ด่วน!ปปช.ฟัน"ธาริต"รวยผิดปกติ346ล.-ส่ง"อสส."ยึดเป็นของแผ่นดิน วันนี้(10 มี.ค.) นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีการกล่าวหานายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียงว่านายธาริต มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ จึงส่งคำร้องให้อัยการสูงสุดยื่นต่อศาลให้สั่งทรัพย์สินของนายธาริต คู่สมรสและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 346 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน ด้านนายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่ามีข้าราชการระดับสูงสร้างบ้านที่เกรงว่าจะรุกล้ำเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ ป.ป.ช.จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าเจ้าของบ้านคือ ภรรยา ของนายธาริต จากนั้นป.ป.ช.ได้ดำเนินตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายธาริตที่เคยแสดงบัญชีต่อป.ป.ช.ว่ามีรายการดังกล่าวอยู่หรือไม่ ซึ่งไม่พบรายการดังกล่าว จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่าร่ำรวยผิดปกติ จึงตั้งอนุกรรมการไต่สวรวบรวมพยานหลักฐาน ต่อมาพบพฤติการณ์ยักย้ายแปรสภาพ ซุกซ่อนทรัพย์สินต่างๆ ป.ป.ช.จึงสั่งอายัดไว้ สองครั้ง จำนวน 90 ล้านบาท แล้วได้แจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งนายธาริต ได้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ไม่ยอมมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไม่เข้าใจข้อกล่าวหาขออนุกรรมการไต่สวน และบอกว่าอนุกรรมการไม่ให้ความเป็นธรรม ทั้งนี้ อนุกรรมการได้เปรียบเทียบรายได้ของธาริต ซึ่งพบว่ามีทรัพย์สินที่ป.ป.ช.พิจารณาว่าไม่มีที่มาที่ไป และมีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 346 ล้านบาท จึงมีมติชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติ นายปรีชา กล่าวว่าสำหรับเสียงลงมติชี้มูลความผิดที่เป็นเอกฉันท์จำนวน 7 เสียงนั้น มีกรรมการ 2 คนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม คือ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ ที่ติดภารกิจ และพล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ที่ขอไม่เข้าร่วมประชุมเนื่องจากทนายความของนายธาริตมีนามสกุลเดียวกับพล.ต.อ.สถาพร จึงเกรงว่าจะมีส่วนได้ส่วนเสีย. นายใหญ่ช่วยด้วย ริดสีดวงแตกแล้ว
ผมเกรงว่าที่แกซุกไว้มันจะไม่ใช่แค่346 ล้านน่ะซีครับ แต่ไม่เป็นไร งานขุดเริ่มขึ้นแล้ว ไม่นานคงเจออะไรเด็ดๆอีก
ผลงานที่ดีเด่นที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด ที่เหมาะจะเอาไว้อ่านประวัติตอนที่อยู่ในโลง DSI รับคดี มัลลิกา โพสต์รูปตัดต่อนายกฯ เป็นคดีพิเศษ ทนายเสื้อแดง ร้อง ธาริต ดำเนินคดี มัลลิกา โพสต์รูปตัดต่อนายกฯ ลงเฟซบุ๊ก รับเป็นคดีพิเศษ ยัน ไม่รับใช้การเมือง วันที่ 14 สิงหาคม 2556 นายวิญญัติ ชาติมนตรี และทีมทนายความ เดินทางเข้าพบ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หลังพบว่า น.ส.มัลลิกา ได้โพสต์รูปถ่ายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถ่ายภาพคู่กับป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ได้มีการตัดต่อภาพถ่ายเปลี่ยนแปลงข้อความในภาพ พร้อมกับโพสต์ภาพลงในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ซึ่งเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 รวมทั้งขอให้ดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการเผยแพร่ภาพดังกล่าว ด้าน นายธาริต กล่าวว่า ทางดีเอสไอ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษทันทีเนื่องจากเข้าข่ายบัญชีแนบท้ายความผิดมูลฐานที่อยู่ในอำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในส่วน น.ส.มัลลิกา ไม่ว่าจะเป็นผู้ตัดต่อเองหรือไม่ ก็ถือว่ามีความผิด เนื่องจากเป็นผู้โพสต์ภาพถ่าย และยืนยันว่าดีเอสไอไม่ได้รับใช้การเมือง แต่หากผู้นำของประเทศถูกกระทำเช่นนี้ ดีเอสไอ ก็ต้องดำเนินการตามหน้าที่
ช่วงนี้พอดีมันแล้งน้ำน้อย อะไร ๆ มันก็โผล่ ยุคไอ้แม้วกับนังปรู น้ำมันเยอะท่วมกลบความเลวไว้เยอะ โดยเฉพาะไอ้แม้วนี่ช่วงสึนามิ พัดความเลวมาเป็นกอบเป็นกำ
ธาริต แต่งตั้งจากใครให้นั่ง DSI จากนั้นจัดการเสื้อแดงจนแมงสาปเชียร์ ตอนนั้นก็ไร้การตรวจสอบตัวธาริต พอย้ายข้างปุ๊บ แม่งจัดการ ธาริต เลย สมกับเป็นยุคอิสระ ตั้งมาปราบเฉพาะฝ่ายตรงข้ามจริงๆ
ไอ้คางคก ว่าน่ารังเกียจแล้ว มันยังมีข้าง แต่ไอ้นี่ ไม่มีข้าง ใครมีอำนาจ กรูขออยู่ข้างนั้น บัดซบแมนจริงๆเลย
ป.ป.ช.ลงมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษร่ำรวยผิดปกติ และจะส่งให้ศาลยึดทรัพย์กว่า 346 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน ก่อนหน้านี้นายธาริตและภรรยา ก็เคยถูกอายัดทรัพย์ชั่วคราวมาแล้ว 40 ล้านบาท คดีนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร เราจะไปติดตามจากรายงานชิ้นนี้ เคราะห์กรรมหลังหมดอำนาจในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ลงดาบตามข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ล่าสุด 346 ล้านบาท ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ 19 เมษายน 2558 นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. ประธานอนุกรรมการไต่สวน ผู้รับผิดชอบสำนวนคดี เคยสั่งอายัดทรัพย์ชั่วคราวของนายธาริตและนางวรรษมล ภรรยา มาแล้วครั้งหนึ่ง รวม 40 ล้านกว่าบาท อาทิ เงินฝาก ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และยานพาหนะ หลังพบว่า นายธาริต มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะมีการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ ครั้งนั้น ทรัพย์สินของนายธาริต จำนวน 1 ล้าน 7 แสนกว่าบาท ที่ถูกอายัด เช่น เงินฝากในบัญชีธนาคารต่าง 6 บัญชี ที่ดินในอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท และทรัพย์สินในตู้นิรภัย ส่วน รายการทรัพย์สินของ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ มูลค่ารวมมากกว่า 39 ล้านบาท อาทิ เงินฝากในบัญชีเงินธนาคาร 7 บัญชี ที่ดินในอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ,บ้านพักในตำบลหลักหก อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ,ที่ดินและบ้านในอำเภอปากช่อง รวมถึงรถเมอร์ซีเดส เบนซ์ และรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังได้มีคำสั่งให้ นายธาริต แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ภายใน 30 วัน อีกด้วย ในขณะที่วานนี้ 346 ล้านบาทที่ถูก ป.ป.ช.เตรียมส่งให้ศาลยึดกลับมาเป็นของแผ่นดินนั้น เป็นทรัพย์สินที่ถูกอายัดชั่วคราวจากปีที่แล้ว โดยเพิ่มเติมรายการทรัพย์สินของผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นน้องสาวและหลานชาย ของนางวรรษมล ต้นเหตุที่ทำให้นายธาริต ต้องถูก ป.ป.ช.ตามตรวจสอบอย่างหนัก เริ่มต้นมาจากมีผู้ไปร้องเรียน ว่ามีข้าราชการระดับสูงไปสร้างบ้านในพื้นที่เขาใหญ่ โดยเกรงว่าจะรุกล้ำเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป.ป.ช. จึงลงพื้นที่ตรวจสอบ และพบว่าเจ้าของบ้านคือ ภรรยาของนายธาริต ทางป.ป.ช. จึงนำบัญชีทรัพย์สินของนายธาริตที่เคยแสดงบัญชีต่อ ป.ป.ช. ว่ามีรายการดังกล่าวอยู่หรือไม่ และตามคาดคือ ไม่พบรายการดังกล่าว จุดเริ่มต้นเพียงเล็กๆ เป็นเหตุผลที่ทาง ป.ป.ช.มีมติอันควรสงสัยว่าร่ำรวยผิดปกติ และมีความเป็นไปได้สูงว่าทรัพย์สินในจำนวน 346 ล้านบาท จะถูกยึดกลับมาเป็นของแผ่นดินบางส่วน
"ป.ป.ช.ย้ำมีหลักฐานเอาผิด "ธาริต" จ่อฟันดาบสองแจ้ง "บัญชีทรัพย์สินเท็จ"" "เมื่อวันที่ 11 มี.ค.59 นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไตส่วนกรณีกล่าวหานายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ กล่าวถึงกรณีนายธาริตระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีคณะกรรมการป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด ว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ไม่อยากโต้แย้งกับนายธาริตไปมาทางหน้าสื่อ แต่ขอยืนยันว่าได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดถี่ถ้วน รอบคอบ และกว่าที่จะชี้มูลความผิดได้นั้นมีการพิจารณาพยานหลักฐานโดยละเอียดอยู่หลายรอบ ไม่ใช่ทำเพียงไม่กี่ครั้งนายปรีชา กล่าวว่า จากนี้คงต้องไปให้ข้อมูลกันในชั้นศาลเพราะที่ผ่านมาได้ให้โอกาสนายธาริตในการให้มาชี้แจง นำพยานหลักฐานมาหักล้างข้อกล่าวหาแล้ว แต่นายธาริตไม่มาชี้แจง ทั้งในเรื่องการลงทุน หลักทรัพย์ บัญชีต่างๆ ที่มีเงินเข้าออก ตามที่อนุกรรมการไต่สวนสงสัย จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าเงินส่วนใดเป็นประโยชน์หรือกำไร ถ้ามาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้วฟังขึ้นพยานหลักฐานในส่วนนั้นก็จะได้ถูกหักล้าง ไม่มีการนำมาบวกรวม แต่เมื่อในชั้นไต่สวนตามพยานหลักฐานที่ป.ป.ช.ได้ตัวเลขมาเป็นลักษณะอย่างนี้ หากมาชี้แจงถึงที่มาที่ไป เช่น ตัวเลขในตลาดหลักทรัพย์ หรือกับบุคคลที่เขาติดต่ออยู่ อย่างนั้นความจริงจะเป็นประโยชน์ต่อนายธาริต แต่ทางป.ป.ช.ไม่มีโอกาสที่จะได้รับทราบข้อมูลตรงนั้นเลย อย่างไรก็ตาม มีตัวเลขอยู่หลายตัวที่ป.ป.ช.นำไปหักลบให้กับนายธาริต เช่น รายจ่าย รายได้นายปรีชา กล่าวว่า ตนยืนยันว่าคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ พิจารณาตามหลักฐานและพยานทุกอย่างโดยละเอียด ย้ำว่าไม่มีเจตนาที่จะให้ร้ายใคร ไม่มีเลือกข้าง ไม่มีอคติต่อกัน ดูตัวเลขทุกตัวอย่างโดยละเอียด ดูเหตุผล ที่มาที่ไป หรือแม้แต่เรื่องนอมินี คณะกรรมการป.ป.ช.ก็ได้ให้อนุกรรมการไต่สวนลงไปพิสูจน์โดยละเอียดเช่นกันไม่ใช่เพียงแค่ฟังความทั่วไปเท่านั้น เช่น หลานของนายธาริตก็ได้มีการเปรียบเทียบจากอายุและเงินที่ครอบครองว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร รวมถึงพยานหรือผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งความจริงหากมีการมาให้ข้อมูลที่ทางป.ป.ช.ต้องการหรือที่ทางผู้ถูกกล่าวหาต้องการแย้งน่าจะดีกว่า แต่ทางพยานหรือผู้เกี่ยวข้องของผู้ถูกกล่าวหากลับให้เหตุผลที่ไม่มาชี้แจงว่าป.ป.ช.ไม่ให้ความเป็นธรรม และยืนยันที่จะไปให้ข้อมูลต่อศาล นั่นแสดงว่านายธาริตต้องการไปให้เหตุผลต่อศาล ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่ขอโต้แย้งผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับกรณีการแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ ทางป.ป.ช.จะ ดำเนินการไต่สวนต่อไปหรือไม่ นายปรีชา กล่าวว่า โดยหลักการนั่นจะเป็นขั้นตอนต่อไปแต่ในเบื้องต้นคือดูเรื่องการครอบครองทรัพย์สิน ซึ่งจะเหมือนกรณีของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม เพียงแต่เราต้องให้กรณีนี้ยุติเสียก่อน และต้องดูที่เจตนา หลักฐาน ที่ผู้ถูกกล่าวหาจะไปชี้แจงในศาลเพื่อให้เขาได้พิสูจน์ จากนั้นจึงค่อยพิจารณาขั้นตอนต่อไปอีกที" อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/politics/378493362/ ปปช. ให้โอกามาชี้แจง แต่ริดสีดวงไม่ยอมมาชี้แจงเอง ก็เลยชี้มูลความผิดไป พอถูกชี้มูลความผิด ก็กล่าวหาว่า ปปช.ไม่ให้ความเป็นธรรมกับตน ขอขรรมหน่อย
ฮั่นแน่... อย่างงี้ ปปช. ต้องมีแต่เด็ก แหง๋ๆ...ว่ามั๊ย?... --------------------------- http://chaoprayanews.com/blog/ourcity/2016/03/11/ฟังนายธาริต-ปปช-ก็เป็นเ/ --------------------------- เงินจาก 6 ล้าน คำนวณให้เป็น 86 ล้าน แบบเนี๊ยะ... มัน อำมาตย์แกล้งไพร่ ช๊าดๆ... คนอย่าง 'ทาริด' … ไม่โกง ไม่พูดโกหก ไม่ให้ร้ายใครอยู่แล๊น... ถ้าตัวเองไม่ได้รับประโยชน์...
เพิ่มมาอีก 1 คดี “ศาลอุทธรณ์” พิพากษากลับให้รับฟ้องคดี “ธาริต” กับพวกหมิ่น “สุเทพ” สร้าง396โรงพักมิชอบ ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ประทับรับฟ้อง คดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กับพวกซึ่งเป็นสื่อมวลชน รวม 5 คน ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา จากกรณีเมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ ถึง5มีนาคม 2556 นายธาริต ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กล่าวหานายสุเทพ ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีว่าทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงสัญญาโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนจำนวน 396 โรงพัก จากประมูลรายภาครวมเป็นรายเดียว ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องนายธาริตกับพวกในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โดยศาลเห็นว่านายธาริตเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติตามหน้าที่ มีอำนาจแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนในเรื่องดังกล่าวได้เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ซึ่งในวันนี้โจทก์และจำเลยไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียงทนายความและผู้รับมอบอำนาจมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทน ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประทับรับฟ้องคดีดังกล่าว ทั้งนี้นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ ระบุว่า นายสุเทพได้นำสืบต่อศาลถึงรายละเอียดความเป็นมาของโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน ให้เห็นว่าการแถลงข่าวของนายธาริตขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างไร พยานหลักฐานที่นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมีมูล ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษากลับให้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา พร้อมนัดตรวจพยานหลักฐานและสอบคำให้การในวันที่16พฤษภาคมนี้ เวลา09.00น นายสวัสดิ์ ระบุอีกว่า สำหรับคดีที่นายสุเทพ ยื่นฟ้องนายธาริตในกรณีเดียวกันนี้มีอีก1สำนวน ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้อง และอยู่ระหว่างอุทธรณ์คดี
เต็มที่กันไปเบยครับ... จะได้แบ่งเบา "เวรกรรม ในนรก" ไปบางส่วน... เพราะเชื่อว่า ยังมีกรรมที่ยังตามไม่ทันในชาตินี้อีกเยอะ... ว่ามั๊ย "พี่ริด"... ------------------------------ ------------------------------
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! รายงานความเห็น ป.ป.ช. ถึงมือ “บิ๊กตู่” ชงไล่“ธาริต เพ็งดิษฐ์”ออกจากราชการ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! ป.ป.ช. ส่งสำนวนไต่สวน-รายงานความเห็น ถึงมือ “บิ๊กตู่” ชงไล่ออก “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ออกจากปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” เผย ป.ป.ช.ยกมาตรา 80 (4) กม.ปปช.ประกอบ รธน. -คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 8/2557 เหตุพ้น “อธิบดีดีเอสไอ”ไม่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูงแล้ว หลังถูกชี้มูลรวยผิดปกติ 346 ล้าน วันนี้(22 มี.ค.) มีรายงานจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ภายหลัง ป.ป.ช.ลงมีมติเอกฉันท์ 7 : 0 ชี้มูลความผิด นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ปัจจุบันปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” ฐานความผิดร่ำรวยผิดปกติ โดยมีพฤติการณ์ให้ผู้อื่นถือทรัพย์สินแทนกว่า 346 ล้านบาท วันเดียวกันนี้ เว็ปไซต์สำนักข่าวอิศรา อ้างแหล่งข่าวระดับสูงใน ป.ป.ช. ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวน และรายงานความเห็นคดีดังกล่าวไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ดำเนินการลงโทษไล่ “นายธาริต” ออกจากราชการ ทั้งนี้ รายงานความเห็นคดีดังกล่าว ระบุ ว่าเนื่องจากตามมาตรา 80 (4) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ระบุว่า หากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ใช่ นักการเมือง ประธานศาล และผู้บริหารระดับสูง ที่ถูกชี้มูลความผิดร่ำรวยผิดปกติ ให้ประธาน ป.ป.ช. แจ้งไปยังผู้บังคับบัญชา ซึ่งในที่นี้คือนายกรัฐมนตรีสั่งลงโทษ ดังนั้นปัจจุบันนายธาริตไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริหารระดับสูงแล้ว แต่ปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกนิยามว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐอื่น จึงเข้าข่ายมาตรา 80 (4) ดังกล่าว
อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง อดีตอธิบดี ดีเอสไอ ฟ้อง ป.ป.ช. 2016/04/08 5:39 PM ศาลแพ่ง 8 เม.ย.- อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “ธาริต – วรรณมน เพ็งดิษฐ์” ฟ้อง ป.ป.ช.เรียกร้อยล้านบาท หาร่ำรวยผิดปกติ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และนางวรรษมน เพ็งดิษฐ์ ภรรยา ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ อดีตประธาน ป.ป.ช. และ อดีตกรรมการ ป.ป.ช.อีก 8 คน นายปรีชา เลิศกมลมาศ นายวิชา มหาคุณ นายวิชัย วิวิตเสวี พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง นายประสาท พงษ์ศิวาภัย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ นายณรงค์ รัฐอมฤต นายภักดี โพธิศิริ เป็นจำเลยที่ 1 – 10 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาท โดยโจทก์ระบุฟ้องสรุปว่า มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาโจทก์ทั้งสองว่า ร่ำรวยผิดปกติเป็นเหตุให้คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติที่ประชุมให้ไต่สวนข้อเท็จจริงโจทก์ที่ 1 และมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอีกหลายคน โดยไม่วินิจฉัยเบื้องต้นก่อนว่า พฤติการณ์ที่กล่าวหาโจทก์นั้น เข้าหลักเกณฑ์ที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 รวบรัด เร่งรีบจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. อีก 8 คน ก่อน ร่วมกันมีมติให้อายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไว้ชั่วคราว ซึ่งทรัพย์สินที่ถูกอายัดเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนโจทก์ที่ 1 ดำรงตำแหน่งอธิบดี ดีเอสไอ ต่อมานายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. นำคำสั่ง อายัดทรัพย์สินออกไขข่าวว่า โจทก์ที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติและน่าเชื่อว่าจะมีการโอน ยักย้ายทรัพย์สิน จึงมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไว้ชั่วคราว ทำให้โจทก์ทั้งสองเสื่อมเสียชื่อเสียง จึง ขอให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 100 ล้านบาทและขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไว้ชั่วคราว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริงที่ 631/ 2557 ไม่มีข้อความใดระบุว่า มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้กล่าวหาโจทก์ทั้งสอง จึงไม่ใช่กรณีมีผู้กล่าวหาว่าโจทก์ที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ ที่ต้องพิจารณาข้อร้องเรียนเสียก่อนว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ แต่เป็นกรณีที่คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีมีเหตุสงสัยว่าโจทก์ที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา 77 เห็นว่าจำเลยที่ 2 – 10 ดำเนินการไปตามกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ โดยโจทก์ทั้งสองยังสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดชั่วคราวไม่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 – 10 ในฐานะเจ้าพนักงานกระทำการในหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสอง ที่นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะ โฆษกของจำเลยที่ 1 ไขข่าวแพร่หลายถึงคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไว้ชั่วคราวไม่ใช่ข้อความเท็จ จึงไม่ใช่การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันเป็นเท็จ ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งหมด จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ทั้งสองได้โดยไม่ต้องสืบพยาน อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน .-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/442752
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ หรือพระธาริต ฉายา “สุธมมฺชินวโร” ถ่ายภาพร่วมกับญาติโดยมีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เจ้านายเก่ามาร่วมงาน เปิดภาพอดีตอธิบดีดีเอสไอ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อุปสมบท อย่างเงียบ ๆ กำหนด 11 วัน ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี หลังถูกมรสุมกระหน่ำ ป.ป.ช. ชี้มูลรวยผิดปกติ จ่อยึดทรัพย์ - ไล่ออกจากราชการ พบ “อดีตเจ้านาย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ - ภรรยา - ญาติ - ลูกน้องคนสนิท ร่วมงานบวช รับฉายา “สุธมมฺชินวโร” หรือ “ผู้ชนะอันประเสริฐ” วันนี้ (12 เม.ย.) มีรายงานว่า มีความเคลื่อนไหวของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ภายหลังเมื่อ 10 มี.ค. เพิ่งถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ โดยกำลังอยู่ในขั้นตอนเสนออัยการสูงสุดเพื่อยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 346 ล้านบาท ขณะที่เมื่อปลายเดือน ป.ป.ช. ยังได้เสนอนายกรัฐมนตรี ไล่นายธาริตออกจากราชการในฐานความผิดดังกล่าว จากกรณีดังกล่าวนายธาริตได้ออกมาตอบโต้ ป.ป.ช. ว่า ใช้หลักเกณฑ์ใดในการคำนวณทรัพย์สินดังกล่าว และต่อมา นายธาริต ก็ไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ อีก ล่าสุด เมื่อช่วงเช้ามีรายงานว่า ที่อุโบสถวัดจันทาราม (วัดท่าซุง) ตำบลน้ำซึม อ.เมือง จังหวัดอุทัยธานี นายธาริต ซึ่งอยู่ในชุดนาคแก้ว ใบหน้าอิ่มเอิบ ในมือถือกรวยดอกบัวธูปเทียนมาทำการอุปสมบท มีญาติและคนใกล้ชิดเดินทางมาร่วมงาน เช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี (พรรคพลังประชาชน) ที่เคยเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ รมว.ยุติธรรม เจ้านายเก่านายธาริต สมัยยังอยู่กระทรวงยุติธรรม นายสกล บุญสมุทร อดีต ผอ.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นน้าชาย และ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยา ที่ก็ถูก ป.ป.ช. ตรวจพบว่ามีการโอนถ่ายทรัพย์สินผิดปกติเช่นกัน ยังพบว่า มีผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งจากดีเอสไอมาร่วมงานจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ นายธาริต หรือ พระธาริต ได้รับฉายา “สุธมมฺชินวโร” ซึ่งแปลว่า “ผู้ชนะอันประเสริฐ” โดยจะอุปสมบท จำนวน 11 วัน และจะลาสิกขาในวันที่ 22 เม.ย. 59 ขณะที่นายสมชาย ได้เป็นเจ้าภาพถวายบาตร เครื่องอัฐบริขาร ของใช้ส่วนตัว ปัจจัยไทยธรรม และทำพิธีฉลองเพลพระภิกษุสงฆ์และสามเณร 57 รูป ที่ศาลาการเปรียญภายในวัดด้วย สำหรับประวัติของ นายธาริต บ้านเกิดเป็นชาวคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จ.ชัยนาท โดยก่อนหน้านั้น มีชื่อว่า “นายเบญจ” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตามคำแนะนำของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง ซึ่งมรณภาพไปแล้ว ขณะที่ ญาติ นายธาริต ระบุว่า นายธาริต ได้มาปรึกษาเพื่อบวชทดแทนคุณให้กับพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว หลังจากไม่มีงานที่จะต้องรับผิดชอบมากนัก ------------------------------------------------------------------------ ที่มา : http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9590000037806 หวังว่า ผลบุญ คงไปช่วยลดผลกรรมลงได้บ้างนะ แต่..........................ไม่น่าจะทันแล้ว
มาเพิ่มอีกหนึ่ง เบื้องหลัง! เปิดหนังสือ ‘ศุภชัย’ ถาม ‘ธาริต’ ให้รับรองสหกรณ์คลองจั่นฯไร้ปัญหาการบริหาร สร้างความเชื่อมั่นหมู่สมาชิก-สยบข่าวลือผู้ไม่หวังดี 7 วันเรียบร้อย ด้านเจ้าตัวขอให้ดีเอสไอตอบเอง ยันไม่ได้พิจารณาคนเดียว นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ทำหนังสือเรียนอธิบดีดีเอสไอ (นายธาริต) เรื่อง การร้องเรียนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยระบุว่า ตามข่าวร้องเรียนเกี่ยวกับสหกรณ์ฯ นับแต่เดือน มี.ค.-เม.ย. 2556 ในเรื่องการดำเนินงานซึ่งอาจมีข้อผิดพลาด ข้อสงสัยต่าง ๆ ทั้งมีเรื่องการเลื่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปี เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2556 ที่หอประชุมสหกรณ์ฯ มีการนัดหมายมารับเงินปันผลในวันที่ 2 เม.ย. 2556 โดยที่ความเป็นจริงยังไม่ได้รับรองงบการเงิน และปิดสำนักงาน 3 วัน ไม่มีผู้บริหารไม่ปรากฏตัวเพื่อชี้แจงสมาชิกได้ทราบเหตุผล ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายหาข้อสรุปมิได้ สมาชิกถอนเงินไม่ได้ ทำธุรกรรมไม่ได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับหมู่สมาชิกและสยบข่าวลือสำหรับผู้ไม่หวังดี สหกรณ์จึงมีหนังสือสอบถามข้อร้องเรียนต่าง ๆ มายังดีเอสไอ ได้โปรดยืนยันผลการร้องเรียนให้กับสหกรณ์ด้วย จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง หลังจากนั้น 7 วัน (เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2556) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ตอบกลับนายศุภชัย และสหกรณ์ฯ ระบุว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ได้ขอทราบผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการร้องเรียนสหกรณ์ฯ ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น ดีเอสไอ ขอเรียนว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว ไม่พบการกระทำความผิดตามข้อที่ได้ร้องเรียนแต่อย่างใด เท่ากับว่า ใช้ระยะเวลาพิจารณาแค่ใน 7 วัน ! น่าสังเกตว่า กรณีนี้เป็นหนังสือที่ออกจากสำนักอธิบดี โดยไม่อ้างหนังสือของสำนักคดีต่าง ๆ เพื่อมาประกอบการตัดสินใจแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังใช้ระยะเวลาพิจารณาดำเนินการแค่ใน 7 วัน ทั้งที่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอ ในคดียักยอกทรัพย์สินของสหกรณ์ฯ นับเป็นเงื่อนปมปริศนา ที่ดีเอสไอต้องรีบดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง นอกจากเรื่องการขายที่ดินนายศุภชัยกว่า 477 ล้านบาท ที่ถูก ‘ปัดฝุ่น’ ขึ้นมาใหม่อีกครั้งในขณะนี้
หมายข่าวเจาะ//เมื่ออดีตอธิบดี ดีเอสไอ ถูกดำเนินคดียึดทรัพย์ ฐานร่ำรวยผิดปกติ จะร่ำรวยผิดปกติได้อย่างไร ใครมีภาระต้องพิสูจน์
ศาลอุทธรณ์แก้จำคุก"ธาริต-ชาญเชาว์"คนละ2ปี คดีโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม แต่ให้รอลงอาญา2ปี วันนี้(2มี.ค.60)นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ และ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางมายังศาลอาญาเพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นโจทก์ฟ้อง ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณี โยกย้ายพ.อ.ปิยะวัฒก์ จากตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ดีเอสไอ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าเดิม สำหรับคดีนี้ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้อง แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้รับไว้พิจารณา และศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก นายธาริต 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ยกฟ้องนายชาญเชาว์ จำเลยที่ 2 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานนำสืบว่า มีเจตนากลั่นแกล้งให้เกิดความเสียหายเกี่ยวกับคำสั่งย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายธาริต และชาญเชาว์ ได้กระทำผิดจริงส่อเจตนาโยกย้ายโดยมิชอบ ศาลจึงพิพากษาแก้ให้จำคุกนายธาริต และนายชาญเชาวน์ คนละ 2 ปี แต่ทั้งสองคนรับราชการทำคุณงามความดีและไม่เคยต้องโทษจำคุก จึงให้รอลงอาญา 2 ปี ภายหลังนายชาญเชาวน์ ยืนยันว่า การโยกย้ายดังกล่าวเป็นไปด้วยความรอบคอบ แต่ตัวเองเป็นบุคคลที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเคารพคำพิพากษาของศาล และจากนี้จะหารือก่อนว่าจะยื่นฎีกาหรือไม่ ด้านพ.อ.ปิยะวัฒก์ ระบุว่าพอใจในผลคำพิพากษา เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้บังคับบัญชากระทำแม้ศาลจะรอลงอาญาจำเลยทั้งสองคน แต่ก็ถือว่าเป็นบรรทัดฐานในการโยกย้ายข้าราชการต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำคุก "ธาริต เพ็งดิษฐ์" และ "ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ" คนละ 2 ปี กรณีโยกย้ายอดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ไม่เป็นธรรม แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดสอบคำให้การ "ธาริต เพ็งดิษฐ์" อดีตอธิบดีดีเอสไอ หลังรับสารภาพไม่มีเจตนาเลี่ยงแจ้งทรัพย์สิน กทม. 19 ม.ค.-ศาลฎีกาลงมติเป็นเอกฉันท์นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินเป็นเท็จ จำคุก 1 ปี รับสารภาพเหลือจำคุก 6 เดือนแต่ให้รอการลงโทษอาญา 2 ปี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเป็นเอกฉันท์พิพากษาว่านายธาริต เพ็งดิษฐ์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีทุกสามปีที่อยู่ในตำแหน่ง ห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2560 อันเป็นวันที่พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท แต่นายธาริตให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษถึงหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือนปรับ 5000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่านายธาริตเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษจำคุก 2 ปี.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/view/5a618f14e3f8e420ab43643c
