วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 พม่ามีเค้าเกิดสงครามกลางเมือง การที่อเมริกา ดันให้พรรคของอองซานได้คะแนนเลือกตั้งชนะในหลายเขต แต่ผลคะแนนที่สรุปแน่นอนน่าจะต้องใช้เวลาอีกราวครึ่งเดือนนั้น ขณะนี้เริ่มได้กลิ่นสงครามกลางเมืองพม่าโชยมาแต่ไกล เพราะอย่างไรเสียเด็กสร้างอเมริกาก็ไม่มีทางได้เป็นผู้นำพม่าแน่นอน 100%และรัฐบาลทหารพม่าจะบริหารประเทศต่อไปสักระยะ http://topsecretthai2.blogspot.com/2015/11/blog-post_57.html
ผมว่าไม่ได้มีแต่อเมริกาหรอกที่ดัน พวกเผ่าอื่นในพม่าก็น่าจะร่วมดันด้วย ถ้าอองซานนำประเทศเมื่อไหร่ก็เตรียมทวงสัญญาปางโหลงแยกประเทศ
ผมไม่เคยอ่านประวัติศาตร์เรื่องนี้ เลยลองค้นดู แล้วเอาแปะใว้สำหรับคนที่ไม่เคยรู้เหมือนผม ----------------------------------------------------------------------------- ปางโหลง...สัญญาที่ถูกลืม โดย เอกรัตน์ บรรเลง สาระสำคัญของสัญญาปางโหลง ระบุข้อตกลงไว้ 9 ข้อ คือ 1. ให้ตัวแทนของสภาผู้นำร่วมสหพันธรัฐเทือกเขา (Supreme Council of the United Hill People) เข้าร่วมในคณะรัฐบาลจำนวน 1 คนโดยให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่ปรึกษา 2. รัฐมนตรีผู้นั้นจะไม่สังกัดกระทรวงใดสำหรับการทหารและการต่างประเทศของสหพันธรัฐเทือกเขา (United Hill People) จะต้องมีระเบียบแบบแผนที่ชัดเจนซึ่งจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล 3. ตัวแทนของสหพันธรัฐเทือกเขา (United Hill People) สามารถเลือกรัฐมนตรีช่วยได้อีก 2 ตำแหน่ง ซึ่งในจำนวน 2 ตำแหน่งนี้จะต้องมิใช่ชนชาติเดียวกัน และต้องมิใช่ชนชาติเดียวกับรัฐมนตรีด้วย 4. รัฐมนตรีช่วยทั้ง 2 คน มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมก็ต่อเมื่อมีการประชุมเกี่ยวกับสหพันธรัฐเทือกเขา (ไทใหญ่ ชิน และคะฉิ่น) เท่านั้น นอกเหนือจากนี้รัฐมนตรีเท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าร่วมในการประชุมสภาฯ 5. สหพันธรัฐเทือกเขา (United Hill People) มีสิทธิปกครองตนเองโดยอิสระเหมือนดังเช่นที่เคยปฏิบัติ 6. ในหลักการให้การรับรองว่าให้รัฐคะฉิ่นเป็นรัฐรัฐหนึ่ง แต่ในการนี้จะต้องนำเข้าสู่วาระการประชุมร่างรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่ง 7. ตามหลักการระบอบประชาธิปไตยที่กำหนดไว้ สหพันธรัฐเทือกเขา (United Hill People) ต้องได้รับสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับพม่าทุกประการ 8. รัฐฉานมีสิทธิในการใช้จ่ายเงินทองเหมือนเดิม (เหมือนสมัยอยู่ในอารักขาของอังกฤษ) 9. ต้องนำเงินส่วนกลางจากทางรัฐบาลไปช่วยเหลือแก่รัฐชินและคะฉิ่น ส่วนหนี้สินระหว่างพม่าและไทใหญ่นั้น ให้รัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยของสหพันธรัฐเทือกเขา (United Hill People) ทำการตรวจสอบและเพื่อดำเนินการแก้ไขต่อไป http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=91645
ผมเองก็ไม่ได้รู้มากนะครับ อาศัยอ่าน แต่เดาว่า น่าจะ สมประโยชน์กันมากกว่า เพราะตอนนี้ พม่าปรับตัวเข้ากับระบบทุนมากขึ้นโดยรัฐบาลทหาร หากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ระบบทุนจะเข้าสู่ประเทศมากขึ้นทั้งมหาอำนาจตะวันตก ตะวันออก เพราะยังมีทรัพยากรให้กอบโกยกันอีกมากมาย ส่วน ออง ซาน ก็ได้คุมอำนาจ กลุ่มทหารก็ยังมีอิทธิพลอยู่ 25 %( อาจได้คุมอำนาจมากกว่าด้วยซ้ำ) ปชช. ก็ได้ประชาธิปไตย ไม่น่าจะมีฝ่ายไหนได้ประโยชน์จาก สงครามนะครับ
พอดีเจออีกเวป ให้รายละเอียดดีมาก ลองอ่านดูนะครับ --------------------------------------------------------------------- http://taiyai.net/Panglong.html
ถ้าจะเกิดสงครามกลางเมืองก็เพราะกิเลสตัวเดียวครับ ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากฝ่ายไหน เพราะเหมือนที่คุณโพสต์ "ยังมีทรัพยากรให้กอบโกยกันอีกมากมาย"
ผมว่า เรื่องผลประโยชน์ มีตัวหารเยอะเกินไป ทั้งจากภายในเองและต่างชาติ แล้วยังมีเรื่องของชนชาติเข้ามาร่วมอีกด้วย ดูท่าจะเกลี่ยลงตัวยากหน่อย แต่ก็เอาใจช่วย เพราะถ้าเขาเกิดสงคราม ประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบด้วยแน่นอน
ยาก อย่างมาก รบ ทหารได้ แล้วก็แบ่งให้ฝั่งนางซูจีมาช่วยงาน ดูจากการวิแคะทางทีวีแล้ว โอกาสตั้ง รบ .ถือว่ายากมาก สงครามกลางเมืองก็ยากเพราะทหารยังคุมกระทรวงหลักไว้อยู่ ก็น่าจะดี เพราะเมกันอาจเข้ามาเสริกได้ยากเหมือนเดิม แลคงไม่ขอร้อง รบ ของพม่า ให้มาวุ่นวายกะเรื่องเพื่อนบ้าน
นางซูจีให้สัมภาษณ์ BBC ว่า "ก็แค่หาคนมาเป็นประธานาธิบดี แต่ไม่มีอะไรจะมาหยุดนางจากการตัดสินใจของหัวหน้าพรรค" ดีใจๆจริงๆครับ ที่พม่าจะใช้วิธีการของท่านทักษิณ แม้ท่านจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้ท่านไม่สามารถเป็นนายกได้ ท่านก็เลือกหุ่นเชิดมาเป็นนายกซักตัว ประเทศชาติเลยเจริญฮวบๆ เพราะมีนายกหุ่นมา 3 ตัว
ปัญหา ความเหลื่อมล้ำในพม่า มีมาก ทหารพม่า เอง ก็เตรียมตัว รับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เมื่อราว 4-5 ปี ที่แล้ว ก็เริ่มเอาความมั่งคั่ง ที่สะสมไว้ ทะยอยซืื้อทรัพย์สิน เช่น โรงแรม ที่ดิน คงมุ่งหวัง จะควบคุม เศรษฐกิจ แทนที่ อำนาจปืน ที่จะลดบทบาท ลง แต่ อีกไม่นาน ความเหลื่อมล้ำ จะเป็นตัวผลักดัน ให้เกิดความรุนแรง โดยมีสัญญาณ ที่พอจะจับได้ คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ สูงมาก ๆ จนต่างชาติบ่น ผมให้เวลา อีก ไม่เกิน 5 ปี จะเกิดความปั่นป่วน โกลาหล
ส่วนผมเองก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า คนอย่างอองซานเป็นผู้หญิงเหยาะแหยะ จะบริหารประเทศพม่าที่มีกลุ่มชนเผ่ามากมายหลายกลุ่มอย่างไร ลำพังแค่เรื่องศาสนาก็คงจะฆ่ากันตายไปครึ่งประเทศแล้วกระมัง ที่พูดไม่ได้ดูถูกดูแคลนเพราะขนาดรัฐบาลทหารที่ใช้เผด็จการ จัดการปัญหาแบบถึงลูกถึงคนยังแก้ปัญหายากเลย ถามว่าถ้าซูจีขึ้นมาครองประเทศกลุ่มชนเผ่าจะกลัวรัฐบาล ที่ปกครองโดยผู้หญิงหรือไม่สุดท้ายคงไม่แตกต่างจาก นายกหญิงของไทยนามปูจีที่ท้ายสุดก็โดนครอบงำโดยผู้ชาย เจ้าเล่ห์ทั้งหลายนางจะตามทันคนเหล่านั้นหรือเปล่า หวังว่าประเทศพม่าโดยการนำของนายกหญิงคนแรก คงไม่แตกเป็นเสี่ยงไปเสียก่อนหากมีบางกลุ่มขอแยกประเทศจริงดัง เพื่อนสมาชิกว่าไว้ เพราะดูเหมือนตัวแปรสำคัญคือนโยบายแทรกแซงของ อเมริกาจะเข้ามากดดันกดขี่บังคับและบีบคอรัฐบาล ของนางซูจีแบบไม่วางมือแน่นอน ก็ลองดูเมื่อเอเชียอยากได้วัฒนธรรมแบบตะวันตก คลั่งใคล้แนวคิดะวันตกโดยไม่ย้อนกลับไปดูว่า ที่เขาเข้ามาคบหาสมาคมกับเรามาด้วยมิตรไมตรี หรือมาด้วยผลประโยชน์แอบแฝงซ้อนเร้น ถ้ารัฐบาลประเทศใหนตีโจทย์นี้ไม่แตกจะพังเป็นประเทศๆไป เร็วนี้มีข่าวออกมาว่าประเทศซาอุฯลูกกระเป้งข้างซ้ายของอเมริกา กำลังจะมีแววกำลังจะล้มละลายตามลูกพี่อเมริกาไปติดแบบไม่ให้น้อยหน้า สงครามกับเยเมนก็ยังไม่จบ ส่วนลูกกระเป้งของขวายังยืนอยู่ได้เพราะรับจ้างอเมริกาผลิตอาวุธ สงครามอ่าวอาจจะทำให้หลายๆประเทศต้องหมดเนื้อหมดตัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ตรงกันข้าม หากซูจีร่วมมือกับทหารพม่าได้ ทำเพื่อชาติ ไม่เป็นทาสอเมริกา พม่าจะเจริญรุ่งเรือง ผลกระทบถึงไทยคือ คนไทยจะเศร้าทั้งประเทศ พม่าฆ่ากันตายขนาดนั้นยังปรองดอง จบความขัดแย้งกันได้ คนไทยแค่เรื่องไร้สาระอย่างโกงแล้วแบ่ง ดราม่าเป็นวรรคเป็นเวรมาสิบกว่าปี แล้วดูท่าจะไม่จบง่ายๆ
ถ้าข่าวนี้เป็นจริง เท่ากับเลือกตั้งเพื่อไปเป็นเผด็จการ เหมือนประเทศไทยเลยนะ -------------------------------------------------------------- มาดามซูกำลังเนื้อเต้น เพราะว่าคอยโอกาสนี้มาทั้งชีวิตที่จะบริหารประเทศเมียนม่าร์ แม้ว่าผลของการเลือกตั้งในวันที่8พฤศจิกายนที่ผ่านมาจะยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ มาดามซูคาดการว่าคะแนนเสียงจะชนะอย่างท้วมท้น คือได้เกิน2ใน3 ซึ่งจะทำให้พรรคNational League for Democracy ของเธอสามารถฟอร์มรัฐบาลได้ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะจำกัดสิทธิ์ไม่ให้มาดามซูเป็นประธานาธิบดี เนื่องจากมีบุตรถือพาสพอร์ตต่างชาติ แต่เธอยืนยันว่าเธอจะเป็นผู้บริหารประเทศตัวจริง โดยที่เธอจะอยู่เหนือประธานาธิบดีที่จะเข้าไปรับตำแหน่ง มาดามซูให้เหตุผลว่า เธอเป็นหัวหน้าพรรค และประธานาธิบดีต้องทำตามสิ่งที่เธอสั่ง https://th-th.facebook.com/ThanongFanclub/posts/403882843141429
การก้าวขึ้นมาจนถึงวันนี้ของอองซาน ว่ายากแล้ว แต่หลังจากนี้ไป การบริหารประเทศต่อจากนี้ไป จะยากกว่าหลายเท่า เสียงของประชาชนที่สนับสนุนเธอในวันนี้ เมื่อเวลาผ่านไป จะยังคงสนับสนุนเธอต่อไปหรือไม่ เห็นว่า ล่าสุดเริ่มมีการพูดคุยกันแล้วเพื่อความปรองดอง น่าจะเริ่มจัดตั้งรัฐบาล แต่วาระปธน. จะหมด มี.ค. ปีหน้า คงยังไม่เข้าที่ง่ายๆครับ
ช่วง2-3ปีนี้ผมไปร่วมประชุมสัมนาเกี่ยวกับการลงทุนในพม่าหลายครั้ง ทั้งที่จัดโดยทางการพม่า หอการค้าต่างประเทศ และสถาบันเอกชน ได้พูดคุยกับคนที่เข้าไปลงทุนในพม่ารวมถึงรัฐวิสาหกิจของไทยเช่นกฟผ. สรุปว่าผู้นำทหารพม่ามี mind set ที่แน่นอนว่าจะเปลี่ยนพม่าสู่ประชาธิปไตย แต่ด้วยวิถีแบบพม่าไม่ใช่เป็น package ที่ตะวันตกพยายามยัดเยียดให้โดยผ่านทางนางอองซานซูจี เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญรวมถึงกระทรวงที่กลุ่มอำนาจเก่ายังทรงสิทธิควบคุมหลังการเลือกตั้ง น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวที่จะรับมือกับความยุ่งยากจากสํญญาปางหลวง(ป๋างหลง)เมื่อพ.ศ.2490 ดูแล้วน่าจะลำบากครับ ถ้าซูจีจะเอา package ของตะวันตกที่สนับสนุนเธออยู่มาใช้เต็มรูปแบบก็ต้องยอมรับรองเรื่องสิทธิมนุษยชน นั่นก็คือสิทธิของคนมุสลิมและชนเผ่าต่างๆ ถ้าเธอทำอย่างนั้นก็ต้องเจอกับผู้นำพุทธสุดโด่งอย่างวิระธูและกลุ่มอำนาจเก่าซึงยังมีอิทธิพลอยู่ น่าติดตามครับ
กว่าจะได้เป็นผู้นำของพม่าได้มาดามซูผ่านอะไรมาเยอะ แต่การที่รักษาอำนาจที่ได้มาแล้วยิ่งยากกว่า ถึงมาดามซูชนะคะแนนเสียงอย่างท้วมท้นล้นฟ้า ประชาชนฝากความคาดหวังไว้เต็มเปี่ยม ถ้ามาดามซูให้สิ่งที่ประชาชนอยากได้ไม่ได้ มาดาซูเองนั้นแหล๊ะที่จะโดนจับขึ้นเขียง บูชายันต์เสียเองกลายเป็นเรื่องทุกข์ลาภ หลังขึ้นครองอำนาจมาดามซูจะได้รู้เสียทีว่าประชาธิปไตยกับ สิทธิมนุษย์ชนมันไม่มีอยู่จริงมันแค่คำกล่าวของคนที่ความเห็นไม่ตรงกัน พ่นใส่กันเป็นวาทะกรรมเพื่อสร้างราคาให้คนพูดดูดีมีราคาเท่านั้น
พม่า : เมื่อ ออง ซาน ซูจี ประกาศ “ขออยู่เหนือกฎหมาย” แค่เริ่มต้นก็ไม่เป็น ประชาธิปไตยแล้ว โดยซูจีได้ให้สัมภาษณ์ผ่าน TIME ที่บ้านพักริมทะเลสาบของเธอ ว่า “ ฉันจะจัดตั้งรัฐบาล และจะมีประธานาธิบดีที่ทำงานนโยบายของพรรค NLD สำหรับตำแหน่งของเธอนั้นจะอยู่เหนือ ประธานาธิบดี ฉันได้วางแผนไว้แล้ว” การประกาศตัวเองว่าจะอยู่เหนือประธานาธิบดี ย่อมหมายถึงการประกาศว่าตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ “เผด็จการ”ทำ และไม่ได้อะไรที่เป็นประชาธิปไตยเลย นี่ยังไม่รวมถึงการที่ ซูจีและบริวารกลุ่มหัวรุนแรงฆ่าล้างเผ่า ” ม็อบผ้าเหลือง” ( saffron mobs ) ซึ่งเป็นกลุ่ม นิยมพุทธสุดโต่งที่กีดกันมุสลิมโรฮิงญานับล้านคนออกจากการเลือกตั้ง โดยซูจีประกาศห้ามไม่ให้คนมุสลิมในพรรค NLD ลงรับสมัครการเลือกตั้ง ซูจี คือ ทักษิณ เวอร์ชั่นพม่า ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกอย่างเต็มรูปแบบทั้งเรื่องสื่อตะวันตกที่ประสานเสียงขานรับและ NGO จอมปลอมต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งมีวาระทางการเมือง เพื่อขายประเทศใหักับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ Fortune 500 ที่ต้องการเข้ามากอบโกยทรัพยากรของพม่า และรวมถึงการบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเธอ ขอบคุณ เฟสบุ๊ค anthony.cartalucci http://chaoprayanews.com/blog/socialtalk/2015/11/12/หลังชนะเลือกตั้ง-ออง-ซาน/
แล้วคนนี้ละ พอจะเป็นลุงกำนันในเวอร์ชั่นไทใหญ่ได้ไหม หากอองซานปกครองชนเผ่าต่างๆ แบบกดขี่ข่มเหงกันแบบ ที่ประกาศไว้ พูดตรงๆ คนๆนี้ ดี กว่าอองซานและเต็งเส่ง ในทุกกระบวนท่าความเป็นผู้นำ ได้ข่าวว่าคนนี้ จีนให้การสนับสนุนอยู่ ซึ่งในความเห็นผมแล้ว ผมไว้ใจคนนี้มากที่สุด เพราะคน ๆ นี้ เคารพเทิดทูนองค์ในหลวงและสมเด็จพระเทพของเราไม่แพ้คนไทย
ถ้าผมเป็นเจ้ายอดศึกจะอยู่บนภูเชียร์หมูกัดกัน แต่ไม่รู้ว่าท่าทีของพวกโกก้างจะคิดยังไงกับรัฐบาลมาดามซู กลุ่มโกก้างน่าจะมีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิมเพราะ เพราะข่าวว่ามีพี่เลี้ยงดี พวกว้าจะคิดยังไงกับซูจีแต่ที่แน่ๆอเมริกาไม่ค่อยปลื้ม พวกนี้
เจ้ายอดศึกกับพวกโกกั้งเนี่ยเขาเป็นญาติกัน ไม่มีวันทิ้งกันอยู่แล้ว ท่านลองศึกษาเรื่อง เส้นทางสายไหมใหม่(New Silk Road)ดูนะครับ มันมีความเกี่ยวพันกันอยู่ ไม่ทราบว่าผมมโนมากไปหรือเปล่า
เจ้ายอดศึกเป็นคนอย่างไรผมไม่รู้หรอก แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเขารู้จักเคารพบูชา บุคคลที่ควรเคารพ(พระเจ้าอยู่หัวของเรา) จิตใจเขาก็คงไม่ใช่คนเลว คนปลิ้นปล้อนแน่นอน
เห็นกลุ่มชนเผ่าในพม่าแล้วมึน ไม่รู้ว่าวันดีคืนเมื่อไหร่จะลุกขึ้นมาฟาดฟันใส่กันอีก ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใครซะด้วย
ผมเองยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า พม่าจะมีชาติพันธุ์มากขนาดนี้ ---------------------------------------------------------------- ประชากร เชื้อชาติและศาสนา ประเทศเมียนมาร์ มีประชากรประมาณ 46 ล้านคน อยู่รวมกันทั้งสิ้น 135 ชาติพันธุ์ในจำนวนนี้ มีชนเผ่าพม่ามากที่สุด คือประมาณ 1 ใน 4 ส่วน รองลงมาก็คือ ไทยใหญ่ กะเหรี่ยง มอญ และกะฉิ่น ตามลำดับ สำหรับรัฐที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์มากที่สุด ก็คือรัฐฉาน เนื่องจากมีชนเผ่าอยู่รวมกันถึงประมาณ 80 ชาติพันธุ์ อาทิ ไทยใหญ่ ไทยน้อย ไทยทนุ อินตา ลีซอ อาข่า ม้ง จีนฮ่อ ฯลฯ เชื้อชาติของชนเผ่าพม่าเป็นเชื้อชาติผสมพยู มองโกล และอินเดียศาสนาพุทธเผยแผ่เข้ามาในเมียนมาร์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล และยังคงนับถือสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่าศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติสัดส่วนของการนับถือศาสนามีดังนี้ ศาสนาพุทธ 89 เปอร์เซ็นต์ คริสต์ทุกนิกายรวมกัน 5.6 เปอร์เซ็นต์ อิสลาม 3.8เปอร์เซ็นต์ ฮินดู 0.5 เปอร์เซ็นต์ http://www.2by4travel.com/home/Data-travel/myanma/khxmul-pra-the-sph
ยังมีคะฉิ่น,กะเหรี่ยง,มูจาฮิดีนพม่า ที่ยังไม่พูดถึงอีกพวกนี้ ล้วนมีกองกำลังเป็นของตัวเองทั้งนั้น ลองคิดดูคนมีอำนาจมีอาวุธพร้อมกองกำลังอยู่ในมือแล้วพากันออกมาพูดเรื่องเสรีภาพในการปกครองตนเองจะเกิดอะไรขึ้นแค่กลุ่มเดียวยังพอทนนี่นับเป็น10กลุ่มคงจะเหมือนเทศกาลสาดนํ้าวันสงกรานต์ไม่รู้ว่าใครเป็นใครบางกลุ่มก็สนับสนุนบางกลุ่มก็ต่อต้าน