นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ภายใต้ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึงกรณีมีการพบเชื้อเมิร์ส-คอฟที่ประเทศเกาหลี ว่า เชื้อดังกล่าว มีต้นกำเนิดมาจากแถบตะวันออกกลาง ซึ่งนอกจากจะพบในค้างคาวแล้ว ยังพบแอนติบอดี้ในเลือดอูฐ จึงควรระวังการติดเชื้อผ่านทางน้ำมูกน้ำลายของสัตว์มีหนอกชนิดนี้ด้วย ซึ่งขอเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า “ไข้หวัดอูฐ” “ไข้หวัดอูฐต่างจากไข้หวัดธรรมดาอยู่ 3 ข้อหลักคือ 1.หลอกให้ตายใจในตอนแรกอาการแยกยากจากไข้หวัดธรรมดาอาจพาให้เราป่วยจนสายไปได้ 2.ทำร้ายปอด ไข้หวัดอูฐทำให้มีอาการปอดติดเชื้อ ไตวาย เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและระบบหายใจล้มเหลวได้ 3.จอดสนิท มีสิทธิถึงตายได้ในข้อมูลที่ผ่านมาพบมีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตราว 30%” น.พ.กฤษดา กล่าว ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ฯ กล่าวว่า วิธีการป้องกันขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนออกมา ดังนั้นองค์การอนามัยโลก(WHO) จึงเน้นวิธีเฝ้าระวังและป้องกันตัวเองเป็นหลัก โดยขอสรุปเป็น 10 ทางออก คือ 1.ระวังอูฐ ท่านที่เดินทางไปตะวันออกกลางแล้วมีเหตุให้สัมผัสอูฐ ทั้งขี่อูฐ ถ่ายรูปกับอูฐ หรือไปเยี่ยมชมอูฐ ขอให้ระวัง น้ำมูก น้ำลายและน้ำนมที่เป็นผลผลิตจากอูฐที่มีสิทธิปนเปื้อนเชื้อมาติดเราได้จำได้ว่าเคยเห็นในแถบตะวันออกกลางมีช็อคโกแลตนมอูฐจำหน่ายด้วย 2.จับตาโรงพยาบาล การป้องกันที่ดีอีกเรื่องคือเฝ้าระวังผู้ป่วยตั้งแต่ที่โรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ต้องแม่นยำในอาการของโรคนี้โดยเฉพาะน้ำมูกกับเจ็บคอเพราะคล้ายกับหวัดธรรมดาและเริ่มแรกทีเดียวไม่จำเป็นต้องมีไข้ 3.ถามอาการและประวัติ สิ่งที่ควรถามคือความเสี่ยงโดยประวัติการเดินทาง สำคัญมาก หากเคยเดินทางไปในประเทศที่เสี่ยงเชื้อโดยเฉพาะแถบตะวันออกกลางและประเทศที่มีรายงานการติดเชื้อและมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดหลังจากนั้นก็จะได้ระมัดระวังและแยกผู้มีประวัติไว้ก่อน 4.หวัดให้ห่าง เนื่องจากอาการหวัดอูฐช่วงแรกกับหวัดทั่วไปไม่ต่างกันแต่จะติดกันได้ถ้าอยู่ ใกล้ชิดกันมากเช่นนั่งคุยใกล้กัน ทำกิจกรรมในกลุ่มเดียวกันดังนั้นถ้าไม่แน่ใจขอให้เลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดที่เสี่ยงกับการได้รับสารคัดหลั่งจากการไอ จามและสั่งน้ำมูก 5.ล้างมือบ่อย ยังคงใช้ได้เสมอเพราะมือคือแหล่งพาเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพสูงการล้างมือจนเป็นนิสัยจึงมีส่วนช่วยได้มากนอกจากนั้นการทักทายก็สำคัญให้เลี่ยงทักทายแบบสัมผัสเช่นจับมือหรือกอดจูบถ้าไม่แน่ใจ 6.ไม่ปล่อยตัว กลุ่มคนพิเศษที่ต้องเฝ้าดูแลไม่ปล่อยตัวเองให้เสี่ยงได้แก่ ผู้สูงวัย เด็กเล็ก คุณแม่ตั้งครรภ์และมีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน โรคปอด หัวใจ ไต ตับ มะเร็ง ภูมิไม่ดีและผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน 7.เสริมภูมิให้ดี การจะสู้กับโรคที่ยังไม่มียารักษาทางหนึ่งที่ดีคือ ทำตัวให้แข็งแรง ซึ่งทางหนึ่งของการเสริมภูมิกายให้เป็นภูมิแกร่งง่ายๆคือพักผ่อนให้พอ นอนไม่ดึกและถ้ามีโรคประจำตัวก็ขอให้คุมไว้ให้สงบดี 8.หนีแหล่งคนเยอะ ที่ใดมีคนชุมนุมอยู่มากก็ย่อมมีสิทธิที่เชื้อโรคจะมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงเช่นกันยิ่งกับโรคที่ติดง่ายผ่านความใกล้ชิดเช่นไข้หวัดอูฐการที่ต้องอยู่กับคนจำนวนมาก จึงเป็นความเสี่ยงหนึ่ง จึงควรเลี่ยงกิจกรรมในสถานที่คนเยอะโดยเฉพาะในประเทศที่มีไข้หวัดอูฐอยู่ 9.เลี่ยงสัมผัส การถูกเนื้อต้องตัวกันในบริเวณที่เสี่ยงได้รับสารคัดหลั่งจากคนป่วยเช่นฝ่ามือ,แก้มและตามตัวอาจติดโรคได้โดยเฉพาะหลังจากการไอ จามที่พาเชื้อผ่านน้ำมูก น้ำลายเข้ามาประปรายตามตัวโดยที่มองไม่เห็น ซึ่งการทักทายก็เป็นทางหนึ่งที่ติดได้โดยเฉพาะการจับมือหรือสวมกอดผิดกับการไหว้ซึ่งไม่ต้องสัมผัส 10.สังเกตหวัดไม่ธรรมดา ขออย่าลืมว่าหวัดอูฐไม่ได้น่าสะพรึงอย่างที่คิด เพียงแต่เราต้องรู้ให้ทันเท่านั้นโดยให้สังเกตจากอาการหวัดที่ดูไม่ธรรมดาอาทิ มีไอและหอบเหนื่อยปวดเมื่อยตัวช่วงหลังๆดูไม่สบายหนัก กว่าหวัดทั่วไปซึ่งถ้าสงสัยเชื้อเมิร์ส-คอฟไข้หวัดอูฐนี้ก็สามารถตรวจได้ . http://www.isranews.org/isranews-article/item/39022-thaireform0350658_39022.html ................................................................................................................ ไวรัสสายพันธุ์นี้ซึ่งยังไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกัน ถือว่าอันตรายมากกว่าแต่ก็มีความสามารถในการแพร่เชื้อน้อยกว่าไวรัส “ซาร์ส” หรือกลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนในเอเชียตะวันออกเมื่อปี 2003 จนถึงตอนนี้มีผู้ติดเชื้อเมอร์สแล้วมากกว่า 1,100 คนทั่วโลก เสียชีวิต 437 ราย โดยมีประเทศต่างๆมากกว่า 20 ชาติที่ได้รับผลกระทบ แต่ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย องค์การอนามัยโลก (ฮู) คาดว่า จะพบผู้ติดเชื้อในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น แต่ย้ำว่า “ไม่มีหลักฐาน” บ่งชี้ว่าไวรัสนี้จะแพร่เชื้อในชุมนุมได้อย่างยาวนาน http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000063659 ........................................................................................... เรียนรู้ และรู้จักไว้ก่อน แต่อย่าตื่นตระหนกนะครับ
โรคหวัดประหลาดๆที่ระบาดในช่วงทศวรรษหลังๆมานี้ต่างกับหวัดธรรมดาและน่ากลัวตรงที่การทำลายล้างสูง ถ้าเข้าสู่ระบบหายใจแล้วจะไปปอดอย่างรวดเร็ว และถ้ามีการเริ่มทำลายปอดแล้วมักไม่รอด วิธีป้องกันง่ายๆคือหลีกเลี่ยงชุมชนเสี่ยง หวัดนกก็อย่ายุ่งกับนก หวัดอูฐก็อย่าไปยุ่งกับอูฐ ถ้าเชื้อมันแพร่ออกมาจากที่เสี่ยงเหล่านั้นแล้ว เราก็อย่าไปสัมผัสเชื้อเอาเข้าตัวเรา อาจล้างมือบ่อยๆ หรือเวลาเห็นคนไอก็อย่าทะเล่อทะล่าเข้าไปสูดดมรับเชื้อ โชคดีที่ไวรัสพวกนี้อายุไม่ยืน หากอยู่ในละอองฟุ้งหรือในคราบเมือกที่ติดตามอุปกรณ์ต่างๆ เช่นลูกบิดประตู ราวบันได ฯลฯ เชื้อจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมก็จะตายในเวลาไม่นาน ดังนั้นทางสายกลางจึงดีที่สุด คือไม่ตื่นตระหนก แต่ระแวดระวังอย่างมีเหตุผลหากเรารู้หลักการ
ถูกต้องครับ สังเกตุให้ดีโรคที่รุนแรงในระยะหลังๆ มักเป็นเชื้อไวรัส ซึ่งจะว่าไปก็รับมือได้ง่ายครับ(หากเรารู้ตัวและเตรียมตัวทัน) การแพร่ระบาดมักจะมาทางอากาศและการสัมผัส(ทางตรงและทางอ้อม) ที่สำคัญที่สุด สุขภาพของเราต้องแข็งแรง หมั่นออกกำลังกาย อยู่เสมอ (อันนี้ยากไปไหม)
ล่าสุด .......... กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้แถลงวันนี้ (9 มิ.ย.) ว่า ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ “เมอร์ส” ในประเทศเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานอีก 1 คน เป็น 7 คนแล้ว ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 8 คนเป็น 95 คน ซึ่งน้อยกว่าเมื่อวานที่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 23 คนในวันเดียว ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลกเดินทางถึงเกาหลีใต้ในวันนี้และร่วมประชุมกับรัฐบาลเพื่อหาแนวทางควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์ส ด้านทางการฮ่องกงประกาศเตือน “ระดับสีแดง” ห้ามประชาชนเดินทางไปเกาหลีใต้หากไม่มีเหตุจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อดังกล่าว http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/650874 ..................................................................................................
ยืนยันแล้วด้วยว่ารายใหม่มีประวัติสัมผ้สเกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อรายเดิมๆ สรุปว่าเมอร์สมีคุณสมบัติเป็น spreader ที่มีความเร็ว และเป็น killer ที่มีความรุนแรงในขณะเดียวกัน
อาจจะดูเหมือนรุนแรง แต่เชื่อว่าน่าจะควบคุมได้หากรัฐฯเอาจริงในเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาด ที่น่าสนใจคือ มีผู้ที่หายจากการติดเชื้อ 1 ราย ซึ่งอาจจะสามารถคิดค้นวัคซีนขึ้นมาได้นะครับ
ชื่อเต็ม ใส่ mask กันทั่วกรุงโซล .. ล่าสุดเวียดนามประกาศเตือน “ระดับสีแดง” เพิ่มจากฮ่องกงอีกประเทศแล้ว
ตามข่าวมาตั้งแต่ปี 2012 ที่เริ่มระบาดในตะวันออกกลาง เข้าใจว่าเชื้อนี้ต้นกำเนิดมาจากค้างคาวสุสานครับ (Tomb bat) แล้วไปอยู่ในอูฐสุดท้ายติดต่อมาถึงคน ช่วงที่พบว่าติดต่อถึงคนใหม่ๆ นักวิทยาศาสตร์เองยังเถียงกันคอเป็นเอ็นเลยว่าโรคนี้ไม่มีหรือมีการติดต่อแบบคนสู่คนน้อยมาก จนกระทั่งช่วงปี 2013-2014 พบว่าเริ่มระบาดในคนสู่คนเยอะขึ้น จนมาปีนี้ที่หลุดเข้าไปเกาหลีนี่แหละครับ เท่าที่ตามล่าสุดเชื้อที่พบในเกาหลีนี้พัฒนาจนจะเป็นคนละตัวกับที่เจอในตะวันออกกลางแล้วด้วยจึงทำให้การติดต่อคนสู่คนสูงขึ้น ระบาดในเกาหลีนี่ยังพอทำเนาใจได้ว่าเขาคงเอาอยู่ แต่ที่มีข่าวหลุดเข้าไปในจีนแล้วเงียบ............. นี่ผมไม่มั่นใจเลยล่ะครับ
วันนี้ Girls' Generation จะบินมาสมุย เห็นว่ามีการทำเอ็มวีที่นั่น นี่คือภาพ mask กลางของวง และ mask ส่วนตัว สมัยไวรัสตัวอื่นระบาดมีการทำaccessoriesรูปแบบ black signature พาณิชย์ได้ทุกอย่างจริงๆ น่าร็อกจัง ตีห้ากว่าๆแล้ว พวกเราเตรียมไปออกกำลังเพิ่มภูมิต้านทานกันหรือยังคะ ?
จุดธูปเรียกท่าน Diablo เจ้าค่ะ ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยา คืออยากทราบถึงกระบวนการทำลาย ผลของพิษจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆพวกไวรัส และแบคทีเรียที่มีต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะของมนุษย์ รบกวนท่านหน่อยนะคะ เชื่อฝีมือว่าท่านเขียนได้อ่านง่ายเข้าใจเหมือนเคย
Girls' Generation ที่ Incheon Airport ก่อนบินเข้าสมุยเพื่อทำ MV " Catch Me If You Can " วันนี้ใส่ mask กันโด้ยยย #Taeyeon #Tiffany #Yoona
สาวๆถึงสุวรรณภูมิแล้ว กำลังเข้าแถว ต.ม. ( อะอ๊ะ ยังใส่ mask อยู่ ) เห็นขวดน้ำยาฆ่าเชื้อถูที่มือด้วยนะ ^^ ระหว่างรอทรานสิทเครื่องไปสมุย สาวๆก็เข้าทานอาหารในเลาจน์ของการบินไทย ( สายสืบว่าทานกล้วยด้วยนะ ซูมสุดฤทธิ์ ) ในเมืองไทย เมอร์สยังไม่มีข่าวว่าเขาเข้ามานะคะ
ขออภัย และขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ เพื่อการจินตนาการที่ถูกต้อง..พยายามเสนอภาพให้อยู่ในประเด็นเมอร์สและเกาหลีต้นตอค่ะ
ถึงจะไม่ได้เป็น เมอร์สแต่ยังถือว่าเป็นเกาหลี ถือว่าอยู่ในประเด็นครับ ที่สำคัญ วงนี้น่ารักจริงๆครับ ที่ประชุมอนุมัติให้นำภาพมาอัพเดทได้ต่อไปครับ
นอกเรื่องก่อนนิดนึง ปกติถ้าเข้าไปประเทศที่มีข่าวว่าระบาดถึงจะใส่หน้ากากนะครับ นี่ถ้าใส่เข้ามาหาเราแสดงว่ากันไม่ให้ระบาดมาถึงเรา แต่หน้ากากแบบในภาพกันเชื้อไวรัสไม่ได้นะครับ อย่างน้อยต้องเป็นรุ่น N95 ขึ้นไป อาจจะลดความเสี่ยงลงได้นิดนึงแต่กันเชื้อไวรัสไม่ได้ครับ ทีนี้มาตามกลิ่นธูปเข้าเรื่องนะครับ ขอพูดถึงเฉพาะไวรัสก่อนนะครับ ไวรัสจะเรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตก็เรียกไม่ได้เต็มปากครับ เพราะจริงๆตัวมันมีองค์ประกอบแค่ DNA หรือ RNA แล้วก็มีเกราะพวกโปรตีนหรืออาจจะไม่มีเลย และจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มี host คืออาจจะอยู่รอดในสภาวะแวดล้อมภายนอกได้นาน ๆ แต่สุดท้ายถ้าจะเพิ่มจำนวนต้องอาศัย host ครับ แล้วส่วนใหญ่จะต้องเป็น host ที่เฉพาะเจาะจงมากๆ แบบต้องเป็นเซลล์ของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เท่านั้น แล้วเป็นเซลล์ประเภทนี้เท่านั้น ถึงจะติดได้อะไรแบบนี้ นึกสภาพแม่กุญแจกับลูกกุญแจครับ ถ้าลูกกุญแจตรงล็อคปั้บก็ไขประตูเข้าไปในเซลล์ได้ แต่ถ้าไม่ตรงยังไงก็ไม่ไขเข้าไป เพราะบนผนังเซลล์ปกติจะมี"ตัวรับ"ที่เรียกว่า receptor ครับ ถ้ามีสารเคมี ชีวภาพ หรืออะไรก็ตามที่ตรงกัน"ตัวรับ"ก็จะรับเข้าไปได้เหมือนตรงล็อคกันพอดีครับ ทีนี้พอไวรัสเข้าไปในเซลล์ได้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น มันจะ injected สารพันธุกรรมของตัวเองเข้าไปใน DNA เซลล์ host ครับ แล้วบังคับให้ DNA ของเซลล์นั้นๆสร้าง copy ของตัวมันเองออกมา พอเพิ่มจำนวนไปมากๆเซลล์ host ก็จะถูกทำลายหรือ"แตก"นั่นเองครับ กรณีนี้เห็นชัดๆคือไวรัสไข้เลือดออกหรือพวกอีโบล่าครับ พวกนี้พอถึงระยะหนึ่งจะทำลายเซลล์จำนวนมากจนทำให้เกิดอาการตกเลือดภายในครับ มาพูดถึงแบคทีเรียนะครับ ส่วนแบคทีเรียอันนี้เรียกเป็นสิ่งมีชีวิตได้ง่ายหน่อย เพราะองค์ประกอบครบเป็นเซลล์ได้ เพิ่มจำนวนได้ด้วยการแบ่งเซลล์ตัวมันเองได้เมื่อมีอาหาร ทีนี้เราทราบว่าแบคทีเรียนี่ก็มีทั้งตัวที่ดีและไม่ดี เพราะเราต้องอาศัยแบคทีเรียในร่างกายเหมือนกัน พูดง่ายๆว่าจำนวนเซลล์แบคทีเรียที่มีอยู่ในตัวคนโดยเฉลี่ยนี่มีจำนวนมากกว่าเซลล์ของคนนั้นๆอีกนะครับ ทีนี้พวกแบคทีเรียตัวร้ายนี่ทำให้เราเจ็บป่วยยังไง ตรงนี้จะมีข้อแตกต่างกับวไรัสนิดนึงตรงที่ตัวแบคทีเรียมันมันจะสร้าง"สารพิษ"ออกมาครับเมื่อมันแบ่งตัวมากๆ ตรงนี้แหละที่ทำให้เราเจ็บป่วยเช่นท้องเสีย โรคโบทูลิซึ่ม ฯลฯ ส่วนไวรัสมันจะทำลายเซลล์โดยตรง ที่เราจะเห็นว่าอันตรายมาก ๆ และได้ยินบ่อย ๆ คืออาการติดเชื้อในกระแสเลือด จริงๆคือเชื้อแบคทีเรียมันมีจำนวนมากจนสร้างสารพิษเข้าไปในกระแสเลือดมากจนร่างกายกำจัดไม่ไหวครับ เพราะสารพิษพวกนี้ต้องบอกเลยว่าร้ายมาก แล้วบางทีร่างกายก็กำจัดได้ทีละน้อยๆด้วย ผมยกตัวอย่างคือโบทูลินั่มจากพวก Clostridium เราจะเห็นว่าคนป่วยต้องใส่ท่อช่วยหายใจไว้นาน เพราะระบบหายใจมันเป็นอัมพาตเพราะสารพิษตัวนี้ครับ แล้วก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประคองการทำงานของปอดไปจนกว่าร่างกายจะกำจัดสารพิษออกได้เองจนหมด หรือจะให้ชัดอีกอันคือคนที่ไปฉีดโบท็อกนั่นแหละครับ คือเอาโบทูลินั่มมาฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นเป็นอัมพาตจนดูเหมือนว่ามันตึงขึ้นครับเพราะมันเคลื่อนไหวไม่ได้ พอพ้นระยะนึงก็จะกลับมาเหมือนเดิมเพราะร่างกายกำจัดสารพิษไปหมดก็ต้องไปฉีดใหม่ ส่วนเจ้า Mers-CoV ตัวนี้มันเลือกเซลล์ในระบบทางเดินหายใจครับ แล้วมันหลบหลีกพวกภูมิคุ้มกันได้เก่งอีก
BREAKING NOW 14:36 เกาหลีใต้รายงานผู้เสียชีวิตจากไวรัสเมอร์สเพิ่มเป็น 9 ราย ทางการฮ่องกงยกระดับเตือนภัย http://www.now26.tv/breakingnow/43303 .................................................................................. ดูเหมือนของไทยยังไม่มีการเตือนภัยใดๆออกมาเลยนะครับ นอกจากจับตา
ผมยังนับถือเกาหลีตรงที่ถึงจะดูแย่ยังไง เขาก็รายงานตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนะครับ ให้ประเทศหรือคนอื่นได้ป้องกันตัว ส่วนประเทศอื่นเองที่มีการระบาดแล้วไม่ยอมพูดถึงก็เยอะนะครับแบบ อินโดนีเซีย จีน กระทั่งอ่องกงเองก็มี มาเลเซียนี่ก็มี แต่เราเห็นข่าวพูดถึงน้อยมาก
เฝ้าระวังหญิงไทย 1 รายหลังแจ้งกลับจากเกาหลี นพ.สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สมุทรปราการ เปิดเผยว่า มีหญิงไทยอายุไม่เกิน 30 ปี ที่เพิ่งเดินทางกลับจากเกาหลีใต้ ไม่มีอาการไข้ แต่ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และขอรับการตรวจร่างกาย ว่าติดเชื้อไวรัสเมอร์สหรือไม่ ขณะนี้อยู่ในห้องปลอดเชื้อ และจะเฝ้าระวังเป็นเวลา 14 วัน ขณะที่พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีคนไทยในเกาหลีใต้ติดเชื้อไวรัสเมอร์ส http://www.now26.tv/view/46825/เฝ้าระวังหญิงไทย-1-รายหลังแจ้งกลับจากเกาหลี.html ......................................................................................... ไม่ขอรับรู้ว่าเป็นใคร แต่ชื่นชมในความกล้าหาญที่เข้ารับการตรวจเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดครับ ขอบคุณ 3 ครั้ง
ชีวิตพี่น้องคนไทยร้อยรัดด้วยความห่วงใยต่อกัน และต้องขอบคุณ คุณ Anduril ที่อัพข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง ขอบคุณ 3 ครั้งเช่นกันค่ะ ..
แล้วการสร้างภูมิคุ้มกันล่ะคะ มนุษย์มีขบวนการอย่างไรในการใช้ภูมิจัดการกับเชื้อโรค ส่วนเชื้อโรครับมืออย่างไร (ถ้าเป็นไวรัส มันไม่มี host ก็ป๊อดไป) มีไรเพิ่มเติมมั่งมั้ยคะ อ้อ ขอเรื่องวัคซีนด้วย ขอแบบง่ายๆเหมือนเดิม ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ ..
พูดถึงเรื่องภูมิคุ้มกันนะครับ ปกติแล้วร่างกายเรามีระบบภูมิคุ้มกันเอาเรียกรวมๆเช่นพวกเม็ดเลือดขาว แต่จริงๆแล้วยังมีแบ่งประเภทอีกยิบย่อยแต่เอาเป็นว่าหลักๆคือในกลุ่มเม็ดเลือดขาวละกันนะครับจะได้เข้าใจง่าย ธรรมดาเมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าไปไม่ว่าจะเป็นสารชีวภาพหรือสารเคมี อนินทรีย์ ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองโดยการทำลายทิ้งครับ ในกรณีของพวกเชื้อโรคเช่นแบคทีเรียหรือไวรัส ปกติแล้วถ้าเราได้รับเชื้อเข้าไป เชื้อโรคพวกนี้จะถูกภูมิคุ้มกันทำลายแล้วย่อยเป็นชิ้นส่วนเล็กๆครับ แล้วระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่ผลิตระบบที่ออกมาต่อต้านกับสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ และยังทำหน้าที่เหมือนหน่วยความจำ เก็บข้อมูลของเชื้อโรคนั้นๆไว้ เมื่ออนาคตเราไปเจอเชื้อประเภทนี้อีก ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองได้เร็วขึ้นครับ นั่นจึงเป็นที่มาของวัคซีนครับ วัคซีนคือเชื้อโรคที่ถูกทำให้ตัวมันตายหรืออ่อนแอลงจนไม่สามารถทำให้เราเจ็บป่วยได้ พอฉีดเข้าไปในร่างกายปั้บทีนี้ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองโดยการวิเคราะห์แล้วผลิตสารต่อต้านและเก็บไว้ในความจำครับ จึงเป็นที่มาว่าทำไมพอฉีดแล้วหลังจากนั้นเราไปเจอเชื้อพวกนี้จะไม่ติดโรคอีก เพราะระบบภูมิคุ้มกันเราจำได้และเคยทำลายแล้ว พอเจออีกทีนี้ก็จะตอบสนองได้เร็วครับ แต่ทีนี้เชื้อโรคพวกแบคทีเรียเองหรือไวรัสเองตัวร้ายๆนี่ก็ร้ายครับ บางตัวสร้างเกราะโปรตีนทำให้ร่างกายกำจัดยาก บางตัวหลบเก่ง แล้วที่แย่สุดคือมันมักจะกลายพันธุ์ครับ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเดิมจำมันไม่ได้ เชื้อไวรัสที่จ้องเล่นงานระบบภูมิคุ้มกันหรือเม็ดเลือดขาวเลยก็คือเอดส์ครับ เจ้าเอดส์นี่มันจะเล่นงานแต่เม็ดเลือดขาวเนื่องจากว่าเม็ดเลือดขาวมี receptor ที่พอดีกับตัวมันครับ กลายเป็นว่าทหารเราเป็นเหยื่อเอง ทำให้ร่างกายเราไม่มีภูมิ คนเป็นโรคเอดส์(ภูมิคุ้มกันบกพร่อง) จึงมักจะเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากพวกเชื้อฉวยโอกาสครับ คือเชื้อโรคธรรมดาที่ไม่มีพิษมีภัยกลายเป็นฆ่าเราได้เพราะเราไม่มีภูมิคุ้มกัน ทีนี้มันมีเคสศึกษาที่เรียกได้ว่าแย่สุดคือบางคนเม็ดเลือดขาวมันไม่มี receptor ที่ตรงกับเชื้อเอดส์ครับ ง่ายๆว่ามีเชื้อเอดส์ แต่ว่าไม่ป่วยเพราะเอดส์ทำอะไรไม่ได้ แต่สามารถเอาเอดส์ไปแพร่ให้คนอื่นได้แทน หลักการนี้ก็รวมไปถึงพวกภูมิแพ้หรืออาการแพ้ต่าง ๆ ด้วยครับ เพราะระบบภูมิคุ้มกันมันดันไปจำว่าเจ้าสารตัวนี้ต้องทำลายทั้งๆที่บางทีมันไม่ได้อันตราย เลยทำให้เราเกิดอาการแพ้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งพวกฮีสตามีนมาก่อน (ยาแก้แพ้ถึงเรียกว่า anti histamine ครับ) ไหนๆพูดภึงภูมิคุ้มกันแล้วขอเลยไปถึงกรณีปลูกถ่ายอวัยวะด้วยนะครับ เพราะหลักการเหมือนกัน ปกติที่ผนังเซลล์ของเรามันจะมี receptor เหมือนเป็นรหัสเฉพาะของแต่ละคนครับ เพื่อบอกกับภูมิคุ้มกันว่านี่ข้าเป็นเซลล์ปกตินะ ถ้ารหัสพวกนี้ไม่ตรงปั้บพวกภูมิคุ้มกันจะเข้าทำลายทันที การปลูกถ่ายอวัยวะถึงต้องดูการเข้ากันได้ให้มากที่สุดและจึงต้องกินยาต้านภูมิคุ้มกัน แต่มีกรณีที่เรียกได้ว่าหายากมาก คือคนบริจาคอวัยวะนั้นบนผนังเซลล์เขาไม่มีเจ้า receptor ตัวนี้อยู่เลย ทำให้อวัยวะของคนๆนั้นจะเอาไปใส่ให้ใครก็ได้โดยไม่ต้องกินยาต้านเลยครับ เพราะระบบภูมิคุ้มกันมันจะเหมือนมองผ่านไปเลย ส่วนใหญ่เชื้อแบคทีเรียจะตอยสนองกับระบบภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว แต่บางกรณีถ้าเป็นพวกไวรัสบางตัว ถึงเราไม่ใช่ host ตรง ทำให้มันแบ่งตัวไม่ได้ แต่เรายังสามารถนำไปแพร่ได้นะครับถ้าเกิดติดเข้ามาในจำนวนที่สามารถแพร่ได้ เหมือนกรณีของเอดส์ที่ผมพูดถึง ส่วนพวกสารพิษนี่จะเป็นอีกระบบนึงไปเลยครับที่ทำลาย เช่นการทำสารนั้น ๆ ให้ละลายในน้ำ ละลายในไขมัน ทำให้มีขั้วหรือไม่มีขั้ว แล้วขับออกตามทางต่างๆ ส่วนมากจะเป็นเอนไซม์จากตับครับ ตับจึงมีหน้าที่สำคัญมากๆในการทำลายสารพิษ แล้วส่วนมากจะเป็นด่านแรกที่ต้องเจอด้วยเพราะระบบดูดซึมสารอาหารเข้าเส้นเลือดบริเวณทางเดินอาหารจะต้องผ่านมาที่ตับก่อนที่แรก เวลาเราไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ถ้าค่าเอนไซม์ตับบางตัวขึ้นสูง แสดงว่าตับทำงานหนักครับ และอาจจะวินิจฉัยได้ว่าเราได้รับสารพิษมาก และเอนไซม์บางตัวสามารถดูได้เฉพาะเจาะจงไปเลยนะครับว่าเราได้รับสารพิษในกลุ่มอะไรด้วย ปล. มาเพิ่มข้อความที่ขาดตอนท้าย สงสัยตอนกดส่งครั้งแรกโพสไม่ผ่าน ระบบเซฟไว้ไม่ครบไม่ทันได้ดูครับ
กระทรวงสาธารณสุขเตรียมออกประกาศโรค "เมอร์ส" เป็น “โรคติดต่ออันตราย” เพิ่มประสิทธิภาพป้องกันโรค เปิดสายด่วน 1422 ตอบข้อสงสัยตลอด 24 ชั่วโมง "รัชตะ "สั่งโรงพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐ-เอกชน เตรียมมาตรการความพร้อมป้องกันเต็มที่ จัดจุดตรวจรักษาผู้ป่วยนอกที่มีอาการไข้ ไอ แยกไม่ปะปนกับผู้ป่วยอื่นให้ใส่หน้ากากอนามัยทันที พร้อมตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิอัตโนมัติที่สนามบินนานาชาติทุกแห่ง การที่ต้องออกประกาศให้โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2523 จะมีผลดีต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมป้องกันโรค โดยกำหนดให้โรคนี้เป็นโรคที่ต้องแจ้งความภายใน 24 ชั่วโมง หากไม่แจ้งความมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หากพบผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายติดเชื้อโรคนี้ คือมีไข้สูง ไอ หายใจหอบ มีประวัติเดินทางจากประเทศที่มีการระบาดหรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการเช่นเดียวกันในช่วง 14 วัน จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็ว และเข้าสู่ระบบการป้องกันควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขทุกราย ที่เกาหลีใต้ ซึ่งมีรายงานผู้เสียชีวิตแบบรายวันมานับแต่ช่วงสุดสัปดาห์ กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า ผู้เสียชีวิตรายที่ 10 เมื่อวันพฤหัสบดีเป็นคนไข้ชายวัย 65 ปี ที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัสเมอร์สขณะเข้ารักษาอาการป่วยโรคมะเร็งปอดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงโซล ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 รายนั้น รวมถึงผู้ติดเชื้อที่เป็นหญิงท้องรายแรก ส่วนผู้ที่ถูกกักกันโรคในระดับความเข้มงวดต่างๆ นั้นมีมากกว่า 3,800 ราย http://www.thaipost.net/?q=สธประกาศเมอร์ส-โรคติดต่ออันตราย-สั่งทุกรพเร่งรับมือ ............................................................................................. เท่าที่อ่านข่าวมา ดูเหมือนว่าผู้เสียชีวิตจะเป็นผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ไปแล้วทั้งสิ้น อาจจะเป็นไปได้ว่าสุขภาพของผู้ป่วยอาจมีส่วนสำคัญกับเรื่องนี้
อัพเดท.. เอเอฟพี - องค์การอนามัยโลกระบุในวันศุกร์ (12 มิ.ย.) ว่าจะเรียกประชุมฉุกเฉินในสัปดาห์หน้า เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง "เมอร์ส" ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในเกาหลีใต้ทยอยเพิ่มขึ้น หญิงชราวัย 72 ปีกลายเป็นผู้เสียชีวิตรายล่าสุดในวันศุกร์ หลังจากติดเชื้อไวรัสเมอร์สจากผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตในเกาหลีใต้เพิ่มเป็น 11 รายเข้าไปแล้ว ส่วนผู้ที่พ้นจากการกักตัวมี 1,249 ราย http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000066777 ................................................................... ดูเหมือนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นแบบคงที่ โดยที่ผู้พ้นจากการกักตัวมีมากขึ้นเรื่อยๆนั้นอาจแสดงว่า ร่างกายอาจมีภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นได้
คนที่พ้นจากการกักตัวนี้อยู่ในข่ายเฝ้าระวังมากกว่าครับ บอกอะไรไม่ได้มาก เพราะระบาดวิทยาของเชื้อตัวนี้ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย เท่าที่อ่านรายงานดูเหมือนจะมีกรณีคนที่มีเชื้อไวรัสแต่ไม่แสดงอาการด้วย แต่อันนี้ยังบอกไม่ได้ว่าสามารถเอาไปติดคนอื่นได้อีกรึเปล่า หรือพอผ่านระยะเวลานึงไปร่างกายเกิดอ่อนแอจะทำให้เชื้อแสดงอาการได้
ขอบพระคุณทั้งท่าน Anduril และ ท่าน Diablo ที่คอยอัพและให้ความรู้เรื่องเมอร์มาโดยตลอดอย่างไม่กลัวเหนื่อยยาก พวกเราช่วยตัวเราเองได้ก่อนก็โดยการรีบไปออกกำลัง และหาวิตามินซีทาน อะไรที่ช่วยเพิ่ม immune รีบทำกันน้าาา ตีห้ากั่วแล้ว ขอยาดไปวิ่ง - ไปบิดโตเจ้าของก่อนเด๊อจ้า
สโลวาเกียพบชายเกาหลีติดไวรัสเมอร์ส | เดลินิวส์ „ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย เมื่อวันที่14มิ.ย.ว่า น.ส.เพตรา สตาโน มาทาซอฟสกา โฆษกหญิงประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบราติสลาวาแถลงว่า ชายชาวเกาหลีใต้วัย38ปีตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง ( เมอร์ส ) ซึ่งมีอาการท้องเสีย เป็นไข้ และมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง ก่อนถูกส่งนำตัวส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในกรุงบราติสลาวา พร้อมกับแยกห้องออกจากผู้ป่วยรายอื่นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา“ „ส่วนที่เกาหลีใต้พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสมรณะเพิ่มขึ้นเป็น14รายแล้ว ถือเป็นการแพร่ระบาดครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นนอกซาอุดีอาระเบีย“ อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/foreign/328101
เอเจนซีส์ – เกาหลีใต้มีผู้เสียชีวิตจากโรค “เมอร์ส” เป็นรายที่ 15 ในวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) และการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้บีบบังคับให้โรงพยาบาลแห่งสำคัญในกรุงโซล ต้องระงับการให้บริการส่วนใหญ่ ขณะเดียวกัน สโลวาเกียกำลังรอลุ้นผลการตรวจว่า คนงานเกาหลีใต้ซึ่งเดินทางไปถึงประเทศยุโรปกลางแห่งนี้ตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ติดเชื้อเมอร์สหรือไม่ สภาเมืองปูซาน เมืองท่าสำคัญทางภาคใต้ของเกาหลีใต้ รายงานในวันอาทิตย์ ว่า ผู้เสียชีวิตจากโรค “กลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง” (เมอร์ส) รายล่าสุด อันเป็นรายที่ 15 ในแดนโสมขาว เป็นชายวัย 62 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมา ขณะเข้ารักษาตัวในศูนย์การแพทย์ซัมซุงในกรุงโซล ศูนย์แห่งนี้ซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาลและศูนย์วิจัย กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคนี้ โดยพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 70 คน ซอง แจฮุน ประธานโรงพยาบาลซัมซุง ยังแถลงว่า จะไม่อนุญาตให้ญาติพี่น้องเข้าเยี่ยมผู้ป่วย และจะตัดสินใจในวันที่ 24 นี้ ว่า จะระงับการให้บริการต่างๆ เหล่านี้ต่อไปอีกหรือไม่ ซองยังแสดงความเสียใจต่อผู้ป่วยที่ติดเชื้อเมอร์สและผู้ที่ถูกกักกันโรค เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้ ศูนย์การแพทย์ซัมซุงที่มีผู้ป่วยเข้ารักษาตัววันละกว่า 8,000 คน กำลังตกเป็นที่วิจารณ์ ว่า บกพร่องล้มเหลวในการป้องกันการระบาดของเมอร์สทั้งในหมู่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วย สำหรับจำนวนผู้ที่อยู่ภายใต้การกักกันโรคทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้านทั่วเกาหลีใต้ ล่าสุดอยู่ที่ 4,586 คน เฉพาะวันอาทิตย์เพิ่มขึ้นถึงกว่า 800 คน http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000067327 ...................................................................................... น่ากังวลเรื่องการควบคุมโรคนี้ครับ ที่สำคัญประเทศอืนๆมีการปิดบังการระบาดของโรคนี้ไหม ?
เอเอฟพี – กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้เผยยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสกลุ่มทางเดินหายใจสายพันธุ์ตะวันออกกลาง (MERS) เพิ่มเป็น 16 ราย และมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น 5 รายในวันนี้ (15 มิ.ย.) ขณะที่ประชาชนอีกกว่า 5,200 คนถูกสั่งให้อยู่ในระยะกักโรค (quarantine) ท่ามกลางความหวาดผวาการแพร่กระจายของเชื้อโรคซึ่งมีทีท่าว่าจะยังคุมไม่อยู่ ผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็นชายวัย 58 ปี ซึ่งทำให้ยอดผู้เสียชีวิตในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็น 16 รายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน กระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า ผู้เสียชีวิตรายล่าสุดป่วยเป็นเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว ไวรัส MERS ได้แพร่จากผู้ป่วยรายแรกไปสู่รายอื่นๆ อย่างรวดเร็ว จนทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่พบผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย และเป็นการได้รับเชื้อจากสถานพยาบาลเกือบทั้งสิ้น http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000067403 ................................................................................................... เอ.... ทำไมไม่มีข่าวจากทางซาอุฯ บ้างเลย ??
ผมกลัวแถบตะวันออกกลางมากครับ เพราะข่าวไม่ค่อยจะออก หรือไม่มีรายงาน แล้วยิ่งตอนนี้จะเข้าช่วงคนที่ไปทำพิธีฮัจด้วย ไม่อยากจะนึกเลย
เอเอฟพี - กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้พบผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสกลุ่มทางเดินหายสายพันธุ์ตะวันออกกลาง (MERS) เพิ่มขึ้นอีก 3 รายในวันนี้ (16 มิ.ย.) ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งประเทศขยับเป็น19 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อใหม่มีเพิ่มเพียง 4 ราย ถือว่าลดลงกว่าช่วงแรกๆ ปรากฏการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส MERS ในเกาหลีใต้นับว่ารุนแรงที่สุดรองจากซาอุดีอาระเบีย โดยเชื้อได้แพร่กระจายไปยังผู้ป่วย 154 ราย และมีเพียง 17 รายที่ได้รับการรักษาจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ในจำนวนผู้ติดเชื้อ 118 คนที่ยังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล มี 16 รายที่อาการยังน่าเป็นห่วง ส่วนผู้ป่วยที่ถึงขั้นเสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อน http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000067926 .............................................................................. ไม่แน่ใจจะเป็นข่าวดีจริงๆหรือเปล่าครับ เพราะเห็นหลายประเทศยังไม่มีข่าวเท่าไหร่ สงสัยว่าควบคุมอยู่หรือปกปิด
เอเอฟพี - กระทรวงสาธารณสุขของเมืองเบียร์ ระบุในวันอังคาร (16 มิ.ย.) ว่าพบชาวเยอรมันวัย 65 ปีเสียชีวิตเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วยภาวะแทรกซ้อนหลังจากติดเชื้อไวรัสเมอร์สระหว่างไปท่องเที่ยวแถบคาบสมุทรอาหรับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ กระทรวงสาธารณสุขของรัฐโลเวอร์ แซกโซนี ระบุว่า ชายชาวเยอรมันรายนี้เสียชีวิตที่เมืองออสเตอร์คาเพลน ทางตะวันตกของประเทศ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมาด้วยโรคปอด เจ้าหน้าที่เชื่อว่า ชายคนนี้ได้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือไวรัสเมอร์ส ระหว่างการไปเยือนตลาดปศุสัตว์ โดยมีอูฐเป็นพาหะนำโรค คำแถลงของกระทรวงฯ ระบุว่า แพทย์ได้วินิจฉัยไว้เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมว่าคนไข้รายนี้ได้หายจากอาการติดเชื้อไวรัสเมอร์สแล้ว ซึ่งต่อมาเขาก็ได้รับการปล่อยออกจากวอร์ดกักกันโรค คำแถลงบอกด้วยว่า มีการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสเมอร์สไปสู่ผู้คนที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายนี้แล้ว คอร์เนเลีย รันท์ รัฐมนตรีสาธารณสุขในพื้นที่ดังกล่าว ได้บอกว่า ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานระวังภัยอย่างทันท่วงทีหลังจากที่วินิจฉัยอาการป่วยของคนไข้ “มีมากกว่า 200 คนที่เข้ารับการทดสอบหาการติดเชื้อไวรัสเมอร์สในเวลาต่อมา แล้วก็ไม่พบใครเลยสักคนที่มีการติดเชื้อจากคนไข้รายนี้” เธอบอกนักข่าว http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000068191 ..................................................................................... รอดูครับว่า จริงแค่ไหนและควบคุมโรคได้จริงหรือเปล่า
ชักไม่ค่อยดีนะ คนทั่วโลกคงต้องระวังกันมากขึ้น เพราะไม่รู้ประเทศไหนปิดข่าวหรือเปล่า เยอรมนีเจอเข้าไปแล้ว เพิ่งประกาศข่าวเมื่อ 16 มิย. หลังจากตายเมื่อวันที่ 6 มิย. โดยตรวจพบตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.และขนาดปล่อยจากวอร์ดกักกันแล้วมาตายเสียอีก ต่อยอดจากที่ท่าน Diablo ว่าไว้คือ พอร่างกายได้รับเชื้อไวรัส ....ร่างกายคนเราก็สร้าง ภูมิคุ้มกัน ขึ้น ซึ่งตัวอย่างอันหนึ่งก็คือเม็ดเลือดขาวที่จะออกมาทำลายไวรัส ระบบภูมิคุ้มกันนี้จะปล่อยสารที่เรียกว่า histamine ออกมา ทำให้ร่างกายเกิดอาการที่เรียกว่า แพ้ ในอวัยวะทั่วร่างกาย มากบ้างน้อยบ้าง ถ้ามีอาการแพ้ที่ผิวหนัง จะคันตามตัว มีผื่นที่เรียกว่า rash อาจบวมที่หนังตาและปากร่วมด้วย บางคนถึงขนาดปากเจ่อ ปากไหม้ อาการแพ้ที่ระบบทางเดินอาหาร จะปวดท้อง ปวดมวนท้อง ผะอืดผะอม อาเจียน หรือถ่ายเหลวร่วมด้วย อาการแพ้ที่ระบบทางเดินหายใจ อันนี้เป็นตัวหลักของเมอร์ส ซาร์ และไวรัสทางเดินหายใจอื่นๆพวกหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ มีคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เสียงแหบ คันในคอ กลืนลำบาก หายใจเสียงดัง หายใจลำบาก ปากเขียว หากรุนแรงจะหยุดหายใจ อาการแพ้ที่ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระยะแรกหัวใจเต้นเร็ว ระยะหลังความดันโลหิตจะต่ำลง หัวใจเต้นผิดปกติ หากเชื้อรุนแรงมีความเป็น killer สูง และถึงมือแพทย์ช้าจนประคองอาการไม่อยู่ หัวใจอาจหยุดเต้น ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจร้อยละ 90 จะมีอาการทางระบบหายใจ ร้อยละ 30-45 จะมีอาการในทางเดินอาหาร ร้อยละ 10-45 จะมีอาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด บางกลุ่มจะมีอาการทางผิวหนัง เมอร์สนี้มันเลือกเอ็ฟเฟ็กเซลล์ในระบบทางเดินหายใจ แต่อาการแพ้ที่ตามมาก็จะเกิดต่อระบบผิวหนังและระบบทางเดินอาหารด้วย ดังนั้นพบผื่นหรือท้องเสียก็คืออาการที่อาจพบได้นั่นเอง
สธ.ยันสงสัยป่วย "เมอร์ส" ที่ร้อยเอ็ดแค่ "ไข้เลือดออก" เผยต้องสงสัย 35 รายตั้งแต่ต้นปีไม่มีรายใดป่วยเมอร์ส ไม่ห่วงกระแสพบผู้ป่วยต้องสงสัย เหตุ รพ.รายงานตามข้อเท็จจริง แต่หวั่นกระแสโซเชียลคุมยาก ย้ำมีไข้ เดินทางกลับมาจากประเทศระบาดให้มา รพ.เท่านั้น ห้ามไปคลินิก รายล่าสุดที่จังหวัดร้อยเอ็ดมีการส่งข่าวกันทางโซเชียลเน็ตเวิร์กว่ามีผู้ต้องสงสัยป่วยโรคเมอร์สจำนวน 3 ราย ก็พบว่า ผลการตรวจเชื้อเป็นโรคไข้เลือดออกทั้งหมด พื้นที่ที่ชาวเกาหลีเดินทางมาประเทศไทยนิยมไป คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา สำหรับอาการป่วยของไข้หวัดใหญ่และเมอร์สจะคล้ายคลึงกันมาก โดยเฉพาะช่วง 2-3 วันแรก คือมีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล แต่ไข้หวัดใหญ่จะมีระยะเวลาในการฟักตัว 1-2 วัน แต่เมอร์สจะใช้เวลาประมาณ 10-14 วัน แต่เมื่อได้รับเชื้อล้วอาการจะทรุดลงเร็ว เพราะไม่มีภูมิต้านทานมาก่อน การรักษาจึงต้องเป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000068541 ................................................................................................. จากข่าวนี้มองได้ 2 แบบ คือ ในไทยเองข่าวแบบนี้ก็ไม่ได้รับการเปิดเผยเท่าที่ควร อาจเพราะเกรงการตื่นตระหนกเกินเหตุ หรือ การการเผยแพร่ทางโซเชียลเน็ตเวิรค์อันตรายมากจริงๆ อาจมากกว่าโรคระบาดด้วยซ้ำ เพราะการเสพข่าวที่ไม่พิจารณาให้ดีก่อนแชร์ให้ผู้อื่น อาจส่งผลเสียหายมากมาย
สำนักข่าวยอนฮัพ ของเกาหลีใต้ รายงาน มีผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสเมอร์ส เพิ่มอีก 3 ราย และผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย โดย 2 ใน 3 เป็นพยาบาลในโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเมอร์ส รวมยอดผู้เสียชีวิต 23 ราย ผู้ป่วย 165 ราย http://breakingnews.nationtv.tv/home/read.php?newsid=761321 ..................................................................................
จากเรป. 26 มีการลงในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้วว่าเมอร์สเป็นโรคติดต่ออันตรายต่อจากอีโบลา และสธ.เฝ้าระวังระดับสูงสุด ประเทศเราเอาจริงและไม่ปิดข่าวแน่ ประกาศยกระดับไวรัสเมอร์สเป็นโรคติดต่อร้ายแรง นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ออกประกาศให้โรคเมอร์ส ถือโรคติดต่ออันตรายที่ต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2523 เทียบเท่าโรค อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ ไข้เหลือง ไข้กาฬโรค โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) และโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ซึ่งหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะมีอำนาจในการสั่งกักตัว สั่งรักษา ตรวจสอบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้ตามกฎหมายโดยไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค เผย ผู้ที่กลับจากประเทศอาทิ ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ จะต้องมาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ทราบว่า มีประวัติการเดินทางไปที่ใดมาบ้าง หรือถ้ามีอาการต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อ ต้องแจ้งเพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการเฝ้าระวังและติดตาม หากฝ่าฝืนถือเป็นความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ติดต่อสอบถามสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง http://www.thaihealth.or.th/Content/28586-ประกาศยกระดับไวรัสเมอร์ส โรคติดต่อร้ายแรง.html
ข่าวล่าสุดแว่วๆมาว่าไทยมีผู้ติดเชื้อรายแรกแล้วนะครับ แล้วกำลังตามตัวคนที่นั่งเครื่องบินลำเดียวกัน ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้ไปไหนต่อไหนบ้างแล้ว -.-*
สาธารณสุขแถลงผลตรวจเชื้อชาวต่างชาติมาจากตะวันออกกลางรอบ 2 พบว่าป่วยเป็นโรคเมอร์ส นับเป็นรายแรกของไทย ขณะนี้อยู่ห้องแยกโรคสถาบันบำราศนราดูร อาการทรงตัว เร่งติดตามผู้สัมผัสอีก 59 ราย ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ยังไม่มีการระบาด กระทรวงสาธารณสุข ได้เฝ้าระวังและดำเนินการคัดกรองผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลางตั้งแต่ต้นปี 36 ราย ผลเป็นลบหมด ในวันนี้ได้รับตัวผู้ป่วยยืนยันรายแรก เพศชาย ชาวตะวันออกกลาง อายุประมาณ 70 ปี ไว้รักษาที่สถาบันบำราศนราดูร ผู้ป่วยรายนี้เดินทางมาจากประเทศในตะวันออกกลาง วันที่ 15 มิถุนายน 2558 เพื่อมารักษาโรคหัวใจ ที่โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย เมื่อเดินทางมาถึงแล้วได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2558 และโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขและผู้เชี่ยวชาญ อย่างเข้มงวด โดยประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขล่วงหน้า พร้อมแยกผู้ป่วยและญาติไม่ปะปนกับผู้อื่น มีมาตรการป้องกันควบคุมโรค รวมถึงส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการตามแนวทางที่กำหนด และตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก จึงได้ส่งต่อมารักษาที่สถาบันบำราศนราดูร เข้ารับการรักษาในห้องแยกโรค และตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันอีกครั้ง จากห้องปฏิบัติการ 2 แห่ง ผลวันที่ 18 มิถุนายน 2558 ได้ผลเป็นบวก ขณะนี้ผู้ป่วยยังรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร อาการทรงตัว สำหรับการสอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสโรค 59 คน ขณะนี้ได้ดำเนินการติดตามรับตัวไว้สังเกตอาการใน โรงพยาบาลหรือให้สังเกตอาการที่บ้าน และเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบอาการทุกวัน ทั้งนี้ การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 ที่ได้ลงนามประกาศโรคนี้เป็นโรคติดต่ออันตรายและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว สำหรับประชาชน อย่าได้ตระหนก ผู้ป่วยรายนี้เดินทางมาจากต่างประเทศ และประเทศเราตรวจจับได้เร็ว และระมัดระวังด้วยอยู่แล้ว ดังตัวอย่างประเทศมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ที่พบผู้ป่วยเร็วและควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดในวงกว้างได้ ขอให้ประชาชนใช้มาตรการ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวให้งดเดินทางไปต่างประเทศที่มีการระบาด สำหรับประชาชนทั่วไป หากเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดขอให้อย่าคลุกคลีกับผู้ป่วย และเมื่อกลับประเทศไทยภายใน 14 วัน หากมีอาการ ไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ ให้สวมหน้ากากป้องกันโรค ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที ความร่วมมือของประชาชนจะทำให้ประเทศเราควบคุมโรคนี้ได้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000069182 ................................................................................................. โอเค สรุปว่าเจอแล้วนะครับ ส่วนผู้สัมผัสเชื้อหากควบคุมได้ทั้งหมดจริงก็ดีครับ
นอกจากนี้ จะยังมีการติดตามเฝ้าระวังผู้สัมผัสโรคอีก 59 ราย โดยเป็นญาติผู้ป่วยที่เดินทางมาพร้อมกันจำนวน 3 ราย ขณะนี้ได้เข้ามาตรการเฝ้าระวัง โดยให้กักตัวอยู่ที่สถาบันบำราศฯ เพื่อเฝ้าดูอาการเช่นกัน รวมไปถึงติดตามเจ้าหน้าที่ใน รพ.เอกชน ผู้ที่เดินทางมาร่วมกันบนเครื่องบินสองแถวหน้า สองแถวหลังที่ติดกับผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ในโรงแรม และผู้ขับรถแท็กซี่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทราบว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เจ้าหน้าที่ รพ.เอกชน ผู้ที่อยู่เครื่องบินลำเดียวกันสองแถวหน้าและหลัง ก็ขอให้อยู่ในห้องแยกโรคของโรงพยาบาล และกลุ่มความเสี่ยงต่ำ ซึ่งกลุ่มนี้จะให้เฝ้าระวังอยู่ที่บ้าน 14 วัน โดยขอความร่วมมือให้อยู่แต่ภายในบ้าน ซึ่งจะมีการโทรศัพท์สอบถามอาการทุกวัน และไปตรวจเยี่ยมที่บ้านสัปดาห์ละ 1 ครั้ง http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000069204 ......................................................................................... ฟังดูเหมือนผู้สัมผัสโรคยังติดตามไม่ครบ และไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลทั้งหมด
ดังนั้น ระบบคัดกรองหรือการเตรียมพร้อมรับมือไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงสูงมากที่จะพบผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สรายต่อไป โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจวิเคราะห์ว่า ทุกประเทศมีช่องโหว่หรือจุดเสี่ยงในการรับเชื้อไวรัสเมอร์สแตกต่างกัน สำหรับประเทศไทยนั้นมี 5 จุดเสี่ยงที่ไวรัสเมอร์สอาจหลุดเข้ามาอีก ได้แก่ จุดที่ 1 เริ่มจากการคัดกรองที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง สำหรับท่าอากาศยาน หรือสนามบินนานาชาติ 5 แห่งนั้น การตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายผู้โดยสารในบางจุด ไม่ได้แสดงว่าจะคัดกรองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สหลายคนไม่มีอาการตัวร้อน ทำให้การคัดกรองเรื่องความร้อนจากร่างกายไม่ได้ผลนัก นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อยังมีโอกาสแพร่กระจายละอองฝอยของเสมหะหรือสารคัดหลั่งให้แก่ผู้โดยสารคนอื่นในเครื่องบิน โดยเฉพาะผู้ที่เข้าห้องน้ำเดียวกัน จุดที่ 2 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่รับเชื้อไวรัสเมอร์สเข้าร่างกายนั้น ร่างกายจะยังไม่แสดงอาการป่วยหรืออาการผิดปกติ ทำให้หลุดพ้นจากระบบคัดกรองเบื้องต้น กว่าจะรู้ตัวหรือมีอาการไอหรือมีน้ำมูกไหล เวลาก็ผ่านไปหลายวันแล้ว อาจเป็นพาหะแพร่นำเชื้อแพร่ให้ผู้ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน โรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีด่านท่าเรือ 17 แห่ง และด่านพรมแดนทางบกทั่วประเทศ ที่มีนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าออกโดยไม่มีระบบคัดกรองผู้เข้าข่ายน่าสงสัย นับเป็นช่องโหว่ที่หลายฝ่ายเป็นห่วง จุดที่ 3 หากเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจคนเข้าเมือง พบ “ผู้มีอาการเข้าข่ายน่าสงสัย” แล้วส่งต่อไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียง หรือผู้ป่วยเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง หากบุคลากรทางการแพทย์ไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้าสวมหน้ากากอนามัยแบบธรรมดาจะไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้ โอกาสติดเชื้อมีสูง ดังเช่น กรณีของโรงพยาบาล 4 แห่ง ในเกาหลีใต้นั้น ภายหลังสืบพบว่าแพทย์และพยาบาลติดเชื้อไวรัสเมอร์สจากผู้ป่วย เพราะไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยระดับเอ็น 95 หรือ ระดับที่ป้องกันเชื้อไวรัส สำหรับประเทศไทยเช่นกัน มีการเตรียมหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมให้ทุกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ด่านชายแดนหรือไม่ รวมถึงระบบการส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลในกรุงเทพฯ นั้น มีการเตรียมพร้อมอย่างไร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คนขับรถพยาบาลของเกาหลีใต้รายหนึ่งติดเชื้อไวรัสเมอร์สจากผู้ป่วย ระหว่างทำหน้าที่ขับรถส่งผู้ป่วยไวรัสเมอร์สไปยังโรงพยาบาล จุดที่ 4 แม้ภายหลังสามารถตรวจพบว่าผู้เข้าข่ายน่าสงสัยเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สจริง โดยผลตรวจยืนยันจากห้องแล็บ แต่ทีมสอบสวนหรือทีมติดตามผู้สัมผัสกับผู้ป่วยย้อนหลังนับจากวันที่ออกมาจากประเทศที่มีเชื้อไวรัสเมอร์สไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีผู้คนมากมายในสนามบินหรือจุดที่ผู้ติดเชื้อเดินผ่าน หรือแวะเข้าไปรับประทานอาหาร แตกต่างจากไวรัสอีโบลาที่ผู้ป่วยมักอาการสาหัส ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายไปไหนมาไหนได้ จึงง่ายต่อการควบคุมไม่ให้เชื้อแพร่ระบาดไปยังผู้อื่น จุดที่ 5 “ไวรัสเมอร์ส” แม้ไม่ได้เป็นไวรัสที่ติดต่อง่ายเหมือนไวรัสไข้หวัดใหญ่ แต่เป็นไวรัสที่ตรวจพบยาก หากเป็นโรงพยาบาลทั่วไปอาจตรวจไม่พบ ดังกรณีผู้ป่วยวัย 68 ปีรายแรกที่นำเชื้อจากตะวันออกกลางเข้าไปยังเกาหลีใต้นั้น ต้องเดินทางไปตรวจหาเชื้อในคลินิกและโรงพยาบาลหลายแห่ง กว่าจะได้รับการยืนยันว่าเป็นเชื้อไวรัสเมอร์สผ่านไปถึง 10 วัน ยิ่งไปกว่านั้น การตรวจไวรัสร้ายลึกลับตัวนี้ต้องใช้สารคัดหลั่งจำนวนมาก หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอาจตรวจไม่พบในสารคัดหลั่งเลยก็ได้ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่มี “ห้องแยกโรค” ตามแนวทางการวินิจฉัยดูแลรักษาควบคุมป้องกันการติดเชื้อตลอด 24 ชั่วโมง หลายแห่งด้วยกัน แต่ที่มีผู้เชี่ยวชาญประจำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง คือ สถาบันบำราศนราดูร และ รพ.นพรัตนราชธานี http://www.komchadluek.net/detail/20150619/208290.html ............................................................................................
BREAKING NOW 08:37 ยอดตายเมอร์สเกาหลีใต้เพิ่มเป็น 24 ราย พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 1 ราย http://www.now26.tv/breakingnow/44117
พญ.จริยา แสงสัจจา ผู้อำนวยการ สถาบันบำราศนราดูร กล่าวยืนยันว่า ชายป่วยเมอร์สยังอยู่ที่ห้องแยกโรค ของสถาบันบำราศนราดูร ใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากมีภาวะปอดอักเสบ ขณะนี้ญาติใกล้ชิด 3 คน อยู่ในห้องแยกโรคเช่นกัน แต่ยังไม่พบอาการป่วย แต่เพื่อความปลอดภัย แพทย์ได้มีการเก็บตัวอย่างเชื้อไปตรวจยังห้องปฎิบัติการณ์ ทั้งนี้ จากการผู้คุยกับญาติผู้ป่วย พบว่า มีความเครียด จึงติดต่อสถานทูตโอมานพูดคุย และขอล่ามติดต่อช่วยเรื่องการสื่อสาร ทำให้ญาติผู้ป่วยคลายวิตกกังวล และสบายใจว่ารัฐบาลของตนให้ความใส่ใจ พร้อมยืนยัน ว่าระบบป้องกันโรคของโรงพยาบาลมีความเข้มแข็ง ตลอดระยะเวลาย้ายผู้ป่วยรับการรักษาไม่ได้มีการปะปนกับผู้ป่วยอื่น หรือบุคคลภายนอก จึงมั่นใจไม่ระบาดในชุมชนแน่นอน http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000069390
แทรกคำพูดเล็กๆ ท่านนายกฯ อ่านแต่ละเรื่องแล้ว ขำดีครับ เมื่อถามว่า มั่นใจว่าจะคุมได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มั่นใจหรือไม่มั่นใจ อยู่ที่ความร่วมมือ มาถามตนแบบนี้อีกแล้ว ตนสั่งได้ไหม ตนสั่งเชื้อโรคได้ไหม มันอยู่ที่ทุกคน ซึ่งคนไทยทุกคนจะต้องระมัดระวังตัวเองเมื่อรู้ หรือสงสัยก็ต้องมาหาหน่วยงานราชการ ตนสั่งเชื้อโรคไม่ได้ http://www.komchadluek.net/detail/20150619/208298.html
ศ.นพ.รัชตะ กล่าวด้วยว่า "บริบทของประเทศไทย และเกาหลีใต้ แตกต่างกัน โดยไทยโอกาสแพร่ระบาดวงกว้างแบบเกาหลีใต้น้อยกว่า เพราะผู้ป่วยรายแรกเมื่อเข้ารับการรักษาที่ รพ.เอกชน ได้แยกตัวเข้าห้องแยกโรคทันที ต่างจากเกาหลีใต้ที่กว่าจะวินิจฉัยโรคได้ ผู้ป่วยเดินทางไปรับการรักษายังสถานพยาบาลถึง 5 แห่ง โอกาสแพร่เชื้อสูง และประเทศไทยก็สามารถตรวจวินิจฉัยได้เร็ว และกระบวนการติดตามผู้สัมผัสก็เกิดขึ้นเร็ว ขณะที่เกาหลีใต้ใช้เวลาถึง 9 วัน อย่างไรก็ตาม การระบาดในเกาหลีใต้ยังไม่ระบาดออกนอกโรงพยาบาลสู่ชุมชนแต่อย่างใด" http://www.komchadluek.net/detail/20150619/208313.html
เศรษฐีชาวโอมานผู้นี้จะมารักษาโรคหัวใจที่บำรุงราษฎร์ เลยได้มา treat MERS ที่บำราศนราดูรแทน ..โอ้หนอ ชะตาชีวิต.. na ka ( หมายเหตุ : มีภาพประกอบบ้าง เรื่องที่เครียดๆ จะได้เครียดน้อยลง )
