'สปช.'ชนมติมหาเถรฯ ลุยสอบ'กก.หลายรูป' 'สปช.' ดับเครื่องชนมติมหาเถรสมาคม 'ไพบูลย์' ลุยตรวจสอบ 'กรรมการหลายรูป' เหตุทางกม.ถือเป็นจนท.รัฐ แต่มีมติขัดและแย้งกับ 'พระลิขิต' และมติของมหาเถรฯปี 42 เสียเอง ย้ำส่วนตัว 'ธัมมชโย' ปาราชิกไปแล้ว ยกพระลิขิต 10 พ.ค. 42 ระบุชัด 'อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย'
อิ....อิ...กรรมการน่ะ มาจากระบอบประธิปไตยป่าว นักวิชาเกินเขาข้องใจนะ -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- นักวิชาการ ซัด!กก.ปฏิรูปพุทธฯไม่ชอบธรรม สอบเจ้าอาวาสธรรมกาย- ข้องใจแค่"เล่นการเมือง" นายสุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการ/คอลัมนิสต์ด้านศาสนา ได้แสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าวกับ "มติชนออนไลน์" โดยวิเคราะห์ความชอบธรรมของคณะกรรมการปฏิรูปพุทธศาสนา-กรณีธรรมกาย มีรายละเอียดดังนี้ ความชอบธรรมของที่มาคณะกรรมการปฏิรูปพุทธศาสนา เจตนาดีในการกระทำใดๆเกี่ยวกับเรื่องสาธารณะนั้นต้องอยู่บนฐานของ“ความชอบธรรม”และความชอบธรรมของคณะกรรมการปฏิรูปพุทธศาสนาต้องอยู่บนพื้นฐานสำคัญที่สุดใน2เรื่องคือ เป็นตัวแทนประชาชน และเป็นตัวแทนชาวพุทธ แต่การเป็นตัวแทนประชาชนต้องมาตาม “วิถีทางประชาธิปไตย” เท่านั้น ทว่าคณะกรรมการดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลจากรัฐประหาร จึงมีปัญหาความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนประชาชนตั้งแต่แรก ส่วนการเป็นตัวแทนชาวพุทธนั้น ถามว่าคณะกรรมการดังกล่าวได้รับ “ฉันทานุมัติ” จากคณะสงฆ์และชาวพุทธอย่างไรหรือ ที่ว่าจะมาปฏิรูปกฎหมายและกิจการพุทธศาสนาให้ “มีความทันสมัยและสอดคล้องต่อพระธรรมวินัย” นั้น คณะกรรมการดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของชาวพุทธทั่วไปว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการพระพุทธศาสนาพระธรรมวินัยอย่างไร http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424430789
พวกอลัชชี กับ พวกแดง ก็คงจะร่วมมือกันต่อต้านการปฏิรูป วงการพระศาสนา แน่นอน ถ้าไม่ทำในยุคนี้ ก็อย่าหวังจะได้ทำในยุคหลังจากนี้ เพราะ สนิมเนื้อใน จะกินแก่นพระศาสนาในประเทศไทยต่อไปเรื่อยๆ
ท่านทั้งหลายฟังไว้นะ อยากจะย้ำเตือนกัน(รวมไปถึงพระคุณเจ้ากีรเต้ด้วย) เคยมีคนถาม มรว.คึกฤทธิ์ ว่าอนาคตของประเทศไทย ท่านห่วงเรื่องใดมากที่สุด มรว.คึกฤทธิ์ ตอบว่า สภาเปสิเดียม ของ ชวลิต และ ธรรมกลาย
เอาให้อยู่หมัดไปเลยครับ สอบเส้นทางการเงินนี่แหละจะได้แถไม่ออกอีกว่ากรรมการหมาเถรสมาคมรับเงินมาจากใครหรือเปล่า งานนี้สนุกแน่ๆ จะได้เห็นเปรตห่มเหลืองเจอฉีกหน้ากากประจานต่อสังคมไปเลย
วิรังรอง ทัพพะรังสี Wirangrong Dabbaransi ช่วยกันแชร์หน่อยค่ะ ...มาร่วมช่วยกันให้ความรู้ปชช. คะ...."ประชาชนชาวพุทธทุกคน สามารถเข้าแจ้งความตามนี้เพื่อดำเนินคดีกับ กรรมการ มส ได้ทั่วราชอาณาจักรไทย.......มติของ มส ดังกล่าว เป็นมติที่ขัดทั้งหลักธรรมวินัย หลักกฎหมายบ้านเมือง หลักธรรมชาติ หลักศีลธรรมอันดีงาม หลักวิญญูชน จึงถือว่า มส เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัจิหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน (ชาวพุทธ)" ...... ตาม พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา ๑๕ ตรี (๔) บัญญัติให้มหาเถรสมาคม "รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา" การที่มหาเถรสมาคมมีมติว่าพระธัมมชโยไม่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะไม่มีเจตนายักยอกทรัพย์สิน รวมทั้งได้นำเอาทรัพย์สินมาคืนแล้ว จึงไม่ถือว่าปาราชิก นั้น มีประเด็นต้องพิจารณาว่ามติดังกล่าวขัดต่อหลักพระธรรมวินัยซึ่งมหาเถรสมาคมมีหน้าที่ต้องรักษาหรือไม่ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ [๑๒๓] ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ในทางกฎหมายบ้านเมือง มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับคดีเจ้าพนักงานยักยอกที่นำทรัพย์ที่ยักยอกมาคืน โดยศาลวินิจฉัยว่าเป็นความผิดสำเร็จ คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๓/๒๕๒๗ สารวัตรใหญ่สั่งให้จำเลยทำหน้าที่เก็บรักษาเงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจ การที่จำเลยนำเงินดังกล่าวไปฝากพี่สาว มิได้นำมาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการ หรือหากไม่มีตู้นิรภัย ควรจะเก็บเงินอย่างใด จำเลยก็จะต้องขอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินนั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น แม้จำเลยจะนำเงินมาคืนในภายหลัง ก็มีความผิดตาม ป.อ. ม.๑๔๗ มติของ มส ดังกล่าว เป็นมติที่ขัดทั้งหลักธรรมวินัย หลักกฎหมายบ้านเมือง หลักธรรมชาติ หลักศีลธรรมอันดีงาม หลักวิญญูชน จึงถือว่า มส เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัจิหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน (ชาวพุทธ) มส จึงไม่มีอำนาจพิจารณาเพื่อลงมติดังกล่าว การลงมติดังกล่าวของที่ประชุม มส จึงไม่มีผลผูกพันผู้หนึ่งผู้ใด ส่งผลให้มติดังกล่าวตกไป แถมมีมาตรา ๑๕๗ ติดปลายนวมให้ มส เสียด้วย ประชาชนชาวพุทธทุกคน สามารถเข้าแจ้งความตามนี้เพื่อดำเนินคดีกับ กรรมการ มส ได้ทั่วราชอาณาจักรไทย
ถ้าอยากได้คะแนนทางการเมือง คสช แค่ทำเรื่องการบริจาคเงินที่โกงมาจากสหกรณ์ยูเนี่ยน ให้รวดเร็ว จบ ตรงไปตรงมาตามข้อกฏหมาย ข้าราชการใครหน้าไหนดึงเรื่องไปมา ก็จัดการซะ ถอดออกจากตำแหน่งสำคัญ แขวนไม่ให้มีอำนาจ ถ้ามีเอี่ยว ช่วยเหลือ ก็เอาเข้าคุก เรื่องนี้ถ้าสืบสวนสอบสวนกันดีๆ ผมว่าถึงขั้นปิดนิกายธรรมกายได้เลย ที่มันเรื่องมันไม่ไปไหน เพราะสาวกที่มีอำนาจดึงเรื่อง ช่วยเหลือ เผลอๆ มีค่าน้ำร้อนน้ำชา สะพัด
งานนี้ ต้องบอกว่า กระเทือนหลาย ริกเตอร์เลยทีเดียว แม้แต่ สมศักดิ์(ไม่)เจียม ยังออกมาเล่นด้วย "จำเลย..เผยแผ่พุทธศาสนา...จนเป็นที่ยอมรับทั่วไป....จำเลยกับพวกมอบทรัพย์สินคืน... ขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ" - คือเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเลยในทางกฎหมาย (เผยแผ่ศาสนา ไม่ใช่เอามาอ้างไม่ฟ้องได้ ถ้าคนเผยแผ่ทำผิด ก็ต้องดำเนินคดี, คืนทรัพย์สินฯ ถ้าไม่ผิดจริง จะคืนทำไม คืนเท่ากับยอมรับโดยปริยายว่า ที่เอาไปผิด ซึ่งถ้าผิดก็ต้องฟ้องร้องเพราะได้ทำผิดไปแล้ว ยิ่งอ้างเรื่องกลัว "ความแตกแยก" นี่ยิ่งไม่เป็นเหตุผลสุดๆ) https://www.facebook.com/somsakjeam?fref=ts
ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง... พระศาสนาหม่นหมองมามากแล้ว.. ช่วยทำสิ่งที่ถูกที่ควร ที่เหมาะที่สม... เพื่อช่วยทำนุบำรุงพระศาสนา ด้วยครับ...
เจียม วิเคราะห์ก็ไม่แตก ที่เขาคืน เพราะเขาเล่นแง่ แบบศรีธนญไชย เพื่อรักษา และกล่าวอ้าง ความเป็นพระไว้ โดยอาศัยเจตนาเป็นหลัก กฎหมาย พวกนี้เขากลัวซะที่ใหน
ผมว่า ถ้าวัดไม่ผูกติดกับตัวเจ้าอาวาส และเจ้าอาวาสมีจิตในการจรรโลงพุทธศาสนาจริง ผมว่าเวลานี้เหมาะแก่การลาสิขา เพื่อให้เรื่องนี้กระทบจิตใจชาวพุทธน้อยที่สุด ไหนๆท่านก็ได้ควาบริสุทธิ์จอมปลอมไปแล้ว
หากจะว่ากันให้สุดซอย ยังมีรออีกหลายกระทงครับ -แก้ไขพระไตรปิฎก เพื่อให้เข้ากับสิ่งที่ตัวเองสอน เช่น การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า -ไม่เคารพ ดูหมิ่น และยกตนเหนือพระศาสดา เช่น การกล่าวว่า พระสมนโคดมแย่งพระศรีอาริยเมตไตรลงมาตรัสรู้ -บิดเบือนคำสอน เช่นพระนิพานเป็นอัตตา ไม่ใช่อนัตตาอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส นรกเป็นทีไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย อุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์
หากจะย้อนรำลึกถึงเรื่องเก่าเก่า กับ มหาเถระคลับ ก็จะได้เตือนกันว่า เคยมีวีรกรรมบันลือโลกซ้ำรอยมาก่อนแล้ว กรณี กิตฺติวุฒฺโฑสั่งรถวอลโว่เข้ามาโดยไม่ยอมเสียภาษี มหาเถรคลับก็ลงมติว่าเป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ และให้เอาเงินไปเสียภาษี เพื่อจบเรื่อง กรณีธัมฺมชโยก็เช่นกัน อ้างว่าได้คืนเงินไปแล้ว..... นี้คืออะไรครับ มหาเถระคลับ
เห็นมีบางตัวบอกว่าธรรมมะของพระพุทธเจ้าเหมาะสมกับสภาพสังคมในปัจจุบันหรือไม่นี่ผมหมดคำพูดเลย และเพิ่งออกมาพูดด้วยนะทำเหมือนอยากบอกว่าเรื่องธรรมมะหรือพระวินัยต่างๆ ควรปรับตามสภาพสังคม แต่เจตนาก็แค่อยากให้มติของมหาเถรๆ มางัดกับพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นนั่นเอง
การปรับตามสภาพสังคม ในทางพุทธศาสนา มีหลักดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง ๔ ข้อ ดังต่อไปนี้. ๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย. ๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย. ๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย. ๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
ใจความมีนิดเดียวก็คือมติของมหาเถรๆ ขัดพระบัญญัติยังไม่พอยังขัดกับสิ่งที่สมควรในสังคมอีก สังคมปัจจุบันยอมรับหรือกับการโกงเงินแล้วคืนก็ถือว่าไม่ผิด และส่วนตัวผมคิดว่าธรรมมะของพระศาสดาไม่น่าจะปรับใช้กับสังคมไหนๆ ไม่ได้ จนถึงขั้นต้องบัญญัติใหม่ให้เข้ากับสังคมนั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องต้องอาบัติปาราชิก อันนี้ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างเด็ดขาด
อยากได้อะไรขอให้บอก จะสนับสนุนเต็มที่เลย ธัมมี่นี่ร้ายพอๆ การบิดเบือนศาสนาชองพวก IS เลย ครอบงำคนด้วยความหลง
พระผู้ใหญ่ตีความเข้าข้างตัวเอง พระธรรมของพุทธศาสนาเป็น อกาลิโก คืิอ ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล ผมว่าไม่ล้าสมัย ใช้ได้ตลอด
ถ้าจะให้อธิบายคือ ความผิดของภิกษุ มี สองอย่างคือ ผิดตามพระวินัย กับ ผิดทางโลก(บ้านเมือง) ไชยบูลย์ ความผิดสำเร็จแล้วตามพระวินัย เมื่อรับเงินเขาไป เป็นของตัวเอง (ยักยอกทรัพย์) ทางพระวินัยถือว่าขาดจากความเป็นพระแล้วตั้งแต่เกิดเหตุ บวกกับมีลิขิตสมเด็จพระสังฆราชออกมา (ปาราชิก ข้อสอง) ส่วนความผิดทางโลก เมื่อได้คืนเงินให้ตามที่ศาลตัดสิน ถือว่าพ้นผิดก็จริง แต่ความผิดร้ายแรงตามพระวินัยยังคงอยู่ พวกที่ออกมาตัดสิน หรือ ออกมาปกป้อง ตัวเองก็เป็นพระ บางคนเป็นมาถึง ห้า หกสิบปี คิดข้อนี้บ้างหรือเปล่า พระบวชใหม่เรียนธรรมะพรรษาเดียว ยังรู้วินัยแม่นกว่า
เรื่องนี้มาตอกย้ำให้เห็นสัจธรรมว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป....ไม่เว้นแม้แต่ตัวศาสนาพุทธเอง ยิ่งเสื่อมถอย จนในที่สุด ศาสนาพุทธก็จะสิ้นสุด พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๔๔๖ [๒๐๑] สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันใกล้เมืองกิมิลา ครั้งนั้น ท่านพระกิมพิละได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในศาสดา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม เป็นผู้ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในสงฆ์ เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสิกขา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน ดูก่อนกิมพิละนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน
พระที่ออกมาลงมติเข้าข้าง ไชยบูลย์ จะยังมีหน้ามาสั่งสอนชาวบ้านได้อย่างไร การยักยอกทรัพย์เป็นความผิดร้ายแรง ทั้งทางธรรม และทางโลก เลยทีเดียว
อีกหน่อยพวกลักทรัพย์จะต้องเอายิ่งนี้ไปเป็นข้ออ้างกับศาลได้เลย ทางธรรมผมเชื่อคำสอนของจานบิน ทางโลกผมจึงไม่ผิด ดังนั้นศาลต้องยกฟ้อง ห่มเหลืองเสพยาบ้าโดนจับแต่พอหายเมายาฉี่ไม่มีสีม่วงต้องปล่อยเพราะหายเมาแล้วทางโลกจึงไม่ผิด ห่มเหลืองเสพเมถุนกับสีกาเพราะความใคร่ เมื่อเสร็จกิจความใคร่จึงไม่ผิดเพราะปลดปล่อยไปแล้ว ทางโลกก็ไม่ผิด ห่มเหลืองยิงปืน พกปืน ขับรถ ล้วนไม่ผิด เพราะทุกอย่างจะบอกว่าไม่ได้ทำแล้ว เอาอย่างนั้นดีไหม เถรมุสาสมาคม ถามหน่อยจีวรแพงป่ะจะไปซื้อมาทำผิดกฏหมายมั่ง เพราะยังไงเถรมุสาสมาคมตอบไม่ได้หรอกต้องรอเหล่าบบรรดาสมาชิกมาป้อนข้อมูล พระผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่ที่เป็นพระ เลือกเอานะ
เพราะเราโลกสวย เชื่ออย่าบริสุทธิ์ใจว่า ทุนนิยมและประชาธิปไตยจะนำความเจริญงอกงามมาให้แก่เราเสมอ ไม่ต้องกังวลอะไรให้มากไปนักก็ได้
สอบทรัพย์สินมหาเถรสมาคม! พุทธะอิสระเปิดเกมใหม่ เอาให้ตายไปข้างหนึ่ง http://www.alittlebuddha.com/ ก็ดีครับ การเมืองมันไม่มีกฎกติกาอะไรอยู่แล้ว ใครมีอำนาจก็ใช้อำนาจไป ไม่ว่าจะพร่ำเพรื่อหรือไม่ แต่ให้ระวังเอาไว้ด้วย ว่าถ้าอันธพาลและกระแสย้อนกลับ หรืออำนาจเปลี่ยนมือ คุณก็คือคนที่จะต้องถูกเอาคืน ดังนั้น เล่นอะไรก็อย่าบ้าดีเดือด มิใช่ว่าพอไม่ได้แบบนี้ก็จะเอาแบบโน้น ต่อยมวยไม่มีกติกาและมารยาท มันก็เป็นได้แค่..หมากัดกัน เท่านั้นเอง อย่าลืมว่า วิถีชีวิตของพระป่า (อารัณยวาสี) กับพระบ้าน (คามวาสี) มีความแตกต่างกันอย่างมาก และโลกปัจจุบันเปลี่ยนไป จะกฎจะเกณฑ์อะไรก็ต้องพินิจพิจารณาให้ถ้วนถี่ ไม่ต้องเอาไกลหรอก ไปเทียบวิถีชีวิตของ "พระธรรมยุต" ดูซี เวลาแค่ 100 ปี หลังจาก ร.4 อภิวัฒน์หรือปฏิรูปพระพุทธศาสนา ถามว่า เวลานี้ ธรรมยุต มีอะไรแตกต่างจากมหานิกายตัวอย่างมีไม่ไกล ใช้ให้เป็นเถิด ..จะเกิดผล
การเมืองมีกติกาแต่นักการเมืองไม่เคารพกติกามากกว่าครับ ข้อความนี้ผมถือว่าเป็นการข่มขู่นะครับ อำนาจจะเปลี่ยนมือหรือไม่ ยังมีกฎหมายที่คอยปรามพวกชั่วๆอย่างป่าช้าครับ ถ้าป่าช้าคิดจะแก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ตนเองแล้วอ้างประชาชน จะเจอประชาชนเอาคืนเหมือนกันครับ มติมส.ไม่ใช่กฎหมายนะครับ มส.ก็ไม่ใช่ศาล มส.เป็นองค์กรที่ตั้งด้วยกฎหมาย ดังนั้นกฎหมายเล่นงานได้ครับ ธรรมยุตยังต่างกับมหายุตครับเพราะธรรมยุตเคร่งกว่าเยอะ ถ้าคิดว่าท่านพุทธอิสระจะกลัวคำขู่ อย่าหวังเลยครับ ท่านผ่านกระสุน ผ่านระเบิดและโดนวางยามาแล้ว ผมว่าไอ้คนขู่เดินนำหน้ามาเลยครับจะได้เปิดเผยอลัชชีอีกตัว เอาสิครับ ตกลงลัทธิจานบินตรงคำสอนนิกายไหนครับ สำหรับธรรมยุตไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง ธรรมยุตก็ยังต้องเรียนรู้ที่จะละทางโลกครับ จริงๆแล้วพระในศาสนาพุทธต้องละทางโลกให้ได้ครับ แนวคิดพระพุทธศาสนาไม่เคยล้าสมัย จริงๆก็ทุกศาสนาครับ แต่คนมันไม่ยอมปฏิบัติตาม
ถามจริงว่าโพสแต่ละอย่าง ใช้สมองคิดบ้างหรือเปล่า รู้จริงเรื่องอะไรบ้าง จะพระป่าพระบ้าน ถึงวิถีต่างกันแต่ก็ใช้หลักคำสอนเดียวกัน กฏของสงฆ์เดียวกัน เคยมีใครสอนหรือครับว่าพระรับเงินได้ พระสามารถแสดงอภินิหารได้ มีตำราไหนบอกว่าเดินบนกลีบกุหลาบกับดอกดาวเรืองทำให้ได้บุญ ถ้ามีเอามาให้ดูหน่อย กลับไปเรียนตั้งแต่ประถมใหม่เถอะ
ป่าช้าครับธุดงค์ในเมืองนี่พระไตรปิฎกข้อไหนครับ ป่าช้าตอบหน่อย ถ้าแน่จริงไม่ดีแต่แปะแล้วชิ่ง เป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับผิดชอบคำพูดตัวเองครับ
ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกได้ทะนุบำรุงพระภิกษุด้วยปัจจัย 4 อย่างเต็มที่ เพื่อความสะดวกในการบำเพ็ญเพียร ปรากฎว่ามีนักบวชนอกศาสนาเนียนเข้ามาบวชในศาสนาของพระศาสดา พอบวชแล้วก็ยังสั่งสอนตามลัทธิของตน จำนวนพระภิกษุนอกรีตมีมากกว่าพระภิกษุแท้ๆ จนพระภิกษุแท้ๆทนไม่ไหวไม่ยอมทำสังฆกรรมร่วมกับพระภิกษุนอกรีตอยู่หลายปี พระเจ้าอโศกทราบความแตกแยกนี้จึงให้ข้าราชการไปจัดการให้พระภิกษุทำสังฆกรรมร่วมกัน แต่พวกข้าราชการเข้าใจคำสั่งไม่เคลียร์ ดังนั้นเมื่อพระแท้ๆปฏิเสธไม่ยอมทำสังฆกรรม ข้าราชการจึงสังหารพระภิกษุไปหลายรูป ฐานที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชโองการ เมื่อพระเจ้าอโศกทราบเรื่องการสังหารพระก็ทรงร้อนใจ ปรึกษาพระภิกษุ บางรูปก็ว่า พระเจ้าอโศกไม่บาปเพราะไม่ได้สั่งให้ฆ่า แต่บางรูปก็ว่าบาป เพราะทรงเป็นต้นเหตุ พระเจ้าอโศกจึงอาราธนาพระมหาเถระที่เชี่ยวชาญที่สุดรูปหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ แต่ท่านให้คำตอบว่า ไม่บาป เพราะพระเจ้าอโศกไม่มีเจตนาจะฆ่า พอพระเจ้าอโศกสบายพระทัยแล้ว ก็โปรดให้ประชุมพระภิกษุทั่วราชอาณาจักร ให้มานั่งชุมนุมกันตามกลุ่มก้อนของตน แล้วให้อธิบายพระธรรม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็อธิบายเพี้ยนไปจากพระธรรมจริงๆ พวกนี้ท่านพระราชทานผ้าฆราวาส ให้สึกออกไปจากพระศาสนาเสีย คงเหลือแต่พระภิกษุแท้ๆที่เข้าใจพระธรรมโดยแท้จริง เมื่อกรองอลัชชีออกไปจากพระศาสนาแล้ว จึงเริ่มต้นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่สามในประวัติศาสตร์ และนำไปสู่การส่งพระธรรมทูต 9 สาย นะจ๊ะ...
การกระทำสังคายนาครั้งแรกหลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน ประมาณ ๔ เดือน ณ ถ้ำสัตตบรรณ เขาเวภาระ เมืองราชคฤห์ การกระทำสังคายนาครั้งที่ ๒ หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน ประมาณ ๑๐๐ ปี ณ วาลุการาม กรุงเวสาลี โดยปรารภวัตถุ ๑๐ ประการที่พระภิกษุชาววัชชียกขึ้น การกระทำสังคายนาครั้งที่ ๓ หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน ประมาณ ๒๓๔ ปี ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ความหมายและความมุ่งหมายของการสังคายนา คำว่า สังคายนา มีความหมายอย่างเดียวกับ สังคีติ ทั้งสองคำนี้แปลตามศัพท์ว่า “การขับขานขึ้นพร้อมกัน” คำที่เราค่อนข้างจะคุ้นคือ คำว่า สังคีต ที่แปลกว่าการร้องรำทำเพลง ก็มีรากศัพท์เดียวกัน คือ สํ = พร้อมกัน , ร่วมกัน + คีต หรือ คีติ = เพลง , ร้องเพลง , ขับเพลง ทำไมจึงเอาคำว่า สังคีติ ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับการร้องรำทำเพลงโดยเฉพาะมาใช้กับการสังคายนาพระธรรมวินัย ? เหตุผลของเรื่องนี้อยู่ในข้อเท็จจริงของการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยแรก การเผยแผ่หรือการประกาศพระศาสนาในยุคนั้นย่อมใช้วิธี พูดให้ฟัง คือมีผู้พูดและมีผู้ฟัง ยังไม่มีวิธี เขียนให้อ่าน หรือวิธีอื่นใดอีก ถ้าผู้พูดเป็นคนคนเดียวกันหรือพูดคนเดียว ก็คงไม่มีปัญหาในเรื่องพูดผิดกันแต่เพราะกาลต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์สาวกมากขึ้น จำนวนผู้ออกประกาศพระศาสนามีมากขึ้น การพูดเรื่องเดียวกันแต่พูดผิดกันก็ย่อมจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากขึ้นด้วย ผู้ประกาศพระศาสนา คือพระสงฆ์สาวกทั้งหลายจึงต้องหาโอกาสพบปะกัน แล้วซักซ้อมความเข้าใจกันว่า เรื่องนี้ ๆจะพูดกันอย่างไรจึงจะตรงกัน วิธีซักซ้อมก็คือพูดพร้อม ๆกันโดยยกเอาคำตรัสสอนของพระบรมศาสดาขึ้นเป็นหลัก การพูดถึงคำตรัสสอนพร้อม ๆ กันนี่เองเป็นที่มาของการสวดมนต์ การสวดมนต์ ก็คือการทบทวนคำตรัสสอนนั่นเอง เมื่อมาทบทวนพร้อม ๆ กันหลาย ๆ เสียงสวดพร้อมกัน เพื่อให้ได้ถ้อยคำที่ถูกต้องตรงกัน เสียงที่เปล่งออกมาพร้อม ๆ กันเช่นนี้ จึงมีลีลาอาการคล้ายกับการขับขานเพลงอยู่ในที จึงเรียกการกระทำเช่นนี้ว่า สังคีติ หรือ สังคายนา ที่แปลตามศัพท์ว่า การขับขานขึ้นพร้อมกัน แต่เจตนาของการกระทำเช่นนั้น มิใช่มุ่งจะร้องรำทำเพลงอย่างชาวบ้าน แต่มุ่งที่จะซักซ้อมหรือทบทวนคำสอนให้ถูกต้องตรงกันเป็นสำคัญความหมายของคำว่า สังคีติ หรือสังคายนา จึงมีว่า การซักซ้อม , การสวดพร้อมกันและเป็นแบบเดียวกัน และเมื่อนำวิธีการเช่นนี้มาใช้กับหลักคำสอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนา จึงมีความหมายว่า การประชุม ชำระพระไตรปิฎกให้เป็นแบบเดียวกัน (พจนานุกรมฉบับราบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๒๕) พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์ ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ให้คำจำกัดความไว้ว่า การสวดพร้อมกัน , การร้อยกรองพระธรรมวินัย , การประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าวางลง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สรุปได้ว่า ความหมายของการสังคายนาก็คือ การชำระสอบทานพระธรรมวินัยคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องตรงกันเป็นแบบแผนอันเดียวกัน ถามว่า ในปฐมสังคายนาท่านได้ทำอย่างนั้นหรือเปล่า ตอบว่า ท่านก็ทำอย่างที่ว่านี้นั่นแหละ ขอให้ศึกษาได้จากพระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๖๑๘ และ ๖๑๙ ข้อความตอนนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ที่ประชุมสงฆ์ในการทำปฐมสังคายนาได้มีการซักถาม ตรวจสอบ ทบทวน ทั้งพระวินัยและพระธรรมกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพียงแต่ว่าท่านบันทึกไว้แบบสรุปความให้รู้ว่าทำกันอย่างนี้ ไม่ได้บันทึกรายละเอียดทุกเรื่องทุกคำ แต่ขอให้เข้าใจว่า ท่านซักถามทบทวนกันทุกเรื่องทุกคำ (เหตุเกิด พ.ศ.2545 - นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ป.ธ. ๙ , ร.บ.)
จากข่าวสลด พระเมธีธรรมาจารย์ ระบุพระเคลื่อนไหวใหญ่ ต้าน สปช. เมื่อ 21 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์แก่ Thaivoicemedia กรณีการเคลื่อนไหวของ พระสุวิทย์ หรือ พระพุทธอิสระ อดีตแกนนำกปปส.เจ้าอาวาสวัดอ้อมน้อย ที่เคลื่อนไหวกดดันให้ กรรมการมหาเถรสมาคม เอาผิดกับ พระเทพมหาญาณมุนี หรือ พระธัมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กรณีการไม่ปฎิบัติตาม พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ทั้งที่ มหาเถรสมาคม ได้แถลงข่าวยืนยันแล้วว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ปฎิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชแล้วทุกประการ โดย พระเมธีธรรมจารย์ กล่าวว่า เป็นความต้องการของ พระสุวิทย์ และสำนักสันติอโศก โดยการสนับสนุนของ สนช. และ สปช.สายกลุ่ม กปปส. ที่เข้าไปเป็นคณะกรรมการปฎิรูป ซึ่งเท่ากับ เป็นการนำศาสนามาเล่นการเมือง สร้างความขัดแย้ง ขณะที่ประเทศต้องการปรองดอง เป็นเรื่องอันตราย และน่ากลัวอย่างยิ่ง และการที่ สำนักงานปฎิรูปแห่งชาติ มีการแต่งตั้ง http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU5EVXlPVEEyT1E9PQ==