คสช. กับการปฏิรูปประเทศ ตอนนี้กำลังเร่งเดินหน้าการปฏิรูปกฎหมายในหลายๆ ด้าน แต่ หลายฉบับ กลับตกอยู่ในเมืองของ ข้าราชการบ้าอำนาจ ไม่ว่าจะเป็น พรบ. ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปกระทรวงไอซีที ที่กฎหมายถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อรักษาอำนาจเก่าของพวกข้าราชการประจำ แทบไม่มีการปฏิรูปใดๆ ในเชิงวัฒนธรรมองค์กร กฎหมายอีกฉบับหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา นั่นคือ พรบ. ระบบการชำระเงินฯ ซึ่งผลักดันโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็น พรบ. ที่รวบอำนาจการกำกับการดูแลผู้ให้บริการการชำระเงินทั้ง Bank และ non-bank มาอยู่ในมือของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย มีอำนาจแค่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ในส่วนของ non-bank นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นรูปแบบตัวแทนการกำกับดูแลที่ เป็นประชารัฐ นั่นคือมีทั้งตัวแทนภาครัฐและเอกชน เข้ามากำกับ e-payment อย่างเป็นธรรม จนทำให้การให้บริการชำระเงินโดย non-bank นั้นรุดหน้าก้าวไกล ประชาชนมีทางเลือกในการชำระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย และ ราคาถูก แต่ตอนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคนกำกับดูแล ธนาคารพาณิชย์ ที่ไม่เคยสามารถจัดการอะไรได้เลยกับการเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงินยิบย่อยของธนาคาร กำลังจะรวบอำนาจจากประชารัฐ ไปดูแลคนเดียว แน่นอน เราไม่ทราบหรอกว่าการกำหนดนโยบายทิศทาง e-payment ของ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นธรรม หรือ จะเอื้อประโยชน์ให้กับธนาคารพาณิชย์เพียงอย่างเดียว หากเป็นอย่างหลังประชาชนก็เตรียมตัวซวย เพราะ การไม่ส่งเสริม non-bank หรือ มัดแข้งมัดขา non-bank ทำให้ประชาชนไม่รับประโยชน์อะไรเลย แถมยังต้องก้มหน้าก้มตาใช้บริการอันสุดแสนแพงจากธนาคารพาณิชย์ต่อไป ในอารยประทศที่พัฒนาแล้วนั้น ค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรถอนเงินทุกประเทศ ไม่มีใครเก็บ การโอนเงินข้ามธนาคาร หรือ ระหว่างเขตซึ่งปัจจุบันเป็นอิเล็กทรอนิกส์หมดแล้ว ก็ไม่มีใครเก็บ มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นแหละ ที่ยังล้าหลัง เพราะ การกำกับดูแลของคนที่เกี่ยวข้อง