ไปเจอที่ท่านชูชาติ โควตไว้... เห็นว่าเป็นความรู้ด้าน กม. และเผื่อว่า พวกลูกจ้าง ขี้ข้านายใหญ่หนีคุก ทั้งหลาย จะยังไม่ทราบ แล้วเที่ยวไปโพสต์ "กล่าวหา ศาล" และ/หรือ ใส่ความใครต่อใครเขา ว่า "ทำตามใบสั่ง"... จะได้รับรู้ว่า...ทำไม อะไร และ อย่างไร ถึงมีการพิจารณา "รอหรือไม่รอ ลงอาญา"… -------------------------------------------------------- .....ข่าวกลุ่มนักการเมืองพรรคเพื่อไทยไปเยี่ยมนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ และนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และมีบางคนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ไม่คิดว่า คดีนี้ศาลจะพิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ เพราะคดีลักษณะนี้ศาลรอการลงโทษให้ตลอดมา ต่อไปนักการเมืองจะพูดอะไรต้องระมัดระวังให้มากขึ้น .....การพูดดังกล่าวเป็นการยอมรับว่า จำเลยทั้งสองคนกระทำการหมิ่นประมาทโจทก์จริง แต่ศาลน่าจะรอการลงโทษให้ เพราะเคยรอการลงโทษให้จำเลยคนอื่นๆ มาแล้ว .....อยากจะบอกว่า การที่ศาลจะรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ ก็ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่บัญญัติว่า .....ผู้ใดกระทําความผิดซึ่งมีโทษจําคุกและในคดีนั้นศาลจะลงโทษจําคุกไม่เกินสามปีถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจําคุกมาก่อน ฯลฯ เมื่อศาลได้คํานึงถึง อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพและสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว เห็นเป็นการสมควรศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกําหนดโทษไว้ หรือกําหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไปเพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กําหนด แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา โดยจะกําหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้ .....ตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า การที่ศาลจะรอการลงโทษให้จำเลยหรืิอไม่ ต้องมีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ซึ่งเป็นเหตุเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคน ไม่ใช่ศาลจะต้องรอการลงโทษให้จำเลยทุกคน แม้ในคดีเดียวกันจำเลยบางคนอาจรอการลงโทษให้ แต่บางคนอาจไม่รอการลงโทษให้ก็ได้ .....ส่วนที่ว่าความผิดลักษณะนี้ศาลเคยรอการลงโทษให้ทุกคน ก็ไม่เป็นความจริง นายสมัคร สุนทรเวช ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ ขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นายสมัครถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาจึงไม่ได้มีคำพิพากษา .....คดีที่ศาลรอการลงโทษให้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ประชาชนพิพาทกันเองหรือนักการเมืองวิพากษ์วิจารณ์หรือกล่าวหานักการเมืองด้วยกันเอง .....แต่กรณีจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องการนำความเท็จมาใส่ความกล่าวหาประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปขาดความเชื่อมั่นในสถาบันศาลที่มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของจำเลยและพรรคการเมืองที่จำเลยสังกัดอยู่ พฤติกรรมเช่นนี้ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดหรือใครกระทำมาก่อน มีเพียงจำเลยทั้งสองเท่านั้น .....นักกีฬาฟุตบอลเล่นนอกเกม ฝ่าฝืนกฎกติกา อาจโดนใบเหลือง ใบแดง โดนปรับเป็นเงิน หรือถูกห้ามลงเล่นในระยะเวลามากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับว่ากระทำนั้นๆ ร้ายแรงมากน้อยเพียงใด .....เมื่อเร็วๆ นี้ นักฟุตบอลคนหนึ่งทำร้ายกรรมการผู้ตัดสิน จึงถูกสมาคมฟุตบอลลงโทษห้ามลงเล่นแข่งขันฟุตบอลตลอดชีวิต .....การกระทำของจำเลยทั้งสองก็ไม่ต่างไปจากการกระทำของนักฟุตบอลคนดังกล่าว .....นักกีฬาเล่นกีฬาไม่ฝ่าฝืนกฎ กติกา นักการเมืองนำสิ่งที่เป็นความจริงสิ่งที่ถูกต้องมาเสนอให้ประชาชนทราบ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวหรือหวั่นเกรงใดๆ ว่าจะถูกลงโทษหนักหรือศาลไม่รอการลงโทษให้เลย ครับ -------------------------------------------------------- ยัง…ยังมีที่ จ้องทำร้ายกรรมการ กันอยู่อีกเยอะ... หรือเพื่อนๆ คิดเห็นกันเช่นไร เชิญได้ครับ... ถ้ามีศาลที่สูงกว่า "ศาลฏีกา"... ผมว่าปากดีดี อย่าง "สะเด็ดพี่" นี่… อาจเจอ รับโทษแบบสูงสุด ที่กำหนดไว้ด้วย... ว่ามั๊ย...
เฮ้อ…เป็นนักกฏหมายแท้ๆ... (ที่มาของเรื่อง)...จากข่าว... -------------------------------------------------- http://www.dailynews.co.th/crime/337273 -------------------------------------------------- แสดงว่า ที่พูดๆกันมาโดยตลอดนั่น ไม่เคยระวังกันเลย ?
ลองๆเซฟๆเก็บไว้... ไม่แน่ใจว่า... เข้าทาง "หมิ่นศาล" หรือยัง? สำหรับเฟสขี้ข้าไพร่แดง แบบนี้... ------------------------------------------------- -------------------------------------------------
ตื่นเต้ลกันใหญ่เบย สส.เพื่อทักเดินขบวนไปชิมลางคุกกันเป็นแถวเป็นแนว เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้ ไอ้ปึ้งเหน่งและพวกที่ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล มีคนแจ้งความเอาผิดมันยัง นี่ก็เข้าข่ายหมิ่นศาลนะ รู้กันยัง ปล.แร้วอีปรูแม่มไม่ไปเยี่ยม(ชิมลาง)คุกบ้างหรา ถึงเวลาจะได้ไม่ตื่นเต้ลเกิน
อีกเหตุผลนึงที่ไม่รอลงอาญา น่าจะเป็นเพราะว่า ศาลชั้นต้นให้รอลงอาญา มันไม่เอา ขอสู้ในชั้นอุทธรณ์จะให้ศาลยกฟ้อง พอศาลอุทธรณ์พลิกกลับเป็นไม่รอลงอาญา มันเลยขอสู้ในชั้นฎีกาให้กลับไปเป็นรอลงอาญาตามศาลชั้นต้นแต่สายไปแร้ว....ต๋อย กรุขรรมมากมาย
แกะรอยพฤติการณ์แห่งคดี 'พร้อมพงศ์' หมิ่นอดีตประธานศาลฯ ยังไหวอยู่.. เป็นคำพูดทิ้งท้ายของ พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ หลังจากถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นำตัวเข้าคุก... ในคดีที่ พร้อมพงศ์ อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคเพื่อไทย และเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ร่วมกันหมิ่นประมาท นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่าไม่เป็นกลางคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยให้ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เข้าพบเป็นการส่วนตัว เมื่อวานนี้ ทั้งสองคนใส่สูทมาศาลอย่างดี ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้กลับบ้าน ตามที่เจ้าตัวได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษสถานเบาและขอให้รอลงการโทษไว้ก่อน แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ... เมื่อศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษาให้จำคุกทั้งสองคน คนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีที่ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย และนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ร่วมกันเป็นจำเลยที่1-2ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 คดีนี้นายวสันต์ ยื่นฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8มิ.ย.53 ทั้งสองคนร่วมกันให้ข่าวกับสื่อมวลชนต่างๆ ว่า นายวสันต์ ให้ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เข้าพบเป็นการส่วนตัว ระหว่างที่มีการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และกล่าวหาว่านายวสันต์ ประพฤติตนไม่เหมาะสม ไม่น่าเชื่อถือ ขัดต่อจริยธรรมของตุลาการ ขาดความยุติธรรม และขาดความเป็นกลาง ซึ่งการกล่าวหาดังกล่าวนายวสันต์ เห็นว่า ทำให้ตนเองเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชังฯ ต่อมา ในปี 2555 ศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสอง เป็นการกล่าวหาโดยที่ไม่มีมูลความจริง ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนการแถลงข่าว จึงไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ดังนั้นให้จำคุก จำเลยคนละ 1 ปี และปรับคนละ 50,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับโทษทางอาญามาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี หลังจากศาลอาญา มีคำพิพากษา จำเลยทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี และศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อปี 2556 ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการหมิ่นประมาท ฯ ขณะที่นายพร้อมพงศ์ จบการศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิตและเป็นอาจารย์หลายสถาบัน ส่วนนายเกียรติอุดม จบปริญญาตรี เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.อุดรธานี และยังเป็นกรรมาธิการและรองกรรมาธิการหลายคณะ "จำเลยทั้งสองจึงเป็นคนมีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือของบุคคลทั่วไป จึงควรทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคม แต่กลับใส่ความโจทก์ที่ทำหน้าที่เป็นตุลาการ พิจารณาคดีของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่คำนึงว่าจะส่งผลเสียต่อสถาบันศาล กลับแถลงข่าวให้ข้อความกระจายไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้คนจำนวนมากดูหมิ่นดูแคลน ไม่เชื่อถือสถาบันศาล เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่อย่างไม่เป็นธรรม ลดความน่าเชื่อถือของศาลอย่างร้ายแรง และหากถูกปลุกปั่น จะยิ่งทำให้ประชาชนไม่เคารพกฎหมาย หลังถูกฟ้องก็ไม่สำนึก แม้จะเคยเป็น ส.ส. และไม่เคยต้องโทษมาก่อน แต่ไม่ควรรอการลงโทษ อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ศาลอุทธรณ์จึงแก้โทษเป็นว่า ให้จำคุก 1 ปีจำเลยทั้งสอง โดยไม่รอการลงโทษ ส่วนโทษปรับก็ให้ยกไป " ด้านจำเลยทั้งสองยังสู้ต่อ ได้ยื่นฎีกาว่า การแถลงข่าวและแจกเอกสารข่าว เป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาคดี โดยขอให้ศาลพิจารณาลงโทษสถานเบาและขอให้รอการลงโทษไว้ก่อน ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า คดีนี้ตัวโจทก์คือนายวสันต์ ได้มาเบิกความเองว่า วันที่ 10 พ.ค.53 โจทก์เดินทางเข้ามาทำงานที่ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เช้า และไม่เคยเชิญตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เข้าพบที่ห้อง และไม่เคยพบกับนายทศพล เพ็งส้ม ตัวแทนประชาธิปัตย์ที่เดินทางมายื่นหนังสือเกี่ยวกับคดียุบพรรค คำเบิกความของนายวสันต์ ได้ไปสอดคล้องกับเลขานุการของนายวสันต์ ที่ได้เป็นพยานเบิกความว่า ในวันดังกล่าวเลขานุการนายวสันต์ ได้เข้าปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 07.40 น. ถึง 16.00 น. โดยโต๊ะทำงานอยู่หน้าห้องนายวสันต์ ซึ่งสามารถมองเห็นภายในห้องทำงานนายวสันต์ได้ แต่ก็ไม่พบว่ามีใครเข้าพบนายวสันต์ เป็นการส่วนตัวที่ห้องทำงาน นอกจากนี้ ก็ยังมีนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ เบิกความเป็นพยาน ว่า นายทศพล เดินทางไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เศษ เพื่อยื่นเอกสารเกี่ยวกับคดีที่ชั้น 2 ศูนย์ราชการ ฯ ไม่เคยได้พบกับนายวสันต์เป็นการส่วนตัว โดยนายทศพล พยานโจทก์ ไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุต้องสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย ส่วนจำเลยต่อสู้คดี อ้างว่า รับทราบเรื่องดังกล่าวมาจากเจ้าหน้าที่ 2 คน แต่ในชั้นพิจารณาคดี จำเลยก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ 2 คนดังกล่าวมาเบิกความเป็นพยานยืนยัน ดังนั้นการให้ข่าวของจำเลยต่อสื่อมวลชน จึงเป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จ ขณะที่ช่วงเวลาดังกล่าวมีการพิจารณาคดียุบพรรคและตัวจำเลยก็ได้ยื่นหนังสือคัดค้านโจทก์จากการเป็นองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ การกระทำของจำเลยจึงเสมือนใช้สื่อมวลชน เป็นเครื่องมือหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดได้ว่า โจทก์ ไม่มีความเป็นกลาง ซึ่งจำเลยเล็งเห็นอยู่แล้วว่า สื่อจะนำข้อมูลจากเอกสารที่จำเลยแจกไปเผยแพร่ ดังนั้นที่จำเลยอ้างว่าการแถลงข่าวและแจกเอกสารไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาท ฯ โดยการโฆษณา แต่เป็นการแสดงความคิดนั้น จึงฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า การกระทำของจำเลย เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ ซึ่งมีการเผยแพร่ด้วยเอกสาร จึงเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารที่ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับความเสื่อมเสีย บุคคลอื่นเข้าใจว่าไม่มีความเป็นกลาง ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืนจำคุก1ปี โดยไม่รอลงการลงโทษ ศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลฎีกา บอกว่า ส่วนใหญ่ศาลฎีกาดูพฤติการณ์แห่งคดีและความร้ายแรงแห่งการกระทำ รวมทั้งดูทุกอย่างรอบด้าน ในการลงโทษ ซึ่งการลงโทษหนักหรือเบา ขึ้นอยู่กับ ดุลยพินิจ ของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ผู้พิพากษา ใช้ดุลยพินิจได้อย่างเต็มที่ เป็นดุลยพินิจของตนเอง โดยไม่ต้องฟังใครทั้งสิ้น ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน, สื่อ, กองเชียร์ หรือสิ่งแวดล้อม อย่างคดีนี้ ตอนศาลชั้นต้นรอการลงโทษจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา จำคุกจำเลยโดยไม่รอลงอาญา จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องดุลยพินิจ ของผู้พิพากษาที่ไม่ต้องตามกันของแต่ละชั้นศาล ที่ผ่านมา คดีหมิ่นประมาท ก็มีทั้งที่ศาลฎีกาจำคุกจริง หรือ รอลงอาญา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์คดี ความร้ายแรง ผู้กระทำความผิด ผู้เสียหาย และ ความเสียหายรุนแรงมากน้อยแค่ไหน จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ศาลลงโทษจำคุกจำเลย โดยไม่รอลงอาญาในคดีหมิ่นประมาท เจษฎา อนุจารี ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ กล่าวว่า ระยะหลังๆมานี้ ศาลมักเอาจริง ไม่ค่อยรอลงอาญา เพราะว่า การรอลงอาญา ทำให้จำเลยไม่เกรงกลัว กระทำความผิดซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม การรอหรือไม่รอลงอาญา อยู่ที่ ดุลยพินิจ ของศาล โดยดูจากสภาพของการกระทำความผิด สำหรับคดีหมิ่นประมาทหากเป็นการกระทำผิดครั้งแรกและพฤติการณ์คดีไม่ร้ายแรง ศาลมักรอลงอาญา แต่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการลงโทษเป็น ดุลยพินิจของศาล คดีนี้อาจเป็นเพราะจำเลยไปกล่าวหาวงการตุลาการด้วย ซึ่งอาจส่งผลทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันตุลาการโดยรวม ดังจะเห็นได้ว่า ศาลอุทธรณ์ ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในคำพิพากษาที่ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอลงอาญา ความรุนแรงมันเยอะ จากการกล่าวหาที่พาดพิงถึงสถาบันตุลาการ ถ้าพูดเรื่องนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ความรุนแรงไม่มาก เพราะว่าเมื่อก่อนสังคมสงบสุข บ้านเมืองไม่ได้แตกแยกอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ที่มีการโจมตีสถาบันต่างๆ ซึ่งอาจทำให้คนหลงเชื่อได้ในสิ่งที่กล่าวหา หากเราย้อนไปดูคดีของคุณสมัคร สุนทรเวช ที่ตกเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาทหลายคดีด้วยกัน แต่ศาลฎีกาพิพากษารอลงอาญาทุกคดี คือ รอลงอาญาแล้ว รอลงอาญาอีก ก็เพราะว่า คุณสมัคร หมิ่นประมาทนักการเมืองด้วยกัน ซึ่งเป็นคู่กรณีกันโดยตรง เป็นเรื่องของนักการเมืองทะเลาะกันไปมาซึ่งเป็นเรื่องปกติของวงการเมือง แต่สำหรับศาลไม่ใช่คู่กรณี แต่จำเลยในคดีนี้กลับไปกล่าวหาพาดพิงถึงว่าไม่ยุติธรรม ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นยากที่จะเยียวยา เพราะว่าศาลต้องยุติธรรม ขอบคุณ http://www.nationtv.tv/main/content/politics/378465087/ https://www.facebook.com/serithai.net ............................................................................................. ฎีกาแก้ยกฟ้อง "พระสุเทพ" ไม่ผิดหมิ่น "หมอมิ้ง" จ้างพรรคเล็กลงลต."มาร์ค-องอาจ"ก็รอด! ศาลฎีกาพิพากษาแก้ยกฟ้อง "พระสุเทพ" คดีร่วมกับ "อภิสิทธิ์-องอาจ" ไม่หมิ่นประมาท "นายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช" กรณีกล่าวหาจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง เมื่อปี 2549 วันที่ 24 ก.ค. - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี พระสุเทพ หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมายังศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยยื่นฟ้องฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2549 พระสุเทพ และนายองอาจ ร่วมกันแถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในทำนองว่า พรรคไทยรักไทย ทุจริตการเลือกตั้ง โดยจ้างพรรคเล็กลงสมัคร คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในส่วนพระสุเทพ ให้จำคุก 4 เดือน ปรับ 2 พันบาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี ขณะที่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่พระสุเทพ จำเลยที่ 3 แถลงข่าวเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่ได้เสริมแต่งขึ้นเพื่อให้ร้ายโจทก์ จึงมีสิทธิชอบธรรมที่จะเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ อีกทั้งพยานที่ฝ่ายจำเลยกล่าวอ้างก็มีตัวตนจริง พระสุเทพ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องพระสุเทพ ส่วนจำเลยอื่น ก็ถือว่าไม่มีความผิดพิพากษายืนยกฟ้อง ภายหลังศาลมีคำพิพากษาพระสุเทพ นายอภิสิทธิ์ และนายองอาจ ได้เดินทางกลับทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆกับสื่อมวลชน http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437709875 .............................................................................................. ยาวหน่อยนะครับ แต่คงไม่ยาวจนเกินไป มันอาจจะเข้าใจไม่ยากสำหรับคนเสื้อแดง แต่มันคงเข้าใจยากมากสำหรับควายแดง
มีหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยโทษอยู่แล้วนี่... ------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------- คุ้นๆว่า ต้องติดคุกและสำนึกผิดไปช่วงระยะเวลานึงก่อน... แต่ถ้ายังไม่สำนึก รู้สึกอยากต่อสู้กับกระบวนการยุติธรรมต่อ... อยู่ในคุกแบบต่อเนื่องกับคดีอื่นๆ ที่จะตามมานั่นแหล่ะครับ ดีแล้ว… สู้ต่อไปน่ะไอ้ตั้ม...เอาใจช่วยให้ได้อยู่สุขสบายในคุกครับ...
มันตั้งใจเขียนให้เข้าใจผิด ปชป หมิ่น หมอมิ้งจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง...ยกฟ้อง พท.หมิ่นประมาท (แต่ไม่บอกว่าหมิ่นใคร อะไร ยังไง) ...ติดคุก
เจ็บๆ คันๆ…กับที่คุณปู จิตกร เขียนไว้... ------------------------------------------- ฯลฯ โดยก่อนหน้านี้หนึ่งวัน นายชูชาติได้โพสต์ข้อความถึงกระบวนการพิจารณาคดีของศาลไว้ด้วยว่า “ศาลชั้นต้นมีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ท่าน ศาลอุทธรณ์มีองค์คณะ 3 ท่าน ศาลฎีกามีองค์คณะ 3 ท่าน ในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา เมื่อองค์คณะทำคำพิพากษาเสร็จ พิมพ์เรียบร้อยแล้ว ต้องผ่านการตรวจโดยประธานศาลอุทธรณ์และประธานศาลฎีกา หรือรองประธานศาลอุทธรณ์และรองประธานศาลฎีกา ที่ได้รับมอบหมายจากประธานศาลอุทธรณ์และประธานศาลฎีกา ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา มีความเห็นพ้องต้องกันว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ มีคณะผู้พิพากษาที่มีความเห็นดังกล่าว คือ ศาลชั้นต้น 2 ท่าน ศาลอุทธรณ์ 4 ท่าน และศาลฎีกา 4 ท่าน จึงมีผู้พิพากษาที่วินิจฉัยในประเด็นนี้รวม 10 ท่าน ประเด็นที่ว่า ควรรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ มีผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา รวม 8 ท่าน เห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ควรรอการลงโทษให้จำเลย ไม่ใช่มีผู้พิพากษาวินิจฉัยกันเพียง 2-3 คน” ยังมีประเด็นของฝ่าย “ลูกหาบ” หรือ “กองเชียร์” เด็จพี่โอดครวญกันอีกด้วยว่า วันเดียวกัน ศาลฎีกาตัดสินว่านายพร้อมพงศ์ หมิ่นนายวสันต์ แต่ยกฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าไม่หมิ่น นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช กรณีคล้ายๆ กัน คือแถลงข่าวและแจกเอกสารให้สื่อ ว่าหมอพรหมินทร์ข้องเกี่ยวกับการจ้างวานพรรคเล็กลงสมัคร เพื่อเลี่ยงเงื่อนไขของกฎหมายเลือกตั้ง โดย ตั้งคำถามในทำนองว่า ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน เรื่องนี้ต้องใช้ “ปัญญา” ครับ จะพูดจาจากสมองกลวงๆ และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่ได้ ข้อเท็จจริงและการเบิกความในศาลของ 2 คดีนี้ต่างกัน คือ 1) พระสุเทพแถลงข่าวและแสดงเอกสารต่อสื่อที่พาดพิงถึง นพ.พรหมินทร์จริง แต่ต่อมาก็นำเรื่องไปร้อง กกต. เรื่องขึ้นศาล ศาลสั่งยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งคำวินิจฉัยของศาล มีถ้อยคำที่พระสุเทพได้เข้าร้องเรียนรวมอยู่ด้วย รวมไปถึงมีพยานที่อ้างถึงตอนแถลงข่าวไปเบิกความยืนยันต่อศาล ดังนั้นข้อความซึ่งพระสุเทพแถลงข่าวพาดพิงโจทก์ จึงเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้ข้อมูลมา มีพยานให้ศาลไต่สวนได้ ไม่ได้เป็นการเสริมแต่งขึ้นเองเพื่อให้ร้าย นพ.พรหมินทร์ แต่อย่างใด จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท 2) แต่กรณีนายพร้อมพงศ์ที่อ้างว่า รับทราบเรื่องตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ไปพบนายวสันต์ในห้องทำงาน เพื่อตกลงกันเรื่อง คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ มาจากเจ้าหน้าที่ 2 คน แต่ในชั้นพิจารณาคดี กลับไม่มีการนำเจ้าหน้าที่ 2 คนที่กล่าวอ้างมาเบิกความเป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริง ขณะที่ฝ่ายโจทก์มีพยานยืนยันชัดเจนว่า นายวสันต์ไม่ได้พบกับตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์หรือใครในห้องทำงานเลย ถึง 3 ปาก ดังนั้นการให้ข่าวของนายพร้อมพงศ์ จึงเป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จ เล็งเห็นอยู่แล้วว่าสื่อจะนำไปเผยแพร่ ใช้สื่อมวลชน เป็นเครื่องมือในการหมิ่นประมาท ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดได้ว่า นายวสันต์ไม่มีความเป็นกลาง จึงพิพากษาว่าผิด ส่วนผิดแล้วทำไมไม่รอลงอาญา ก็ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นที่เขียนมาอีกรอบหนึ่งนะครับ (ฮา…) http://www.naewna.com/politic/columnist/19675 ------------------------------------------- เชื่อเหอะ...ยาวเกิน 3 บรรทัดไปมากมายขนาดเนี๊ยะ... แถมเจ้าของบทความ ยังเป็นที่เกลียดชังของ เหล่าบรรดาขี้ข้า ลูกหาบ กองเชียร์ทั้งหลายด้วย ... รอน้ำท่วมหลังเป็ดเถอะ...ถึงจะอ่านกัน...ว่ามั๊ย...