ชื่นชมและชื่นชอบในความสื่อสัตย์และซื่อตรงของท่าน วสิษฐ เดชกุญชร วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 22:00:29 น. ผมมีความยินดีที่ได้ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบกำกับดูแลเรื่องวัดและพระที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่ร่ำรวยผิดปกติ และยินดีด้วยที่ทราบว่าในขณะเดียวกันสภาปฏิรูปแห่งชาติก็ได้ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาขึ้น โดยมีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน และคณะกรรมการได้ประชุมกันเป็นนัดแรกไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านไปนี้ ปัญหาเกี่ยวกับวัดและพระในศาสนาพุทธเป็นปัญหาที่ถูกทอดทิ้งและหมักหมมเรื้อรังไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ที่จะแก้อย่างแท้จริงมานาน ถ้าจะเปรียบกับโรคภัยไข้เจ็บ อาการของคนไข้ก็ทรุดหนักมานานแล้ว แต่ก็เช่นเดียวกับโรคภัยไข้เจ็บ หมอไม่มีสิทธิที่จะบอกว่าหมดหวังและต้องหยุดรักษา หากแต่จะต้องพยายามบำบัดจนกว่าจะถึงที่สุด เพราะคนไข้ในที่นี้คือคนไทยทั้งชาติ ตัวอย่างหนึ่งของโรคร้ายที่เกาะกินพระพุทธศาสนามานานจนกำเริบ และทำให้คนไข้มีอาการทรุดหนักลง คือพฤติการณ์ของวัดพระธรรมกาย วัดนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2513 นับตั้งแต่นั้นมาพระวัดพระธรรมกายได้เผยแผ่คำสอนที่ผิดแผกแตกต่างไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ในขณะเดียวกัน วัดพระธรรมกายก็ใช้คำสอนที่ผิดแผกนั้นเองไปทำให้คนเป็นจำนวนมากหลงเชื่อและบริจาคเงินให้วัดเป็นมูลค่ามหาศาล จนสามารถก่อสร้างถาวรวัตถุอย่างใหญ่โตมโหฬาร และขยายกิจกรรมนอกศาสนาออกไปอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายคือพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ สุทธิผล) นั้นเป็นตัวการผู้เผยแผ่คำสอนนอกศาสนา เช่น สอนว่านิพพานเป็นอัตตา สอนว่าธรรมกายคือตัวตนของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์รวมกันอยู่ใน "อายตนนิพพาน" ซึ่งเป็นเสมือนดินแดนที่ผู้ทำสมาธิตามแบบของวัดพระธรรมกาย สามารถจะเข้าไปเฝ้าและถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้าได้ พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ สุทธิผล) ผู้นี้เคยต้องคดียักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกายเป็นมูลค่ากว่า 959 ล้านบาท แต่พนักงานอัยการถอนฟ้องด้วยเหตุผลว่าได้นำที่ดินและเงินคืนให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว และแม้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก จะได้ทรงมีพระลิขิตว่าพระเทพญาณมหามุนีต้องอาบัติปาราชิก และพ้นจากสมณเพศแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามหาเถรสมาคมได้ดำเนินการสนองพระลิขิตนั้นอย่างใด นายไชยบูลย์กลับได้เป็นพระภิกษุในสมณศักดิ์เดิมอีก การที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) ดำเนินการเกี่ยวกับวัดและพระที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าและร่ำรวยผิดปกติ และการที่สภาปฏิรูปแห่งชาติหยิบยกเอาเรื่องการปกป้องพระพุทธศาสนาขึ้นมาพิจารณานี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องและน่ายินดี แต่มาตรการทางบริหารโดยรัฐมนตรีก็ดี มาตรการด้านการปฏิรูปโดยสภาปฏิรูปแห่งชาติก็ดี ย่อมจะต้องล่าช้าและกินเวลา ในขณะเดียวกันวัดและพระที่มีพฤติการณ์นอกศาสนา โดยเฉพาะวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีกำลังซื้อมหาศาล ก็ย่อมจะทำความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาต่อไปได้โดยไม่หยุดยั้ง จึงสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจพิเศษในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะส่งเสริมความสงบแห่งชาติ หรืออำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 ระงับยับยั้งการกระทำใดๆ ของพระวัดพระธรรมกายเอาไว้ก่อน จนกว่ารัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและคณะกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติจะได้วางมาตรการที่รัดกุมและชัดเจนเกี่ยวกับวัดและพระเรียบร้อยแล้ว
วสิษฐ เดชกุญชร : การบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา (2) วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 16:15:04 น. เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านไปนี้ มหาเถรสมาคมได้มีมติเกี่ยวกับสถานะของนายไชยบูลย์ สุทธิผล หรืออดีตพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่านายไชยบูลย์ไม่ต้องอาบัติปาราชิกและไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ เนื่องจากได้มีการคืนทรัพย์สินที่ยักยอกไปให้แก่วัดแล้ว และมติดังกล่าวไม่ขัดต่อพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ที่ประทานไว้เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2542 พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธัมมจารี) กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะโฆษกมหาเถรสมาคมชี้แจงว่าทางสงฆ์ดูที่เจตนาเป็นหลัก หลังจากที่มีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชแล้วนายไชยบูลย์ได้ "ทยอยคืนทรัพย์สินแก่วัดทันที" จึงถือว่าไม่มีเจตนาฉ้อโกง พระพรหมเมธีกล่าวด้วยว่าเรื่องนี้ผ่านมากว่า 17 ปีแล้ว และประเทศกำลังอยู่ในช่วงสร้างความปรองดอง อีกทั้งเป็นยุคที่ล่อแหลมต่อสื่อ ประเทศไทยถูกจับตามองจากต่างชาติเพราะเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงไม่อยากให้นำเรื่องเก่ามาพูดถึง มติของมหาเถรสมาคมดังกล่าวทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่านายไชยบูลย์ไม่มีเจตนาจะฉ้อโกง และมติของมหาเถรสมาคมไม่ขัดต่อพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช เพราะพระลิขิตฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2542 นั้นมีข้อความระบุชัดว่า "การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัดในชั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ยังไม่มอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา" พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชดังกล่าวได้เข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคมสองครั้ง และมหาเถรสมาคมมีมติครั้งที่ 191/2542 และครั้งที่ 193/2542 ว่าให้ดำเนินการรับโอนที่ดินเป็นของวัดพระธรรมกาย ส่วนกรณีอื่นๆ (หมายถึงกรณีต้องปฏิบัติในการเป็นปาราชิก) ให้กรมการศาสนาร่วมกับเจ้าคณะภาค 1 ติดตามเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป และในมติที่ 193/2542 ก็มีมติชัดเจนว่ามหาเถรสมาคมมีมติรับทราบพระดำริที่สมเด็จพระสังฆราชประทานมาทั้งหมด และ "มหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอด ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม" และส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมต่อไป แต่ปรากฏว่ามติที่ให้ดำเนินการตามพระลิขิตในกรณีที่ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งต้อง "พ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ" นั้น ยังไม่ได้มีการปฏิบัติจนกระทั่งบัดนี้ เป็นที่เห็นได้ชัดว่ามหาเถรสมาคมในปัจจุบันจงใจที่จะฝ่าฝืนพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช และที่จะช่วยนายไชยบูลย์ให้พ้นผิดและคงอยู่ในสมณเพศต่อไปอีก พฤติการณ์ของมหาเถรสมาคมแสดงว่ามหาเถรสมาคมจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 15 ตรี (4) ให้มหาเถรสมาคม "รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา" ผมขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รีบดำเนินการแก้ไข ด้วยการใช้อำนาจยุบมหาเถรสมาคมหรือเปลี่ยนตัวกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหมด และตั้งพระสงฆ์ที่ไม่ใช่อลัชชี (นอกจารีต) และไม่อยู่ใต้อิทธิพลของวัดพระธรรมกายขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ก่อนที่การบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาจะลุกลามกว้างขวางออกไปมากกว่านี้
ถ้าหากยุค คสช โดยท่านลุงตู่ ยังไม่สามารถจัดการถอดผ้าเหลืองสมี ธัมมี่ ได้ และเข้าจัดการกับอำนาจเงินของอลัชชีที่โปรยให้กับมหาเถรสมาคม ก็ถือว่าล้มเหลวในการปฏิรูปประเทศชาติอย่างสิ้นเชิง เพราะสถาบันหลัก คือสถาบันศาสนาได้ถูกย่ำยีจากโจรผ้าเหลืองไปแล้ว ที่ท่านพูดว่าเรื่องของพระให้พระจัดการ ท่านพูดแบบนี้ไม่ได้เพราะพระหลายรูปได้ถูกครอบงำด้วยอามิสสินจ้างอำนาจเงินของธัมมี่ไปหมดแล้ว ขอรบกวนให้ท่านไปอ่านพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนด้วย อย่าได้หลงเชื่อมติที่ไม่เป็นทางการ ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ที่ได้แต่งตั้งจากรบ.ยิ่งลักให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชเลย
มันสัมพันธ์กันยังไงเจ๊ หรือว่าไอ้คนที่คิดว่าตัวเองอยู่ในศาสนาแล้วทำตัวนอกคอกดังเช่น เมธี นั้นดีแล้วสิ