ผมว่า สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน ควรจะรณรงค์กันทั้งประเทศว่า "อย่าเอาโจร มาห่มเหลือง" มากกว่า 5555
ขรัวช่วงจะเอาจริงๆหรอ ปรกติพระที่มีข้อครหา (และท่านเป็นพระดี) ท่านจะรู้ตัวเองได้ว่าอะไรควรไม่ควร และจะไม่ขอรับตำแหน่งเอง แต่นี้อยากเป็นมากจน...
กะแล้วเชียว ไอ้อย่างเนี้ย มันต้องเป็นร่างอวตาร ของไอ้หมาตัวใดตัวหนึ่งในบอร์ดนี้แน่นอน บักปีเตอร์เอ๊ย แปะแล้วก็ไป แน่จริงออกมาแสดงเหตุผลหน่อยสิ อย่าช้า
อย่าเอาสมีมาสอนธรรมและปกครองสงฆ์ และพระโกหกไม่ใช่สงฆ์ แค่เหลือบเกาะศาสนาหากิน เดี๋ยวขาบวมนะ ฝนตกออกไปสวดมนต์ตากฝนยิ่งได้บุญนะ เผื่อไม่รู้
ต้อง ถาม ปีเตอร์ - ตำแหน่ง สังฆราช อยู่ใน พระไตรปิฎก เล่มไหนครับ - พระพุทธเจ้า แต่งตั้งใคร ให้เป็น ตัวแทนท่านต่อ หลังจากท่าน นิพพาน - ตำแหน่ง สังฆราช ตั้งแต่ อดีตมา ใครแต่งตั้ง เป็น เรื่อง ศาสนจักร หรือ อาณาจักร สัมพันธ์กันอย่างไร - ตำแหน่ง สังฆราช และ ราชาคณะได้รับ ผลตอบแทนหรือไม่ เป็นเงินจากใคร ถ้าตอบคำถามนี้ ได้ ก็จะ - พระที่เข้าใจ ธรรมวินัย ก็จะไม่แย่งชิง ตำแหน่ง สังฆราช - ใครมีอำนาจแต่งตั้งสังฆราช
จะติดตรงนี้ครับ เมื่อสถาปนาแล้ว คดีความยังไม่จบสิ้น(1. เรื่องรถ ) และไม่รู้ว่ามีเรื่องใหนอีกหรือไม่ ถ้าได้ขึ้นศาลหละครับ จะทำยังไงทีนี้ชาวพุทธ คิดถึงตรงนี้บ้าง เอาอย่างนี้ ขอขมาโทษที่เอ่ยนามท่านนะครับ แค่ยกเป็นตัวอย่าง สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกพระองค์ว่า "สังฆราชไก่เถื่อน" เพราะร่ำลือกันว่า ทรงช่ำชองวิปัสสนาธุระถึงขนาดทำให้ไก่ป่าเชื่องด้วยอำนาจพรหมวิหารได้ แล้วองค์ที่ 20 หละครับ ถ้าสถาปนาท่านขึ้น ชาวบ้านจะใช้สมญานามท่านเยี่ยงไร ผมว่าไม่งามเลย น่าจะชำระมลทิน ให้เสร็จสิ้นก่อน
ด่วน!!!..."พระเมธีฯ" ให้เวลา "นายกรัฐมนตรี" 1 สัปดาห์ ตั้ง "สมเด็จช่วง" เป็นสังฆราช ไม่เช่นนั้นแล้วจะ...(มีรายละเอียด) http://headshot.tnews.co.th/contents/195821/ จำคำนี้ไว้"อยากลองก็ออกมา"..."พระเมธีฯ"เริ่มขยับอีกครั้ง หลัง "พล.อ.ประยุทธ์"เบรคหัวทิ่มตั้ง "สังฆราช" http://headshot.tnews.co.th/contents/195787/ ฟังชัดๆ!!!... แถลงแล้วปมตั้ง "สังฆราช" มส.ขัด ม.7 หรือไม่ - นายกฯ คือผู้ชี้ขาดอยู่ดี ??? เงิบซิคับ รอรัย!!!
รีบ ๆ มาหน่อยนะฮะ คนรักพุทธศาสนาทุกคนกำลังรอวอร์อยู่แล้วฮะ ต้องเอาให้ไอ้พวกนักกินฟรีไม่มีแผ่นดินอยู่ทุกตัว
นายกรัฐมนตรี ระบุ ขอรอคดีพระธัมมชโยสิ้นสุดก่อน จึงจะนำรายนามแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. กล่าวถึงคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 7 เป็นอำนาจของมหาเถรสมาคม หรือ มส.ว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าเป็นอำนาจใครก็ถือว่ายุติ อำนาจของตนคือนำรายชื่อสมเด็จพระสังฆราชขึ้นทูลเกล้าฯ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เมื่อยังมีปัญหาเรื่องคดีก็ยังไม่สามารถเสนอรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ ขณะเดียวกัน ต้องดูสถานการณ์ความเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย เพราะจะเกิดปัญหาทะเลาะขัดแย้งกัน โดยอย่ามองสังคมในแง่ดีเพียงอย่างเดียว ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ย้ำว่าการเสนอรายนามสมเด็จพระสังฆราช ตามมติของมหาเถระสมาคมเป็นไปตามขั้นตอนของมาตรา 7 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พร้อมย้ำว่าต้องเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณะศักดิ์ รวมถึงเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าการเสนอรายนามเป็นหน้าที่ของใคร คณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความว่าสามารถทำได้ทั้ง 2 ฝ่าย คือ รัฐบาล และ มส.แต่ต้องเป็นไปตามมติของ มส.เท่านั้น พร้อมยืนยันว่าผู้ตรวจการแผ่นดิน ไม่มีอำนาจสั่งการให้รัฐบาลปฏิบัติตาม เป็นเพียงข้อเสนอแนะมายังรัฐบาลเท่านั้น นายวิษณุ บอกด้วยว่าแม้จะมีมติของกฤษฎีกามาแล้วแต่ยังมีหลายประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบจึงยังไม่สามารถส่งรายชื่อให้นายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าฯได้ทันที ทั้งนี้ ในวันนี้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. เปิดเผยถึงความเห็นมติคณะกรรมการกฤษฎีกา ในการตีความกฎหมาย มาตรา 7พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ โดยมีประเด็นให้ต้องพิจารณา คือ หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีตามที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวกำหนด ซึ่งมีหน้าที่เสนอนามเพื่อกราบบังคมทูล และรับสนองพระบรมราชโองการเท่านั้น ซึ่งก่อนเสนอนามต้องได้รับความเห็นชอบจาก มส. ก่อน และต้องเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณะศักดิ์ ดังนั้น การที่ มส.เสนอรายนามสมเด็จพระสังฆราช มายังรัฐบาลถือเป็นหนังสือที่สมบูรณ์แล้ว ไม่ขัดมาตรา7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และไม่จำเป็นต้องคืนหนังสือหรือให้พิจารณาใหม่ ส่วนความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ให้นายกรัฐมนตรี เสนอรายนามสมเด็จพระสังฆราชนั้น กฤษฎีกาได้ยกพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เรื่องความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่าไม่ได้เป็นบทบังคับที่นายกรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตาม แต่สามารถนำมาประกอบการพิจารณาได้ ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยกมติ ครม.เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2482 ที่ระบุว่าเมื่อส่วนราชการ หรือ รัฐบาลขอความเห็นไปยังกฤษฎีกาให้ตีความ โดยปกติแล้วให้ปฏิบัติตามความเห็นของกฤษฎีกา ซึ่งจากนี้จะรวบรวมความเห็นและประมวลสถานการณ์สังคม ก่อนทำบันทึกถึงนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่ยังไม่ระบุวันที่แน่ชัด เพื่อความรอบด้าน พร้อมย้ำว่ามติ มส.ยังมีผลทางราชการเหมือนเดิม แต่เรื่องไม่ถึงขั้นแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ เพราะเรื่องยังไม่ถึงนายกรัฐมนตรี เวลา 9.00 น.วันนี้ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และหลังการประชุมครั้งนี้ ได้นัดหมายผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการตีความการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชตามมาตรา 7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งกลับมาให้รัฐบาลช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน คาดการณ์ว่า กฤษฎีกา จะตีความออกมา 2 แนวทาง คือ 1.กฤษฎีกา มีความเห็นตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ว่า การคัดเลือกสมเด็จพระสังฆราช นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เริ่มเสนอชื่อ 2.กฤษฎีกามีความเห็นว่าการเสนอชื่อของมหาเถรสมาคมถูกต้อง
เมธี คงนึกว่า นายกฯ ลุงตู่ มาจากการ ลต. มั้ง จิงๆภาวะการ ของนายกฯ ลุงตู่ สั่งคำเดียว ขี้หดหายเลยนะ เมธี
"อยากเคลื่อนไหวก็ออกมา จับวันนี้ไม่ได้ก็จับพรุ่งนี้".... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/social/general/442591
ผมชอบใจที่ลุงตู่ตอกหน้านายประสาร และชอบยิ่งกว่า เมื่อลุงตู่ตอกหน้าสื่อฯเสี้ยม แต่นั่นแหละครับ สื่อฯลงแค่ข่าวตอกหน้านายประสารเท่านั้น
จริงครับ ตั้งสังคราชใหม่เป็นกิจของสงฆ์ ร่วมกับรัฐบาล พวกสมีหลอกเงินปล้นชาวบ้านไม่เกี่ยวนะจ๊ะ ชิตังเม คุก คุก
เสียงอ่อยซะแระ ไม่แน่จริงนี่หว่า "พระเมธีฯ"หงอ!!หลัง"ประยุทธ์"ลั่นเอาจริง อ้างพัลวันแค่เป็นมติองค์กรชาวพุทธ http://deeps.tnews.co.th/contents/196066/
รองนายกรัฐมนตรี เผยนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการตรวจสอบรายนามสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะต้องรับผิดชอบด้วยหากเกิดปัญหา ความคืบหน้าการตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ที่ล่าสุด แม้คณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีความเห็นว่าขั้นตอนการพิจารณาแต่งตั้งของมหาเถรสมาคม เป็นไปอย่างถูกต้องแล้ว นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมตรี ฝ่ายกฎหมาย ยืนยันเช่นกันว่าเรื่องดังกล่าวนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการตรวจสอบความหมาะสม โดยให้เหตุผลว่าแม้ตามกฎหมายจะระบุให้นายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการนำรายนามขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมฯ และรับสนองพระบรมราชโองการ แต่หากนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมไปแล้วและเกิดปัญหาขึ้นมา นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายกรัฐมนตรี จะขอตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม ส่วนจะตรวจสอบเรื่องอะไรบ้างนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาพูดในที่สาธารณะ นอกจากนี้ นายวิษณุ กล่าวถึงรายนามสมเด็จพระสังฆราช ที่ต้องมีความอาวุโสตามสมณศักดิ์ด้วยว่า หากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้รับการพิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม ถัดไปจะเป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธวงศารามฯสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธฯ สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศฯ และ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตามลำดับ โดยไม่มีการพิจารณานิกาย
ความแตกต่างระหว่างมหาเถระสมาคมของไทยกับพม่า รายงานพิเศษ การเคลื่อนไหวของกลุ่มพระหัวรุนแรงในเมียนมา สะท้อนปัญหาวัดธรรมกายในไทย
นนทบุรี 22 ก.ค.-กรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงยืนยันชัดเจนการครอบครองรถเบนซ์โบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และหลวงพี่แป๊ะผิดหลายข้อหา โดยเฉพาะชื่อของผู้ครอบครอง คือ สมเด็จช่วง และหลวงพี่แป๊ะ เตรียมพิจารณาแจ้งดำเนินคดีต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงรถหรูหลวงพี่น้ำฝน ก็พบมีเจตนาเลี่ยงภาษี พร้อมแจ้งความคืบหน้าคดีเณรคำ ว่าขณะที่ทางการสหรัฐได้จับกุมตัวไว้แล้ว พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษแถลงผลการตรวจสอบรถเบนซ์ทะเบียนขม 99 ครอบครองโดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ตั้งแต่ปี 2556 พบมีการกระทำผิดในหลายข้อหา โดยเฉพาะผู้ครอบครองรถดังกล่าวจะพิจารณาแจ้ง 2 ข้อหา คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง กับพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ และผู้ร่วมขบวนการ ข้อหาแรก คือ ร่วมกันครอบครอง ซึ่งสินค้าที่รู้ว่าไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน ผิด พ.ร.บ.สรรพสามิต 2527 มาตรา 161(1) และกฎหมายอาญามาตรา 83 ข้อหาที่ 2 ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จลงในเอกสารราชการ และแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่ ผิดกฏหมายอาญามาตรา 137 และมาตรา 267 ประกอบมาตรา 83 ส่วนประเด็นรถยนต์หรูโบราณเปิดประทุนของหลวงพี่น้ำฝน พยานหลักฐานชัดเจนว่า จดทะเบียนโดยสมบูรณ์ ในยี่ห้อแพนเธอร์ที่สหรัฐ มีหมายเลขทะเบียนรถ จากนั้นแยกชิ้นส่วนนำเข้ามาประกอบในไทยในยี่ห้อจากัวร์แทน จึงมีความผิดชัดเจนว่าหลบเลี่ยงภาษี ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร และสรรพสามิตร นอกจากนี้ ยังพบความผิดกฎหมายอาญาและแจ้งใช้เอกสารปลอมในการยื่นจดทะเบียนด้วย มีโทษทั้งจำและปรับ โดยโทษจำสูงสุดถึง 5 ป ซึ่งพนักงานสอบสวนจะพิจารณาดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ดีเอสไอยังได้แจ้งความคืบหน้าคดีเณรคำ ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐอเมริกาว่า ได้จับตัวเณรคำไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างสำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ของทางสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งในเร็วๆ นี้ สำหรับทั้งสองกรณีรถหรูดีเอสไอจะมีการพิจารณาแจ้งข้อหาดำเนินคดีต่อไป กับผู้นำเข้า ผู้จดทะเบียนโดยผิดกฎหมาย และผู้ครอบครอง.-สำนักข่าวไทย ข่าว 7 สี - หลังรับคดีรถจดประกอบเป็นคดีพิเศษเมื่อปี 2556 ดีเอสไอชี้แจง มีรถอยู่ระหว่างการตรวจสอบ 7,123 คัน ส่วนที่ชัดเจนแล้วคือ รถในความครอบครอง หลวงพี่น้ำฝน และสมเด็จช่วง ที่พบมีการกระทำผิดเกิดขึ้น ไปติดตามจากรายงาน คดีรถจดประกอบ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษตั้งแต่ปี 2556 แม้ปัจจุบันนี้ รถยนต์จดประกอบทั้ง 7,123 คัน จะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพิสูจน์ความผิดเป็นรายคดี แต่ส่วนที่มีความชัดเจนแล้ว วันนี้ดีเอสไอได้นำมาชี้แจง 2 คดี คดีแรก เป็นคดีครอบครองรถยนต์โบราณ ยี่ห้อแพนเทอร์ ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ซึ่งพบหลักฐานการซื้อขายต่อ 2-3 ทอด และการว่าจ้างคนไทยแยกชิ้นส่วน เพื่อนำเข้าไทยโดยผิดกฎหมาย พิสูจน์ชัดมีเจตนาหลีกเลี่ยงการจ่ายอากรชัดเจน อีกคดีเป็นผลการตรวจสอบรถโบราณ ยี่ห้อเมอซีเดสเบนซ์ 200 บี ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ พบว่ามีการนำเข้าเครื่องยนต์โดยไม่ชอบ ปลอมเอกสารการนำเข้าและปลอมรายมือชื่อโรงประกอบรถยนต์ของผู้อื่น และแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ หลังการแถลงข่าวของดีเอสไอ ทนายความสมเด็จช่วง ได้ออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชน ยังคงยืนยันในความบริสุทธิ์ของสมเด็จช่วง ส่วนเรื่องสำนวนคดีจะขอดูในรายละเอียดก่อน เนื่องจากเห็นว่าต่างฝ่ายต่างมีหลักฐานเหมือนกัน จึงไม่เข้าใจเหตุผลที่ดีเอสไอยังคงเดินหน้าเอาผิดกับสมเด็จช่วง ทั้งที่เห็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ กรุงเทพฯ 23 ก.ค.-ดีเอสไอ สรุปผลตรวจสอบ รถทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นผู้ครอบครอง พบผิดกฎหมายตั้งแต่การนำเข้า และจ่ายภาษีไม่ครบ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นำคณะพนักงานสอบสวน เปิดเผยผลตรวจรถหรูทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นผู้ครอบครอง จากพยานหลักฐาน พบว่าการได้มาของรถคันนี้มีการกระทำผิดกฎหมาย ตั้งแต่การนำเข้าเครื่องยนต์ ใช้เอกสารปลอม แจ้งขอจดทะเบียนเท็จ ปลอมลายมือชื่อ แสดงมูลค่ารถยนต์เสียภาษีต่ำกว่าความเป็นจริง จึงเชื่อว่าผู้ครอบครองย่อมรู้ว่ารถคันดังกล่าวเป็นรถที่ได้มาโดยไม่ชอบตามกฎหมายเข้าข่ายมีความผิด 2 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันครอบครอง ซึ่งสินค้าที่รู้ว่าไม่เสียภาษี หรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน และ 2. ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ซึ่งดีเอสไอ จะร่วมกับกรมสรรพสามิตแจ้งข้อหาต่อไป ด้านนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการประสานจากดีเอสไอ โดยขอดูรายละเอียดก่อน และสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ยังไม่ทราบว่ากำลังจะถูกแจ้งข้อกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี เมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ออกมาระบุว่า จะมีการเคลื่อนไหวคัดค้านกรณี แจ้งข้อกล่าวหาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินการตามกฎหมาย และเรื่องดังกล่าวใช้กฎหมายดูแลอยู่แล้ว หากผิดกฎหมายต้องดำเนินการโดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งคนไทยควรรู้ว่ากฎหมายไม่ได้ยกเว้นใคร และหากเชื่อว่าไม่มีความผิดก็ขอให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์และต่อสู้ในข้อเท็จจริง ด้านนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรณะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือพศ. ตอบคำถามที่ว่าการถูกแจ้งข้อกล่าวหา ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ จะนำไปประกอบการพิจารณาการเสนอแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช องค์ใหม่ต่อนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดอะไรทั้งหมด จึงไม่สามารถตอบอะไรสมบูรณ์ได้ ต้องเห็นรายละเอียดก่อนแล้วจะมีคำตอบให้ ถามย้ำว่า การที่บุคคลถูกแจ้งข้อกล่าวหาจะต้องสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่าไม่ได้จบกฎหมายก็ไม่รู้จะตอบยังไง ดีเอสไอ ยังสรุปผลตรวจรถยนต์ ทะเบียน กก 1177 กรุงเทพมหานคร ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม พบเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี โดยตั้งแต่ต้นรถคันนี้จดทะเบียนทั้งคัน ยี่ห้อ “PANTHER” ที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นซื้อขายต่อกันโดยคนไทยในสหรัฐ มีการถอดแยกชิ้นส่วนนำเข้ามาประกอบใหม่เป็นรถคันเดิม แต่แจ้งเป็นยี่ห้อ “จากัวร์” แทนจึงมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากร โทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาเรียกเก็บอากรในส่วนที่ขาดจากกรมศุลกากร ก่อนจะแจ้งข้อหาต่อไป ด้านหลวงพี่น้ำฝน ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.59) ยืนยันว่า การครอบครองรถหรูทะเบียน กก 1177 ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องพร้อมย้ำชี้แจงได้ทุกข้อกล่าวหา และล่าสุดหลวงพี่น้ำฝน เลื่อนการแถลงข่าวชี้แจงกับสื่อมวลชนจากเดิมนัดวันนี้ เลื่อนเป็นวันอังคาร 26 กรกฎาคมนี้.-สำนักข่าวไทย
แม่โชกุน แม่โมกุน อยากบอกต่อค่ะ สะใจชิบหาย ฮ่าาาา.... ไอ้สาร-ระ-เหย อลัชชี ขี้ข้าแม้ว #55555 @หลวงพี่เอก สันติ สุจิณฺโณ
http://pantip.com/topic/35419578 ธรรมกายผุด 'หัตถ์สวรรค์ ปัญญาเทวดา' ตั้งกองทัพนักเผยแผ่โซเชียล อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/623729 ศิษย์อาจารย์มันผูกชีวิตไว้ด้วยกัน จารย์รอดศิษย์ก็รอด
หมายข่าวเจาะ//สันติสุข มะโรงศรี ตีแผ่มหาเถรใต้เงาธรรมกายและเมื่อเงินธัมมชโยเป็นใหญ่ ใครจะปกป้องธรรมวินัย ข่าว 7 สี - รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า การดำเนินการในคดีรถเบนซ์โบราณ ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ไม่เกี่ยวข้องกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีผลสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในคดีครอบครองรถเบนซ์โบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฎิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เรื่องนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมาย และคดีนี้ ก็ไม่ได้กระทบขั้นตอนการเสนอนามสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ส่วนกรณีดีเอสไอ จะเชิญสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ไปให้ข้อมูลและรับทราบข้อกล่าวหา ทุกฝ่าย ต้องดูว่าอะไรเหมาะสม และไม่เกิดความเสียหายต่อคณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนา สำหรับกรณีพระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ให้เครือข่ายพระสงฆ์ รอสัญญาณการเคลื่อนไหว เชื่อมโยงคดีกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชนั้น ในฐานะกำกับดูแลงานพระพุทธศาสนา รู้สึกไม่สบายใจ หวั่นเป็นการสร้างเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนา และคณะสงฆ์