ที่ผมว่า ดร.สมคิดจะพาคุณและผม หรือพวกเราและประเทศชาติลงเหวก็เพราะผมเชื่อว่าตอนนี้ไทยอยู่ในอันตรายประการหนึ่งก็คือจีดีพีในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาติดลบต่างหาก ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่อ้าง ผมได้รวบรวมข้อมูลการเปิดตัวโครงการใหม่ของที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพบว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมา นับแต่ปี 2556 ที่มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุด ก็ปรากฏว่า หลังจากนั้นในปี 2557 ถึง 2559 การเปิดตัวโครงการใหม่ลดตัวลงอย่างต่อเนื่อง เป็นดัชนีที่ชี้ว่าแท้จริงแล้วเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจติดลบมากกว่ามีค่าเป็นบวกในช่วงที่ผ่านมา การเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยถึง 131,645 หน่วยในปี 2556 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ Gross Domestic Product หรือจีดีพี ที่ 7.2% ในปี 2555 และในปี 2556 ที่ 2.8% ส่งผลดีต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยเนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวแปรตาม (Dependent Variable) ตามภาวะเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจดี คนก็จะซื้อทรัพย์ เช่น ทองหยอง รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้าภาวะเศรษฐกิจไม่ดี คนก็จะถือเงินสดเอาไว้เผื่อไว้สำหรับเป็น "ทางหนีทีไล่" ไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในขณะนั้น จะเห็นได้ว่าภายหลังรัฐประหารในปี 2557 ซึ่งแสดงถึงจุดปะทุของการเมือง การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงอย่างเด่นชัดถึง 13% เหลือ 114,094 หน่วย และในปีนั้นจีดีพีเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น ทางราชการก็บอกว่าเศรษฐกิจดี เช่นในปี 2558 ก็บอกว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 4.5% และปรับลดเป้าลงมาเรื่อยจนเหลือ 2.8% ในที่สุด ส่วนในปี 2559 ก็กะประมาณการแต่แรกที่ 4.0% แต่คาดว่าจะเป็นที่ 3.0-3.2% อย่างไรก็ตามการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในปี 2558 และ 2559 ก็ลดลงประมาณ 5% ในแง่จำนวนหน่วย ทั้งสองปี ปรากฏการณ์นี้อาจชี้ว่าแท้จริงแล้ว เศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตขึ้นจริงในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขที่ดูเหมือนดีขึ้นนั้น มาจากผลของการอัดฉีดทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลดีประเดี๋ยวประด๋าว ให้เกิดกำลังใจ เป็นตัวเลขที่อาจไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีจริง การเข้าใจว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาจึงอาจกลายเป็นความเข้าใจผิดไปได้ในที่สุด สำหรับในปี 2560 ทางราชการก็ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.5% ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ดร.โสภณ ประเมินไว้ว่าจำนวนตัวเลขการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ น่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าลดลงอย่างที่เป็นอยู่ ดังนั้นจึงคาดว่าจำนวนการเปิดตัวในปี 2560 น่าจะเป็น 109,301 หน่วย แต่หาก ณ สิ้นปี 2560 ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็แสดงว่า เศรษฐกิจก็ยังคง "ดำดิ่ง" เช่นปีก่อนหน้า โดยนัยนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อหวังให้ได้ตัวเลข "สวยๆ" ในการอวดผลงานนั้น อาจทำให้เกิดการบิดเบี้ยวทางเศรษฐกิจ อาจทำให้เครื่องจักรกลทางเศรษฐกิจ "พัง" จากการเร่งเครื่องมากเกินไปได้ และอาจกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติมากกว่าที่จะเป็นการช่วยทำให้ประเทศชาติมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมั่นคง เช่น การกระจายรายได้ ก็ไม่ได้กระจายจริง แต่ไปกระจุกที่การสั่งการของราชการส่วนภูมิภาค ไม่ถึงท้องถิ่นในการตัดสินใจจริง การส่งเสริมการลงทุนโดยวิสาหกิจเอกชนหรือชุมชน ก็ไม่เป็นผลต่างกับช่วง OTOP ในยุครัฐบาลเมื่อ 10 ปีก่อน เป็นต้น ลองมาดูสิ่งที่ ดร.สมคิดคิด แต่ไม่น่าจะเป็นจริง เช่น 1. ดร.สมคิดบอกว่า: ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา หรือหลังปี 2549 หากมองย้อนกลับไป การเมืองที่ไม่เสถียรภาพ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ย่อมส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ผมเห็นว่าตลอดเวลาเกือบ 3 ปีมานี้ รัฐบาลมีเสถียรภาพ ไม่มีใครรบกวน กลับยังทำอะไรไม่ได้เลย นี่ถ้าปล่อยให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งทำงานตามกติกา ป่านนี้ประเทศชาติไปไกลแล้ว นักท่องเที่ยวไม่ถดถอยเช่นหลังรัฐประหาร 2. ดร.สมคิด: ต่อให้ภาคการส่งออกโต 15% แต่ผมเชื่อได้เลยจีดีพีโตอย่างมากสุดก็แค่ 10%” นายสมคิดกล่าว แต่ผมเชื่อว่า ดร.สมคิดเมาหมัดหรือถ้า ถ้า GDP โตถึง 10% ก็วิเศษซี่ครับ 3. ดร.สมคิด: (ตนมา) เปลี่ยนวงจรชีวิตเศรษฐกิจไทยใน 10-15 ปีข้างหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าบอกวันนี้ พรุ่งนี้ได้ แต่ผมเห็นว่า ท่านมา 6 เดือนแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน 4. ดร.สมคิด: มั่นใจได้ว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 3.2% ผมว่าปี 2558 ดร.สมคิดก็บอกจะโต 4.5% แต่สุดท้ายเหลือ 2.8% ปี 2559 ก็คุยว่าจะโต 4% สุดท้ายเหลือ 3% ปีนี้ลดเป้าลงมาเหลือ 3.2% อาจเหลือ 2.5% หรือไม่ 5. ดร.สมคิด: กระทรวงการคลังจะจัดงบประมาณลงทุนไปยังกลุ่มจังหวัด 1 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนนี้อยู่ในงบกลางปีวงเงิน 1.9 แสนล้านบาท หลังจากนั้นการจัดทำงบประมาณในปี 2561 จะมีการจัดทำงบประมาณลงไปกลุ่มจังหวัดเพื่อมารับไม้ต่อไป แต่ผมว่าถ้า ดร.สมคิดจะทำจริงก็ควรเลิกราชการส่วนภูมิภาค (http://bit.ly/2b53LRC) ลดราชการส่วนกลาง เพิ่มส่วนท้องถิ่น ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น สร้างบ้านพักข้าราชการมากมาย เพราะต้องส่งคนจากส่วนกลางไปคุมท้องถิ่น อย่างนี้ท้องถิ่นจะเจริญไม่ได้เลย ในแง่หนึ่งเราควรเอาใจช่วย ดร.สมคิดเพราะทำงานอยู่ แต่ท่านไม่มีอะไรใหม่ออกมา ทำงานแบบเดิม ๆ ก็คงไม่ได้ผล ภาระหรือพันธนาการอันหนักอึ้งสำคัญประการหนึ่งก็คือคนที่มามีตำแหน่ง มีอำนาจ ล้วนแต่ไม่ได้มาจากประชาชน มาจากการต่อสู้ข้างถนนจนได้มีลาภยศสักการะ อาจไม่ค่อยเกรงใจประชาชน อาจไม่ได้เห็นแก่ประชาชนด้วยก็ได้ อย่างนี้แล้ว จะสามารถทำงานเพื่อพัฒนาชาติ เพื่อประชาชนได้จริงหรือ อีก 15 ปีข้างหน้า บ้านเมืองจะพัฒนาแน่ ถ้า ดร.สมคิดไม่อยู่!!! ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1782.htm
เรียนเยอะ แต่ไม่เคยติดตามความเปลี่ยนแปลง กฏหมายใหม่ว่าไงรู้ไหม ไม่ใช่ยุคกว้านซื้อที่ดิน ซื้อบ้านเก็งกำไรแล้วนา ใครมีที่เยอะโคตรเครียดเลย
เอาตัวเลขอสังหาริมทรัพย์ (ซึ่งถูกหรือปล่าวก็ไม่รู้) แล้วสรุป จีดีพี รวม กรรมของคนไทย ไม่รู้จบด๊อกมาได้ไง สาขา เชาว์ ๆ ป่าว
ถ้างั้น Dog ก็คงต้องไปบอกธนาคารโลกเอาเองแล้วละ เพราะธนาคารโลกเป็นคนบอกเองว่า GDP growth ของประเทศไทยมันเพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว ข้อมูลจากธนาคารโลก http://data.worldbank.org/indicator...ocations=TH-SG-BN-ID-MY&start=2012&view=chart ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วให้โตเพิ่มเป็น 3.2% http://www.ryt9.com/s/iq03/2571528
แบบที่พา รบ. ทักกี้ ลงเหวปล่าววว? เรื่องการคลัง มือหนึ่งปัจจุบัน ยกให้ คุณกรณ์ ดร.สมคิด ก้อจัดว่าใช้ได้ แต่ลีลาท่าร่ายรำไม่สวย ออกแบบฝรั่งๆอยู่มาก อีกคนนึง แรกๆ ชอบนะ น่าเป็นมือวางได้ แต่พอมาเล่นถ่าน ตัวดำเลย ยังมีมืออันดับอีกหลายคน แต่ไม่ใช่ ด๊อกฯ แน่นอน
ด๊อกแกเป็นแต่เห่าหอน สร้างเรื่องโกหกบิดเบือนสร้างความแตกแยก สงสัยกะไปหากินกะบริษัทฯอสังหาของลูกนายใหญ่ เลยมาปั่นกระแสให้เข้าตา เผื่อได้เศษเงินโกงชาติของตระกูลนี้มาปรนเปรอ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในปี 59 โต 3.2% ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ขณะที่ปีนี้มั่นใจโตถึง 3.6% จาก 3.4 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เปิดเผย ตัวเลข จีดีพี ปี 2559 เบื้องต้นคาดจะขยายตัวได้ 3.2% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการณ์ที่ 3.3% แต่เร่งขึ้นจากปี 58 ที่ขยายตัว 2.8% โดยมีปัจจัยบวกหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐ ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ เช่นเดียวกับ การลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัว จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ และการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนในปี 2560 นี้ คาดว่า จะขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 3.6% จากที่คาดการณ์ไว้ 3.4% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ ที่ปีนี้จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก อาทิ โครงการรถไฟทางคู่และรถไฟฟ้าในเขตเมือง โครงการมอเตอร์เวย์ และโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน และยังมีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในปีนี้อีก 1.9 แสนล้านบาท ประกอบกับแนวโน้มรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้น ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ส่งผลให้การส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 2.5% สูงกว่าปี 59 ที่ไม่ขยายตัว