รู้สึกว่าเดลินิวส์จะเปลี่ยนไปนะ ช่วงนี้เห็นลงข่าว"อาปูว์" ของเจ๊แดงประจำเดือนบ่อยจังเลย เมื่อวันที่ 28 ม.ค.นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงปัญหาในสัญญาการขายยางสต็อก 2.1 แสนตันให้กับประเทศจีน ที่อาจทำให้รัฐบาลไทยเสียเปรียบและขาดทุนจำนวนมากว่า ได้มีการตรวจสอบพบว่า ผู้ดำเนินการทำสัญญาในการซื้อขายยางในส่วนของไทยคือ องค์การสวนยาง (อสย.) โดยผู้ลงนามในสัญญาขณะนั้นคือ นายชนะชัย เปล่งศิริวัธน์ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการ อสย. ในส่วนของรายละเอียดสัญญา มีคณะกรรมการดูแลโดยนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมวิชาการการเกษตร เป็นประธาน และผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ทั้งนี้ในส่วนสัญญา ที่มีหนังสือแนบท้าย ผนวก 2 โดยกำหนดราคา ที่มีความแตกต่างกันกับหน้าสัญญา และให้ยึด ราคา ณ วันที่ลงนามในหนังสือแสดงเจตนาในการซื้อขาย วันที่ 13 ต.ค. 2557 คือ 50.95 บาท เป็นการตกลงในการซื้อขายและใช้เป็นเกณฑ์สำหรับยางที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งจาการตรวจสอบคุณภาพยางเป็นยางที่มีคุณภาพดีประมาณ 30% ของยางทั้งหมด โดยยางคุณภาพดีจะต้องยืนยันราคาขายตามสัญญา ซื้อขายที่ 63.56 บาทต่อกิโลกกรัม ในขณะนี้ขายไปแล้ว 377 ตัน ส่วนยางคุณภาพต่ำมีประมาณ 70% ได้ตกลงกันปรับลดในส่วนราคาตามกรอบเท่านั้น หากไม่ทำตามสัญญา และไม่รับมอบยาง จะต้องดำเนินการปรับบริษัทของจีน นายชวลิต กล่าวต่อว่า ในส่วนสถานการณ์ราคายางในตลาดขณะนี้ ยอมรับว่าสถานการณ์ราคารับซื้อ ค่อนข้างเป็นห่วง เนื่องจากการระบายยางออกนอกประเทศค่อนข้างล้าช้ากว่าที่กำหนดไว้ โดยจากนี้ไป คงจะต้องมาดูอีกทีว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ประเทศจีนมารับยางที่เหลือ ซึ่งหากไม่รับในส่วนยางที่ไม่มีคุณภาพ ก็ได้เตรียมพร้อมที่จะใช้ในประเทศ ส่วนยางที่มีคุณภาพ จะต้องเร่งขาย มิฉะนั้นจะเป็นปัญหากับราคายางในประเทศ รายงายข่าวเปิดเผยว่า ยางในสต็อกจำนวน 2.1 แสนตัน ที่ตกค้างมาจากโครงการแทรกแซงราคายางในสมัยรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเข้าแทรกแซงรับซื้อในราคา 108 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคายางในท้องตลาดอยู่ที่ 80 บาท ในช่วงที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์ และยังเป็นโครงการต่อเนื่องมาสมัยนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็นรมช.เกษตรฯ เข้ามารับซื้อต่อ ซึ่งหากขายให้กับประเทศจีนในราคาดังกล่าว จะทำให้โครงการนี้ในเบื้องต้นจะขาดทุนไม่ต่ำกว่า 1.4 พันล้านบาท