต.ท.บรรยิน ได้มาจากตำรวจ สน.อุดมสุข และทาง พฐ.ที่ได้จากการขูดกระพุ้งแก้ม พ.ต.ท.บรรยิน เมื่อครั้งที่เข้าให้ปากคำภายหลังเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่ สน.อุดมสุข ซึ่งเจ้าตัวอาจจะลืมว่าเคยได้ให้ตัวอย่างดีเอ็นเอกับทางเจ้าหน้าที่ ขณะที่ดีเอ็นเอของ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อายุ 26 ปี สาวคนสนิท นั้น ทางตำรวจได้ขอตรวจดีเอ็นเอ แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่ยินยอม จึงนำดีเอ็นเอจากวัตถุพยานอื่นๆ มาเปรียบเทียบ ส่วนจะเป็นอะไรนั้นไม่ขอเปิดเผย พ.ต.อ.จิรภพ เปิดเผยด้วยว่า ในส่วนของการตรวจสอบรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ สีดำ ทะเบียนป้ายแดง ศ 9972 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถที่ น.ส.อุรชา ใช้ขับออกมาจากเขาใหญ่ หลังจากตำรวจเข้าจับกุม พ.ต.ท.บรรยิน ขณะนี้ได้ประสานไปยัง พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป.ให้ตรวจสอบข้อมูลกับทางกรมการขนส่งทางบก ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ภายหลังพบว่าทะเบียนป้ายแดงดังกล่าว มีผู้ใช้งานอยู่แล้ว และไม่มีตรา ขส. ทั้งนี้ ได้นำรถคันดังกล่าวมาเก็บไว้ที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อรอตรวจอย่างละเอียด หากพบว่ามีความผิดก็จะแจ้งข้อกล่าวหาทันที แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ของ พ.ต.ท.บรรยิน ที่ได้จากการขูดกระพุ้งแก้ม และของใช้ จำพวกหวี แปรงสีฟัน ของน.ส.อุรชา รวมทั้งของใช้เด็กอ่อนวัย 3 เดือน ซึ่งเป็นลูกสาวของ น.ส.อุรชา ที่ได้จากการเข้าตรวจค้นที่บ้านพักของ น.ส.อุรชา ภายในหมู่บ้านบางกอกบลูเลอวาร์ด ย่านพระราม 9 และตัวอย่างดีเอ็นเอ ของนายชูวงษ์ มาตรวจเปรียบเทียบเพื่อหาความสัมพันธ์ ซึ่งเอกสารรายงานผลการตรวจ ระบุว่าดีเอ็นเอ ของ พ.ต.ท.บรรยิน และเด็กซึ่งเป็นลูกของ น.ส.อุรชา มีความสัมพันธ์ตรงกันแบบบิดาและบุตร ขณะที่ผลตรวจระบุว่าดีเอ็นเอของ น.ส.อุรชา และเด็ก มีความสัมพันธ์ตรงกันแบบมารดาและบุตร นอกจากนี้ท้ายเอกสารยังระบุด้วยว่า ดีเอ็นเอของนายชูวงษ์ และเด็ก ไม่มีความสัมพันธ์กัน
สงสัยบรรยินไม่ต่อสู้เรื่องลูกแล้ว ต่อสู้เรื่องโอนหุ้นแทน ผมละเหนื่อยใจแทนเลย “พ.ต.ท.บรรยิน” ลั่น ไม่สนผล DNA ชี้ ยันโอนหุ้นถูกต้อง พร้อมส่งหนังสือถึงสื่อที่ลงข่าวชี้แจงภายใน 5 วัน พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอบุตรของ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล โบรกเกอร์สาว ว่า มีความเกี่ยวข้องตนหรือไม่นั้น ตนไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ เนื่องจากไม่เกี่ยวกับคดีการโอนหุ้น พร้อมระบุว่า ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูคดีตรวจสอบว่าการโอนหุ้นถูกต้องหรือไม่ หากถูกต้องแล้วมีความผิดอย่างไร เนื่องจาก นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ได้โอนหุ้นก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุเป็นเวลาถึง 18 วัน ซึ่งหากมองในความเป็นจริงแล้ว สามารถตรวจสอบได้ เพราะการโอนหุ้นทุกครั้งจะต้องมีเอกสาร และอีเมล์ส่งมาหาเจ้าของโดยตรงภายใน 3 วัน ทั้งนี้ หากคนที่เล่นหุ้นจะรู้ว่าต้องมีการตรวจสอบหุ้นทุกวัน" ที่มา http://news.mthai.com/hot-news/general-news/503747.html ดูจากการดิ้นแล้วงานนี้บอกได้เลยว่าโดนพรรคพวกลอยแพแน่นวล
จะสู้เรื่องหุ้น ผมยังมองไม่เห็นทางชนะเลย นาง น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล (น้องน้ำตาล) อีกคนที่ถือครองหุ้นสูงถึง 200กว่าล้านบาท ก็ใช่ว่าจะสนิทสนมกับบรรยินเท่า ป้อนข้าว (ผมเดาว่าคงเป็นคนในวงการกับป้อนข้าว แล้วอาจจะเข้าร่วมโดยหวังสิ่งตอบแทนเล็กน้อยในการเปิดบัญชี เพราะเท่าที่ทราบตามหน้าสื่อ เธออาจจะมีความสนินกับลูกคนในวงราชการทางใต้ และอาจจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเด็กในท้องได้) ผู้ต้องหาคนนี้มองในทางคดีแล้ว มีผลต่อคดีการโอนหุ้นมากเพราะจำนวนหุ้นที่โอนให้ เป็นยอดที่สูงมาก ซึ่งถ้าพิจารณาจากมุมมองของตำรวจ เธออาจจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุด ในการยักยอกหุ้นครั้งนี้ การเข้าสู่ขบวนการยุติธรรม คงไม่ใชเรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะเก็บความลับ หรือโต้ตอบการซักของทนายได้ ส่วนประเด็นการโอนหุ้นที่บรรยินเคยพูด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลายเซ็น ปากกาลบหมึก ระยะเวลาต่างๆนั้น *ถ้าสิ่งที่เขาพูดมีน้ำหนัก ทำไม กลต ถึงลงโทษบริษัทหลักทรัพย์แห่งนั้น และผู้ให้คำแนะนำ http://isranews.org/thaireform/thaireform-news/item/43607-set23023.html ก.ล.ต. ลงโทษปรับบล.เออีซี 1.1 ล้านบาท กรณีโอนหุ้น "ชูวงษ์ แซ่ตั๊ง" เขียนวันที่ วันพุธ ที่ 23 ธันวาคม 2558 เวลา 21:39 น. เขียนโดย isranews ก.ล.ต. แถลงลงโทษ บล.เออีซี ผู้บริหาร และผู้นำแนะนำการลงทุน กรณีโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ วันที่ 23 ธันวาคม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกแถุลงข่าว สืบเนื่องจากกรณีการโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ซึ่งเป็นลูกค้า ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาลงโทษผู้แนะนำการลงทุน 3 ราย ได้แก่ นางสาวอุรชา วชิรกุลฑล ขณะกระทำผิดสังกัด บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (บล. เออีซี) โดยเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุน เป็นเวลา 10 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2558 นายนัฐพล เฉลิมพจน์ สังกัด บล. เออีซี โดยพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุน เป็นเวลา 6 เดือน และนางสาวพัชรีย์ ธัชธำรงชัย ขณะกระทำผิดสังกัด บล.เออีซี โดยพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุน เป็นเวลา 1 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2558 นอกจากนี้ จากการขยายผลการตรวจสอบเพิ่มเติมพบระบบงานสำคัญที่บกพร่องของ บล.เออีซี หลายระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Know-Your-Customer / Customer Due Diligence: KYC/CDD) โดยคณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบ บล. เออีซี เป็นเงิน 1,101,000 บาท รวมทั้ง ก.ล.ต. ได้ดำเนินการลงโทษผู้บริหารบริษัทรายนายธาดา จันทร์ประสิทธิ์ และรายนายพิสิทธิ์ ปทุมบาล โดยพักการให้ความเห็นชอบการเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนของผู้บริหาร รายละ 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2558 เนื่องจากละเลยการตรวจสอบดูแลระบบงานดังกล่าว กรณีการโอนหุ้นที่ปรากฏเป็นข่าว ก.ล.ต. พบว่า ผู้แนะนำการลงทุนรายนางสาวอุรชาจัดการโอนหุ้นในบัญชีของลูกค้ารายหนึ่งเข้าบัญชีของมารดาตนเองโดยได้รับประโยชน์จากการรับโอนหุ้นดังกล่าวผ่านการเตรียมการไว้อย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การเปิดบัญชีของมารดาโดยไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ให้บริษัททราบ จัดการเกี่ยวกับการโอนหุ้นโดยไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงและไม่ได้เป็นผู้แนะนำการลงทุนที่ดูแลบัญชีลูกค้าดังกล่าว จัดการให้ฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทยืนยันการโอนหุ้นกับบุคคลที่น่าเชื่อว่าไม่ใช่ลูกค้าเจ้าของบัญชี และดำเนินการเพื่อให้เพิ่มหมายเลขโทรศัพท์เข้าไปในระบบข้อมูลของลูกค้า ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าลูกค้าได้แจ้งกับผู้แนะนำการลงทุนที่ดูแลบัญชีเพื่อขอเพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวในระบบของบริษัท เพื่อให้การโอนหุ้นสำเร็จ การกระทำของนางสาวอุรชาเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต กระทำมิชอบต่อทรัพย์สินของผู้ลงทุน ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ลงทุนโดยการเบิกถอนโอนย้ายหลักทรัพย์ของผู้ลงทุน และไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณและมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพที่กำหนดโดยสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย*1 ก.ล.ต. จึงสั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์รายนางสาวอุรชาและกำหนดระยะเวลาในการรับพิจารณาคำขอความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน เป็นเวลา 10 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2558 นอกจากนี้ พบว่า ผู้แนะนำการลงทุนอีก 2 ราย คือ นายนัฐพล มีพฤติกรรมรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของลูกค้าจากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัญชีโดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจ และมีการดำเนินการเพื่อให้เข้าใจว่าได้มีการสนทนาและรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์กับเจ้าของบัญชี และนางสาวพัชรีย์ ที่รับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของลูกค้าจากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัญชี โดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจ การกระทำของนายนัฐพลเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์แก่ผู้ลงทุนตามคำสั่งของผู้ลงทุนที่เป็นเจ้าของบัญชีหรือตามคำสั่งของผู้มอบอำนาจ และสร้างหลักฐานเพื่ออำพรางว่าผู้สั่งซื้อขายเป็นเจ้าของบัญชีทั้งที่เป็นบุคคลอื่น โดยมีเจตนาปกปิดซ่อนเร้นข้อมูลการรับคำสั่งซื้อขายจากลูกค้าต่อบริษัทหลักทรัพย์และหน่วยงานกำกับดูแล*2 และสำหรับนางสาวพัชรีย์ เป็นการไม่ได้ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์แก่ผู้ลงทุนตามคำสั่งของผู้ลงทุนที่เป็นเจ้าของบัญชีหรือตามคำสั่งของผู้รับมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ลงทุน*3 ก.ล.ต. จึงสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำลงทุนด้านตลาดทุนรายนายนัฐพล เป็นเวลา 6 เดือน และรายนางสาวพัชรีย์ เป็นเวลา 1 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2558
ขอต่อเอกสารเพื่อความสมบรูณ์จากกล่องที่233 ก.ล.ต. ได้ขยายผลการตรวจสอบพบความบกพร่องของระบบงานสำคัญที่ บล.เออีซี 3 ด้าน สรุปได้ดังนี้ (1) ระบบงานตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พบว่ามีลูกค้าหลายรายทำธุรกรรมไม่สอดคล้องกับศักยภาพทางการเงินและความรู้ด้านการลงทุนอย่างมีสาระสำคัญ และบริษัทไม่ได้ดำเนินการอย่างเพียงพอเพื่อระบุตัวตนลูกค้าและผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง รวมทั้งไม่ได้พิจารณาทบทวนวงเงินอย่างเหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถป้องกันพฤติกรรมการซื้อขายหรือการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมอื่นที่ก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อธุรกิจหลักทรัพย์และตลาดทุนโดยรวม (2) ระบบการกำกับดูแลทรัพย์สินของลูกค้า พบความบกพร่องในกระบวนการสอบยันกับลูกค้าที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของลูกค้า โดยพบข้อเท็จจริงว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม 2557 ถึงมีนาคม 2558 มีลูกค้าหลายรายได้แจ้งขอเพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ที่จะใช้ในการติดต่อ และบริษัทใช้เลขหมายที่ขอเพิ่มเพียงหมายเลขเดียวในการติดต่อเพื่อยืนยันการทำรายการกับลูกค้า โดยไม่ปรากฏการสอบยันกับหมายเลขโทรศัพท์เดิมที่แจ้งไว้ หรือใช้วิธีการอื่นใด ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าเป็นการทำรายการตามความประสงค์ของลูกค้าที่แท้จริง นอกจากนี้ พบรายการโอนหุ้นออกจากบัญชีลูกค้ารายหนึ่ง มีข้อพิรุธและบกพร่องหลายประการ อาทิ (ก) ผู้แนะนำการลงทุนที่ลงนามในเอกสารการขอโอนหุ้นออกจากบัญชีของลูกค้า ไม่ได้เป็นผู้แนะนำการลงทุนที่ดูแลบัญชี (ข) ฝ่ายปฏิบัติการและผู้แนะนำการลงทุนที่ดูแลบัญชีของลูกค้า ไม่สามารถติดต่อลูกค้าตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ลูกค้าให้ไว้ และ (ค) ฝ่ายปฏิบัติการยินยอมทำรายการให้ทั้งที่ทราบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อไม่ใช่หมายเลขที่ลูกค้าแจ้งไว้กับบริษัท (3) ระบบการกำกับดูแลเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของบริษัท พบว่าขาดประสิทธิภาพ โดยระบบงานของบริษัทไม่รัดกุมเพียงพอที่จะตรวจพบกรณีที่พนักงานใช้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาเปิดบัญชี และทำรายการต่างๆ และแม้บริษัทตรวจพบความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและพนักงาน ก็ไม่ได้นำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการกำกับดูแลเพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลภายในหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมและทุจริตของพนักงาน ความบกพร่องในระบบงานของ บล. เออีซีข้างต้น เข้าข่ายไม่ปฏิบัติตามมาตรา 113 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 282 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการเปรียบเทียบจึงได้เปรียบเทียบ บล. เออีซี เป็นเงิน 1,101,000 บาท สำหรับผู้บริหารหลัก 2 ราย ได้แก่ นายธาดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานปฏิบัติการด้านหลักทรัพย์ (back office) และนายพิสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ซึ่งเป็นผู้ควบคุมสายงานให้บริการด้านหลักทรัพย์ (front office) ก.ล.ต. พบว่า ในภาพรวมบุคคลทั้งสองละเลยการตรวจสอบดูแลและสั่งการให้มีการดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขและปฏิบัติให้ถูกต้อง ทั้งที่ได้รับทราบข้อมูลจากผลการตรวจสอบของบริษัทเอง และการรายงานจากผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับข้อมูลที่น่าสงสัยของลูกค้า จนเป็นเหตุให้บริษัทมีการกระทำผิด*4 ก.ล.ต. จึงสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนรายนายธาดาและนายพิสิทธิ์ รายละ 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2558 โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ บุคคลทั้งสองจะไม่สามารถปฏิบัติงานเกี่ยวกับการบริหารงานการเป็นที่ปรึกษาของบริษัท และการปฏิบัติงานอื่นๆ ที่อยู่ในขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนได้ การกระทำของนายธาดาและนายพิสิทธิ์ยังเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 283 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ อันเป็นผลจากการที่บริษัทกระทำผิดมาตรา 113 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน ก.ล.ต. จะเสนอการกระทำผิดต่อคณะกรรมการเปรียบเทียบเพื่อพิจารณาเปรียบเทียบความผิด ซึ่งหากบุคคลทั้งสองไม่ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ ก.ล.ต. จะดำเนินการกล่าวโทษต่อไป ------------------------------- *1 การไม่ได้ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์แก่ผู้ลงทุนตามคำสั่งของผู้ลงทุนที่เป็นเจ้าของบัญชีหรือตามคำสั่งของผู้รับมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ลงทุน และการยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ลงทุนโดยการเบิกถอนโอนย้ายหลักทรัพย์ของผู้ลงทุน เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อ 23(2) แห่งประกาศ ที่ ทลธ. 8/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557 และเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ตามข้อ 31(1) แห่งประกาศฉบับเดียวกัน *2 การไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยมีเจตนาปกปิดซ่อนเร้นข้อมูลการรับคำสั่งซื้อขายจากลูกค้าต่อบริษัทหลักทรัพย์และหน่วยงานกำกับดูแล การไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยกระทำการมิชอบต่อทรัพย์สินของผู้ลงทุน และการใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อ 23(1) แห่งประกาศ ที่ ทลธ. 8/2557 และเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ตามข้อ 31(1) แห่งประกาศฉบับเดียวกัน *3 การไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณและมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพที่กำหนดโดยสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อ 23(4) แห่งประกาศ ที่ ทลธ. 8/2557 และเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ตามข้อ 31(5) แห่งประกาศฉบับเดียวกัน *4 พฤติกรรมละเลยการตรวจสอบดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทกระทำหรืองดเว้นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และประกาศที่เกี่ยวข้อง ของนายธาดาและนายพิสิทธิ์ เข้าข่ายเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ตามข้อ 31(4) แห่งประกาศ ที่ ทลธ. 8/2557 และสำหรับนายพิสิทธิ์ เข้าข่ายตามข้อ 30(5) ของประกาศเดียวกันด้วย
จากข้อมูลด้านบน ผมประเมินคุณบรรยินจากตำแหน่ง รองสารวัตรแล้ว คิดว่าผมให้คะแนนแกสูงไป เพราะรูปแบบการหักล้างแรงจูงใจในการก่อคดีแล้ว ไม่สามารถหักล้างอะไรได้เลย อาศัยแค่การปฎิเสธและดื้อด้าน เท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ดูแคลนคือการใช้เส้นสาย และการวิ่งเต้น อาศัยพรรคพวก สมัยโน้้นคุณมีภาพ อดีต รมช.พาณิชย์ แต่ภาพปัจุบัน คนเขามองคุณคืออะไร เดียวเราคอยดูกัน ความสามารถของเขาที่ผมประเมินว่าเด่นนี้ จะช่วยเขาได้อย่างไง
อันนี้ผมขอเก็บไว้เป็นข้อมูลนะครับ พลิกสมบัติ 45 ล. “บรรยิน ตั้งภากรณ์” อดีต รมช.พาณิชย์ พบมีเงินลงทุนแค่ 8 พัน “เมีย” 40 ล้าน ที่ดิน จ.นครสวรรค์ อื้อ 25 แปลง 22 ล้าน บ้าน 5 หลัง คอนโดฯ 2 ห้อง ขับรถจากัวร์ ได้ค่าเช่าตึกอีกว่า 1.2 ล้าน ชื่อของ “พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์” อดีต ส.ส.นครสวรรค์ พรรคมัชฌิมาธิปไตย และอดีต รมช.พาณิชย์ ยุครัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” ตกเป็นข่าวอีกครั้ง ! ภายหลังชื่อไปพัวพันในคดี “ชูวงษ์ แซ่ตั๊ง” เศรษฐี เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ จ.สมุทรปราการ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทางรถยนต์ ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่เจ้าตัวออกมาชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้อง สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ พ.ต.ท.บรรยิน ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีพ้นจากตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2552 พบรายละเอียด ดังนี้ พ.ต.ท.บรรยิน แจ้งว่า มีทรัพย์สิน 4,751,160 บาท ได้แก่ เงินฝาก 6 บัญชี 2,211,960 บาท เงินลงทุน 1 แห่ง 8 พันบาท ที่ดิน 2 แปลง (ใน จ.นครสวรรค์ทั้งหมด) 241,200 บาท บ้าน 1 หลัง 1,050,000 บาท และทรัพย์สินอื่น (ราคาตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป) ส่วนใหญ่เป็นพระเครื่อง-อาวุธปืน 1,240,000 บาท มีหนี้สิน 49,914 บาท เป็นเงินเบิกเกินบัญชี มีรายได้ 250,570 บาท เป็นเงินเดือนอย่างเดียว ส่วนนางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 40,928,883 บาท ได้แก่ เงินฝาก 11 บัญชี 2,730,228 บาท เงินลงทุน 6 แห่ง 2,262,200 บาท ที่ดิน 25 แปลง (ใน จ.นครสวรรค์ทั้งหมด) 22,224,455 บาท บ้าน 5 หลัง โกดัง 1 หลัง ห้องชุดคอนโดมีเนียม 2 ห้อง ที่ดินเปล่า 1 แห่ง 10,712,000 บาท รถยนต์ 2 คัน (จากัวร์, ฮอนด้า) 3 ล้านบาท มีหนี้สิน 1,876,590 บาท เป็นเงินเบิกเกินบัญชี กับกู้ธนาคาร และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีเงินฝาก 3 บัญชี 21,954 บาท มีรายได้ 1,540,000 บาท เป็นเงินเดือน 2.4 แสนบาท ค่าเช่าตึก 108,000 บาท ค่าเช่าตึกซีพี เซเว่น 1,140,000 บาท ค่าเช่านา 52,000 บาท รวมทั้งคู่มีทรัพย์สินเบ็ดเสร็จ 45,701,999 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 1,926,504 บาท ทั้งหมดคือทรัพย์สินของ “พ.ต.ท.บรรยิน” ภายหลังพ้นตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ครบ 1 ปี เมื่อปี 2552 ก่อนถูกโยงเข้าไปพัวพันกับกรณีการเสียชีวิตของ “เสี่ยชูวงษ์” นักธุรกิจรายใหญ่ อยู่ในขณะนี้ ! ต้องดูกันต่อไปว่า ข้อเท็จจริง จะเป็นอย่างไร? http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/39963-bunyin02.html
ดูจากกล่อง 237 ด้านบนแล้ว มือแถอาชีพระดับสีข้างเสริมใยเหล็กทองคำ อย่าง มือดีฯ HOT BOY คนกลาง ฯลฯ คงไม่รับจ๊อบหรอกครับพี่ชายน้ำ เดียวไม่จ่ายแล้วชวนไปนั่งรถด้วย..เสียว
เปิดอก ‘เมียบรรยิน’ โดดป้องสามี เคลียร์ทุกปม สัมพันธ์ลึกน้องป้อนข้าว -ดีเอ็นเอ -หุ้น เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภรรยา พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว โบรกเกอร์สาว เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก โดยตนและครอบครัวเดินทางไปร่วมให้กำลังใจด้วยนั้น ต่อมาอีก 2 วันกลับมีการรายงานข่าวออกมาถึงผลดีเอ็นเอของพ.ต.ท.บรรยิน สามีของตน และน.ส.อุรชา พร้อมทั้งยังระบุความสัมพันธ์ลึกซึ้งของทั้งสองอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ทางพ.ต.ท.บรรยินก็ได้ยืนยันผ่านสื่อหลายสื่อไปแล้วว่าพ.ต.ท.บรรยินไม่เคยตรวจดีเอ็นเอกับทางเจ้าหน้าที่แน่นอน ขณะที่น.ส.อุรชาก็เช่นกัน “ก็ไม่ทราบว่าข่าวหรือรายงานข่าวต่างๆประเด็นดีเอ็นเอเหล่านี้มาได้อย่างไร ทั้งนี้ทางฝ่ายใดอยากจะพูด อยากจะงัดหลักฐาน หรือโชว์อะไรก็โชว์ไป รวมทั้งการไปนำเรื่องอุบัติเหตุเมื่อครั้งภรรยาเก่าของพ.ต.ท.บรรยินมาพูดถึง และมาระบุว่าภรรยาเก่าขับรถไม่เป็น ไม่ทราบว่าใครไปเอาข้อมูลมาจากไหน” นางวราภรณ์ กล่าวอีกว่า ตนไม่ทราบว่าขณะนี้ต้องการอะไรกัน มีการขุดเรื่องเก่าๆมาพูดกัน ตั้งแต่คดีหุ้น ปลอม ไม่ปลอม ถ้าคนเล่นหุ้นก็ต้องรู้เรื่องนี้ดี ว่าเวลามีการโอนหุ้น ทุกวัน 3 วันทางบริษัทจะอัพเดทสถานะหุ้น แต่ในกรณีนี้ นายชูวงษ์ โอนหุ้นตั้ง 18 วัน ก่อนจะเกิดเรื่อง เจ้าตัวจะไม่รู้เรื่อง เป็นไปได้อย่างไร แม้จะอ้างว่าผลสรุปหุ้นจะปรากฏในปลายเดือนมิถุนายนก็ตาม แต่นั่นเป็นการสรุปในภาพรวมเท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังมีการระบุว่าพบพิรุธในส่วนนั้น ส่วนนี้ เยอะแยะไปหมด แล้วเหตุใดไม่พูดถึงกรณีน.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล พริตตี้สาวที่รับโอนหุ้น ตนยังยืนยันคำเดิมว่าทั้งนายชูวงษ์ และพ.ต.ท.บรรยิน มีความฝันร่วมกัน ทำอะไรด้วยกันหลายอย่าง ด้วยเพราะเขาทั้งสองเป็นนักธุรกิจ มีโมเดลในหัวเยอะ บางครั้งเขาคุยกันตนก็นั่งอยู่ด้วย ก็คุยจะทำนู่น นั่น นี่ ด้วยกันจนตนเองยังรำคาญ ซึ่งตนเชื่อว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ภรรยาของนายชูวงษ์ไม่ทราบอีกเยอะ “อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันแค่ว่าขณะนี้ครอบครัวดิฉันปกติดี มีความสุขดีเหมือนเดิม ไม่ได้มีปัญหาใดๆ อย่างวันนี้ดิฉันก็มาซื้อของกับพี่สาวที่กรุงเทพฯ แต่ปกติจะอาศัยอยู่ที่บ้านที่จ.นครสวรรค์ ซึ่งสามี ก็คือคุณบรรยิน อยู่ที่บ้านที่จ.นครสวรรค์ ยังไลน์มาถามว่าจะกลับไปกินข้าวบ้านหรือไม่” นางวราภรณ์ กล่าว ที่มา http://www.matichon.co.th/news/212746 ขำจะตาย ยังออกมาปกป้องบอกบรรยินอยู่นครสวรรค์ เมื่อไม่กี่วันโผล่มางานแถวนนท์ มาปรึกษาหารูหมาลอด แล้วเป็นไง ได้คำตอบไปสบายใจไหม
ขออนุญาติลงเป็นภาพข่าวนะครับ อ่านเอง...หน้าไม่.นาพอครับ ปล.ดูป้อนชาเธอคงคิดว่าเธอเป็นดาราเทียบอั๊มละมั่ง
เห็นด้วยครับโทษเบาและค่าปรับน้อยมาก อันนี้ลองมองย้อนไปต่อคำอธิบายของบริษัทหลักทรัพย์ก่อน คำตั้ดสินของกลตนะครับ "เออีซี" กางข้อมูล เคลียร์โอนหุ้นเสน่หา "เสี่ยชูวงษ์" Prev 1 of 1 Next คลิกภาพเพื่อขยาย updated: 02 ก.ย. 2558 เวลา 23:07:03 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ประเด็นร้อนเรื่องการโอนหุ้นของ "ชูวงษ์ แซ่ตั๊ง" หรือ"เสี่ยจืด" นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้าน ให้แก่หญิงสาว 2 คน มูลค่าที่โอนรวมกว่า 300 ล้านบาท ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในช่องทางการทำธุรกรรมโอนหุ้นดังกล่าวเกิดขึ้นโดยตัวกลางที่เป็นโบรกเกอร์ชื่อ"บล.เออีซี" จนถึงวันนี้ยังคงเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจและสงสัยข้อเท็จจริงหลายประเด็นอยู่ ในที่สุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา บล.เออีซี นำโดย "อังกูร พิมพะกร" กรรมการและกรรมการบริหาร บล.เออีซี (AEC) ได้ฤกษ์ชี้แจง "ระบบการโอนหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ กรณีนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง" ขึ้น เพื่อเล่าถึงเส้นทางการทำธุรกรรม เพื่อให้สังคมได้รับคำตอบถึงการทำงานที่ชัดเจนขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์นี้ผ่านไปกว่า 2 เดือน โดยให้ข้อมูลว่า นายชูวงษ์เปิดบัญชีเล่นหุ้นกับบริษัทตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. 2557 ซึ่งธุรกรรมที่เกิดปัญหาการโอนหุ้น คือหุ้นของ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท ที่ได้โอนหุ้นไปให้ นางสาวศรีธรา พรหมา ซึ่งเป็นแม่ของ นางสาวอุรชา วชิรกุลฑล เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำการลงทุน (มาร์เก็ตติ้ง)ของ บล.เออีซี "อังกูร" ยืนยันว่า การโอนหุ้นในส่วนนี้มีกระบวนการทำงานที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทุกขั้นตอนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย แต่ก็เข้าใจว่าสังคมยังคงมีข้อสงสัยบางเรื่องที่เกิดขึ้นในเส้นทางการโอนหุ้น สำหรับประเด็นแรกที่สำคัญคือ "เหตุใดระบบจึงไม่สามารถตรวจสอบพบว่า ธุรกรรมนี้เป็นการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ไปให้ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับพนักงาน บล.เออีซี" เนื่องจากนายชูวงษ์ได้โอนหุ้นไปให้นางสาวศรีธรา พรหมา ซึ่งเป็นแม่ของนางสาวอุรชา วชิรกุลฑล (เจ้าหน้าที่การตลาด) ดังนั้นบริษัทจึงน่าจะรับทราบและเกิดความสงสัยในธุรกรรมดังกล่าว ซึ่งมีการโอนหุ้นมูลค่าสูง ในประเด็นนี้ "นายธาดา จันทร์ประสิทธิ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บล.เออีซี ตอบว่า กระบวนการตรวจสอบตามหลักการรู้จักลูกค้า (Know Your Customer : KYC) นั้น บริษัทได้ทำอย่างครบถ้วน ด้วยการให้ทั้งนางสาวอุรชา และนางสาวศรีธรา เปิดเผยข้อมูลถึงผู้ที่มีความ "เกี่ยวโยง" ตามหลักเกณฑ์ ได้แก่ 1.การเป็นสามี-ภรรยา (ถูกต้องตามกฎหมาย) 2.การเป็นบุตร-บุตรบุญธรรมตามกฎหมาย แต่จากการตรวจสอบ KYC ของด้านนางสาวอุรชา ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับนางสาวศรีธราได้ เพราะไม่เข้าข่ายลักษณะทั้งข้อแรกและข้อสอง เช่นเดียวกับฝั่งของนางสาวศรีธรา ที่บริษัททำ KYC ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้ เพราะนางสาวอุรชาเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลใหม่ อีกทั้งที่อยู่ก็ไม่ตรงกับของนางสาวศรีธรา ระบบจึงไม่สามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ของ 2 คนนี้ได้ ประเด็นถัดมาคือ "มีการใช้น้ำยาลบคำผิดในใบโอนหุ้นจริงหรือไม่" บริษัทไม่สามารถทราบได้ เพราะกระบวนการตรวจสอบจะพิจารณาจากลายมือชื่อลูกค้าตามที่ประจักษ์ทางสายตา (ตรวจสอบด้วยการมอง) ไม่ได้ใช้เครื่องมือตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้ไม่พบการใช้ "หมึกพิเศษ"ตามที่เป็นข่าว ส่วนข้อสงสัยที่ว่า "มีการเปลี่ยนข้อความจากการจำนำหุ้นเป็นการโอนหุ้น" หรือไม่ บริษัทยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากนายชูวงษ์เปิดบัญชีซื้อขายประเภท "แคชบาลานซ์"เท่านั้น ซึ่งบัญชีนี้ไม่สามารถใช้ในการ "จำนำหุ้น" ได้ แต่จะทำได้ในบัญชีประเภท "เครดิตบาลานซ์" เท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์ของนายชูวงษ์ บริษัทได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้น พร้อมทั้งสั่งย้ายนางสาวอุรชา แต่เนื่องจากนางสาวอุรชา ไม่ได้มาทำงานติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน และไม่สามารถติดต่อได้ ทางบริษัทจึงได้พิจารณาให้ออกทันทีตามกฎหมายแรงงาน หลังจากนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ก.ล.ต. ในการพิสูจน์หลักฐานข้อมูลทั้งหมดต่อไป ส่วนการออกมาเคลียร์ปม "เส้นทางการโอนหุ้น" ที่ค้างคาใจของ บล.เออีซี อาจจะดูจบลง แต่ความเชื่อมั่นต่อ บล.เออีซีจะเป็นอย่างไร คงขึ้นอยู่กับใจของนักลงทุนแล้ว http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1441184044
นส อุรชา เข้ามาทำงาน หลังจาก เสี่ยชูวงศ์ เปิดบัญชีกับ บล เพียง 3 เดือน ทำไมเวลามันประจวบเหมาะกัน นส อุรชา ได้รับการมอบหมายให้ปฎิบัติภารกิจ อะไร เป็น พิเศษ หรือไม่ ก่อนหน้านี้ เหมือนเป็น พริตตี้ เกี่ยวกับ มอเตอร์โชว์ พอมีใครรู้ พื้นฐาน การศึกษา ประสบการณ์การทำงาน มันสอดคล้องกับ เจ้าหน้าที่ โบรคเกอร์ ที่ต้องให้คำปรึกษาเรื่องหุ้นหรือไม่
พี่Apichaiครับ ลองเข้าไปดู ว่าใครเป็นเจ้าของบริษัทโบรคเกอร์ แกะรอยสัมพันธ์ "ปธ.เออีซี & บรรยิน" ปริศนาโอนหุ้นโยงคดี “เสี่ยชูวงษ์”? เขียนวันที่ วันเสาร์ ที่ 08 สิงหาคม 2558 เวลา 12:20 น. เขียนโดย isranews หมวดหมู่ "..นายประพล มิลินทจินดา เคยดำรงเป็นเลขานุการ รมว.พาณิชย์ นางพรทิวา นาคาศัย สังกัดพรรคภูมิใจไทย (กลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน) ขณะที่ นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ ตัวละครสำคัญในคดี นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย .." ชื่อของ บริษัท หลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) กำลังถูกจับตามองจากสาธารณชน! หลังจากสื่อทุกสำนักรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2558 พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมด้วยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี เข้าตรวจค้นเพื่อตรวจสอบหลักฐานประเด็นการซื้อขายหุ้นของ "นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง" นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้าน และการโอนหุ้นให้กับ น.ส.ศรีธรา พรหมา จำนวน 40 ล้านบาท ซึ่งเป็นมารดาของ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล โบรกเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี โดย น.ส.อุรชาอ้างว่าได้มาเพราะมีความสัมพันธ์กับนายชูวงษ์ เบื้องต้น ภายหลังการตรวจค้น พล.ต.ท.ประวุฒิ ระบุว่า "วันนี้เป็นการเข้าตรวจสอบหาหลักฐานเอกสาร รวมถึงคลิปเสียงที่เกี่ยวข้องกับการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ โดยก่อนหน้านี้ที่ทางบริษัทไม่ได้นำหลักฐานต่างๆ มาให้เจ้าหน้าที่เพราะเป็นหลักฐานเอกสารสำคัญที่ต้องใช้หมายศาลในการขอหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หลักฐานทั้งหมดที่ได้ในวันนี้จะนำกลับไปตรวจสอบอีกครั้งแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้" ขณะที่ ตัวแทนบริษัทฯ ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ทางบริษัทฯ พร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตลอด ไม่เคยมีเอกสารอะไรที่ไม่ส่งให้ ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท หลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน)พบว่า จดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2536 ใช้ชื่อเดิมว่า "บริษัท หลักทรัพย์ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน)" ปัจจุบันมีทุน 2,414,615,498 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 63 อาคารโรงแรมพลาซ่าแอทธินี ชั้น 15, 17 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ปรากฎชื่อ นายประพล มิลินทจินดา นายพลเชษฐ์ ลิขิตธนสมบัติ และ นายธาดา จันทร์ประสิทธิ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ม.ร.ว. สมลาภ กิติยากร (อดีตประธานสำนักเลขาธิการเทิดไท้องค์ราชัน) , นายไชยา ยิ้มวิไล (อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) , นาย ไพสิฐ แก่นจันทน์ , น.ส. ศิริพร ทองคำ , นาย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) และนาย วิชญะ เครืองาม (ลูกชาย ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี) รวมเป็นกรรมการ รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2558 มีจำนวน 25 ราย นาย ประพล มิลินทจินดา ถือหุ้นใหญ่สุด 253,800,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท รวมมูลค่า 253,800,000 บาท นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบธุรกิจ ปี 2557 แจ้งว่า มีรายได้รวม 711,720,580 บาท แยกเป็นรายได้ค่านายหน้า 490,696,474 บาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 71,351,714 บาท กำไรจากเงินลงทุน 76,461,455 บาท ดอกเบี้ยรับ 24,113,623 บาท รายได้ดอกเบี้ยเงินกู้ 46,827,905 บาท รายได้อื่น 2,269,409 บาท รวมรายจ่าย 706,165,041 บาท กำไรสุทธิ 6,588,015 บาท โฟกัสข้อมูลเฉพาะ นายประพล มิลินทจินดา พบว่าเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญหลายตำแหน่ง แต่ตำแหน่งที่น่าสนใจ คือ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ นางพรทิวา นาคาศัย สังกัดพรรคภูมิใจไทย (กลุ่มสมศักดิ์ เทพสุทิน) ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ นางพรทิวา นาคาศัย เคยสังกัดพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มมัชฌิมา ซึ่งนำโดยนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยานายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตนักการเมืองชื่อดัง ขณะที่ นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ ตัวละครสำคัญในคดี นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ด้วย ก่อนที่ นายบรรยินจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี เนื่องจากการยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย ! หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก Google http://www.isranews.org/investigative/investigate-news-person/item/40469-report01_40469.html
ผมขอเก็บข้อมูลจากรายการแฟ้มสืบสวนที่ทบทวนคดีได้ดี ตั้งแต่เริ่มคดีจนถึงช่วงมีนาคม59 ก่อนการออกหมายจับนายบรรยิน ในคดีฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อไว้ทบทวนข้อมูลต่างๆ
อ่านแล้วก็ปลงกับกิเลสตัณหาของคน eco car หรือ Porsche ก็ไปถึงจุดหมายเหมือนกัน เล่นกอล์ฟหรือเดิน ก็ออกกำลังกายเหมือนกัน เมียคู่ทุกข์คู่ยากหรือพริตตี้สุดเซ็กซี่ อยู่นานไปก็แก่เหมือนกัน เป็นอภิมหาเศรษฐีหรือแค่คนพอมีพอกิน ในที่สุดก็ต้องตายทิ้งทรัพย์สมบัติไปเหมือนกัน เพราะความไม่รู้จักพอ ทำชั่วไว้ก็ต้องถูกเปิดโปงในที่สุด ไหนจะต้องรับโทษทัณฑ์ ไหนจะถูกประนามสาบแช่ง ทรัพย์ที่เบียดบังเขามาช่วยอะไรไม่ได้เลย
ผมหยิบเอารายการเก่าที่เคยลงมาฟังอีกครั้ง หลังจากเรามีข้อมูลใหม่ ณ ปัจจุบันมาวิเคราะห์เพิ่ม จะเห็นได้ว่าคนบางประเภทนี้คบไม่ได้เลยนะครับ ลองฟังช่วงปลายๆของคลิป(เน้นว่าคลิปนี้ทำช่วง 23/7/58 -1ปีก่อนหน้า) ฟังข้อมูลจากปากของคนบางประเภท(ช่วงเวลา37นาที) ทั้งๆที่ทราบว่า ช่วงการไปอังกฤษของคณะที่จบหลักสูตรวตทรุ่นที่ 20 ใครไปกับใคร ใครนั่งกับใคร ก็เห็นๆกันอยู่ เครื่องบินเดินทางก็ต้องมีไป13ชั่วโมง กลับ 13ขั่วโมง เรื่องความสัมพันธุ์ ของคุณชูวงษ์ บรรยินและอนุชา ยังพูดแบบคลุมเครืออย่างนี้ สังคมเราอยู่อยากมากครับ คนรอบข้างไม่มีมิตร มีแต่คนคบกันเพื่อผลประโยชน์ ใครเสียท่าก็จบไป ง่ายๆ แย่ครับ
ตามคดีกันต่อครับ วันนี้มาร้องอัยการให้เร่งรัดคดีอีกครั้ง แบบไทยๆครับ คนจีนเคยกล่าวว่า ถ้าคิดจะมีคดี ยอมกินขี้หมาดีกว่า สู้ๆ วันที่ 25 ก.ค. ที่สำนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง 53 นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง และนางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ ซึ่งเป็นภรรยาและพี่สาวของ นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจใหญ่ด้านรับเหมาก่อสร้าง เดินทางเข้าพบนายสุทธิ กิตติศุภพร อธิบดีอัยการ อาญากรุงเทพใต้ เพื่อติดตามความคืบหน้าการสั่งคดีที่ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล อดีตพริตตี้คนสนิทนายชูวงษ์ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล โบรกเกอร์คนสนิท พ.ต.ท.บรรยิน และ น.ส.ศรีธรา พรหมา มารดาของ น.ส.อุรชา ผู้ต้องหาคดีร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ร่วมกันลักทรัพย์ และรับของโจร ซึ่งเป็นหุ้นบริษัทของนายชูวงษ์ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท โดยพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานและสรุปความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 ส่งให้พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 พิจารณาตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 58 นางวันเพ็ญ กล่าวว่า สำนวนคดีโอนหุ้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องหาตั้งแต่เดือนส.ค.58 และส่งสำนวนให้อัยการแล้ว แต่ขณะนี้จะครบ 1 ปีแล้วทางอัยการยังไม่สั่งคดี ตนจึงมาขอพบอธิบดีอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อขอให้เร่งรัดคดี เพราะผู้ต้องหาทั้งหมดก็พ้นกำหนดฝากขังครั้งสุดท้าย ตัวจึงไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาล ผู้เสียหายก็มีความวิตกกังวลเป็นธรรมดาว่าอาจจะมีเหตุแทรกแซงการสั่งคดี อีกทั้งผู้ต้องหาก็มีความรู้ด้านกฎหมายเป็นอย่างดีได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมเพื่อยื้อคดี และมีเทคนิคในการข่มขู่ ทำให้ทางครอบครัวต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ตนก็พร้อมที่จะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมสู้คดีด้วย เชื่อว่ามีหลักฐานครบเอาผิดได้ ทั้งนี้ ในเวลา 13.30 น. วันเดียวกันจะไปขอเข้าพบ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริการ อัยการสูงสุด ที่สำนักงานอัยการสูงสุดที่ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ด้วย เพื่อติดตามคดีทั้ง 2 สำนวน เพราะเกรงอิทธิพลแทรกแซงคดี นางวันเพ็ญ กล่าวอีกว่า คดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชน และกองปราบก็ให้เรารวบรวมเอกสารเพิ่มหลังจากที่พ.ต.ท.บรรยินให้ข่าวว่าหุ้นที่โอนมาเป็นเงินของเขา แต่ผลการตรวจสอบหลายรอบก็ไม่พบว่าเป็นเงินของผู้ต้องหา ซึ่งพ.ต.ท.บรรยินไม่เคยนำเงินมาฝากให้นายชูวงษ์ มีแต่เป็นหนี้ทางเรา โดยยืมเงิน 5 แสนบาทให้น.ส.อุรชา ยังไม่คืน และยืมเงินอีก 5 ล้านบาทเพื่อนำไปลงทุน ซึ่งโอนคืนมาให้เพียง 3 ล้านบาท และที่ผ่านมายังขอความช่วยเหลือด้านการลงทุนจากนายชูวงษ์หลายเรื่อง แต่ตนเคยเตือนไป นายชูวงษ์ยังไม่ให้การช่วยเหลือ ส่วนที่มีข่าวว่าตนวิ่งเต้นคดี เพราะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์นั้น ขอเรียนว่าตนไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกและไม่ได้เป็นผู้รับผลประโยชน์จากประกันชีวิตของนายชูวงษ์ มูลค่า 80 ล้านบาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ต.ท.บรรยิน ยังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฆ่านายชูวงษ์โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน ถูกจับกุมตัวตามหมายจับที่รีสอร์ท อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากศาลให้ประกันตัวในวงเงิน 2 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการฝากขังครั้งที่ 3 ที่จะครบกำหนดวันที่ 3 ส.ค.นี้.. http://headshot.tnews.co.th/contents/197530/