ประเด็นที่ 1 ฆราวาสจะต้องไม่มีสิทธิเข้าไปจัดการทรัพย์สินของวัด เพราะ ผิดพระธรรมวินัยที่ให้สงฆ์จัดการกันเอง ทางออก จะต้องกำหนดให้วัดและศาสนาสถานของศาสนาอื่นเป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่งที่จะต้องมีการรายงานรายรับรายจ่ายเพื่อความโปร่งใส กำหนดให้พระสงฆ์และนักบวชในศาสนาอื่น ถึงแม้จะไม่เสียภาษี แต่จะต้องรายงานทรัพย์สินที่ได้มาจากการบริจาคกับหน่วยราชการซึ่งเป็นรายรับและรายจ่าย เพื่อพิสูจน์ว่าได้มาและนำไปใช้จ่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำเหมือนการยื่นแบบภาษีของประชาชนทั่วไป พระสงฆ์ก็ต้องยื่นแบบรา่ยรับรายจ่ายประจำปีเช่นกัน ทรัพย์สินของพระสงฆ์ที่ได้รับมาระหว่างดำรงสถานะ ซึ่งจะต้องรายงานตามข้อ 2 นั้น เมื่อขาดจากความเป็นพระ ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จะต้องคืนทรัพย์สินส่วนที่เหลือดังกล่าวให้กับวัดทันที การรับเงินบริจาคจากองค์การต่างประเทศในกิจการบำรุงศาสนามากกว่า 1 ล้านบาท จะต้องมีการรายงาน ผมว่าแค่นี้นอกจากจะไม่ขัดพระธรรมวินัย ที่จะให้ฆราวาสผู้มีกิเลสมากกว่าพระเข้าไปยุ่งกับ ศาสนสมบัติแล้ว ยังช่วยให้ฆราวาสและหน่วยราชการ สอดส่องโจรที่สวมผ้าเหลืองเช่นกัน
พระบาลี เอวฺจ ปน ภิกฺขเว อิม สิกฺขาปท อุทฺทิเสยฺยาถ โย ปน ภิกฺขุ ชาตรูปรชต อุคฺคเณฺหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺต วา สาทิเยยฺย นิสฺสคฺคิย ปาจิตฺติยนฺติ ฯ อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี1 ให้รับก็ดี2 ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงินอันเขาเก็บไว้ให้3, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. สิกขาบทอื่นที่เกี่ยวข้อง เรื่องวัตถุอนามาส ๑๐ เงิน(กินความรวมทั้ง gold money silver)เป็นวัตถุต้องห้าม ภิกษุจับ เป็นอาบัติทุกกฏ [๗๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้นนั้น มหาอำมาตย์ ผู้อุปัฏฐากของท่านพระอุปนันท- ศากยบุตร ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปกับทูตถวายแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตรสั่งว่า เจ้าจงจ่าย จีวรด้วยทรัพย์จ่ายจีวรนี้ แล้วให้ท่านพระอุปนันทครองจีวร. จึงทูตนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันท- ศากยบุตร ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ กะท่านพระอุปทนันทศากยบุตรว่า ท่านเจ้าข้า ทรัพย์สำหรับ จ่ายจีวรนี้แล กระผมนำมาถวายเฉพาะพระคุณเจ้า ขอพระคุณเจ้าจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร. เมื่อทูตนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้ตอบคำนี้ กะทูตนั้นว่า พวกเรารับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไม่ได้, รับได้แต่จีวรอันเป็นของควรโดยการเท่านั้น; เมื่อท่านตอบอย่างนั้นแล้ว ทูตนั้นได้ถามท่านว่า ก็ใครๆ ผู้เป็นไวยาวัจกรของท่านมีหรือ? ขณะนั้น อุบาสกผู้หนึ่งได้เดินไปสู่อารามด้วยกรณียะบางอย่าง จึงท่านพระอุปนันท- ศากยบุตรได้กล่าวคำนี้กะทูตนั้นว่า อุบาสกนั้นแล เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย. จึงทูตนั้น สั่งอุบาสกนั้นให้เข้าใจแล้ว กลับเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตรแจ้งว่า ท่านเจ้าข้า อุบาสกที่พระคุณเจ้าแสดงเป็นไวยาวัจกรนั้น, กระผมสั่งให้เข้าใจแล้ว; ขอพระคุณ เจ้าจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครองจีวรตามกาล.
แก้กฎหมาย หรือ ทำความเข้าใจกันใหม่ ว่า ... ศาสนสถาน / เงินบริจาค เป็นสมบัติของชาติ ของแผ่นดิน ของชุมนุม ไม่ใช่ของพระสงฆ์
ผมเสนอว่าเงิน ทรัพย์สิน โฉนดที่ดิน ที่บริจาคหรือทำบุญหรือจากการขายวัตถุมงคล ให้ทางวัด เมือรับเงิน ให้จัดทำบัญชีไว้ และตรวจสอบรายไตยมาสโดยผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาติ และให้บริจาคเงินทั้งหมด(หลังหักค่าใช้จ่ายได้ไม่เกิน....เปอร์เซ็นต์) ให้วัดบริจาคต่อให้แก่โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาลเด็ก โรงพยาบาลรัฐต่างๆทั่วประเทศ ภายในสามสิบวัน หากทางวัดจะสร้างวัด ให้ใช้แบบวัดของ(อะไรก็ว่าไป) โดยมีราคากลาง และแบบกลางที่เปรียบเทียบได้
ผมว่าแค่จัดระเบียบให้พระเป็นพระที่แท้จริง สึกพระปลอมที่ทำผิดพระธรรมวินัยออกให้หมด แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วอะครับ ทำได้ทันทีด้วย เพราะกฏเกณฑ์ต่างๆก็มีอยู่ครบหมดแล้ว ที่มั่วกันอยู่ตอนนี้เพราะ ไม่มีการจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนแยกไม่ออกแล้วว่าวัดนี้มีพระจริงกี่รูป สมีกี่คน เพราะห่มผ้าเหลืองเหมือนๆกันไปหมด
อืม ตรรกะควายๆแบบนี้ ควายแดงเท่านั้นที่คิดได้ ตรวจสอบความโปร่งใสคือการรังแก นี่ก็ตรรกะควายๆเหมือนกัน ควายแดงเท่านั้นที่คิดได้ มุสลิมกับคริสต์มีเรื่องเสื่อมเสียฉ้อโกงประชาชนหรือเปล่าหล่ะครับ จัดการธรรมะกลายก่อนนี่แหละ ไม่ใช่ศาสนาพุทธแต่แอบอ้างเป็นศาสนาพุทธ
คำนำบางส่วน ………………………………………………………………………………………………………………………………………. อยากแข็งแรงสุขภาพดีต้องออกกำลังกายฉันใด อยากใช้เหตุผลอย่างแข็งแกร่งก็ต้องออกกำลังสมองฉันนั้น ฉะนั้นยิ่งเราถกเถียง เราก็ยิ่งจะฉลาดขึ้นโดยอัตโนมัติ ....ใช่ไหม? แต่โชคร้าย การออกกำลังสมองไม่เหมือนกับการออกกำลังกาย ยิ่งเราวิ่ง เรายิ่งได้เหงื่อ แต่เรายิ่งเถียงอาจยิ่งเหนื่อยเปล่า เซลล์สมองนับล้านตายไปโดยที่ไม่ได้ลับ “ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์” (ฝรั่งเรียกว่า analytical thinking skill) แม้แต่น้อย โดยเฉพาะถ้าเราเถียงแบบเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ไม่ใช้เหตุผลหรือใช้เหตุผลผิดพลาด แถออกทะเลไปเรื่อยๆ หนักข้อเข้าอาจทำให้คนอื่นรำคาญจนไม่อยากคุยด้วยอีกต่อไป พูดง่ายๆ คือ กลายเป็น “เกรียน” โดยไม่รู้ตัว อินเทอร์เน็ตจึงทำให้โลกของเรากว้างขึ้นหรือแคบลงก็ได้ ทำให้เราฉลาดขึ้นหรือโง่ลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งสติกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารขนาดไหน ตั้งใจใช้เหตุผลพิจารณาข้อถกเถียงของคู่สนทนาหรือไม่ “ตรรกะวิบัติ” หมายถึงข้อถกเถียงที่ใช้เหตุผลผิดพลาด โดยที่ตัวข้อถกเถียงนั้นเองอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น สมมุตินาย ก. พูดว่า “โลกร้อนขึ้นเพราะน้ำมือมนุษย์” นาย ข. เถียงว่า “แต่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกนะ” แบบนี้ นาย ข. กำลังใช้ตรรกะวิบัติ เพราะพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศไหน ก็ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับประเด็นที่ นาย ก. ตั้ง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ นาย ข. พูดจะถูกต้อง คือพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกจริงๆ ก็ตาม ……................... อ่านหนังสือบ้างเหอะ คุณป่าช้า อย่ามัวแต่หมกหมุ่นทำยอด like แถวนี้เลย เสียเวลาเปล่า
เพจตบดิ้นสับคนเขียน (สฤณี) เละเลยครับ บอกประมาณว่า เขียนหนังสือตรรกะวิบัติ ดันโพสต์ตรรกะวิบัติซะเอง ........
วิบัติกันได้ทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา ไม่เว้นแม้แต่คนเขียน ก็วิบัติได้ ถ้าไม่ไตร่ตรอง ผมเองก็วิบัติทีมาแนะนำ ตรรกะวิบัติ ในกระทู้นี้
ศาสนสมบัติ เงินบริจาค แก้ปัญหาอย่างไร ประเด็นที่ 1 ฆราวาสจะต้องไม่มีสิทธิเข้าไปจัดการทรัพย์สินของวัด เพราะ ผิดพระธรรมวินัยที่ให้สงฆ์จัดการกันเอง ข้อนี้ต้องขอถามก่อนครับ ว่า ผิดพระธรรมวินัย จริงหรือ??? ผมไม่แน่ใจ ผู้รู้ช่วยอธิบาย หน่อยครับ เพิ่มเติมหนังสือที่น่าสนใจ(ผมยังอ่านไม่จบ) รายงานฉบับสมบูรณ์ของโครงการศึกษาการบริหารการเงินวัดในประเทศไทย https://www.google.co.th/url?sa=t&r...UghBrqAbxxmryWd6kyys2pA&bvm=bv.87269000,d.dGc
เอาที่ที่รู้นะครับ วัดที่มีรายได้เข้าที่เป็นวัดหลวงวัดใหญ่ ๆ จะมีระบบของทางวัดเองมีคนดูตรวจสอบก็ฆราวาสนี่แหละ สงฆ์จะมานั่งทำบัญชีรับ-จ่ายก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ทางฝ่ายฆราวาสจะมีประธาน รอง กรรมการ เหรัญญิก และอีกหลายฝ่าย ทำงานกันตรงนี้ ส่วนวัดที่ยังที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนถ้าจัดการระบบดีก็จะเหมือนวัดหลวงต่างกันแค่ยังไม่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น ส่วนวัดเล็ก วัดชนบทนั้นที่ห่างไกลความเจริญ สงฆ์ก็ดูแลกันเองเพราะทรัพย์คงไม่เยอะเป็นร้อยล้านแน่
ส่วนสิ่งปลูกสร้างวัดหลวงทุกอย่างขึ้นทะเบียนหมดจะแก้ไขดัดแปลงต่อเติมต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง วัดที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนทำอะไรได้ตามชอบไม่ต้องขออนุญาต อย่างจานบินเคยขอไหมครับ เพราะเริ่มสร้างจะเป็นสำนักสงฆ์ หรือสำนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น ถามสำนักพุทธดูว่าทำอะไรบ้างกับวัดต่าง ๆ จะมาบอกว่าผิดอาบัติสงฆ์ง่ายไป เพราะถ้าผิดวัดหลวงก็ต้องผิดหนักล่ะครับ ก็สำนักพุทธนี่แหละคอยดูแล วัดหลวงจะเทถนนใหม่ไม่ได้ไปขอเถรสมาคม ต้องผ่านไปสำนักพุทธ แล้วขึ้นทะเบียนวัด เถรสมาคมไม่ได้เป็นผู้ทำแล้วใครทำ ก็ฆราวาสนี่แหละ ตกลงมันแยกกันไม่ออกหรอกครับ
ขอบคุณ ครับ แต่ ขออีกนิดเถอะ ฆราวาสจะต้องไม่มีสิทธิเข้าไปจัดการทรัพย์สินของวัด เพราะ ผิดพระธรรมวินัยที่ให้สงฆ์จัดการกันเอง เรื่องนี้ผมไม่ทราบจริงจริงครับ ว่าเป็นอย่างนี้หรือเปล่า?
ผมถึงบอกไง สำนักพุทธ ทำหน้าที่อะไร ตัวเจ้ากี้เจ้าการเลยแหละสำนักนี้ ทรัพย์สินของวัดหลวงสำนักพุทธดูแล สำนักพุทธคือฆราวาส แล้วจะผิดได้อย่างไรครับ ถ้าผิดยุบสำนักพุทธทิ้ง ขึ้นทะเบียน ตรวจสอบ เอาง่าย ๆ ครับ วัดดังแปดริ้ว ถ้าสงฆ์ทำกันเองผมว่าฆ่ากันตายไปแล้ว นี่ขนาดมีคนสำนักพุทธดูแล เงินยังปลิวได้เลย โบสถ์พัง วิหารพัง แจ้งสำนักพุทธ เดี๋ยวกรมศิลปมาดู และซ่อม อันนี้วัดหลวงนะครับ ก็ฆราวาสอีก เจ้าอาวาสวัดหลวงดัง ๆ ใหญ่ ๆ ยึดติดว่านี่คือวัดกู เงินโยมเอามาถวายกู เป็นของกู ป๊าดดดด ทุกอย่างมันของหลวง วัดไม่ขึ้นทะเบียนยังเป็นสิทธิ์ของเจ้าอาวาส แต่สำนักพุทธเข้าไปก็จริงแต่ก้าวก่ายอะไรมากไม่ได้แค่นั้นเอง ทำไมถึงอ้างผิด
ทำไมถึงอ้างผิดพระธรรมวินัย ก็แค่ไม่อยากให้ตรวจสอบไงครับ พระสมควรสะสมทรัพย์หรือ ไม่มีลูก ไม่มีเมีย โกยไปให้ใคร นอกจากสึกหนีมีเงินใช้ สำนักธัมมี่นั่นแหละเป็นตัวอย่าง ทำอะไรก็ได้เพราะไม่ขึ้นกับหลวง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ชุดทำงานแต่ละวัดจะมีทั้งฝ่าย สงฆ์ และฝ่ายฆราวาส เหมือนกันทุกตำแหน่ง ไม่ว่า ประธานฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายฆราวาส เหรัญญิกฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายฆราวาส
ที่เราทำอยู่ ถ้าเป็นปัจจัยที่ถวายให้แก่สงฆ์ จะไม่ยุ่งเกี่ยว ให้กรรมการวัด มารับ มาดูแล และตรวจสอบกันเอง เดือนหนึ่งจะมีการประชุมชี้แจงรายละเอียดรายรับรายจ่าย โดยเราเพียงให้คำปรึกษาเท่านั้น
วัด ต้อง ยื่น บัญชี ทรัพย์สิน และ งบดุล ทุกปี บังคับ เป็น กฎหมาย ปัจจุบัน สำนักบัญชี เยอะแยะ ไม่ได้แพงมาก
รอป่าช้าไปตรวจสอบอยู่นี่ไง จะไปเจาะไอร้อง ปาดังเบซาร์ หรือเบตงล่ะ แจ้งที่อยู่มาเลยเดี๋ยวควักกระเป๋าซื้อตั๋วรถทัวร์ส่งไปให้ แต่ถ้าเก่งแต่เห่าหอนหน้าแป้น หน้าตัวเมียไม่กล้าไป ก็บอกมา