วันนี้ (24ม.ค.59)พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีการแก้ไขกฎหมายการเช่าที่ดิน หรือ พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542 โดยขยายเวลาการให้เช่าดินของรัฐจาก 50 ปี เป็น 99 ปีว่า แนวคิดดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศ เพราะระยะเวลาการเช่า 50 ปี ยังเป็นอุปสรรค ไม่ดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีระยะเวลาการคืนทุนที่ยาวนาน ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่กล้าตัดสินใจลงทุน “ทุกวันนี้การแข่งขันทางการค้าการลงทุนเป็นไปอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเมื่อเปิดประชาคมอาเซียนแล้ว ไทยต้องแข่งขันกับประเทศสมาชิกและยังต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ อีก จึงจำเป็นต้องมีมาตรการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้ดีกว่าคู่แข่งหรือไม่ก็เท่าเทียมกับเขา เช่น สิงคโปร์และมาเลเซียให้เช่าที่ดินได้นาน 99 ปี เวียดนาม 70 ปี ส่วนฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเมียนมาให้เช่าที่ดินได้ 50 ปี” พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า สิ่งที่รัฐบาลทำก็เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งจะดำเนินการอย่างรอบคอบและมีมาตรการป้องกันการถือครองผิดวัตถุประสงค์ โดยจะให้เช่าที่ดินเฉพาะเพื่อลงทุน หรือเช่าทำธุรกิจ ที่โดยปกติมีการต่ออายุให้อยู่แล้ว ไม่รวมถึงการเช่าประเภทอื่นหรือเหมารวมทุกกิจกรรม และหากผู้เช่าไม่ทำตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้ก็สามารถยกเลิกได้ “กฎหมายนี้ริเริ่มโดยส่วนราชการ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ ทำงานร่วมกันหลายหน่วยงาน ที่เห็นว่าควรปรับแก้ไขให้เป็นสากล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ จึงไม่ใช่แนวคิดของนายทักษิณหรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตามที่มีการกล่าวอ้าง นอกจากนี้ รัฐบาลขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายเปิดใจกว้างโดยยืนยันว่า แนวทางดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศในระยะยาว ดำเนินการด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ และไม่ใช่การยกแผ่นดินไทยให้ต่างชาติแต่อย่างใด”
อีกอย่างไม่ได้ให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย แต่เป็นพานิชย์ อุตสาหกรรม ซึ่งต้องนิยามให้ชัดอย่ามีช่องว่าง เช่นเช่าทำรีสอร์ทจะถือว่าok มั๊ย เพราะมันก็เอาไปให้เช่าต่อนานๆได้เหมือนกัน
จนได้... อย่าไปแตะ เลยครับ ระวังล้มไม่เป็นท่านะครับ ประเทศอื่นเขามีแต่เกาะ มีแต่ทะเลทราย เขายังอยู่ได้เลยครับ ทรัพยากรณ์ เยอะ กว่าน้ำมันของต่างประเทศอีก
99 ปี 2 เชื้อรุ่น ปฏิรูประบบคุณธรรมนักการเมือง แค่นี้ก็มีเงินเหลือๆครับ บอกได้เลยอึ้งครับ จากเดิม มันก็นานโขอยู่แล้ว
ผมเป็นคนหัวโบราณ ผมหวงแหนแผ่นดินครับ ที่ว่าห้ามต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินนั้น ในความเป็นจริงเขาเป็นเจ้าของกันเกลื่อนด้วยวิธีต่างๆกัน แต่งกับผู้หญิงไทยทั้งที่มีอาชีพพิเศษและพวกเห่ออยากมีคู่ครองต่างชาติบ้าง ใช้บริการทางกฏหมายของบริษัทหัวใสที่ไม่หวงแหนแผ่นดินพ่อแม่บ้าง ที่แย่กว่านั้นคือนักการเมืองบางคนที่มีผลประโยชน์ เอื้อให้คนต่างชาติมาเป็นเจ้าของที่ดินทั้งทำการเกษตรและสถานที่พักผ่อน ทักษิณเคยเอาซาอุมาดูที่นา บรรหารหากินกับไต้หวัน ฯลฯ ฝรั่งที่รู้จักกันว่าผมประจำว่าหัวโบราณ ต่างชาติมาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เอาแผ่นดินไทยใส่กระเป๋ากลับบ้านไม่ได้หรอก ผมบอกว่ายังไงก็ไม่เอา ไม่ชอบหลายที่เช่นนิชดาธานี ถนนสามัคคี เวลาเข้าไปเหมือนเป็นประชาชนชั้นสองในประเทศตัวเอง เห็นฝรั่งหัวแดงเดินหรือขี่จักรยานออกกำลัง แต่คนไทยในนั้นมีแต่รปภ. ขายของ7-11 แม่บ้าน มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนสวน คนงาน หรือไม่ก็พวกมีอาชีพเป็นเมียฝรั่ง ถ้าไม่ควบคุมกันอีกหน่อยเราจะเป็นพลเมืองชั้นสองในประเทศไทยกันหมด อาจจะยกเว้นไม่กี่ตระกูลเช่นชินวัตร ศิลปอาชา จึงรุ่งเรืองกิจ เจียรวนนท์ เป็นต้น แต่ก็นั่นแหละครับ โทษต่างชาติอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าคนไทยไม่มีจิตสำนึกรักและหวงแผ่นดิน ลูกหลานเราคงมี"นาย"เป็นต่างชาติกันทั้งประเทศ
เห็นพวกร่านเล่นข่าวบิดเบือนเรื่องเช่าที่ดิน 99 ปีในเฟซกันเยอะเลยช่วงนี้ เห็นแล้วก็คิดถึงการทดลองเรื่องสั่นกระดิ่งกับหมาน้ำลายไหลเลย พวกลิเบอร่านได้ยิน Keyword "เช่าที่ดิน 99 ปี" ก็พากันน้ำลายไหลกันเป็นแถวเชียว เรื่องนี้ถ้าจะให้เรียง Timeline กัน คงต้องเริ่มจาก วันที่ 23 มกราคม 2558 ตอนนั้นมีข่าวเรื่อง รฟท. ยกที่ดินมักกะสันให้กระทรวงการคลังบริหาร เพื่อแลกเปลี่ยนกับการล้างหนี้ รฟท.เล็งยกที่ให้คลังล้างหนี้ก้อนโต แปลงมักกะสันแลก 6 หมื่นล้าน-ชงซูเปอร์บอร์ดชี้ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1421983249 ทำเนียบรัฐบาล 26 ม.ค. – ซุปเปอร์บอร์ดเห็นชอบแผนปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ตั้งหน่วยงานกำกับดูแลออกจากรัฐวิสาหกิจ เดินหน้าตั้งกรมรางกำกับดูแลระบบรางทั้งหมด แก้หนี้ รฟท. โดยโอนที่ดินกว่า 80,000 ล้านบาทให้กระทรวงการคลังบริหารแลกกับการล้างหนี้ ลงดาบ ขสมก.โอนสัมปทานให้กรมการขนส่งทางบกดูแลแทน และเห็นชอบปรับเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 6.5 **************************************** แต่ว่าก็มีปัญหา เพราะกว่าจะบริหารที่ดินนี้ให้มีกำไรได้ ระยะเวลาเช่าแค่ 50 ปีตามกฏหมายเดิม ไม่เพียงพอกับมูลหนี้ที่แลกไป ดังนั้นทางกระทรวงการคลังจึงมีความคิดว่าจะแก้กฏหมายการเช่าที่ดิน ให้ขยายระยะเวลาเป็น 99 ปี เพื่อให้สามารถปล่อยให้เอกชนมาเช่าพัฒนาที่ดินมักกะสันผืนนี้ แล้วให้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่ากับมูลหนี้ที่กระทรวงการคลังแลกกับ รฟท. ดังนั้นในวันที่ 1 กันยายน 2558 ทาง คนร. ที่มีนายกฯ เป็นประธานจึงมีความคิดให้แก้กฏหมายการเช่าที่ดินเป็น 99 ปี http://mono29.mthai.com/episode/เปิดทางแก้กม-ให้เช่าที่ ซุปเปอร์บอร์ดมีมติให้คลังเช่าที่รฟท.ย่านมักกะสัน99ปี เพื่อช่วยล้างหนี้กว่า6หมื่นล้านบาท วันนี้ (31ส.ค.58) นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (ซุปเปอร์บอร์ด) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาการแก้ปัญหาหนี้ของกิจการรัฐวิสาหกิจ โดยในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีจำนวนมากกว่า 1 แสนล้านบาทนั้น ที่ประชุมเห็นชอบให้นำที่ดินแปลงมักกะสัน จำนวน 497 ไร่ ให้กระทรวงการคลังได้รับสิทธิการเช่าที่ ระยะยาว 99 ปี ซึ่งเป็นการชำระหนี้คงค้างมูลค่า 61,846 ล้านบาท เพื่อให้นำไปทำเป็นโครงการที่เกิดประโยชน์กับรัฐสูงสุด ขั้นตอนต่อไปจะต้องแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการเช่าอสังหาริมทรัพยเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม พุทธศักราช 2542 ให้มีกำหนดระยะเวลาเช่าจากเดิมไม่เกิน 50 ปี ให้ขยายออกไปอีก ซึ่งถ้าโครงการนี้สำเร็จภายในระยะเวลา 5 ปีตามแผน ฐานะการรถไฟจะดีขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบร่างกฎหมายว่าด้วยการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ จากนั้น จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ก่อนส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดำเนินการออกกฎหมายต่อไป กฎหมายนี้จะเป็นการสร้างมาตรฐานในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้มีความเป็นระบบและมีเอกภาพ สอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ****************************************** และต่อมา พล.ต.สรรเสริญ ก็ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ เมื่อ 25 มกราคม 2559 พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงกรณีการแก้กฎหมายการเช่าที่ดินเพื่อการพาณิชย์ โดยขยายเวลาการให้เช่าที่ดินของรัฐจาก 50 ปี เป็น 99 ปี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศให้มากขึ้น เพราะระยะเวลาการเช่า 50 ปี ไม่ดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีระยะเวลาการคืนทุนยาวนาน อีกทั้งในประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง สิงคโปร์และมาเลเซีย มีระยะเวลาเช่าที่ดินได้ 99 ปี เวียดนาม 70 ปี ส่วน ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเมียนมา อยู่ที่50 ปี ดังนั้นไทยต้องเร่งแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนและจะพิจารณาอย่างรอบคอบมีมาตรการป้องกันการถือครองผิดวัตถุประสงค์ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าแนวทางนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาวและไม่ใช่การยกแผ่นดินไทยให้กับต่างชาติแต่อย่างใด http://news.ch7.com/detail/157950/ยืนยันแก้กฎหมายเช่าที่ดินเพื่อประโยชน์ชาติ1.html **************************************** แล้วล่าสุด รมช.คลัง ก็ออกมายืนยันแล้วว่า การเช่าที่ดิน 99 ปี เป็นเรื่องการเช่าระหว่างรัฐกับรัฐ ไม่เกี่ยวกับเอกชน ตามที่พวกลิเบอร่านชอบเอาไปบิดเบือนกัน กระทรวงการคลัง ยืนยัน การให้เช่าที่ดิน 99 ปี เฉพาะหน่วยงานรัฐเท่านั้น โดยจะเริ่มจากที่ดินย่านมักกะสัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และการให้เอกชนเช่าที่ดินที่ 30 ปี มีความเหมาะสมแล้ว กระทรวงการคลัง ยืนยัน การให้เช่าที่ดิน 99 ปี เฉพาะหน่วยงานรัฐเท่านั้น โดยจะเริ่มจากที่ดินย่านมักกะสัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และการให้เอกชนเช่าที่ดินที่ 30 ปี มีความเหมาะสมแล้ว นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า การแก้ไข พระราชบัญญัติ การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม หรือกฎหมายเช่าที่ดิน ปี 2542 จะขยายเวลาการทำสัญญาเช่าที่ดิน จากเดิมสูงสุดที่ 50 ปี เป็น 99 ปี จะใช้เฉพาะกรณีการเช่าที่หน่วยงานรัฐทำด้วยกันเองเท่านั้น โดยเริ่มจากกรมธนารักษ์ เช่าที่ดินย่านมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 99 ปี แลกกับกระทรวงการคลังใช้หนี้ให้ 6 หมื่น 2 พันล้านบาท จากหนี้ทั้งหมด1 แสน 2 หมื่นล้านบาท โดยดำเนินการภายใน 2 ปี คาดว่าจะลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือ เอ็มโอยู ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และไม่ได้เปิดเป็นการทั่วไป โดยเฉพาะการให้ต่างชาติมาเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยเป็นเวลา 99 ปี ทำให้สังคมเกิดความสับสนและเข้าใจผิดแก่ประชาชน ทั้งนี้ การเช่าที่ดินทั่วไป ต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ให้ทำสัญญาเช่าได้นานสุด 30 ปี และเห็นว่าเวลาที่กำหนดการเช่าที่อยู่ในขณะนี้มีความเหมาะสมอยู่แล้ว นอกจากนี้ เตรียมพัฒนาที่ดินราชพัสดุอีก 2 แห่ง คือ หมอชิต และพื้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา และเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เอกชนเข้าดำเนินโครงการต่อไป https://www.voicetv.co.th/read/319491
แต่ถ้าให้เอกชนเช่าก็ 50 ปีเหมือนเดิมนะ ไม่ใช่ 99 ปี ในเคสนี้ กนอ. ไปเช่าที่ราชพัสดุ ก่อนที่จะไปปล่อยให้เอกชนเช่าต่อ ก็ได้แค่ 50 ปีเท่าเดิม เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของไทย ได้รับความสนใจจากเอกอัครราชทูต 11 ประเทศ รวมทั้งตัวแทนสถานทูต และนักลงทุนจากหลายชาติ ต่างเข้ามาร่วมชมงานกันอย่างคึกคัก ขณะที่นักวิชาการมองว่า เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านแล้ว เขตเศรษฐกิจพิเศษของไทยน่าสนใจลงทุนเพียงระดับปานกลางเท่านั้น สาเหตุที่มีการจัดงานโอเพ่นเฮ้า เพื่อแสดงศักยภาพเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทยในวันนี้ (29 ก.พ.) ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่ง นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ มองว่า เนื่องจากหลายหน่วยงานร่วมกันมาให้ข้อมูลที่นักลงทุนต้องการ เช่น ข้อมูลสิทธิประโยชน์ การวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนทักษะแรงงาน ด้านนายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษของไทยในขณะนี้มีความน่าสนใจลงทุนเพียงระดับปานกลางเท่านั้น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านแข่งขันกันให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนสูงกว่าไทย เช่น ลาว นักลงทุนสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้นานถึง 99 ปี ส่วนไทยเช่าได้ 50 ปี และเวียดนาม ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนานถึง 15 ปี ส่วนไทย 8 ปี แต่ทั้งนี้ไทยยังคงได้เปรียบทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสะดวกอยู่ในลำดับที่ 44 ของโลก ส่วนเพื่อนบ้านส่วนใหญ่อยู่ในลำดับที่ 70-80 อย่างไรก็ตามนักลงทุนจะพิจารณาขนาดของตลาดและการเข้าถึงตลาดโลกประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย ซึ่งระยะสั้นการที่ไทยยังไม่เข้าเป็นสมาชิก ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership) หรือ TPP อาจทำให้ไทยเสียเปรียบเวียดนามได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงควรพิจารณาในเรื่องสิทธิประโยชน์ที่ไทยจะให้แก่นักลงทุนเข้มข้นมากขึ้น ด้าน Dr.Sohail Khan เอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมประเทศไทยที่มีความตื่นตัวในการดึงดูดการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ โดยปากีสถานให้ความสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอัญมณี ในไทยได้
จ.สระแก้ว เตรียมพัฒนาจุดผ่านแดนถาวรเพิ่ม รับการค้าการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ คืบหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย จ.เชียงราย เชียงราย 4 มี.ค. – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ จ.พะเยา และ จ.เชียงราย เพื่อติดตามความคืบหน้างานของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษ ติดตามจากรายงาน จ.เชียงราย ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 โดย อ.แม่สาย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม เพราะใกล้ด่านชายแดนแม่สาย ซึ่งติดกับประเทศเมียนมาร์ ปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดเชียงราย ได้เห็นชอบแปลงที่ดินที่มีความเหมาะสมแล้ว แม้มีเสียงคัดค้าน รวมถึงความกังวลจากคนในพื้นที่ เรื่องการยกเว้นการใช้กฎหมายผังเมืองรวมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน โดยอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ยืนยันรัฐบาลดำเนินการอย่างโปร่งใส เพราะหากรอประกาศกระทรวงผังเมืองรวม ต้องใช้เวลานานกว่า 1 ปี ซึ่งจะทำให้การเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษล่าช้า สำหรับข้อแตกต่างระหว่างผังเมืองรวมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกับผังเมืองรวมเดิม คือ จะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด เพื่อกำหนดแนวทางระบบคมนาคมและสาธารณูปโภคให้สอดคล้องกัน รวมถึงจะกำหนดรายละเอียดมากขึ้นกว่าผังเมืองเดิม ทั้งประเภท ขนาด ความสูงของอาคาร แต่ผังเมืองรวมเดิมจะครอบคลุมเพียงบางส่วนของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ล่าสุด อ.แม่สาย จ.เชียงราย อยู่ระหว่างการยกร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย ด้านที่ดินและอาคารในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยจะมีการรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างน้อย 2 ครั้ง ส่วนพื้นที่ราชพัสดุ 720 ไร่ กรมธนารักษ์อยู่ระหว่างการประสานให้โรงงานยาสูบส่งคืนพื้นที่ และจะหาพื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงอื่นทดแทน. – สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/417534 รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ บอกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ เห็นชอบจัดตั้งคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีตัวแทนส่วนราชการ เช่น ก.คลัง ก.พาณิชย์ ก.อุตสาหกรรม บีโอไอ ก.คมนาคม ก.มหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบุคคลภายนอก เช่น นายกานต์ ตระกูลฮุน นายคณิต แสงสุพรรณ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ บอกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ เห็นชอบจัดตั้งคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีตัวแทนส่วนราชการ เช่น ก.คลัง ก.พาณิชย์ ก.อุตสาหกรรม บีโอไอ ก.คมนาคม ก.มหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบุคคลภายนอก เช่น นายกานต์ ตระกูลฮุน นายคณิต แสงสุพรรณ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์
งานสัมมนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ประตูสู่เมียนมาร์ ครึ่งวันเช้าผ่านพ้นไปแล้ว โดยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเสวนามุมด้านต่างๆ พร้อมกับรายงานความคืบหน้าของเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ติดตามรายละเอียดจากผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี สถาปัตย์ แพทอง เร่งเขตเศรษฐกิจแม่สอด เอกชนขอรัฐบาลขีดเส้นพื้นที่-กฎระเบียบให้ชัด พัฒนาโลจิสติกส์ เน้น 10 เขตเศรษฐกิจพิเศษนำร่องสะพานที่ 2 แม่สอด
มาดูร่าง พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. ..... ที่ร่างขึ้นมาตามมติ ครม. 11 มกราคม 2548 ตามในลิ๊งค์ อยู่ที่หัวข้อที่ 11 http://www.eppo.go.th/admin/cab/cab-2548-01-11.html เนื้อหาในร่างตอนนั้นเป็นอย่างไร เรื่องระยะเวลาการเช่า 99 ปีนั้น เขียนไว้ในมาตรา 27 (1) ครับ
ต่อ โดยมีผลการศึกษาและข้อท้วงติงเกี่ยวกับร่าง พรบ. ฉบับนี้จากคณะกรรมการของรัฐสภามาด้วย http://dl.parliament.go.th/backoffi...le/lirt/409183/46855_w.pdf?sequence=1&&save=1 ส่วน พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ ของรัฐบาลประยุทธยังไม่ได้ออกมา อยู๋ในขั้นตอนการแก้ไขร่าง http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450083840 มีแต่คำสั่งตามมาตรา 44 ที่ให้จัดหาที่ดินการทำเขตเศรษฐกิจพิเศษ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/E/112/3.PDF
พาไปชมงานสัมมนา 10 เขตเศรษฐกิจพิเศษ โอกาสทองสู่ AEC ที่ จ.สระแก้ว ประตูสู่กัมพูชา ที่นี่ถือเป็นต้นแบบเขตเศรษฐกิจชายแดนตะวันออก เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา อภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ได้ให้กียรติมากล่าวปาฐกถา ในงาน สัมมนาระดับชาติ ยุทธศาสตร์ประเทศไทย สัมมนาเขตศก.พิเศษ เปิดประตูสู่กัมพูชา โดยทางกระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขจัดปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้การค้าชายแดนเป็นไปได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เวทีสระแก้ว ต้นแบบศก.ชายแดนตะวันออก ได้มีตัวแทนจาก 4 หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักานส่งเสริมการลงทุน กรมธนารักษ์ สำนักงานการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทางกรมธนารักษ์ได้ทำการจัดสรรพื้นที่กว่า 600 ไร่ในพื้นที่ ศก.พิเศษจ.สระแก้ว ให้กับทางการนิคมอุตสาหกรรมไปเรียบร้อยแล้ว และทางการนิคม ก็ระบุว่า ตอนนี้มีความพร้อมรองรับผู้ประกอบการแล้ว โดยได้รับเงินงบประมาณสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในตัวนิคมต่อข้อสงสัยที่ว่า การกำหนดยุทธศาสตร์ของ จ.สระแก้ว คือการวางตัวให้เป็น Green City นั้น ทางการนิคมได้รับผลกระทบจากแรงต่อต้านหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ทางการนิคมระบุว่า ไม่มีปัญหาใด เพราะจต้องมีการทำ EIA พร้อมกับการตรวจสอบนักลงทุน ก่อนเข้ามาลงทุนอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันพบว่า มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง \สำหรับกลุ่มประเภทของอุตสาหกรรมที่เป็นกิจการเป้าหมายอขงจ.สระแก้ว ประกอบไปด้วย อุตสาหกรรมการเกษตร ประมง เครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ เครื่องเรือน อัญมนี เครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ ยานยนต์ เครื่องจักร ชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟหชฟ้า พลาสติก ผลิตยา โลจิสติก การก่อสร้าง และ กลุ่มนิคม หรือเขตอุตสาหกรรม ซึ่งจากเวทีการเสวนาในช่วงเช้าวันนี้ เป็นที่แนชัดว่า สระแก้ว เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพอย่างมาก และมีความชัดเจนในภาพร่างของเขตเศรษฐกิจพิเศษ และถือว่าเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมมากที่สุด เมื่อเทียบกับทั้ง สิบเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั่วทั้งประเทศ จังหวัดสระแก้ว เป็นหนึ่งใน 5 จังหวัดนำร่อง ที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อส่งเสริมการค้า และการลงทุน โดย 1 ปีหลังจากประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทำให้สระแก้วเติบโตขึ้นในหลายด้าน มีศูนย์การค้า สถานที่ท่องเที่ยว และโรงแรมเกิดขึ้นใหม่หลายแห่ง ขณะที่มูลค่าการส่งออกปีที่ผ่านมากว่า 82,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นปีละ 20 เปอร์เซ็น 5 เม.ย.|ข่าว 15.00 น. กรมธนารักษ์เปิดสรรหาเอกชนลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 3 จังหวัด รองรับการค้าชายแดน
กรมธนารักษ์ ระบุ พร้อมเปิดประมูลพื้นที่ 3แปลง ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ หลังจากที่ระบบถนน ไฟฟ้า และน้ำประปา เริ่มมีความพร้อมในการรองรับนักลงทุน อธิบดีกรมธนารักษ์ จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล บอกว่า ขณะนี้พร้อมเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาเสนอโครงการลงทุนในพื้นที่จังหวัดหนองคาย มุกดาหาร และตราด รวม3แปลง ซึ่งพื้นที่ทั้ง3จังหวัดนี้ เป็น 3ใน 10ของเขตเศรษฐกิจพิเศษ 10พื้นที่ ซึ่งรัฐบาลจะพัฒนาเขตการค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านให้เจริญยิ่งขึ้น สำหรับ พื้นที่ทั้ง3จังหวัด ขณะนี้เริ่มมีความพร้อมด้านถนน ไฟฟ้าและน้ำประปาแล้ว โดยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย มีเนื้อที่ 718ไร่ ห่างจากสนามบินอุดรธานี 60กิโลเมตร พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังมีโครงการรถไฟกรุงเทพ-หนองคาย เพื่อรองรับการพัฒนาที่จะเกิดขึ้น ส่วนเขตพัฒนาเศรษฐกิจมุกดาหาร มีเนื้อที่ 1พันแปดสิบไร่ โดยเขตชายแดนมุกดาหารเป็นจุดผ่านแดนถาวร เชื่อมต่อกับแขวงสะหวันนะเขต ของลาว ด้านเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด มีเนื้อที่ 895ไร่ ใกล้ชายแดนบ้านหาดเล็ก ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวรที่เชื่อมต่อเกาะกง ประเทศกัมพูชา อีกทั้งที่ดินยังอยู่ในแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้เชื่อมโยงถึงท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือสีหนุวิลล์ของกัมพูชา ทั้งนี้ กรมธนารักษ์ จะเปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนเอกชน นับตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 19พฤษภาคมนี้ โดยผู้สนใจสามารถซื้อเอกสารการลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 11เมษายน ถึง 19พฤษภาคมนี้ ที่กรมธนารักษ์ กรมศุลกากรรื้อระเบียบจัดตั้งเขตปลอดอากร ต้องอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมการบิน หุ่นยนต์ สุขภาพ ไบโอชีวภาพ อธิบดีกรมศุลกากร กุลิศ สมบัติศิริ บอกว่า กรมฯได้แก้ไขข้อกำหนดการขอใบอนุญาตเขตปลอดอากร ซึ่งเดิมจะพิจารณาตามคำขออนุญาต ทำให้เขตปลอดอากรกระจายไปทั่ว แต่ข้อกำหนดใหม่กำหนดให้เขตปลอดอากร ต้องตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และต้องประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น นวัตกรรม อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมซุปเปอร์คลัสเตอร์ในกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น อุตสาหกรรมการบิน หุ่นยนต์ สุขภาพ ไบโอชีวภาพ หากนิติบุคคลมาจดทะเบียนในเขตเศรษฐกิจพิเศษจะลดขนาดมูลค่าการจดทะเบียนเหลือ 10 ล้านบาท จากเดิม 50 ล้านบาท ปัจจุบันการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษมีความคืบหน้าในหลายพื้นที่ เช่น ด่านสะเดา อยู่ระหว่างเร่งพัฒนาพื้นที่ประมาณ 1 พันไร่ รองรับการจัดตั้งโรงงาน ซึ่งจะเปิดประมูลหาผู้รับเหมาเร็วๆนี้ ส่วนเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เริ่มเจรจากับประชาชนเพื่อจ่ายค่าชดเชย และก่อสร้างอาคารสำนักงาน จังหวัดมุกดาหารเป็นหนึ่งจังหวัดที่ถูกกำหนดให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเฟสแรก ซึ่งวันนี้ได้มีการจัดเวทีสัมมนาทำความเข้าใจให้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อผลักดันและให้ขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ เราจะไปติดตามเรื่องนี้กับคุณศิวะ โลโห ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี รายงานสดจากโรงแรมมุกดาหารแกรนด์ จ.มุกดาหาร เนชั่นทีวีร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน จัดสัมมนาระดับชาติ 10 เขตเศรษฐกิจพิเศษ โอกาสทองสู่เออีซี ยกระดับการค้าการลงทุน ที่ จ.ตราด วันนี้(29 เม.ย.) นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถา แนวทางการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.ตราด โดยระบุว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ภาครัฐกำลังขับเคลื่อนตามแนวทางประชารัฐ เพื่อวางรากฐานพัฒนาประเทศระยะยาว โดยตั้งคณะทำงานดูแล และอนุกรรมการขับเคลื่อนติดตาม แก้ปัญหาในพื้นที่ที่วางไว้ให้เอกชนเข้ามาลงทุนใน 3 ตำบล กว่า 800 ไร่ คือ ต.คลองใหญ่ ต.ไม้รูด และ ต.หาดเล็ก นอกจากนี้ ภาครัฐจะปรับปรุงด่านศุลกากรบริเวณด่านถาวรบ้านหาดเล็ก เพื่อรองรับสภาพพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนระบบโลจิสติกส์ เช่น ทางน้ำ ในเดือนพฤษภาคมนี้ ท่าเทียบเรือน้ำลึกจะแล้วเสร็จ ซึ่งจะเป็นสะพานการค้าการส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งนโยบายรัฐบาลคือจะเติบโตไปพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความเข้มแข็งไปพร้อมกัน เพื่อเป็นประตูสู่ภูมิภาคอื่นๆของโลก ด้านนายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ บอกว่า พื้นที่ที่กำหนดไว้มีจำนวน 895 ไร่ โดยต้องพิจารณาความเหมาะสมว่าในพื้นที่จะมีโครงการใดบ้าง โดย จ.ตราดได้กำหนดประเภทอุตสาหกรรมที่เหมาะสมในพื้นที่ไว้ 4 ประเภท คือนิคมอุตสาหกรรม การเกษตรประมง การท่องเที่ยว และโลจิสติกส์ ปัจจุบันอยู่ในช่วงประกาศสรรหาผู้ลงทุนและซื้อเอกสารการลงทุน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ และใช้เวลา 60 วัน ให้ผู้ลงทุนทำเงื่อนไขการประมูล เช่น แผนธุรกิจ ผลตอบแทนโครงการ ข้อเสนอทางการเงิน หลังจากนั้นจะพิจารณาคัดเลือกผู้บริหารโครงการต่อไป ด้านนายประธาน สุรกิจบวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด บอกว่า อัตราการเติบโตของ จ.ตราดในแต่ละปีเกิน 10% โดยเรื่องหลักๆ ที่จะรองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น การส่งออก นำเข้า ระหว่างประเทศ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ท่าเรือ ถนน รถไฟ รวมทั้งด้านการท่องเที่ยวที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านนายสมเกียรติ สมรรถการ นายกสมาคมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและพิทักษ์ สิ่งแวดล้อม จ.ตราด บอกว่า การทำตราด กรีนซิตี้ ยังเป็นเพียงจุดขาย แต่ทางกายภาพยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ภาคการค้า การท่องเที่ยว ซึ่งต้องรีบพัฒนาเนื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ได้เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจในระยะ 10 ปี รายงานพิเศษ : ไทยปลดล็อคการค้าชายแดนตั้งเป้าปีนี้ 1.7 ล้านล้านบาท
เวทีสัมมนาเขต ศก.พิเศษโอกาสทองสู่มาเลเซีย ที่เนชั่นทีวีร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนจัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา ภาคเช้าคึกคักอย่างมากมีผู้ประกอบการ นักลงทุนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 200 คน โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังร่วมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "การขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลา" สร้างแรงจูงใจภาคเอกชนได้เป็นอย่างดี ไปติดตามจากคุณสุพิชฌาย์ รัตนะ ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี ที่ จ.นครพนม เป็นหนึ่งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เดินหน้าชูยุทธศาสตร์พร้อมรับนักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม ที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้ได้มีการแสดงวิสัยทัศน์และความพร้อมในการต้อนรับ การลงทุนและนักท่องเที่ยวของประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นหลังเปิด AEC โดยมีตัวแทนจากหลายภาคส่วนร่วมกันเสวนา ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมตลาดในประเทศ ทีเส็บ โดยมีผู้ประกอบการ และภาครัฐ รวมถึงสื่อมวลชน ของ ไทย สปป.ลาว และเวียดนาม เข้าร่วม เพื่อสร้างเครือข่ายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม กับ สปป. ลาว เวียดนาม และหนานหนิง เมืองเอกของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม ถือว่าเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ได้เปรียบในเชิงที่ตั้ง "ภูมิศาสตร์" ในการเป็นเมืองศูนย์กลาง การขนส่ง และโลจิสติกส์ ซึ่งยังมีนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์เดินทางเข้ามายังพื้นที่มากที่สุด เมื่อเทียบกับพื้นที่เขตเศรษฐกิจอื่นๆ จึงถือเป็นพื้นที่แห่งโอกาสในการเติบโตของการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านและธุรกิจไมซ์ จังหวัดสระแก้วเป็น 1 ใน 6 แห่ง ที่ถูกกำหนดให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรในพื้นที่ มีผู้รับซื้อผลผลิตมาตั้งโรงงานถึงที่ และจะเกิดระบบคมนาคมและสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ตามมา ติดตามจากรายงาน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว กำลังจะเกิดขี้นบนพื้นที่กว่า 2 แสนไร่ ครอบคลุม 4 ตำบล ในอำเภอวัฒนานคร และอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วเน้นเปิดโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และพลังงานทดแทนจากผลผลิตทางการเกษตร เพื่อรองรับผลผลิตในพื้นที่เกือบทั้งหมด ที่ปลูกข้าวเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาเป็นอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด จะทำให้มีผู้รับซื้อผลผลิตมากขึ้นและได้ราคาดี เพราะขายตรงให้กับโรงงาน อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและพลังงานทดแทน ยังเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานคนเป็นหลัก จะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเน้นจ้างแรงงานไทย ปัจจุบัน มีนักลงทุนมาเปิดโรงงานในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วแล้ว เป็นเงินลงทุนรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป จึงเป็นโอกาสที่เกษตรกรจะได้จับคู่ทำธุรกิจร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มผลผลิตแต่มีต้นทุนลดลง การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว ยังจะทำให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวกตามมา ทั้งเส้นทางรถไฟสายแก่งคอย-คลองลึก ถนนอีก 5 สาย สถานีไฟฟ้าอีก 1 แห่ง และการเพิ่มกำลังผลิตน้ำประปาสูงสุดถึง 43,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทีมข่าวเศรษฐกิจรายงาน
อ.แม่สอด จ.ตาก ตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอยู่บน ระเบียงเศรษฐกิจตามแนว ตะวันออก-ตะวันตก หรือ East-West Economic Corridor (EWEC) ซึ่งเชื่อมจากเมืองเมาะละแหม่ง เมียนมา ไปจรดปลายทางที่เมืองดานัง เวียดนาม เป็นจุดแข็งที่รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญ อ.แม่สอด ใช้หลายยุทธศาสตร์ เพื่อเสริมจุดแข็งนี้ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เช่น พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมเมืองพี่น้องระหว่าง ตาก และเมียวดี จ.ตากได้รับการคัดเลือก ให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 1 ครอบคลุมพื้นที่ 14 ตำบลใน อำเภอแม่สอด พบพระ และแม่ระมาด เบื้องต้นสิทธิประโยชน์ที่ผุ้ลงทุนจะได้รับ คือด้านภาษีและสิทธิการเช่าที่ดิน รวมถึงการอนุญาตใช้แรงงานต่างด้าว ทั้งนี้ข้อมูลที่ทีมงาน AEC plus ได้รับล่าสุด ไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่า มีผู้สนใจมาลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จำนวน 99 ราย จำนวนเงินลงทุนประมาณ 5,405 ล้านบาท และมีนักลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับ BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 7 ราย ด้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน -โครงการก่อสร้าง เส้นทางถนน เชิงเขาตะนาวศรี-กอกระเร็ก จาก สะพานมิตรภาพไทย เมียนมา แห่งที่ 1 ฝั่ง จ.เมียวดี ถึงกอกะเร็ก ระยะทาง 45 กม. ทำให้ร่นระยะเวลาการขนส่งสินค้าจาก 2 ชั่วโมงครึ่ง เหลือ 1 ชั่วโมงครึ่ง -โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 -การพัฒนาสนามบินแม่สอด โดยปรับปรุงขยายพื้นที่และทางวิ่งให้กว้างขึ้น เพื่อรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นปีละ ร้อยละ 8-10 ล่าสุดปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวกว่า 20 ล้านคน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 5 พันล้านบาท -โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายนครสวรรค์–กำแพงเพชร–ตาก–แม่สอด ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาและพิจารณาแนวเส้นทางและรูปแบบที่เหมาะสม โดยจะส่งผลดีต่อการเดินทางและขนส่งสินค้าของอำเภอแม่สอด การส่งเสริมความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง จังหวัดตากและจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา ได้แต่งตั้งคณะทำงานเสริมสร้างความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างจังหวัดตากและจังหวัดเมียวดี แลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมและการค้า เช่น จัดงานเฉลิมฉลอง ปีใหม่ กีฬา โดยสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม ผลจากยุทธศาสตร์เหล่านี้ ทำให้เมืองเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น 1-2 ปีนี้จึงเห็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาเปิดสาขามากขึ้น เช่น โรบินสัน, makro, เทสโก้ โลตัส รวมถึง ก่อสร้างโรงแรมและที่พัก คอนโดมีเนียม รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ อย่างไรก็ดีการเติบโตที่รวดเร็ว ทำให้มีรายงานข่าวในช่วงต้นปีว่าราคาที่ดินสูงขึ้นกว่า 10 เท่า เริ่มเป็นอุปสรรคในการลงทุน และคอนโดมีเนียม เริ่มมีมากเกินความต้องการ ทำให้พื้นที่บางส่วนเริ่มเห็นกระแสการทิ้งเงินดาวน์ ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบความเคลื่อนไหว เขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.นครพนม รายงานโดย คุณ พรพรรณ เพ็ชรเเสนผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี จ.ขอนแก่น สดจากโรงแรม ฟอร์จูนริเวอร์วิว จ.นครพนม ในการสัมมนาเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม ในวันนี้ มีผู้สนใจเข้าฟังล้นห้องประชุม แสดงให้เห็นว่าชาวนครพนมทุกภาคส่วนสนใจเรื่องนี้อย่างนี้มาก ไปติดตามเรื่องนี้จากคุณพรพรรณ เพ็ชรแสน รายงานสดจากจังหวัดนครพนม การปาฐกถาพิเศษในการสัมนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนมในช่วงเช้าที่ผ่านมา มีการให้แนวทางในการพัฒนาเมืองของหลายส่วน ทั้งเรื่องของ ระบบคน ระบบรัฐ หรือเรื่องของพื้นที่ว่าขณะนี้ นครพนมเร่งเครื่องรอการสะบัดธงเพื่อเดินหน้าต่อไปแล้ว นาย สมชาย วิทย์ดำรง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวถึงศักยภาพของจังหวัดนครพนมในการเตรียมเป็นเมือง one stop service ว่าหากดูในเชิงพื้นที่ นครพนมเป็นจังหวัดที่อยู่ชายแดนติดกับ สปป.ลาว และมีระยะห่างจากชายแดนน้อยที่สุด อีกทั้งยังมีเครื่องบินไปกลับถึงวันละ 8 เที่ยว ส่วนปริมาณการค้าในปี 2553 มีมูลค่า 5,000 ล้านบาท แต่หากมาดูในปีนี้ สูงขึ้นถึง 5 เท่า คือ 12,0000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันส่วนราชการก็มีการเตรียมพื้นที่สาธารณะ บริเวณโคกภูกระแต 1,280 ไร่ ซึ่งก็ผ่านทางอนุกรรมการจัดหาที่ดินเรียบร้อยแล้ว โดยมีการวัดรังวัดแผนที่ โดยใช้มาตรา 44 ในการประกาศใช้ที่ราชพัสดุ ในขณะนี้หากเปรียบ จ.นครพนม เป็นเครื่องยนต์เป็นเครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องธงสะบัด แล้วเดินหน้าต่อไป ทางด้าน พล.ต.อ.อดุล แสงสิงห์แก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มองว่า การพัฒนาคนเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนา ฉะนั้นควรมีการพัฒนาคน สร้างจิตสำนึกให้ประชาขน หวงแหนวัฒนธรรม คอรบครัว การศึกษา สร้างคนให้มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการสร้างระบบการท่องเที่ยวต้องทีความสะดวก นักท่องเที่ยวต้องเห็นความสะอาด สร้างเส้นทางให้มีระเบียบ นอกจากนี้ภาครัฐในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ต้องเป็นหน่วยงานที่มีความรู้ ให้บริการด้วยความรวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ สถานที่ราชการหรือเมืองต้องมีความสง่างาม นายชาญยุทธ อุปพงศ์ ประธานหอการค้าบอกว่า วันนี้นครพนมมีความพร้อมในเรื่องพื้นที่ ทำเลที่ตั้ง ในการทำธุรกิจ แต่นักธุรกิจต้องมีความพร้อมด้วย ซึ่งทางหอการค้าอยากจะเชิญชวนคนในท้องถิ่นมาร่วมลงทุน เรามีทุนน้อยก็ลงน้อย มีทุนใหญ่ก็ขยับขึ้นมา การลงทุนในพื้นที่มีระดับเมกะโปรเจค ระดับพันล้าน กิจการโรงแรมที่พัก ศูนย์ประชุมฯ เรื่องโรงแรมและเรื่องตลาดไมซ์ก็เข้ามาแล้ว ระดับกลางก็เข้ามาในระดับ ร้อยล้านสองร้อยล้าน วันนี้พื้นที่จังหวัดนครพนมมีเพียงพอ ไม่ใช่มีแค่ 1,860 ไร่ ที่กันไว้ให้นักลงทุนมาลงทุนเท่านั้น จะมีการประกาศในเร็วๆ นี้อีก หลังจากนี้ในช่วงบ่าย การสัมมนาเศรษฐกิจพิเศษ นครพนม จะยังคงดำเนินต่อไป เพื่อให้ได้ข้อสรุป และวางทิศทางที่ชัดเจน ร่วมกัน เพื่อเปิดประตูการค้าสู่อาเซียน นครพนม จังหวัดชายแดนสำคัญของไทย ที่เป็นประตูการค้าเชื่อมโยงไปยังตอนใต้ของจีนได้ มีความสนใจอย่างไร ติดตามจากรายงานพิเศษ "ด่านสะเดา" โจทย์ใหญ่เขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลา
เชื่อมเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน "ประยุทธ์" เสนอจัดแพ็คเก็จท่องเที่ยวร่วมกัน ช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม CLMVT Forum 2016 โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดการประชุมว่า อะไรที่ขัดแย้งอย่าไปจดจำ แม้ว่าที่ผ่านมาจะเกี่ยวข้องกับการเมือง ความขัดแย้ง สงคราม แต่ก็คืออดีต ทั้งนี้ CLMVT (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนามและไทย) เป็นกลุ่มประเทศที่สำคัญ ต้องสร้างแข็งแรงเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และมีบทบาทในเศรษฐกิจโลก จึงไม่ควรคิดแข่งขันกัน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ และหัวใจ คือ ภาคเอกชนที่ต้องผลึกกำลังกัน ต้องมีทั้งการให้และรับ เพื่อให้เติบโตไปด้วยกัน เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน แต่ขอให้ไว้วางใจซึ่งกันและกันให้มากที่สุด และจากความร่วมมือทั้งหมดที่มี เราน่าจะเป็นมหาอำนาจได้ หากความร่วมมือติดขัดอะไรก็ต้องไปแก้ไข เช่น กฎระเบียบ กฎหมาย เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อการขนส่ง ทางเรือ ทางอากาศ ทางถนน ถ้าพัฒนาได้ก็จะเชื่อมต่อได้โดยเร็ว และไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องสานต่อความร่วมมือนี้ ส่วนความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมการท่องเที่ยว เป็นสิ่งสร้างรายได้ที่ดีที่สุดของอาเซียน ซึ่งไทยยินดีให้ความร่วมมือในการจัดแพคเก็ตการท่องเที่ยวร่วมกัน แต่ต้องรักษาให้สมดุล เพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า และพวกเราต้องต้องเป็นมิตรกัน เพราะที่ยืนบนเวทีโลกของเรายังเล็ก ต้องทำให้ทุกประเทศเห็นภูมิภาคของเรา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ช่วงที่ยังอยู่ในตำแหน่งจะไม่ทำให้เส้นเขตแดนเป็นเส้นแห่งความขัดแย้งอีกต่อไป แต่ต้องเป็นเส้นแห่งความร่วมมือ และเกิดประโยชน์กับประชาชนตามแนวชายแดน "ประยุทธ์" เยือนอินเดีย "อินเดีย" เสนอพุทธคยาท่องเที่ยวเชิงศาสนา วันนี้ เวลา 14.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง ไปท่าอากาศยานกองทัพอากาศปาลาม กรุงนิวเดลี เพื่อเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 16-18 มิถุนายน 2559 ตามคำเชิญของนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ภารกิจในวันพรุ่งนี้ (17 มิ.ย.) นายกฯ จะหารือทวิภาคีแบบเต็มคณะกับนายกรัฐมนตรีอินเดีย การหารือครอบคลุมความร่วมมือด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา การศึกษา การแก้ปัญหายาเสพติด เทคโนโลยีสารสนเทศ การเร่งรัดเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-อินเดีย และอินเดียจะเสนอให้เมืองพุทธคยา เป็นศูนย์รวมด้านจิตวิญญาณและการท่องเที่ยวเชิงศาสนา ในลักษณะการเดินทางแสวงบุญ ส่วนไทยจะส่งเสริมให้เอกชนไทยไปลงทุนในอินเดีย และให้นักลงทุนอินเดียมาลงทุนในไทยมากขึ้น โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะได้พบทั้งนักธุรกิจไทยและอินเดีย ส่วนวันที่ 18 มิถุนายนนี้ นายกรัฐมนตรี จะไปเมืองคยา รัฐพิหาร เพื่อเป็นประธานพิธีสวดมนต์ และเจริญจิตภาวนาใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่วัดมหาโพธิ์พุทธคยา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสเสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติครบ 70 ปี นายเสข วรรณเมธี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า นายปรัก สุคน รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ของกัมพูชา จะเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อแนะนำตัวเนื่องในโอกาสรับตำแหน่งใหม่ ระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2559 ถือเป็นการเยือนไทยครั้งแรก ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ตามคำเชิญของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันจันทร์นี้ (20 มิ.ย.) นายปรัก สุคน จะเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นจะไปหารือกับนายดอน ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยเตรียมประเด็นที่จะเจรจา เช่น การเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ การเชื่อมโยงด้านคมนาคมทางบก เรือ และทางรถไฟ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน การส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงาน การเกษตร สาธารณสุข และการศึกษา นอกจากนี้ จะมีการติดตามผลการประชุมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ไทย – กัมพูชา ครั้งที่ 2 ซึ่งสมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เยือนไทยเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว และการประชุมครั้งนั้น ด้านความมั่นคงตกลงที่จะให้มีการลาดตระเวนแบบมีการประสานงานตามชายแดน เพื่อปราบปรามการลักลอบตัดไม้ การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้ง เร่งรัดเปิดจุดผ่านแดนถาวรเพิ่ม 2 แห่ง ในจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดบันเตียเมียนเจย คือ ที่บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท และที่บ้านป่าไร่-โอเนียง เพื่ออำนวย ความสะดวกการขนส่งสินค้าและส่งเสริมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้ง 2 ฝ่าย บริเวณชายแดนระหว่าง เขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย กับจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชาและระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดตราด ประเทศไทยและจังหวัด เกาะกง ประเทศกัมพูชา กลุ่ม CLMV มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง และกลายเป็นตลาดส่งออกหลักที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีอัตราเติบโตกว่าร้อยละ 10 การก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ในฝั่งไทย มีความคืบหน้าไปแล้ว 25 % ส่วนในฝั่งเมียนมา ขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการเจรจากรรมสิทธิ์ที่ดินกับเมียนมา ซึ่งเริ่มกระแสข่าวว่าชาวเมียนมาจะยื่นหนังสือคัดค้านการเวนคืนที่ดินดังกล่าว ต่อนางอองซาน ซูจี รัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา เนื่องจากมีบ้านเรือน ร้านค้าของประชาชนอยู่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เดินทางไปตรวจสอบความคืบหน้าในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 บ้านวังตะเคียน ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก นายอาคม กล่าวว่า การสร้างสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 2 ที่ใช้งบประมาณทั้งหมด 3,900 ล้านบาท ซึ่งมีการสร้างถนนหมายเลข 130 ในเขตไทย ระยะทาง 17 กิโลเมตร ในฝั่งเมียนมา 4 กิโลเมตร สำหรับการก่อสร้างสะพานในฝั่งไทยมีความคืบหน้าไปมากถึง 25 % แต่สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปคือ การส่งมอบที่ดินจากฝั่งเมียนมา ในส่วนที่เป็นถนน และอาคาร ส่วนตัวสะพานนั้น เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินเจรจาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินกับฝ่ายเมียนมา ชาวเมียนมาร้อง‘ซูจี’กระทบเวนคืนที่ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ช่วงวันที่ 24 – 25 มิถุนายน นี้ นางอองซาน ซูจี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา มีแผนจะเดินทางมาไทย โดยจะเดินทางเข้าไปยังพื้นที่พักพิงผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านแม่หละ ต.แม่หละ อ.ท่าสองยาง เพื่อพบปะกับผู้อพยพ และเริ่มมีกระแสข่าวชาวเมียนมา จะยื่นหนังสือ ขอคัดค้านเรื่องที่ดินเวนคืนช่วง 4 กิโลเมตรในฝั่งเมียนมา ซึ่งเป็นบ้านเรือนของประชาชนและร้านค้าด้วย
รัฐบาลเดินหน้าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เตรียมทุ่มงบกว่า 300,000 ล้านบาทพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครบวงจร เชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการดังกล่าว เพราะเล็งเห็นศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มการลงทุนและสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมในพื้นที่เป้าหมาย ในจังหวัดชลบุรี ระยองและฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการคมนาคม ขนส่งทางทะเล และทางอากาศ เพื่อการพาณิชย์ และการท่องเที่ยว พร้อมกับต่อยอดไปยังพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษทวายด้วย เป็นการพัฒนา และลงทุนของโครงการที่มีขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อถึงกันกลายเป็นการลงทุนของประเทศขนาดใหญ่ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบ ทั้งพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เป็นสนามบินพาณิชย์ เชื่อมโยงสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกจุกเสม็ดเชื่อมเส้นทางรถยนต์ทั้งสายหลักและสายรอง ในการเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรม ท่าอากาศยานและท่าเรือ โครงการรถไฟทางคู่ สายฉะเชิงเทรา-แก่งคอย และ กรุงเทพ-ระยอง โครงการนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุนมากกว่า 300,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนบริหารจัดการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน และเสนอพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้เป็นแผนการพัฒนาทั้งระบบ และเต็มรูปแบบ จากนั้นที่ประชุมจะพิจารณาอนุมัติงบประมาณอีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าโครงการนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล ที่หวังสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ติดตามจากรายงาน พื้นที่กว่า 26,000 ไร่ ครอบคลุมถึง 3 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เป็นพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเพื่อเตรียมรับนักลงทุน เกือบ 30 ปีแล้ว ที่ไทยขาดการลงทุนขนาดใหญ่ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จึงเป็นความหวังใหม่ของการลงทุนไทย อุตสาหกรรมที่จะได้รับการสนับสนุนให้ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้แก่ อุตสาหกรรมขั้นสูง ซูเปอร์คลัสเตอร์ 6 กลุ่ม และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย s-curve ซึ่งต่อยอดอุตสาหกรรมที่มีอนาคตดี ประเมินกันว่า เพียงปีแรกจะมีเงินลงทุนลงสู่พื้นที่ 50,000 ล้าน ถึง 100,000 ล้านบาท จากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และภายใน 10 ปี เงินลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้าน ถึง 1 ล้านล้านบาทก็จะทยอยตามมา เป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ปีละไม่ต่ำกว่า 5% เบื้องต้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ จะเริ่มเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในปีหน้า เป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท และยังมีนักลงทุนจีนอีกจำนวนมากจ่อเข้ามาลงทุน จะช่วยเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเดิมของไทย และเกิดการรวมกลุ่มอุตสาหกรรมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยรัฐบาลต้องวางแผนลงทุนเพิ่ม จัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต แต่ภาพของการลงทุนดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ภาครัฐต้องชัดเจนในการให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุน การเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์กับการพัฒนาคมนาคมทุกระบบ เพื่อลดต้นทุนขนส่งสินค้า จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุน หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้จะทำให้ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ขึ้นแท่นเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชั้นนำของอาเซียนในอนาคต ทีมข่าวเศรษฐกิจรายงาน นครพนมเป็น 1 ใน 10 จังหวัด ที่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้กำหนดพื้นที่สาธารณประโยชน์โคกภูกระแตและพื้นที่ใกล้เคียงในอีกหลายตำบลเป็นพื้นที่รองรับ แต่ก็มีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านหลายครอบครัวที่เคยทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ ถูกทางจังหวัดฟ้องขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ในข้อหาบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ โดยยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ใด ติดตามเรื่องนี้จากรายงานของคุณศิวะ โลโหครับ
สำนักข่าวไทย 8 ก.ค.-กรมศุลกากรพร้อมปรับระบบพิธีการศุลกากร รองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เพื่อสร้างเมืองใหม่ เปิดประตูรับการลงทุนของต่างชาติ เมื่อรัฐบาลได้มองเห็นศักยภาพทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออก เพราะได้ลงทุนด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และด้านอื่น 1.9 ล้านล้านบาท มีส่วนสร้างจีพีดี 1 ใน 3 ของอุตสาหกรรมทั้งประเทศ รัฐบาลจึงต้องการสร้างเมืองใหม่ในภาคตะวันออก รองรับการเข้ามาลงทุนของภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ครม.จึงเห็นชอบโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หวังเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันตก ซึ่งกำลังพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายในฝั่งเมียนมาร์ เพื่อขนส่งสินค้าผ่านระบบรางมายังภาคตะวันออกของไทย ต่อไปยังกัมพูชา เวียดนาม และจีน จึงมุ่งสร้างเมืองใหม่ใน จ.ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา แบ่งโซนพัฒนาเป็นเขตอุตสาหกรรม เขตโครงสร้างพื้นฐาน และเขตพัฒนาเมือง เพื่อส่งเสริม 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต กำหนดให้เริ่มพัฒนาช่วงแรกในปี 60-61 รัฐบาลได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมฯ ดูแลความพร้อมการขยายพื้นที่นิคมอุตสหากรรม สนข.ดูแลการเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคม ส่วนสภาพัฒน์ศึกษาดูแลสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา กองทัพเรือพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เชื่อมกับสุวรรณภูมิและดอนเมือง คาดว่าสรุปได้ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า เพื่อหวังให้สนามบินอู่ตะเภาให้บริการเชิงพาณิชย์รองรับผู้โดยสารมากขึ้น เพราะเปิดให้เครื่องบินรุ่น Boeing 747 หรือ A380 ลงจอดได้ และยังสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน ด้วยเงินลงทุน 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนทางเรือ เตรียมสร้างท่าเรือน้ำลึกเกาะเสม็ดให้เป็นจุดจอดเรือยอชท์ เรือข้ามฟาก เรือสำราญ เชื่อมโยงการเดินทางอ่าวไทยไปภาคใต้ เริ่มเดินทางจากพัทยา-จุกเสม็ด-ชะอำ-หัวหิน ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง จากเดิมใช้เวลาทางบกใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง จึงมุ่งพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังให้ทันสมัย รองรับเรือบรรทุกสินค้าขนาด 800 ตันกรอส รองรับการขนส่งสินค้า 11.1 ล้านบีทียู/ปี ส่วนการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด หวังให้เป็นท่าเรือทันสมัย รองรับเรือบรรทุกสินค้าขนาด 264,000 ตันกรอส ตลอดจนการส่งเสริมตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน เพื่อดึงเอกชนมาร่วมลงทุนแบบ PPP เมื่อสินค้าผ่านเข้าออกจำนวนมาก กรมศุลกากรจึงต้องเตรียมพิการศุลกากรรองรับ ทั้งเครื่องเอกซเรย์ขนาดใหญ่ การใช้ระบบส่งข้อมูลส่งตรวจรายการสินค้าล่วงหน้าก่อนเรือเข้าถึงท่า การปรับระบบคลังสินค้าทัณฑ์บน การแก้ไขพิกัดศุลกากร จึงหวังว่าท่าเรืออันทันสมัย โดยมีเมืองใหม่ล้อมรอบ สาธารณูปโภคพร้อมเพรียง จะช่วยดึงดูดการลงทุนของเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เข้ามาช่วยสร้างเมืองเศรษฐกิจภาคตะวันออก.-สำนักข่าวไทย เวทีสัมนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงรายสามเหลี่ยมแห่งโอกาส จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงรายได้รับความสนใจจากทุกภาคฝ่าย เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไปติดตามเรื่องนี้กับ อายุทัย นนท์นิติรัตน์ เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.) กรมธนารักษ์ เปิดให้บริษัทเอกชนผู้สนใจเข้ามาพัฒนาพื้นที่ที่ราชพัสดุเพื่อการลงทุน ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมุกดาหาร หนองคาย และตราด เข้ายื่นซองข้อเสนอการลงทุน ทั้งนี้ จากการเปิดขายซองประมูลให้แก่เอกชนผู้สนใจ มีเอกชนเข้ามาซื้อซอง 19 บริษัท แต่ปรากฏ ว่ามีผู้ยื่นซองประมูลเพียง 1 บริษัท ในโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด ส่วนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร ไม่มีผู้ยื่นซองเลย โดยกรมธนารักษ์จะทำการเปิดซองประมูลตามขั้นตอนในวันนี้ (22 ก.ค.)ซึ่งจะทราบบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติในเบื้องต้น ถ้าไม่มีผู้ผ่านคุณสมบัติ จึงจะเปิดการประมูลใหม่ ส่วนพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ไม่มีผู้ยื่นซองประมูลเลย จะส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทที่ซื้อซองประมูลไป เพื่อสอบถามถึงสาเหตุที่ไม่ยื่นซองประมูล และนำไปปรับปรุง ก่อนเปิดการประมูลรอบใหม่ หลังจากที่ช่วงเช้า มีการเสวนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.หนองคาย มีประชาชนสนใจร่วมเข้าฟังเต็มห้องประชุม เพราะที่นี่ไม่มีการต่อต้านการจัดให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทำให้หลายภาคส่วนร่วมมือเข้ามาช่วยผลักดัน ให้เกิด การค้าระหว่างประเทศ ไม่เฉพาะกับ สปป.ลาวเท่านั้น คุณ พรพรรณ เพ็ชรแสน รายงานจาก โรงแรมรอยัลนาคารา จ.หนองคาย เวทีเสวนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.หนองคาย เข้มข้นตั้งแต่ช่วงเช้า เพราะมีการพูดถึงเรื่องของ การค้า การลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งหัวหลักอย่าง ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ยืนยันว่า การเดินทางระบบล้อ ในการขนส่งสินค้า หนองคายเป็นพื้นที่ที่สะดวก อย่างแน่นอน การสัมมนาหัวข้อ การค้าการลงทุน ต่างประเทศ ของ จ.หนองคาย คุณ มนนิภา โกวิทศิริกุล ประธานหอการค้า จ.หนองคาย มองว่า เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้มาลงทุน ขณะนี้เปิด 5 อำเภอ แต่ประกาศไปแล้ว 2 อำเภอ ที่ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนได้แล้ว ส่วนอุปสรรค ที่มองไว้ จะเป็นเรื่องของแรงงานจาก สสป.ลาว เพราะที่ฝั่งนั้น ก็มีการประกาศให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเหมือนกัน หากทางนั้น บูมขึ้นมากกว่าฝั้งของหนองคาย ก็อาจจะทำให้ขาดแรงงานจาก สปป.ลาวที่ทีอยู่เดิม แต่ทางหอการค้าก็มีการเตรียมความพร้อม ร่วมกับ สถาบันการศึกษา และเน้นให้นักศึกษาเรียนทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อจะนำมาเข้าทำงานในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ ก็ยังมีคนในพื้นที่ ยังไม่เข้าใจ เรื่องของการเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะกลัวเรื่องของสิ่งแวดล้อม เนื้องจากมีโรงงานอุตสาหกรรมผุดขึ้น อยากให้ทางหอการค้าเอง ช่วยดูแลรักษาไว้ เพราะหนองคายเป็นเมือง สงบมานานแล้ว ส่วนทางด้านสุเกียรติ กิตติธรรมโชติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายรัฐสัมพันธ์ เทสโก้โลตัส มองถึง ว่าไม่เฉพาะที่ สปป.ลาวเท่านั้น ที่ข้ามมาซื้อสินค้าทางฝั่งของ หนองคาย แต่ยังมี จีนตอนใต้ เวียดนาม ก็จะวิ่งเข้ามาซื้อสินค้าที่นี่ด้วย เพราะมองว่าสินค้าของไทยเป็นที่ยอมรับ และมีความมั่นใจ โดยเฉพาะที่เทสโก้โลตัส ก็มี สสป.ลาว เข้ามาซื้อสินค้า เพื่อนำไปจำหน่าย ทางฝั่งนั้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ หนองคายยังถือว่าเป็นโมเดล เรื่อง ของเศรษฐกิจที่แตกต่าง ถ้าหากมอง จังหวัดที่ติดกับชายแดน หลายๆจังหวัด จะเห็นว่า หนองคาย เป็นพื้นที่การค้าปลีกค้าส่ง อันดับ1 ของประเทศ และถือเป็นแรงผลักที่สำคัญของหนองคายนอกเหนือจากสินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว ยังมีสินค้าเกษตรกรรม เป็นสิ่งที่ สปป.ลาวยอมรับจากประเทศไทยมาก ทางด้าน โชคชัย รวมทวี ผู้จัดการเขตศูนย์พัฒนาภาค4 SME แบงค์ เปิดเผยตัวเลข เอสเอ็มอีแบงค์ของหนองคาย มีตัวเลขน่าสนใจว่าเมื่อปีที่แล้วได้ให้เงินสินเชื่อไป 200 กว่าล้านบาท ปรากฎว่ามีลูกค้าเบิกจ่ายไปแค่ 6 เดือน 154 ล้านบาทแล้ว แสดงว่าเติบโตมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ลูกค้าเอสเอ็มอีแบงค์ ทั้งการส่งออกวัสดุก่อสร้าง การเกษตร ผู้ประกอบการทุกรายสามารถส่งผ่อนงวดตรงทุกราย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก แสดงว่ารายได้ดี ส่งผลให้ธุรกิจดีด้วย ถึงแม้ว่าก่อนจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยังจะต้องเจออุปสรรค ทั้งเรื่องของคนในพื้นที่ยังไม่เข้าใจประโยชน์ที่จะได้รับ รวมถึง การพัฒนาและการสร้างองค์ความรู้ แต่ ทาง จ.หนองคายก็ได้เตรียมพร้อมเพื่อทำความเข้าใจ และเตรียมพื้นที่ไว้พร้อมรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประตูการค้าสู่ตะวันตกแล้ว
นักลงทุนจำนวนมากสนใจลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสระแก้ว แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจขอรอดูก่อนว่าการพัฒนาพื้นที่จะเป็นไปตามแผนที่ภาครัฐวางไว้หรือไม่ ติดตามรายงานจาก คุณชาญวิทย์ ลัภโต ภายใน 2 เดือนนี้ ที่ดิน 660 ไร่ ในตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จะถูกปรับพื้นที่เตรียมพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว และพื้นดินโดยรอบนิคมฯ จะแปรสภาพเป็นพื้นที่ธุรกิจ ถนนหน้านิคมฯ จะขยายเป็น 4 เลน เพียง 3 กิโลเมตรถึงด่านป่าไร่ ที่ต่อไปจะเป็นด่านขนส่งสินค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นจุดสำคัญต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในนิคมฯ แม้ยังไม่เห็นโครงสร้างเป็นรูปเป็นร่าง แต่ทำเลที่เป็นจุดกระจายสินค้าไปได้หลายประเทศ ทำให้เพียง 1 เดือนที่เปิดให้จองพื้นที่ มีนักลงทุนตกลงเช่าพื้นที่แล้ว 20% นักลงทุนรายใหญ่ขอรอดูระบบสิ่งอำนวยความสะดวกภายในนิคมฯ ก่อน เพราะถึงวันนี้ยังไม่เห็นเข้ามาในพื้นที่ ส่วนนักลงทุนรายย่อยมั่นใจที่จะเข้าลงทุน แต่กังวลว่าอาจไม่ได้ที่ดินแปลงที่สนใจ เพราะมีนายหน้าเหมาแปลงขนาดสิบไร่ถึงร้อยไร่ไว้แล้ว ส่วนนักลงทุนด้านโลจิสติกส์ รอดูโรงงานที่จะเข้ามาตั้งในนิคมฯ ถ้าเป็นโรงงานที่ไม่ต้องอาศัยระบบการขนส่งแบบครบวงจร แม้ทำเลจะดีแต่นักลงทุนด้านโลจิสติกส์อาจไม่เข้ามาลงทุน เพราะไม่คุ้มค่า นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว เน้นตั้งโรงงานเกษตรแปรรูป สิ่งทอ และเครื่องประดับ การนิคมอุตสาหกรรมฯ คาดหวังว่าพื้นที่นิคมฯ 660 ไร่ จะมีโรงงานตั้งเต็มพื้นที่ได้ ภายใน 3 ปี ผู้ว่าการ กนอ. เดินหน้าพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว โดยคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ ล่าสุดมีเอกชน 3 ราย สนใจลงทุนตั้งโรงงาน นายวีระพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ. นำคณะนักลงทุนและสื่อมวลชน เยี่ยมชมโครงการนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ขนาดพื้นที่ 660 ไร่ โดย กนอ.ได้รับมอบพื้นที่จากกรมธนารักษ์ และอยู่ระหว่างปรับพื้นที่เตรียมก่อสร้าง คาดจะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนตุลาคม ก่อนเปิดให้เอกชนลงทุนก่อสร้างโรงงานได้ในปีหน้า(60) ขณะนี้มีเอกชน 3 ราย ตอบรับการลงทุนแล้ว คือ กลุ่มผลไม้อบแห้ง โลจิสติกส์ และเครื่องสำอาง นอกจากการลงทุนนิคมอุตสาหกรรม ภาครัฐยังมีแผนขยายถนนเพิ่มจาก 2 เลน เป็น 4 เลน คาดดำเนินการแล้วเสร็จไม่เกินปี 2562 ขณะที่กรมศุลกากร มีแผนตั้งด่านศุลกากรบ้านป่าไร่ ขนาด 525 ไร่ ห่างจากเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ 2 กิโลเมตร เพื่อช่วยส่งเสริมการค้าชายแดนและเศรษฐกิจระหว่างไทยกับกัมพูชา ด้านประธานสหพันธ์รถบรรทุกแห่งอาเซียน มองว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว มีศักยภาพเพราะตั้งอยู่ในทำเลเหมาะสม โดยส่วนตัวสนใจลงทุนด้านโลจิสติกส์ให้กับโรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ทั้งนี้ ต้องการให้ภาครัฐเร่งรัดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้ทราบแนวทางส่งเสริมที่ชัดเจนและเตรียมความพร้อมลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ระบุว่า มีนักลงทุนสนใจลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตามนโยบายของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย โดยที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้รับความสนใจมากที่สุด นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว และนิคมอุตสาหกรรมในกัมพูชา ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร นักลงทุนสามารถใช้สิทธิประโยชน์พร้อมกันทั้ง 2 แห่งได้ ติดตามรายงานจาก คุณชาญวิทย์ ลัภโต นิคมอุตสาหกรรมปอยเปตโอเนียง เป็นนิคมฯ หนึ่งในเขตส่งเสริมการลงทุนพิเศษของกัมพูชา ที่เน้นการผลิตเพื่อการส่งออกเท่านั้น มีจุดดึงดูดนักลงทุนให้เข้าไปตั้งโรงงาน ด้วยค่าแรงงานเพียงวันละ 150-180 บาท ซึ่งถูกกว่าค่าแรงขั้นต่ำฝั่งไทยถึงครึ่งหนึ่ง และค่าเช่าพื้นที่ ตารางเมตรละ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,400 บาท จ่ายเพียงครั้งเดียว เช่าอยู่ได้นานถึง 50 ปี ที่สำคัญผู้ประกอบการสามารถส่งผลกำไรกลับประเทศตนเองได้ ไม่จำกัดจำนวน และผู้ลงทุนถือหุ้นได้ 100 % ไม่จำเป็นต้องมีชาวกัมพูชาร่วมถือหุ้น นิคมอุตสาหกรรมปอยเปตโอเนียง ยังมีไม่ถึง 10 โรงงาน เพราะนักลงทุนรอเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์กับนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้วของไทย สิทธิประโยชน์ที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องการ รองลงมาคือการอำนวยความสะดวกด้านการขออนุญาตต่างๆ ซึ่งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว จะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบที่นำมาผลิตเพื่อส่งออก ต่างจากฝั่งกัมพูชาที่ต้องเสียภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ไทยและกัมพูชา เป็นเพื่อนบ้านที่พึ่งพาทางเศรษฐกิจกันหลายด้าน และกำลังจะพึ่งพากันด้านอุตสาหกรรม เพราะคาดว่าจะมีนักลงทุนเข้าไปตั้งโรงงานผลิตสินค้าตั้งต้นหรือชิ้นส่วน ที่ใช้แรงงานจำนวนมาก ในนิคมอุตสาหกรรมปอยเปตโอเนียง และมีโอกาสสูง ที่จะส่งสินค้าเข้ามาต่อยอดเพิ่มมูลค่า ที่นิคมอุตสาหกรรม จังหวัดสระแก้ว ซึ่งต้องอาศัยแรงงานที่มีฝีมือในฝั่งไทย
นอกจากด่านศุลกากรหนองคายแห่งใหม่ ที่จะเปิดให้บริการเร็วกว่ากำหนดในปี 2561 แผนการสร้างเมืองการค้าปลอดภาษีในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยังช่วยกระตุ้นให้จังหวัดหนองคายคึกคักมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ทำให้ด่านศุลกากรหนองคายแห่งใหม่ เนื้อที่ 40ไร่ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะต้องเปิดให้เร็วกว่ากำหนดภายในปี 2561 เพื่อรองรับการไหลเข้าออกของคนทั่วทุกทิศ-รอบภูมิภาคเออีซี ซึ่งตอนนี้การเดินทางจากลาวเข้าไทยผ่านด่านหนองคาย อยู่ที่ 10,000 คนต่อวัน ส่วนรถโดยสารและรถบรรทุก 1,800 คันต่อวัน เมื่อมีแนวคิดการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าปลอดภาษีในเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ บอร์เดอร์ ทาวน์ ทั่วประเทศ จะยิ่งช่วยเพิ่มความสะดวกทางการค้าให้กับจังหวัดหนองคายได้เท่าตัว เพิ่มมูลค่าการค้าได้มากขึ้น ปัจจุบัน ชาวลาวซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเฉลี่ยปีละ 60,000 ล้านบาท สินค้าที่ไทยส่งออกผ่านด่านศุลกากรหนองคายมากที่สุดในปีงบประมาณ 2559 ได้แก่ รถยนต์ รองลงมาเป็น น้ำมันเชื้อเพลิง และเครื่องดื่มกลุ่มน้ำอัดลม ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่มีการส่งออกเหมือนกันมาตั้งแต่ปี 2557 ภาคเอกชน ระบุว่า หากภาครัฐปลดล็อคการจำกัดจำนวนเงินสดที่ต่างชาติถือครองเข้ามายังประเทศไทย มากกว่า 20,000 ดอลลาร์ฯ จะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน ด่านศุลกากรหนองคาย จัดเก็บรายได้แทนหน่วยงานอื่น เพียงแค่ 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ2559 อยู่ที่ 358 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับทั้งปีที่ผ่านมา ตามการเติบโตของเออีซี และเมื่อมีปัจจัยใหม่ อย่างศูนย์จำหน่ายสินค้าปลอดภาษีในเขตเศรษฐกิจพิเศษ แล้วเสร็จไปพร้อมกับการเปิดใช้ด่านศุลกากรแห่งใหม่ จะช่วยเพิ่มความคึกคักให้กับภาคอีสานมากขึ้นทวีคูณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งหน่วยงานศึกษาการตั้งศูนย์จำหน่ายสินค้าปลอดภาษีในเขตเศรษฐกิจพิเศษ คาดจะศึกษาแล้วเสร็จภายในปีนี้(59) ศูนย์กระจายและจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี จะเรียกว่า "บอร์เดอร์ ทาวน์" (Border Town) เพื่อจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี ให้ทั้งคนไทยและต่างชาติ ที่เดินทางท่องเที่ยวในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งมีทำเลที่ตั้งในพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จังหวัดสระแก้ว มีด่านชายแดนติดกับกัมพูชา หนองคาย หรือ อุดรธานี ติดกับสปป.ลาว จังหวัดตาก ติดกับชายแดนเมียนมา และภาคใต้ติดด่านสะเดา เพื่อส่งเสริมให้การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเดินหน้าได้มากขึ้น วางเงื่อนไขเบื้องต้นว่า หากเป็นคนไทยต้องซื้อสินค้าไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อคนต่อเดือน ส่วนต่างชาติซื้อได้ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องซื้อแล้วนำสินค้าออกจากประเทศไทย โดยซื้อสินค้าผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ "บอร์เดอร์ ทาวน์" เท่านั้น เพื่อป้องกันการลักลอบการซื้อสินค้าปลอดภาษี นำไปจำหน่ายต่อ รัฐบาลจะให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนตั้งร้านค้าเอง ซึ่งจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้นิติบุคคลกับเอกชนที่เข้ามาลงทุน โดยเงื่อนไขสิทธิประโยชน์อาจเป็นเช่นเดียวกับที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ให้แก่ภาคเอกชน คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ หลังรัฐประกาศจัดตั้งพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างด่านศุลากรแห่งใหม่คาดว่าจะเสร็จก่อนปี2562 เร็วกว่าแผน และเตรียมจัดตั้งศูนย์จำหน่ายสินค้าปลอดภาษี ภาคเอกชนในหนองคาย เชื่อว่าจะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจในจังหวัดหลายเท่าตัว ไปติดตามรายงาน สิรีภัคกมณ ตรัยตรึงตรีคูณ ใกล้เป็นรูปธรรมสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว หลังได้เริ่มปรับพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้างในปลายปีนี้(59) หากแล้วเสร็จจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้าชายแดนไทยและกัมพูชา กัมพูชาเป็นประเทศที่ส่งเสริมห่วงโซ่เศรษฐกิจชายแดน ด้วยการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษปอยเปตโอเนียง ซึ่งมีความได้เปรียบจากค่าแรงขั้นต่ำ 150-180 บาทต่อวัน และสิทธิ์จีเอสพี ที่ได้รับอีก 15-20 ปี
"เขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่งยั่งยืน" ภาคบ่ายเสร็จสิ้นเรียบร้อย บรรยากาศ จะเป็นอย่างไรไปติดตามกับคุณสุพิชฌาย์ รัตนะ ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี ความคืบหน้าการให้เอกชนประมูลที่ราชพัสดุเพื่อพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ กรมธนารักษ์เตรียมเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลพื้นที่ในจังหวัดมุกดาหารและหนองคาย พร้อมยื่นกฤษฎีกายืดเวลายื่นประมูล เป็น90วัน โดยไม่ต้องเสนอให้มีการใช้มาตรา44 นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ ระบุว่า เดือนพฤศจิกายนนี้จะเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในระยะแรกอีก 2 แห่ง คือ จังหวัดมุกดาหาร และหนองคาย แต่ต้องยื่นกฤษฎีกาตีความ เพื่อขยายเวลาการยื่นประมูลจากเดิม 60 วันเพิ่มเป็น 90 วัน และเสนอแก้ไขกฎหมายของการนิคมอุตสาหกรรม หรือ กนอ. เพื่อให้สามารถเข้ามาพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจได้ โดยไม่ต้องเสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 ขณะที่พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เฟส 2 ที่จะทยอยพัฒนา ประกอบด้วย จ.กาญจนบุรี นครพนม เชียงราย และ จ.นราธิวาส นอกจากนี้ อยู่ระหว่างหารือผู้ที่เกี่ยวข้องจัดทำเมืองการค้าชายแดนปลอดภาษี(บอร์เดอร์ทาวน์) เบื้องต้นคัดเลือก 4 พื้นที่คือ ตาก สงขลา หนองคาย และนครพนม ซึ่งจะต้องเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อจูงใจให้เอกชนลงทุน และสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะจะมีการกันบางส่วนของเขตเศรษฐกิจพิเศษมาเป็นบอร์เดอร์ทาวน์ หลังจากที่มีการจัดสัมมนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่จังหวัดมุกดาหาร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาฟังการขับเคลื่อนของเมือง เพื่อรองรับการเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งขณะนี้จังหวัดมุกดาหารก็พร้อมแล้วที่จะรับการเปลี่ยนแปลง ติดตามได้จากรายงาน คุณพรพรรณ เพ็ชรแสน นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ(สศช.)พร้อมด้วยนายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ แถลงการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.)ครั้งที่ 3/2559 โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เป็นประธานการประชุม โดยมีมติเห็นชอบผังการจัดพื้นที่ราชพัสดุเพื่อรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรีและรับทราบแผนการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี(ฉบับปรับปรุง)ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2564 พร้อมเห็นชอบโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงด้านการป้องกันประเทศในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและโครงการด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงและการดูแลรักษาพื้นที่สงวนหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินพ.ศ.2481 โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 งบกลางฯ และทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป นอกจากนี้ เห็นชอบผลการคัดเลือกของคณะทำงานสรรหาคัดเลือกและเจรจาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ให้บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคจำกัด(มหาชน)เป็นผู้ได้รับสิทธิพัฒนาที่ราชพัสดุเนื้อที่ประมาณ 895ไร่ ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด ตามที่กรมธนารักษ์เสนอ และให้กรมธนารักษ์พิจารณาจัดให้บริษัทฯ เช่าที่ราชพัสดุดังกล่าว ตามกฎ ระเบียบ และขั้นตอนของทางราชการต่อไป ขณะเดียวกันเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เพื่อการลงทุนในที่ราชพัสดุ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามข้อเสนอของกรมธนารักษ์สำหรับใช้เป็นแนวทางสรรหา ผู้ลงทุนในระยะต่อไป อาทิ ผ่อนคลายระยะเวลาจัดทำข้อเสนอการลงทุนจาก 60 วัน เพิ่มเป็น 90 วัน และเปิดกว้างให้ผู้เสนอการลงทุนสามารถเสนอผลงานย้อนหลังไม่เกิน 3 ปีครอบคลุมประสบการณ์ในลักษณะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งได้ เช่น การค้า การลงทุน โลจิสติกส์ บริการ หรือภาคการผลิต (อุตสาหกรรมทั่วไป/นิคมอุตสาหกรรม) เป็นต้น ทั้งนี้เห็นชอบให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดซื้อที่ดินเอกชน เนื้อที่ประมาณ 1,730 ไร่ จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส เพื่อสนับสนุนให้เกิดโครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับเป็นแหล่งแปรรูปผลผลิตและจ้างงานประชาชนในพื้นที่ รับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
"พร็อพเพอร์ตี้" ทุ่ม 5 พันล้านทำ Gloden Gateway พร็อพเพอร์ตี้พร้อมลุยลงทุน พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตราด เตรียมงบ 5,000 ล้านบาท ด้านกรมธนารักษ์ลงนามให้พร็อพเพอร์ตี้ เช่าที่ราชพัสดุ 50 ปี และเตรียมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อีก 3 แห่ง ให้เอกชนประมูลในปีหน้า เมื่อวานนี้ (23พ.ย.59) มีการลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด ระหว่างกรมธนารักษ์ และบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ ระบุว่า โครงการนี้เป็นโครงการลงทุนภายใต้วิสัยทัศน์ Gloden Gateway เปิดประตูการค้าและการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาค ซึ่งตั้งเป้าหมายให้เป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวนานาชาติ เมืองอาหารปลอดภัย และเมืองบริการการค้าระหว่างประเทศครบวงจร โดยบริษัท พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค เสนอเข้ามาเพียงรายเดียวและได้รับการพิจารณา โดยนายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทพร็อพเพอร์ตี้ จะจ่ายค่าเช่าให้กับกรมธนารักษ์ ในอัตราไร่ละ 24,000 บาทต่อปี มีจำนวน 895 ไร่ รวมเป็นเงิน 2,000 ล้านบาท จากอายุสัญญาเช่า 50 ปี ในเบื้องต้นมูลค่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจะมีประมาณ 3,000 ล้านบาท รวมเป็นเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มดำเนินการลงทุนได้ภายในปีนี้ถึงปี 2563 และคาดว่าจะคืนทุนได้ภายใน 6 ปี คาดการณ์จะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 500-600 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันเพื่อให้การท่องเที่ยวในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษครบวงจรมากขึ้น จะประสานกับทางสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ให้จัดทำสนามบินนานาชาติ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวให้มากขึ้นด้วย กรมธนารักษ์ดัน 3 เขตเศรษฐกิจพัฒนาปีหน้า นอกจากนี้ กรมธนารักษ์ ได้เตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณางบประมาณ 400 ล้านบาท สำหรับดำเนินการเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และจะเปิดประมูลสรรหาเอกชนลงทุนพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร หนองคาย และตาก ประมาณเดือนมกราคม 2560 ส่วนเขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลา ก็จะสามารถส่งมอบที่ดินให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทสไทย เป็นผู้พัฒนาพื้นที่ได้ในปีหน้าด้วยเช่นกัน นายกรัฐมนตรี เร่งรัดดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้มีความชัดเจนมากขึ้น พร้อมสั่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นทั้งในอดีต และปัจจุบัน โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ถือเป็นหนึ่งในนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมภายในปีนี้ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ให้เกิดเป็นรูปธรรมภายในปีนี้ โดยมีแผนการลงทุนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมครั้งใหญ่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านการลงทุนเป็นอย่างมาก โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ ที่รัฐบาลตั้งความหวังว่าจะเป็นการปลุกการลงทุนรอบใหม่ คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท
สนามบินอู่ตะเภา ก็เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ที่รัฐบาลมุ่งพัฒนายกระดับให้เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค เพื่อรองรับการเติบโตของโลจิสติกส์ฮับ จาก 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่เข้ามาลงทุนในEEC ที่มีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลร่วม 2 หมื่นล้านบาท ติดตามจากรายงาน การประกาศเดินหน้าพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก ไปกันที่เรื่องของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศ ที่รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมภายในปีนี้ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก บีโอไอ จัดงานสัมมนาทางวิชาการนานาชาติและนิทรรศการ ภายใต้หัวข้อ Opportunity Thailand นายกฯ ชวนหนีให้พ้นกับดักรายได้น้อย ชู "ศาสตร์พระราชา" สร้าง"ประเทศไทย 4.0" พัฒนาทุกมิติพร้อมกัน โดยเฉพาะการสร้าง"คนไทย4.0" เพื่อให้มีคุณภาพเข้าสู่ความต้องการของตลาดและการพัฒนาประเทศ ลั่น จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และพร้อมผลักดันภาคเอกชนเต็มกำลัง มั่นใจประเทศไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุนของภูมิภาค วันนี้ (15 ก.พ.60 ) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา “ Opportunity Thailand” พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “โอกาสกับประเทศไทย 4.0” โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักลงทุนชาวไทยและต่างประเทศและสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศร่วมงานกว่า 2 พันคน อาทิ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการบริหาร บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย นาย มาร์ติน เวนเซล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คูก้า โรโบติกส์ และ นาย ฟรายซิส ฮิส กรรมการผู้จัดการ บริษัท สปิริต แอโรซิสเต็ม นายกฯ กล่าวเปิดงานว่า สถานการณ์ของโลกในปัจจุบันมีความพลวัต เปลี่ยนแปลงผันผวน มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นในแต่ละประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ทำให้แต่ละประเทศจะต้องคิดกลยุทธ์เพื่อรักษาระดับความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศตนเอง รวมทั้งประเทศไทยจะต้องปรับตัว เพื่อรับมือสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเร่งสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการวางแผนการพัฒนาอนาคตประเทศในระยะ ๒๐ ปี อย่างมีทิศทางที่ชัดเจน นายกฯ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้มีการปรับเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนั้นๆ โดยเริ่มจาก “Thailand 1.0” ที่เน้นเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม ไปสู่ “Thailand 2.0” ที่เน้นอุตสาหกรรมเบา โดยใช้ประโยชน์จากค่าจ้างแรงงานราคาถูกและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ “Thailand 3.0” ในปัจจุบันเน้นอุตสาหกรรมหนักที่มีความซับซ้อน ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อให้มาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก แม้ว่า “Thailand 3.0” ทำให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เติบโตเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องเผชิญกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง”“กับดักความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่ง” และ “กับดักความไม่สมดุลในการพัฒนา” เป็นสาเหตุให้ประเทศไทยไม่เติบโตอย่างก้าวกระโดด "ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการพึ่งพานวัตกรรมหรือองค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว และการก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนต่างๆ ในทุกๆมิติ เพื่อสร้างความสมดุลและความยั่งยืน"นายกฯ กล่าว ทั้งนี้ นายกฯ ระบุว่า การพัฒนาต้องสมดุลและยั่งยืนใน 4 มิติ ทั้งความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสร้างสังคมอยู่ดีมีสุข และการเสริมสร้างภูมิปัญญาของมนุษย์ โดยรัฐบาลได้น้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เป็นหลักคิดที่สอดคล้องกับโมเดลประเทศไทย 4.0 มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ นายกฯ กล่าวต่อว่า ศาสตร์พระราชาได้สอนให้รู้ว่า การพัฒนาจะยั่งยืนได้ ต้องรักษาสมดุล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพ ความสมดุลและความสุขของประชาชนด้วย เช่นเดียวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มุ่งให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แนวพระราชดำริที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ท้องถิ่น ถือเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาความมั่นคงของประเทศ "ดังนั้น รัฐบาลจึงได้เร่งแก้ไขปัญหาจากฐานราก และสร้างความเข้มแข็งจากภายใน มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในลักษณะการพึ่งตนเอง ตามที่ทรงใช้คำว่า ระเบิดจากข้างใน คือ ทำให้ชุมชน หมู่บ้าน มีพื้นฐานที่มั่นคงพอสมควรก่อน แล้วจึงสร้างความเจริญและยกระดับเศรษฐกิจให้สูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป รัฐบาลมุ่งสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยสืบสานพระราชปณิธานที่พระองค์ท่านได้ทรงวางรากฐานไว้ เพื่อสร้างประโยชน์และความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนให้แก่พี่น้องประชาชนไทย และเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนบ้านและนานาประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทยเสมอมา"นายกฯ กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา กฎหมาย และความมั่นคงของประเทศ รวมถึงการรักษาฐานทรัพยากรของประเทศ เพื่อนำพาประเทศไทยสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” อย่างแท้จริง
รัฐเร่งปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมเตรียมเปิดทางเอกชนร่วมลงทุน EEC การจัดงานสัมมนาและนิทรรศการ” Opportunity Thailand “ของรัฐบาลที่จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ถึงทิศทางและความพร้อมของประเทศเพื่อมุ่งสู่ประเทศไทย 4.0 หลังจากรัฐบาลผลักดันกฎหมายให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและสร้างเครื่องมือใหม่ดึงดูดการลงทุน โดยในงาน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง”การขยายตัวของไทยท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก” ทำให้เกิดปรากฎการณ์แสวงหาความร่วมมือของชาติอาเซียน โดยในส่วนของไทยมีจุดแข็งหลายด้านที่เป็นเอกลักษณ์และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจสอดรับความต้องการของเอเชียและของโลกได้ ทำให้รัฐบาลต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งรถไฟ ท่าเรือ สนามบิน โครงสร้างพื้นฐาน ไอที และเตรียมพร้อมด้านบุคลากรโดยเฉพาะการผลักดัน นโยบายการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC(Eastern Economic Corridor)ที่ไทยจะผลักดันให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งที่ทันสมัยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านได้ สำหรับการลงทุน รัฐบาลมีทั้งการจัดสรรงบประมาณเป็นพิเศษ การร่วมลงทุนกับภาคเอกชนหรือ พีพีพี และการใช้กองทุน ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ ฟันด์ ซึ่งหลังจากนี้ รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าในทุกโครงการ โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนมาดูแลเป็นการเฉพาะ รวมไปถึงการแก้ปัญหาและขจัดอุปสรรคด้านกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุน นายสมคิดยังกล่าวอีกว่าขณะนี้ บรรยากาศการเมืองของไทยมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีขวัญกำลังใจและรัฐบาลทำงานอย่างจริงจัง อีกทั้งเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวได้ 3.5-4%ในปีนี้ น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนสนใจเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับไทยเพื่อสร้างโอกาสแห่งอนาคตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ฉายภาพของการพัฒนา อีอีซี ที่เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสนับสนุนการลงทุนของประเทศไทย โดยระบุว่า รัฐบาลมีแผนการลงทุนใน อีอีซี ระยะ 5ปีนับจากนี้ใช้เงินกว่า 1.5ล้านล้านบาท เน้นทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย การท่องเที่ยวและการสร้างเมืองใหม่ เช่น สนามบินอู่ตะเภา ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 2แสนล้าน การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังกว่า8 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้ตั้งเป้าเริ่มลงทุนได้ 5โครงการ ซึ่งรัฐบาลพร้อมเปิดกว้างให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนใน อีอีซี ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและอื่นๆตามร่าง พ.ร.บ.อีอีซี ใหม่ที่น่าจะมีผลบังคับใช้ใน 2-3เดือนนี้ การพัฒนาพื้นที่ “เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ถือเป็นการบูรณาการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานอย่างสมดุล การจัดวางผังเมืองกลุ่มจังหวัด เพื่อการเติบโตอย่างมีทิศทาง พร้อมมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมระดับโลก กระจายความเจริญทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค สร้างโอกาสในการทำงาน เพิ่มเงินภาษีสู่ท้องถิ่น จัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชน เพื่อประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่ง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้ภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ดี และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน EEC ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และจังหวัดระยอง โดยรัฐบาลวางแผนการลงทุนกว่า 1.5 ล้านล้านบาทใน 5 ปี เพื่อพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ขยายมอเตอร์เวย์ รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าความเร็วสูง ขยายท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือมาบตาพุด พัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ฯลฯ และเพิ่มเป็น 2 ล้านล้านบาท ตลอดโครงการภายใน 10 ปี ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนอย่างน้อย 1.5 ล้านล้านบาทใน 5 ปี โดยลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 500,000 ล้านบาท โครงสร้างพื้นฐาน 400,000 ล้านบาท การสร้างเมืองใหม่ โรงพยาบาล. โรงเรียน ที่อยู่อาศัย 400,000 ล้านบาท การท่องเที่ยวคุณภาพ เชิงสุขภาพ 200,000 ล้านบาท สำนักงานประสานการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ(สปพ.) คนหลังข่าว (16/02/2560) : มุมมองนักวิชาการต่อ “ไทยแลนด์ 4.0”
สำหรับการประกาศเดินหน้าพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี กำลังจะถูกสร้างขึ้นภายใต้หลักการบริหารแบบยุทศาสตร์เขตเศรษฐกิจพิเศษแบบเมืองคันไซ ประเทศญี่ปุ่น ที่ถือว่าเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เพื่อให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ด้านการลงทุนครบวงจร ติดตามได้จากรายงาน เร่งพิจารณาความคุ้มค่า "เมืองการค้าปลอดภาษีในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ" หนุนเศรษฐกิจชายแดน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. เปิดเผยว่า ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้ สศค. เร่งศึกษา "เมืองการค้าปลอดภาษีในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ" หรือ “Border Town" รูปแบบเดียวกับที่สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้ดำเนินการในพื้นที่เมืองกวางโจว มาเป็นต้นแบบดำเนินการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตากของไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาถึงความคุ้มค่า และรูปแบบการยกเว้นภาษี ว่าจะยกเว้นให้กับกลุ่มใดบ้าง เขตปลอดภาษีดังกล่าวจะส่งเสริมการค้าชายแดน และจะเปิดให้ผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการซื้อสินค้า สามารถมาสั่งซื้อสินค้าในเขตปลอดภาษีได้ โดยไม่ต้องเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นการประหยัดเวลา และจะได้ซื้อสินค้าในราคาที่ถูกกว่าปกติ ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำ "Border Town" จะได้ข้อสรุปเพื่อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการฯ ได้เร็วๆ นี้ เปิดประมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคายและมุกดาหาร "สมคิด" เผยคลัง-ก.อุตสาหกรรมเตรียมเสนอ ครม.พิจารณามาตรการ-แพคเกจจูงใจนักลงทุนไทยและต่างประเทศเข้ามาลงทุนใน EEC วันนี้ ( 22ก.พ.60 ) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ทางกระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการภาษี ซึ่งเป็นมาตรการจูงใจให้กับบริษัทไทยและต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งกระทรวงคลังอยู่ระหว่างเตรียมการและคาดเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในสัปดาห์หน้า พร้อมกันนี้ในส่วนกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมเสนอแพคเกจที่จะส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve)โดยจะทยอยนำเข้ารายงานต่อที่ประชุม ครม. เบื้องต้นรับทราบว่าจะมีการเสนอเกี่ยวกับ Robotic หรือ โรงไฟฟ้า ในครม.อีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยสร้างความมั่นใจว่าไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลดำเนินการในขณะนี้ นายสมคิด กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเตรียมจะมีการตั้งซุปเปอร์บอร์ดขึ้นมาอีก 1 ชุด เพื่อให้การดำเนินงานของทุกโครงการมีความโปร่งใส ไม่ว่าโครงการลงทุนภาครัฐหรือเอกชน โดยจะมีการเชิญบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นกรรมการด้วย
กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี สัปดาห์หน้า ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เหลือ 17 % เพิ่มทางเลือกให้คนไทยทำงานต่างประเทศ และต่างชาติที่ทำงานในไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กล่าวว่าสาเหตุที่ต้องปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นแบบคงที่ 17 เปอร์เซ็นต์นั้น เพื่อจูงใจนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษมากขึ้น โดยเฉพาะอีสเทิร์นซีบอร์ด หรือ อีอีซี ซึ่งไทยจำเป็นต้องแข่งขันกับหลายประเทศ แม้ปัจจุบันได้ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก 35 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 28 เปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่ายังสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค และจากการหารือกับบริษัทรายใหญ่ที่มีการจ้างบุคลากรจากต่างประเทศก็ได้รับความสนใจ เพราะอัตราคงที่ 17 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าต่ำสุดในภูมิภาค โดยเฉพาะถ้าเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ และเป็นแบบขั้นบันได ปัจจุบันบริษัทต่างชาติ นิยมใช้รูปแบบการแบ่งจ่ายเงินเดือนพนักงานออกเป็น 2 ส่วน คือจ่ายในประเทศส่วนหนึ่ง และนอกประเทศอีกส่วนหนึ่ง เพื่อลดภาระภาษี โดยกระทรวงการคลัง จะนำมาตรการนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า โดยมีเงื่อนไขต้องเป็นบุคคล หรือ ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี และ ต้องเป็นโรงงานอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเอสเคิฟได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ โดยมีสิทธิ์เลือกใช้อัตราภาษีสิทธิพิเศษนี้ หรืออัตราปกติก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมของตำแหน่ง ส่วนคนไทยนั้นจะให้ใช้กับคนที่ไปทำงานในต่างประเทศเกิน 180 วัน สำหรับรายได้ที่ขาดหายไปคาดว่าจะไม่มี เพราะปัจจุบันกรมสรรพากร ไม่สามารถจัดเก็บรายได้จากคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว การเดินทางผ่านด่านทวายของเมียนมา ด้วยรถยนต์ส่วนตัวยังคงมีความยากลำบากพอสมควร เนื่องจากเป็นพื้นที่ชายแดนที่ติดกับพื้นที่ชนกลุ่มน้อยในเมียนมาติดตามได้จากรายงานของ คุณวรลักษณ์ ศรีทอง แม้จะเปิด AEC อย่างเป็นทางการแล้ว แต่การขับรถยนต์ส่วนบุคคลผ่านด่านพุน้ำร้อนจังหวัดกาญจนบุรีไปยังทวายของเมียนมา ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร เนื่องจากเป็นพื้นที่ชายแดนที่ติดต่อกันระหว่างทหารไทย กะเหรี่ยงเมียนมา และทหารเมียนมา ด่านน้ำพุร้อน จังหวัดกาญจนบุรี แม้จะเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรจากไทยเข้าไปยังพื้นที่ฝั่งอันดามันของเมียนมา แต่ก็ถือได้ว่าข้ามแดนได้สะดวกเฉพาะคนเท่านั้น แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการขับรถส่วนตัวเข้าไปค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวาย แม้จะเปิดเป็นประชาคมอาเซียน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่มักเกิดความขัดแย้งกันบ่อยครั้ง ทุกฝ่ายจึงต้องระมัดระวังการเข้า-ออกอย่างเข้มงวด การขับรถยนต์เข้าเมียนมา จากด่านน้ำพุร้อน จำเป็นต้องได้รับการยืนยันและมีหนังสือรับรองจากฝั่งเมียนมาก่อนทุกครั้ง เพราะเมื่อออกจากไทยไปแล้ว รัฐบาลเมียนมาต้องรับประกันความปลอดภัย เนื่องจากก่อนจะถึงทวาย ทุก ขบวนรถจะต้องผ่านด่านตรวจของกลุ่มกะเหรี่ยง KNU เจ้าหน้าที่ไทยจึงย้ำว่าหากจะเข้าไปท่องเที่ยวด้วยตนเองแล้ว ต้องมีเอกสารที่รับรองจากเมียนมา และประสานขอผ่านด่านกลุ่มกะเหรี่ยงให้เรียบร้อย จึงจะอนุญาต และนี่ทำให้ด่านน้ำพุร้อน เป็นข้อแตกต่างจากด่านข้ามแดนถาวรทั่วไป นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ยังเกิดความสับสนเกี่ยวกับการนำรถยนต์ออกนอกประเทศ เพราะเข้าใจว่าที่ด่านน้ำพุร้อน มีกระบวนการตรวจเหมือนด่านอื่น ทำให้ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ทหารของไทยที่ดูแลบริเวณด่าน ต้องคอยให้ข้อมูลที่ถูกต้องโดยเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวย้ำว่า แม้เอกสารจะยุ่งยาก แต่หากผ่านกระบวนการที่ถูกต้องก็ไม่เป็นปัญหา และนี่ทำให้เสน่ห์ของการเดินทางไปทวาย ผ่านทางไทยน่าสนใจมากขึ้น รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ "อีอีซี" เพื่อดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต.../โดยกระทรวงการคลัง เตรียมเสนอแพ็คเกจทางด้านภาษีให้ ครม.พิจารณา หวังให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนในเขต EEC ติดตามจากรายงาน ผลของการประชุมสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เมื่อวานนี้ออกมาตรการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีนิติบุคคล 300 เปอร์เซนต์ เพื่อเพิ่มแรจูงใจให้กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเข้าร่วมลงทุน นอกเหนือจากการสนับสนุนนโยบายทางภาษีให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกแล้ว การดึงผู้มีความรู้ความสามารถระดับสูงมาร่วมงานเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทย นำไปสู่มาตรการลดภาษีเงินได้จูงใจผู้มีความสามารถระดับสูงทั่วโลกมาทำงานในเขตเศรษฐกิจนี้ ติดตามจากรายงาน
นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยชี้นักลงทุนชาวไทยและต่างชาติ ต่างสนใจลงทุนในอีอีซี โดยเฉพาะเส้นทางตามแนวขนส่งระบบราง แอร์บัส จับมือ การบินไทย ลงทุนสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่อู่ตะเภา ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเซียแปซิฟิค นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นสักขีพยานการลงนาม ระหว่างการบินไทย และ บริษัท แอร์บัส อินดัสตรี ในโครงการพัฒนาธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยาน ที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา โดยแอร์บัสจะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาศูนย์ซ่อม เช่น การพัฒนาเครื่องบินรุ่นใหม่ประหยัดพลังงาน, โรงซ่อมบำรุงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการใช้ระบบบริหารจัดการซ่อมบำรุง ที่ช่วยรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ และสร้างการจ้างงานช่างซ่อมเครื่องยนต์ อีกกว่า 200,000 คน คาดมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากถึง 2.5 เท่า จากมูลค่าโครงการ ขณะที่นายฟาบริซ เบรฌิเยร์ ประธานกรรมการ บริษัท แอร์บัส อินดัสตรี้ กล่าวปาฐกถาพิเศษ "วิสัยทัศน์การบินระดับภูมิภาคและบทบาทของประเทศไทย" ที่กระทรวงการต่างประเทศ ว่า ไทยมีความสำคัญที่สุดทางด้านการตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอยู่จุดศูนย์กลางของภูมิภาค โดยในอีก 20 ปีข้างหน้า ความต้องการเครื่องบิน จะอยู่ที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถึง 40% โดยปริมาณในไทยจะเพิ่มจาก 6,000 ลำ เป็น 15,000 ลำ ความร่วมมือครั้งนี้ ทำให้ไทยมีศูนย์ซ่อมสร้างอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ซึ่งแอร์บัสยังแสดงความสนใจ ในเรื่องรถไฟความเร็วสูง ที่จะเชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และสนามบินอู่ตะเภา ทั้งยังทำงานร่วมกับกระทรวงคมนาคมของไทย และส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้การช่วยเหลือ ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศส "คลัง"เปิดประมูลพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย-มุกดาหาร โดยผู้สนใจสามารถซื้อซองประมูลได้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ถึง 21 มี.ค.นี้ พูดคุยกับคุณจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ รายงานพิเศษ : Airbus เปิดศูนย์ซ่อมที่อู่ตะเภา ดัน EEC ขึ้นเป็นศูนย์การบินโลก การบินไทย-แอร์บัส ลงนาม MOU ศึกษาตั้งศูนย์ซ่อมเครื่องบินที่สนามบินอู่ตะเภา หลังเห็นศักยภาพในพื้นที่และการเติบโตของธุรกิจการบิน
นายกรัฐมนตรี ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนต่างชาติ ว่า รัฐบาลได้วางรากฐานในการพัฒนาประเทศเพื่อกลับเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน ขณะที่การบินไทยลงนามบันทึกความเข้าใจศึกษาพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภากับแอร์บัส กลางสัปดาห์ที่แล้ว "การบินไทย" ลงนามความร่วมมือกับแอร์บัสเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน หรือ TG MRO Complex Development ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC นับเป็นก้าวสำคัญของไทยสู่การเป็นฮับทางการบินอย่างครบวงจรในภูมิภาค “สมคิด” ชู “อู่ตะเภา” เป็นเมืองการบินตะวันออก การขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC มีการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกนัดแรก เพื่อติดตามการดำเนินงาน และเตรียมพร้อมเสนอที่ประชุมชุดใหญ่
การขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ตอนนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยคณะกรรมการบริหาร EEC เตรียมชง 5 โครงการเสนอนายกฯในการประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ วันที่ 5 เม.ย.นี้ โดยจะมีการยกสถานะสนามบินอู่ตะเภา เป็น "เมืองการบินภาคตะวันออก" ติดตามจากรายงาน กระทรวงอุตสาหกรรม มั่นใจโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก จะทำให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศ วงเงินลงทุน 5 ปีแรก 1.5 ล้านล้านบาท เปิดโมเดล EEC : ชู สนามบินอู่ตะเภา “เมืองการบินภาคตะวันออก” (1) เปิดโมเดล EEC : ปั้น “ท่าเรือแหลมฉบัง”ศูนย์กลางขนส่งทางทะเล (2)
เปิดโมเดล EEC : รถไฟความเร็วสูง “กรุงเทพ-ระยอง” เชื่อม 3 สนามบิน (3) การเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะการเร่งเครื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในโครงการ EEC เพื่อให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยใช้รูปแบบ พีพีพีซุปเปอร์ ฟาสต์แทรค ให้เสร็จใน 3 เดือน พร้อมเร่งผลักดัน 5 โครงการนำร่อง หวังพลิกโฉมการลงทุนประเทศให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางด้านการค้า การลงทุน ที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ไปติดตามจากรายงาน เปิดโมเดล EEC : 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายจูงใจนักลงทุน (4) ที่ประชุมบอร์ด BOI เตรียมคลอดหลักเกณฑ์ส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก แม้ก่อนหน้านี้มีหลายค่ายรถ ออกมาคัดค้านไทยยังไม่มีความพร้อม นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI กล่าวว่า การประชุมบอร์ด BOI ในบ่ายวันนี้ที่ทำเนียบรัฐบาลจะพิจารณาส่งเสริมการลงทุน ราว 10 โครงการมูลค่า 30,000 ล้าน ถึง 40,000 ล้านบาท อีกทั้งมีพิจารณาวาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี เพราะขณะนี้มีบริษัทยานยนต์หลายแห่งให้ความสนใจค่อนข้างมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อเป็นทางเลือกให้กับค่ายรถต่าง ๆ และเป็นการตอบโจทย์ของอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต หลังรัฐบาลเดินหน้านโยบาย 4.0 และในช่วงเดือนเมษายนนี้ BOI เตรียมไปโรดโชว์นโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่ (หลังประกาศใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์) ที่โตเกียว และโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เพื่อดึงดูดการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมั่นใจว่ายอดส่งเสริมการลงทุนปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ราว 600,000 ล้านบาท การพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ในพื้นที่ชายแดนของประเทศไทย ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาล กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หนึ่งในนั้นคือการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วที่มีพื้นที่ใกล้กับชายแดนประเทศกัมพูชา ให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งล่าสุด ครม. ได้เห็นชอบในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่นี้
