รู้กันหรือยังว่าไทยแพ้เวียดนาม

กระทู้ใน 'สภากาแฟ' โดย เผด็จการที่รัก, 8 Dec 2016

  1. เผด็จการที่รัก

    เผด็จการที่รัก อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    9,076



    ตัวอย่างข้อสอบวิทยาศาตร์PISA (สอบเป็นภาษาท้องถิ่น)



    เราทุมงบประมาณไปมากแล้วนะครับ แต่ผลตอบแทนที่ได้ต่ำมาก
     
  2. เผด็จการที่รัก

    เผด็จการที่รัก อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    9,076
    ทำไมการศึกษาเวียดนามถึงแซงหน้าไทย และเหตุใดสิงคโปร์ถึงมีการศึกษาดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    07-12-2016
    • 31k VIEWS

    HIGHLIGHTS:
    • ผลการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (PISA) กว่า 70 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า สิงคโปร์มีอันดับการรู้เรื่องการอ่าน, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ อันดับ 1 ทุกด้าน ขณะที่เวียดนามมีอันดับสูงกกว่าไทย ส่วนไทยมีคะแนนทุกด้านตำ่กว่าค่าเฉลี่ย
    • สิงคโปร์ทุ่มเทงบประมาณพัฒนาด้านการศึกษาอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี 1965 หลังประกาศแยกตัวกับมาเลเซีย เนื่องจากทรัพยากรเดียวที่เกาะเล็กๆ แห่งนี้มีคือทรัพยากรมนุษย์ จนกระทั่งปัจจุบันเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาอยู่อันดับต้นๆ ของโลก
    • ความขยัน ทุ่มเท และมีวินัย ของครู นักเรียน และพ่อแม่หรือผู้ปกครอง คือ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูงเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำในระดับใกล้เคียงกัน เช่น ไทย เป็นต้น
    • ปัญหาของการศึกษาไทยคือ การเปลี่ยนหลักสูตรแบบกระทันหัน และความเหลื่อมล้ำที่ค่อนข้างสูงของโรงเรียนในเมืองและชนบท
    O36lIQTrWyarXfBCf78fjAbIHsa2bsCngoUYXNNLmmj8Ym2B-X4-WURhBF7Prp-GItnm0oJVPrLEy7F4Id5dfj_Jo2f=s800.jpg
    Photo: Athit Perawongmetha, Reuters/profile
    ปัญหาเรื่องการศึกษาของไทย เป็นเรื่องที่หลายคนรู้เช่นเห็นชาติอยู่เต็มอก (หรือสำหรับบางคนอาจถึงขั้นเต็มกลืน) แต่เมื่อผลการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ที่มีประเทศร่วมโครงการนี้มากกว่า 70 ประเทศออกมา ก็ยิ่งตอกและย้ำให้เห็นปัญหาว่า การศึกษาบ้านเรานั้นมัน ‘ไม่เวิร์ก’
    เพราะจากการประเมินการรู้เรื่องใน 3 ด้าน คือ การรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy) การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy) และการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) โดยสุ่มตัวอย่างจากนักเรียนอายุ 15 ปีจากโรงเรียนทุกสังกัด พบว่า ไทยได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญทั้ง 3 ด้าน มีอันดับอยู่ที่ 57, 54 และ 54 ตามลำดับ จากทั้งหมด 70 ประเทศ
    ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์คว้าอันดับ 1 ทุกด้าน หรือแม้แต่เวียดนามที่เป็นคู่แข่งด้านเศรษฐกิจ ก็มีอันดับที่ดีกว่าประเทศไทยทุกด้าน (อันดับที่ 32, 22, 8 ตามลำดับ)
    “สิงคโปร์ไม่เพียงแค่ทำได้ดีในด้านการศึกษาเท่านั้น แต่ยังแซงหน้าประเทศอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ” แอนเดรียส ชไลเชอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาและทักษะขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒน าหรือ OECD ที่ริเริ่มโครงการ PISA กล่าว
    ในวันที่สิงคโปร์ทิ้งห่างไปไกล ในวันที่เวียดนามกำลังเดินนำหน้าไปเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยที่ดูเหมือนจะติดหล่มแผนการปฏิรูปการศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเป็นผลให้ไม่ใช่แค่เดินช้า แต่บางคราวกลับเดินถอยหลัง
    สิงคโปร์สร้างระบบการศึกษาให้มีคุณภาพในระดับโลกได้อย่างไร เวียดนามพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นด้วยวิธีไหน แล้วอะไรคือปัญหาของไทยที่ทำให้การศึกษาบ้านเราอยู่กับที่
    The Momentum ขอชวนหาคำตอบจากกรณีศึกษาและข้อมูลการพัฒนาการศึกษาของสิงคโปร์และเวียดนาม
    ก่อนจะย้อนกลับมามองปัญหาการศึกษาในเมืองไทย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องแก้ไข หากยังเชื่อว่าการศึกษาช่วยสร้างคนและสร้างชาติ

    ZaQ5KTaYXrgmDKgh2WNyE1jR1L1LOYgSJrnlgch8_Uf4LVEnntBrqpyD1_X8ROq9u2Iq4Ndff09rAzIeawrvQARi4-w=s800.jpg
    Photo: Tim Chong, Reuters/profile
    สิงคโปร์โมเดล จากวิกฤตสู่การพัฒนาชาติด้วยการศึกษา
    หากมองว่าประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤต สิงคโปร์คือตัวอย่างหนึ่งที่ใช้วิกฤตของประเทศเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาระบบการศึกษาอย่างจริงจัง
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1963 แต่เอกราชนั้นไม่หอมหวาน เพราะการถอนตัวของอังกฤษหมายถึงการถอนตัวของทุนและบุคลากรที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสิงคโปร์โดยตรง เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเมืองท่าที่พึ่งพาพาณิชย์นาวีมากเกินไป
    เกาะเล็กๆ ที่มีทรัพยากรจำกัด ที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว จึงเลือกรวมประเทศกับมาเลเซีย แต่การรวมประเทศได้นำมาซึ่งปัญหาการเมืองและการเหยียดชนชาติ ผู้มาทีหลังจากเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีแต้มต่อทางทรัพยากร จึงขอประกาศแยกตัวจากมาเลเซียในปี 1965
    ลีกวนยู ผู้นำพรรคกิจสังคมที่ประกาศแยกสิงคโปร์ออกจากมาเลเซีย เล็งเห็นว่า ทรัพยากรอย่างเดียวที่เกาะเล็กๆ แห่งนี้มีคือ ‘มนุษย์’ และการจะพัฒนามนุษย์ได้มีเพียงแค่ระบบการศึกษาเท่านั้น
    ช่วงปีแรกหลังแยกตัวจากมาเลเซีย 59% ของงบประมาณประจำปีของสิงคโปร์ถูกใช้จ่ายไปกับการศึกษาชั้นประถม, 27% ใช้กับการศึกษาชั้นมัธยม และ 14% สำหรับการศึกษาขั้นอุดมศึกษา
    ภาษาอังกฤษถูกเลือกใช้เป็นสื่อกลางในการเรียนการสอน (แม้จะมี ‘ภาษามาเลย์’ เป็นภาษาประจำชาติ) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจสิงคโปร์เข้ากับเศรษฐกิจโลก และเชื่อมโยงกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศ
    ในยุค 80s สิงคโปร์ที่พึ่งพิงการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยใช้แรงงานราคาถูกในประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เริ่มหมดมนต์ขลัง เพราะประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเริ่มใช้วิธีการเดียวกัน สิงคโปร์ตระหนักถึงความจริงนั้น จึงปฏิรูปการศึกษาในปี 1979 ให้มีคุณภาพมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนหลักสูตรที่เน้นพัฒนาคุณภาพและทักษะของปัจเจกบุคคล
    แต่หลังการพัฒนากว่า 2 ทศวรรษ หนทางนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อผู้วางนโยบายการศึกษาสิงคโปร์เริ่มตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากนโยบาย จากการวางแผนการศึกษาที่ทำโดยการสั่งจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง โดยไม่ปรึกษาหรือฟังเสียงครู ส่งผลให้การศึกษาของสิงคโปร์ขาดอิสระ และความคิดสร้างสรรค์ ครูและนักเรียนกลายเป็นเพียงเครื่องจักรภายใต้กลไกของภาครัฐ มีหน้าที่เพียงสอนและเรียนตามหลักสูตรที่ถูกกำหนดมาเท่านั้น
    ปี 1997 สิงคโปร์ที่ต้องการแก้ปัญหาดังกล่าว จึงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอีกครั้ง โดยเน้นย้ำไปที่การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล และความคิดสร้างสรรค์ ด้วยรูปแบบการจัดจำแนกนักเรียนตามความรู้ความสามารถอย่างละเอียด ในชั้นระดับมัธยมมีการแบ่งการศึกษาออกเป็น 4 สาย เพื่อคัดแยกนักเรียนตามคะแนนสอบส่วนกลาง (PSLE) ที่จัดสอบหลังเรียนจบชั้น ป.6 คือ 1. เร่งรัด (Express) 2. พิเศษ (Special) 3. สามัญ (Normal Academic) และ 4. อาชีวะ (Normal Technical) ซึ่งในระบบการเรียนขั้นอุดมศึกษา ก็มีการใช้ระบบการคัดแยกเช่นเดียวกัน
    สิงคโปร์สร้างบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นต้นทางของการสร้างทรัพยากรมนุษย์ด้วยการทุ่มเงินและสวัสดิการ เพื่อดึงดูดและรักษาคนเก่งให้มาเป็นครูและอาจารย์ ด้วยการให้เงินเดือนแรกเริ่มในระดับเดียวกับทนาย วิศวกร และแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ และส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องด้วยการสนับสนุนให้ครูอาจารย์ลาไปศึกษาเพิ่มเติมได้ (Sabbatical Leave)
    ขณะเดียวกัน ก็มีการอุดหนุนให้คนที่เรียนต่อด้านอาชีวะ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ได้คะแนนสอบน้อยที่สุดในระบบ ด้วยการพัฒนาสถาบันอาชีวะให้ทันสมัยทัดเทียมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ และส่งเสริมให้มีโครงการฝึกงานกับบริษัทต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ระดับเงินเดือนเฉลี่ยแรกเริ่มของนักศึกษาสายอาชีวะเพิ่มขึ้นจาก 700 เหรียญสิงคโปร์ในปี 1994 สู่ 1,200 เหรียญสิงคโปร์ในปี 2005
    ในบทนำของรายงานเรื่องพัฒนาการการศึกษาสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 1965 (The Development of Education in Singapore since 1965) ที่จัดทำขึ้นสำหรับผู้แทนจากประเทศต่างๆ ในทวีปแอฟริกา ซึ่งเดินทางมาดูงานด้านการศึกษาที่สิงคโปร์ระบุว่า การศึกษาของสิงคโปร์ในช่วงทศวรรษ 1960 แทบไม่ต่างจากชาติต่างๆ ในทวีปแอฟริกา
    แต่หลังจากนั้น 50 กว่าปีต่อมา คงไม่มีใครคาดคิดว่า ประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ ที่เป็นด่านอาณานิคมที่ด้อยพัฒนาอย่างสิงคโปร์ จะพัฒนาระบบการศึกษาและสร้างชาติขึ้นมาจนเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียนและอันดับต้นๆ ของโลก
     
    IndyDekdee และ conservative ถูกใจ.
  3. เผด็จการที่รัก

    เผด็จการที่รัก อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    9,076
    ทำไมการศึกษาเวียดนามถึงแซงหน้าไทย
    จากข้อมูลในบทความ ‘การศึกษาเวียดนาม: ทำไมนักเรียนจึงมีผลการประเมินสูง’ ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ PISA THAILAND ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ระบุว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีผลคะแนน PISA ด้านการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (เมื่อปี 2012) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำในระดับใกล้เคียงกันอย่างเห็นได้ชัด (หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย)
    ก่อนจะตั้งคำถามว่า อะไรทำให้ระบบโรงเรียนของเวียดนามประสบความสำเร็จ?
    ซึ่งคำตอบของคำถามข้างต้น เกิดจากปัจจัยต่างๆ อาทิ
    ความแตกต่างทางวัฒนธรรม: ความขยันของนักเรียน การทำงานหนักของครู และบทบาทสำคัญของพ่อแม่ที่มีต่อการศึกษาของลูก
    ครูเวียดนาม: ความเป็นครูที่เคร่งครัด ครูทำงานหนัก รับผิดชอบงานสอนเป็นสำคัญ และได้รับคำแนะนำอย่างใกล้ชิดจากครูใหญ่และองค์กรอื่น รายงานจากโครงงานวิจัย The Young Lives บอกว่า ครูเวียดนามมีความสามารถ มีวินัยสูงมาก และไม่ปรากฏเรื่องครูขาดสอนเลย
    นักเรียนเวียดนาม: วัฒนธรรมความขยันเป็นพื้นฐานของคนเวียดนาม จึงเป็นกรอบให้นักเรียนขยัน ทุ่มเทกับการเรียนอย่างจริงจัง และเห็นว่าความสำเร็จทางการศึกษาของแต่ละคนคือสิ่งสำคัญมากในชีวิต นักเรียนเวียดนามมีวินัยสูง มาโรงเรียนสาย ขาดเรียน หรือหนีเรียนบางชั่วโมงของเวียดนามมีน้อยกว่าประเทศไทย (เวียดนามมีนักเรียนเคยหนีเรียน 9% เทียบกับนักเรียนไทย 18% ที่เคยหนีเรียน)
    พ่อแม่: แม้ว่าพ่อแม่ของนักเรียนเวียดนามจะมีการศึกษาไม่สูงมาก แต่มีความคาดหวังสูงในด้านการศึกษา และมีส่วนร่วมในชีวิตทางการศึกษาของลูกหลาน คือ ติดตามผลการเรียนอย่างใกล้ชิด ร่วมมือกับครู และมีส่วนช่วยงานของโรงเรียน เช่น ช่วยในการระดมทุนเพื่อให้โรงเรียนจัดหาทรัพยากรการเรียนให้โรงเรียน
    การลงทุนทางการศึกษา: เวียดนามมีการลงทุนทางการศึกษาในอัตราส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่า GDP และถึงแม้จะมีโรงเรียนในชนบทหรือเมืองเล็กไม่มาก แต่ก็เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพได้มาตรฐานทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรการเรียน และอาจมีคอมพิวเตอร์ไม่มากเมื่อเทียบกับไทย แต่คอมพิวเตอร์ก็เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเกือบครบ
    ในย่อหน้าสุดท้ายของบทความข้างต้น ผู้เขียนได้ทิ้งประเด็นไว้อย่างชวนคิดว่า
    เวียดนามกำหนดเป้าหมายที่จะทำประเทศให้เข้าสู่มาตรฐานภูมิภาคและมาตรฐานสากล (World Bank, 2016) จึงเริ่มต้นโดยการทำโรงเรียนให้เข้าสู่มาตรฐาน แม้โรงเรียนในชนบทก็ได้รับการดูแลให้ถึงมาตรฐาน ไทยเราเองก็ควรกลับมาดูแลมาตรฐานโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนชนบทที่ยากจนบ้าง มิฉะนั้นก็จะล้าหลังเวียดนามต่อไป…

    6lAPZLxm3wVP7b57S8qN_vT0GeDv5uGC69wL_-55_Kgv_YENebvMQ5qFNQWnaHQX0VBKM_OuK4sQNRPHF0Yw8fssqpM=s800.jpg
    Photo: Reuters Photographer, Reuters/profile
    ปัญหาการศึกษาไทยโดยสังเขป
    ในรายงาน ‘PISA ที่ผ่านมาบอกอะไรให้เราทราบบ้าง’ ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ PISA THAILAND ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ระบุผลการประเมินเมื่อปี 2555 ว่า การศึกษาไทยในเขตเมืองและชนบทมีความเหลื่อมล้ำกันค่อนข้างสูงในเรื่องคุณภาพ
    ระบบโรงเรียนในกรุงเทพฯ เมื่อดูผลการประเมินของนักเรียนในเขตกรุงเทพฯ จะพบว่าการกระจายของคะแนน PISA เกือบจะไม่มีความแตกต่างจากนักเรียนในสหรัฐอเมริกา แต่นั่นไม่ใช่นักเรียนจากทั่วประเทศ เพราะนักเรียนที่อื่นๆ นอกกรุงเทพฯ นั้น ยังมีผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่ามาก เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าการศึกษาของระบบโรงเรียนในเขตกรุงเทพฯ เป็นตัวแบบ (Model) ที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ แต่การจัดตัวแบบเช่นนั้นไม่กระจายไปทั่วประเทศแต่กลับกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ เท่านั้น ถ้าระบบโรงเรียนไทยสามารถกระจายตัวแบบการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพทั่วถึงทั้งประเทศ คุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนก็จะสามารถยกระดับสูงขึ้นได้
    จากรายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ในการปฏิรูปการศึกษาไม่มีกระสุนนัดเดียวยิงแล้วจอด ดังนั้น การเปลี่ยนหลักสูตรอย่างเดียวจึงไม่ใช่คำตอบ
    ในระบบโรงเรียนของไทย เมื่อพบว่าคุณภาพการศึกษาไม่เป็นไปตามที่หวัง หลักสูตรมักจะเป็นจำเลยที่หนึ่ง และการตอบสนองก็มักจะพุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนหลักสูตรเป็นอันดับแรก และที่สำคัญคือการเปลี่ยนหลักสูตรที่เกิดขึ้นในอดีตคือการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระ และการเปลี่ยนหนังสือเรียน โดยองค์ประกอบอื่นๆ ยังคงเดิม และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน โดยไม่คำนึงว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในโลก
    และในรายงานมีการตั้งข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างกะทันหันของไทยให้ผลร้ายมากกว่าผลดี
    เพราะเมื่อมีการเก็บข้อมูลหลังปฏิรูปหลักสูตรครบ 3 ปี (PISA 2546) พบว่า คะแนนหล่นลงมาอย่างน่าตกใจ และเก็บข้อมูลอีกครั้งในอีก 3 ปีถัดมา (PISA 2549) คะแนนก็มีแนวโน้มตกลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเริ่มคงที่ หรือกระเตื้องขึ้นในอีก 3 ปีต่อมา (PISA 2552) และแนวโน้มเริ่มดีขึ้นชัดเจนในอีก 3 ปีให้หลัง (PISA 2555) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้องใช้เวลามากกว่าสิบปี ระบบจึงสามารถปรับตัวเข้าสู่เส้นทางปกติ

    ครูและนักเรียนกับการศึกษาไทยในนิยามใหม่
    รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ นักวิจัยด้านการศึกษา จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้พูดถึงความหมายของครูและนักเรียนไว้ในหนังสือ ผลึกความรู้: ชุดงานวิจัยฉบับเคี้ยวง่าย Re-Learning จากเรียนรู้สู่เรียนคิด ว่า ปัญหาการสอนสมัยใหม่ของการศึกษาไทยที่พยายามเน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางนั้น แม้เป็นเรื่องดี แต่มีปัญหา เพราะครูไม่รู้วิธีสอน
    “ครูไม่รู้ว่าการสอนแบบเอาเด็กเป็นศูนย์กลางเป็นอย่างไร โรงเรียนจึงปล่อยให้เด็กเรียนเอง เพราะครูไม่รู้”
    โดย รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ได้นิยามวิธีการสอนของครูและวิธีการเรียนรู้ในสมัยใหม่ว่า ครูต้องเป็นผู้ถาม มิใช่ผู้บอกสอน
    “ครูต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ถาม อย่างผมตั้งคำถามว่า อะไรทำให้น้ำแข็งละลาย เมื่อคุณตอบไม่ได้ผมก็ถามใหม่ เอาน้ำแข็งไปตั้งไฟมันละลายเร็วไหม เพื่อให้คุณตอบให้ได้ว่ามาจากความร้อน เมื่อคุณรู้ว่าความร้อนทำให้น้ำแข็งละลาย ผมก็ถามต่อว่า ความร้อนมาจากไหน คุณก็จะเห็นว่าความร้อนมาจากข้างนอกที่มันเข้ามา ถ้าผมถามต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคุณก็จะรู้ว่าความร้อนมาจากยา โดยการตั้งคำถามว่า ถ้าเราต้องการให้ยาเย็นลงจากเดิมที่อุณหภูมิ 30 องศา เราทำให้มันเย็นได้ยังไง เดี๋ยวคุณก็จะตอบว่ามันสูญเสียความร้อน แล้วความร้อนที่ทำให้น้ำแข็งละลายมายังไง ผมก็จะถามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณรู้เอง นี่คือกระบวนการสอนด้วยถาม ครูต้องเปลี่ยนบทบาท ไม่ใช่ผู้บอกอีกต่อไป
    “การถามคือการสอนของครู ครูต้องเข้าใจวิธีการต้อนความคิดของเด็ก
    “ครูต้องรู้ 3 อย่าง หนึ่ง-รู้ความรู้สุดท้ายที่ต้องการให้เด็กไปถึง สอง-รู้เส้นทางการเดินของความคิด สาม-รู้ความคิดของเด็กขณะนั้นว่าเขารู้อะไร ไม่รู้อะไร ต้องตั้งคำถามใหม่ ต้อนไปเรื่อยๆ
    “นี่คือทักษะการถามคือสอน ซึ่งครูทำไม่ได้โดยง่าย เพราะครูเป็นผู้ไปท่องความรู้เพื่อมาบอกเด็ก แล้วเด็กก็จะไม่ชอบตอบ เพราะบรรยากาศไม่เอื้อ แต่ถ้าหากถามต้อนแบบนี้เด็กสนุกจะตาย”
    จากคำกล่าวของ รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิจัยด้านการศึกษาไทยอีกหลายคนที่ทุ่มเทศึกษาพยายามหาทางออกให้เขาวงกตปัญหาการศึกษาไทยข้างต้น ที่มีข้อมูล ข้อเสนอแนะในมือมากมาย แต่คำถามคือ ทำไมการศึกษาไทยถึงยังเดินไม่ไปไหน
    เราพบบางคำตอบของคำถามนี้ในเนื้อความบางส่วนที่อยู่ในรายงานที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของ PISA THAILAND
    ระบบโรงเรียนไทยไม่สามารถแข่งขันกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียและอาเซียน ประเทศที่เคยล้าหลังไทยก็กลับแซงไปข้างหน้า แล้วประเทศไทยจะแข่งขันได้อย่างไร แม้ในอาเซียนด้วยกัน ถ้าไทยยังไม่รีบยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเร่งด่วน ซึ่งการยกระดับนั้นมีข้อมูลที่ชี้บอกถึงจุดอ่อนของระบบของชาติ และจุดแข็งของระบบอื่นๆ ที่พอจะใช้ประโยชน์ได้ แต่น่าเสียดายอย่างหนึ่งที่ข้อมูลและสาระดีๆ เหล่านั้นไม่เคยถูกใช้ เพราะระบบไทยมักตัดสินอยู่บนฐานความคิดเห็นและความพอใจมากกว่าบนฐานของข้อมูล
    บทความ ‘การศึกษาเวียดนาม: ทำไมนักเรียนจึงมีผลการประเมินสูง’
    ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ PISA THAILAND

    [/QUOTE]
     
    IndyDekdee และ conservative ถูกใจ.
  4. เผด็จการที่รัก

    เผด็จการที่รัก อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    9,076
    15419754_823053507835611_3427224111861175594_o.png


    อันดับห่วยก็เพราะเรียนอย่างนี้แหละ

    อนุบาลบังคับให้เด็กท่องจำ จำ จำ จนเด็กเกลียดโรงเรียน เกลียดการเรียน พอเขาประถมวัยก็เลยไม่สนใจอยากเรียน เพราะโดนทำลายความอยากรู้อยากเห็นหมดแล้ว

    ปฎิรูปครูก่อนเลย

     
    Last edited: 8 Dec 2016
  5. ชายน้ำ

    ชายน้ำ อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    9 Feb 2015
    คะแนนถูกใจ:
    7,081
    ถึงอันดับจะห่าง แต่คะแนนก็ไม่ได้ต่างกันมากนักนะครับ

    ผมเป็นห่วงเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสการศึกษามากกว่า

    ผมเรียนมหาวิทยาลัยปิดเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนั้นนิสิตเกือบครึ่งมาจากตจว. หลายคนต้องขอรับทุนการศึกษา และมีโควต้าจากสามจังหวัดภาคใต้ด้วย(เป็นมุสลิมแต่ก็กลมกลืนดี พอปีสี่กินเหล้าเก่งกว่าเด็กพุทธอีก)

    เดี๋ยวนี้ถ้าฐานะทางบ้านไม่ดีโอกาสสอบได้มหาวิทยาลัยปิด ยากมากครับ

    ผมกลับไปที่คณะฯไม่นานมานี้ ที่จอดรถไม่พอให้เด็กจอด มองไปรอบๆเห็นแต่คุณหนู ไอ้พวกกระมอมกระแมมอย่างผมและเพื่อนๆในอดีตไม่ค่อยมีให้เห็นเลย
     
    5555, maya, เผด็จการที่รัก และอีก 3 คน ถูกใจ
  6. sugit

    sugit อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    10 Mar 2015
    คะแนนถูกใจ:
    1,111
    ส่วนตัว ไม่ค่อยอยากโทษครู

    อยากโทษพ่อแม่มากกว่า เพราะพ่อแม่ชอบตามใจลูก

    ซื้อให้ทำไมอะ พวก tablet smart phone

    พวกนี้ดึงความสนใจเด็กไปจากการบ้านนะ ไม่รู้เหรอ


    เด็กในกรุงเทพฯ มันยังมีแข่งกันเอาผลการเรียน

    แต่เด็กจากต่างจังหวัด ตัวเปรียบเทียบมันน้อย

    พอมันคิดว่า ได้ระดับต้น ๆ ของห้องก็พอใจแล้ว

    ทั้งที่ถ้าวัดมาตรฐานกันจริง ๆ เกินครึ่งนิดเดียวแค่นั้นนะ


    แล้วเด็ก ๆ เดี๋ยวนี้ "ไม่เคารพครู" ถ้าครูทำกับมันไม่ดี

    มันจะแสดงอาการต่อต้าน ให้เห็นก็มี แล้วถ้าครูเจอแบบนี้

    เค้าจะคิดไงรู้เปล่า ครั้งแรก ตักเตือน ถ้าเตือนแล้วต่อต้านมากขึ้น

    ครั้งต่อไป "วางเฉย" ตรูมีหน้าที่สอน หน้าที่เตือน คุณม...ง ไม่ฟัง

    ก็เอาที่สบายใจ จะได้ความรู้หรือเปล่า ก็ตัวใครตัวมัน


    เด็กมันชอบคิดว่า "มันแน่" เก่งแล้ว เก่งกว่าครูอีก บางทีอะ

    เด็กหลงตัวเองมันเยอะ เพราะพ่อแม่มันชอบ สอนลูกผิด ๆ

    ถ้าไม่ปล่อยปละมาก ก็ชมมันจนเหลิง แบบนี้ก็เยอะ

    พวกพ่อแม่ รุ่นใหม่ เป็นแบบนี้เยอะนะ


    ทางแก้ ผมแนะให้เลย ถ้าครูทำโทษ เช่นตี หรือ ให้ยืนหน้าชั้น

    โรงเรียนต้องไม่เอาเรื่องครู ไม่งั้นครูที่ไหน มันจะยอมเสียชื่อฟรี ๆ

    ก็เพราะเราไปยึดว่า สมัยใหม่ ต้องปล่อยเด็กมากขึ้น

    เราถึงมีเด็กไม่เอาไหน ในสังคมเยอะ ๆ ไง


    เด็กเวียดนามมันเก่ง เพราะมันขยันกว่าเรา อันนี้ไม่ต้องมองอย่างอื่นเลย

    พ่อแม่มันยังหัวโบราณกว่าเรา ถ้าหัวสมัยใหม่ ทูนลูกเหนือเกล้าเมื่อไร

    ก็เตรียมตัวเป็นแบบไทยได้เลย
     
    IndyDekdee, gaiser และ อู๋ คาลบี้ ถูกใจ
  7. อู๋ คาลบี้

    อู๋ คาลบี้ อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    15 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    12,204
    การท่องจำยังต้องมีในด้านการเรียนรู้พื้นฐานและหลักการต่างๆ
    พอมีหลักการที่ท่องจำได้แล้ว เวลาคิดทำอะไรก็จะไม่สะเปะสะปะ

    เห็นด้วยครับ แล้วผมก็นึกถึงเด็กในต่างจังหวัดที่เข้าไปเรียนโรงเรียนในเมืองด้วย
     
    conservative likes this.
  8. plunk

    plunk อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    13 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    1,509
    บัตรนักเรียน แท็ปเล็ท ไม่ได้ช่วยอะไรบ้างเลยเหรอครับ
     
  9. Solid Snake

    Solid Snake อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    26 Dec 2014
    คะแนนถูกใจ:
    2,225
    ต้องดูสถิติการเรียนต่อของเวียดนามเทียบกับไทยด้วยครับ ถ้าเด็กเวียดนามเรียนต่อคือส่วนน้อยนี่แสดงว่ามีการคัดคนมาแล้วส่วนหนึ่ง ขณธที่ไทยโดนภาคบังคับ ม.3-6 แทบไม่ได้คัดคนเลย ต่อมาคือดูความถนัดที่เข้าสอบว่าถนัดด้านไหน ถ้าเวียดนามให้เด็กที่ถนัดด้านวิทย์คณิตสอบชณะที่ไทยสายไหนก็เข้าสอบแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอกที่เวียดนามจะได้มากกว่า เพราะมันใช้ค่าเฉลี่ย
    ลองดูการสอบครั้งก่อน กลุ่มโรงเรียนสาธิตคะแนนไม่น้อยนะครับ
    1386176544-p7-o.png
     
  10. Tad

    Tad อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    16 พ.ย. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    1,773
    ไทยมัวแต่เถียง ไม่ค่อยทำ ที่ผมสัมผัสกับพวกสิงค์โปร มาทำงานคนเดียวเป็นทั้งเอนจิเนียร์ทั้งเทคนิเชี่่ยน คิดเอง ลงมือเอง
     
  11. ParaDon

    ParaDon อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    2 Aug 2015
    คะแนนถูกใจ:
    3,168
    Location:
    Thai
    เด็กไทยเก่งต่อไปไม่ต้องเรียนแล้วเปิดกูเกิ้ลหาเอาก็รู้ :)
     
  12. กีรเต้

    กีรเต้ อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    11,917
    Location:
    เชียงใหม่
  13. โยธกา

    โยธกา อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    20 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    3,727
    รร เดียวกัน
    มีห้องเรียนชั้นละ 15 ห้อง
    1- 3 เป็นห้อง gifted คณิตวิทย์
    4 - 5 เป็น ep
    ที่เหลือก็ไล่ไปตามลำดับ วิทย์ คณิต ห้องธรรมดา ไปจนถึง ห้องเรียนสายศิลป์ 6 - 14
    ห้อง 15 เป็นเด็กโครงการของกระทรวงวิทย์ เรียนวิชาพื้นฐานกับภาษาอังกฤษกับโรงเรียน วิทย์ คณิต เรียนกับมหาลัย
    ผลการเรียน
    เด็กห้องเรียนธรรมดา ห่างชั้นกับเด็กห้อง gifted
    เด็กห้อง gifted ก็ห่างกับเด็กของโครงการวิทย์
    และเด็กโครงการวิทย์ ก็ยังห่างกับเด็ก รร มหิดล
    นี่คือระดับความสามารถของเด็ก ม ปลายที่ผมเห็นในตอนนี้
    ขนาดเป็นโรงเรียนในเขตปริมณฑล
    ห่างออกไปจะยิ่งห่างกันออกไปอีก
    ดูจากคะแนน PISA ที่ประกาศมา
    คะแนนสูงสุดเราก็ไม่แพ้สิงคโปร์ครับ
    แต่คะแนนต่ำสุดมันก็แย่เกิน
    จำนวนก็เยอะกว่าพวกกลุ่มบนมาก
    เลยฉุดค่าเฉลี่ยให้ร่วงไปไกล
    คิดในแง่ดี
    เด็กบ้านเรามีความหลากหลายค่อนข้างเยอะ
    นี่ยังไม่พูดถึงครูผู้สอนเลยนะ
    ไม่อยากความดันขึ้น
     
    5555, ridkun_user, อู๋ คาลบี้ และอีก 6 คน ถูกใจ
  14. เผด็จการที่รัก

    เผด็จการที่รัก อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    9,076
    อยากให้เอาระบบสาธิตมาใช้กับทุกโรงเรียน หรือไม่ก็เอาอาจารย์สาธิตไปบริหารกระทรวงศึกษา
     
  15. redfrog53

    redfrog53 อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    12 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    12,466
    ลองเอางบประมาณพอๆกับสิงคโปร์ ลงไปพัฒนาการศึกษาเฉพาะ ภูเก็ต ดูสิ จำนวนคนก้อพอกัน ตอนนี้หลาย รร. ยังเป็น รร. วัดอยู่เลย ทั้งๆที่ภาษีส่งเข้ารัฐฯเป็นอันดับ 2 ของประเทศ การเทียบประเทศต่อประเทศ ต้องดูหลายอย่าง เชื่อว่า สิงคโปร์ ไม่ได้เลิศอย่างที่คิดตามการจัดอันดับหรอก ระดับความยากจนของสิงคโปร์ ก้อยังมีนะ เทียบแล้วน้อย ก้อคนเขาน้อย ไม่อยากดูตาม "โคฉาท" เลย

     
  16. maya

    maya อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    14 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    447
    เคยคุยกับพระสงฆ์จากเวียดนามที่มาเรียนต่อที่ไทย ท่านบอกว่า นักเรียนทีี่ไทยเรียนสบายกว่าที่เวียดนาม
    ที่เวียดนามเรียนเนื้อหาวิชาการหนักกว่าที่ไทยเยอะ พอมาเรียนที่นี่เลยสบายๆ
     
  17. Solid Snake

    Solid Snake อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    26 Dec 2014
    คะแนนถูกใจ:
    2,225
    เขาเน้นใบประกอบวิชาชีพครูกันที่ไหน เอามาใช้กับโรงเรียนทั่วไปไม่ได้หรอก จะสอนสู้พวกได้ใบประกอบวิชาชีพครูได้ไง ครูกลุ่มหนึ่งได้กล่าวเอาไว้
     
    redfrog53 likes this.
  18. redfrog53

    redfrog53 อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    12 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    12,466
    [​IMG]
     
  19. กระต่ายในจันทร์

    กระต่ายในจันทร์ อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    13 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    3,710
    คนอย่างผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ซับซ้อนเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาเปรียบเทียบกับ
    ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียตนาม หรือลาวหรือกัมพูชา ที่บรรดานักวิชาการ
    หน้าไม่ฉลาดบางตัวให้ความเห็นว่าเราด้อยกว่าประเทศเหล่านั้น ผมจะไม่เถียง
    กับพวกเขาว่าใครดีกว่า แต่อยากจะบอกพวกเขาว่า ถ้าพวกเขาเหล่านั้นเห็นว่า
    เวียตนาม ลาวหรือกัมพูชา มีมาตรฐานหรือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดีกว่าไทย
    ทำไมพวกเขาเหล่านั้นไม่ส่งลูกหลานไปเรียนในประเทศ C L M V ไปเลยละครับ
    มาดักดานเรียนอยู่ในไทยทำไม ส่งลูกหลานไปเรียนเลยครับ ผมสนับสนุนจริงๆ
    ส่วนลูกหลานของผม ขอดักดานเรียนในประเทศไทย ที่หมารับใช้หลายตัวขนานนาม
    ว่ากะลาแลนด์ดีกว่า ยอมครับยอม ไม่เถียงใครแล้วครับ อย่าว่าผมนะ ผมกลัว:sick::sick:
     
    redfrog53 likes this.

Share This Page