ได้ยินไอเดียนี้มา น่าสนใจดี ระบบร่วมจ่าย ตามกำหนดอายุ แรกเกิด - 15 ปี ร่วมจ่าย 10% 16-25 ปี ร่วมจ่าย 20% 26-40 ปี ร่วมจ่าย 30% 41-50 ปี ร่วมจ่าย 20% 51-60 ปี ร่วมจ่าย 10% เกิน 60 ปี ฟรี ทุกกรณี กำหนดให้ โรคร้ายแรงและยากจะป้องกันได้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็งบางชนิด โรคทางพันธุกรรม , โรคร้ายแรงที่พบได้น้อย ทำเรื่องขอรักษาฟรี หรือเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาท 100 บาทก็ว่ากันไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงการร่วมจ่ายตามช่วงอายุข้างต้น โรคบางอย่างเช่นมะเร็งปอด มะเร็งตับ ผู้ป่วยจะได้รักษาฟรีก็ต่อเมื่อ ตรวจพิสูจน์ได้ว่าอาการของโรค เกิดขึ้นเองไม่ใช่เพราะพฤติกรรมกินเหล้า สูบบุหรี่ ของตัวผู้ป่วยเอง ถ้าเป็นเพราะผู้ป่วยมีพฤติกรรมเสี่ยงเอง ร่วมจ่าย ตามเกณฑ์ปกติ แล้วให้คุณภาพการรักษา เต็มสูบ ใช้ยาได้ทุกชนิด ใช้เครื่องมือเครื่องไม้ได้เต็มที่ ไม่ใช่สามสิบบาท เอะอะได้แค่ยาสามัญไปกินแบบในปัจจุบัน ----------------------------------------------------------------------- ส่วนตัวผม OK นะ ยอมรับได้ ถ้าทำแบบนี้จริง จะพอทำได้มั๊ยครับ? แล้วจะมีปัญหาอะไรรึเปล่าว?
จ่ายประกันสังคมแล้ว จ่ายภาษีเงินได้แล้ว จ่าย VAT แล้ว ยังจะมาเก็บอะไรอีก รัฐต้องดูแลสิ ผมจะป่วยกี่ร้อยกี่พันรอบก็เรื่องของผม ทำไม่ได้ไปเอาทักษิณกลับมา ผมไม่ได้กล่าวไว้ จำเขามาตอบครัช
ส่วนตัวผมให้ใช้แบบเดิมไปก่อน แค่ตรวจสอบงบหลักว่าเอาไปใช้รักษาจริงตามเจตนาของกฏหมายหรือเปล่า ไม่ใช่ตั้งงบแล้วแบ่งไปจ่ายค่าดำเนินการค่าบุคลากร30%ค่าบริหารจัดซื้อจัดจ้าง30%คงเหลือเงินที่จะเอาไปจ่ายเป็นค่าดูแลรักษาแค่40% แบบนี้จะไปรอดไม๊งบ100%ต้องเอาไปเป็นค่าดูแลรักษาค่ายาแบบ100%ไม่ใช่โดนตัดตอนตั้งแต่เริ่มแรก เรื่องคนป่วยส่วนตัวผมว่าจะดีจะเลวยังไงก็ไม่มีใครอยากป่วยขนาดเขาให้ไปตรวจสูขภาพประจำปีบางคนยังไม่อยากไปตรวจเลยเพราะกลัวที่จะต้องเจอโรคทำใจยอมรับโรคที่จะตามมาไม่ได้ร้อยละ80%ของผู้สูงอายุหรือโรคชราแทบทุกคนต้องเป็นคือโรคความดัน-เบาหวาน-โรคหัวใจ มันเป็นอะไรที่คนชราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามวัย การรักษาเกี่ยวกับอุบัติเหตุ-การรักษาฉุกเฉิน ที่เกิดขึ้นส่วนนี้มันมีการประกันภัยประกันอุบัติเหตุรองรับอยู่แล้ว เรื่องการรักษาจากการยิงกันทำร้ายกันก็มีคู่กรณีที่ต้องชดใช้ชดเชยอยู่เหมือนกัน งบ30บาทเท่าที่รู้ๆแค่เอาไปจ่ายค่ายาของผู้ป่วยเรื้อรัง พวกโรค เบาหวาน-หัวใจ-ความดัน เท่านั้น ถ้าแก้ปัญหาเรื่องยาที่ต้องจ่ายประจำด้วยการผลิตเองในประเทศค่ายาก็จะทุกลงหรือใช้แพทย์ทางเลือก ใช้โครงการยาสมุนไพรเข้ามารักษาแทนยาปฏิชีวนะชาวบ้านก็จะมีรายได้จากการปลูกพืชสมุนไพรด้วย เพราะ3โรคข้างต้นมันรักษาได้ด้วยยาสมุนไพรแค่กรมการแพทย์วิจัยแล้วรับรองให้เป็นกิจลักษณะเท่านั้น ทุกวันนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนว่าทำไม๊แทบทุกโรงพยาบาลจึงหมกหมุ่นที่จะใช้แต่ยาปฏิชีวนะยาที่สกัดออกมาเป็นเคมี ที่มันเป็นผลเสียระยะยาวกับไต-ตับ-ตา แล้วก็เกิดปัญหาโรคทับซ้อนตามมา 3โรคที่ตามมามันรักษาไม่ได้ด้วย เต็มที่แต่ยับยั้งบรรเทาแต่รักษาให้หายไม่ได้เพราะมันเสื่อมไปแล้ว ยิ่งโรคไตเป็นโรคที่น่ากลัวที่สุดกว่าทุกโรค ใครเป็นโรคไตทำใจได้เราตายแน่นอน100%ถ้าไม่ขยันฟอกไตที่เป็นขั้นตอนที่ทรมานมาก นโยบายแพทย์ทางเลือกจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีกับโครงการรัฐสวัสดิการน่าจะทำเป็นนโยบายแห่งชาติเสียด้วยซํ้า เพราะหลายๆประเทศเขาก็หันมาใช้ยาสมุนไพรกันเยอะเพราะมีผลข้างเคียงน้อยราคาถูกสร้างรายได้ให้กับประชาชนอีกด้วย เรื่องแบบนี้ทำไมไม่ทำผมไม่เข้าใจว่าคนทำเขาว่างมากหรือเขาฟุ้งซ่านอยากทำงานมากไป ผมไม่อยากดราม่าแต่ยอมรับความจริงบ้างเถอะเพราะสุดท้ายเราต้องอยู่กับความจริงไม่ใช่จินตนาการจนไปไกลจนออกนอกเอกภพ แค่เรื่องการเขียนกฏหมายให้ต้องมีการตีความเขียนกฏหมายให้เจ้าพนักงานต้องใช้ดุลพินิจแบบผิดๆถูกๆของคนบังคับใช้กฏหมายที่มีสติปัญญาไม่เท่ากันแค่นี้มันก็มากพอแล้วสำหรับประชาชนอย่าพยายามสร้างปัญหาเพิ่มอีกเลยคิดใหม่ทำให้มันต้องดีกว่าเก่าไม่ใช่สร้างทางเพื่อวนกลับไปจุดเริ่มต้นใหม่
แล้วถ้าคง 30 บาทไว้ แต่ทำเป็นโครงการสมัครใจรวมจ่ายล่ะ เช่น คนไข้สามารถเลือกได้ ว่าจะ 30 บาท หรือร่วมจ่าย สำหรับคนที่สมัครใจร่วมจ่าย ก็ได้สิทธิพิเศษ แยกรักษาจากกลุ่ม 30 บาท ซึ่งมีข้อดีเรื่อง ความรวดเร็ว ไม่ต้องไปรอคิวเป็นวันๆ คุณภาพการรักษาดีกว่า หยูยา เครื่องไม้เครื่องมือเต็มที่ แล้วบันทึกสถิติการร่วมจ่ายของคนๆนั้นไว้ แม้ว่าสุดท้ายจะได้สิทธิรักษาฟรีซ้อนทับกับ 30 บาทแล้ว แต่ถ้าคนๆนั้นเคยสมัครใจร่วมจ่ายมาก่อน ก็จะได้สิทธิใช้คุณภาพการรักษาที่ดี มากกว่าพวก 30 บาทตามจำนวนครั้งที่ร่วมจ่าย จัดให้มีโปรโมชั่นเฉพาะสำหรับคนร่วมจ่าย เอาหางใบเสร็จค่ารักษาไปชิงโชค ลุ้นรางวัล สมาชิกฟิสเนตฟรี , ตรวจสุขภาพฟรีทุกโรงพยาบาลรวมทั้งโรงบาลเอกชน , รางวัลที่ 1 รักษาฟรีตลอดชีพ โรงบาลไรก็ได้คุณภาพแค่ไหนก็ได้ ในโรคตามเงื่อนไงไรแบบนี้ แบบนี้น่าจะสามารถทำได้ ไม่มีดราม่านะครับ แต่จะช่วยประหยัดเงินให้โรงพยาบาลซักกี่มากน้อยครับ
แบบนี้จะเกิดประเด็นสองมาตรฐาน แล้วจะเริ่มมีดราม่าว่าดูแลคนไข้สามสิบบาทตามยถากรรม แถมค่าใช้จ่ายจะสูงเพราะเหมือนต้องมีทีมงานสองทีมดูแล วิธีแก้ปัญหา ถ้ายังอยากฟรี คือเก็บภาษีเพิ่มให้สามารถดูแลได้ เช่นขึ้น VAT เป็น 15% ภาษีเงินได้เพิ่มจากเดิมเสต็ปละ 5% คนจ่ายภาษีเงินได้ก็ท่องไว้ เพื่อเพื่อนมนุษย์ ส่วนวิธีดีที่สุดคือ ประชาชนร่วมจ่าย เข้าระบบแบบประกันสังคม ปีละ 2400 บาท คนไทยมี 70 ล้านคน ตกปีละ 168,000 ล้าน บวกที่รัฐสมทบปีละ 168,000 ล้านบาท หักงบปีละ 10% มาสร้างหรือขยายให้เป็นโรงพยาบาลแบบซุปเปอร์โรงพยาบาล เครื่องมือครบ มีเครื่อง MRI, CT scan, PET scan ครบอย่างละสองเครื่อง สร้างสักปีละ 20 โรง รับคนไข้ได้ระดับ 3000 เตียง หักงบปีละ 5% มาสร้างบริษัทฯ สักสิบบริษัทฯ มาทำยาเองลดการนำเข้า แต่ถ้าอยากฟรีทุกอย่าง ไม่อยากจ่ายเพิ่ม ก็ให้มันล้มละลายไปเถอะ
แต่ผมมองว่าวิธีนี้ ดราม่าน่าจะน้อยที่สุดนะ คนยากคนจนก็จะยังคงได้รักษาฟรี ระบบปัจจุบัน มารอหมอ 2-3 ชม. เพื่อได้ตรวจได้ยาฟรีกลับบ้านก็ยังอุตส่าห์ทำกันได้ ด้านการรักษาทุกอย่างก็เหมือนเดิมเป๊ะหรืออาจรอนานขึ้นหน่อย ก็น่าจะยอมรับกันได้ อีกอย่างคนสติดีไม่เห็นแก่ได้มากเกินไป คงเข้าใจและยอมรับได้อยู่แล้ว ว่าคนที่ยอมจ่ายเป็นผู้เสียสละ ย่อมควรได้รับบริการที่ดีกว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าจะโวยวาย 2 มาตราฐาน ก็คงมีแต่ พวกเห็นแก่ได้สุดๆ กับพวกบ้าอุดมการณ์ความเท่าเทียม จนเพี้ยน ซึ่งน่าจะเป็นคนส่วนน้อยจากประชาชนทั่วไปนะ ค่าใช้จ่ายอาจจะสูงขึ้น แต่ถ้ามีคนยอมจ่ายมากพอ น่าจะมีรายได้เข้ามาจนบรรเทาอาการขาดทุนได้นะ
วันนี้ได้ยินคนพูดขึ้นว่า "รัฐบาลนี้แย่ สู้รัฐบาลเก่าที่โกง แต่แบ่งประชาชนไม่ได้" ทำให้คิดได้เลยว่าปัญหา 30 บาท คงไม่มีวันหมดไป ถ้าลุงตู่ไม่เผด็จการจริงอย่างเสื้อแดงว่า จะมีแต่คำว่า"มนุษยธรรม" หรือ "คุณธรรม" จากปากคนที่ไม่รู้ว่าจ่ายภาษีหรือเปล่า เคยทำอะไรให้สังคมบ้างไหมไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีแต่ความคิดที่เห็น "สิทธิ" มาก่อน "หน้าที่"
โรงพยาบาลของรัฐให้จ่ายสมทบเท่าไหร่มันก็ช้าอยู่ดี บางคนไปริคิวตั้งแต่ตี4ตี5ได้คิว6-7โมง รอคิวตรวจสอบสิทธิ์อีก1-2ชั่วโมง ไปรอคิวคัดกรองอีก1-2ชั่วโมง กว่าหมอจะ9-10โมง รอคิวหมอเรียกอีก2-3ชั่วโมง บางทีติดเที่ยงต้องเลยไปช่วงบ่าย ไปหาหมออย่างเร็วก็ครึ่งวันอย่างช้าก็1วัน ลองไปโรงพยาบาลเอกชนสิ เบ็ดเสร็จไม่เกิน1-2 ชั่วโมง ได้กลับบ้านแล้ว ทำไมโรงพยาบาลเอกชนเร็วได้โรงยาบาลรัฐทำไมมันโครตช้าเลย ที่ร้ายไปกว่านั้นการเบิกจ่ายตรงของข้าราชการไม่ได้เบิกจ่ายตรงได้ทุกโรงพยาบาล บางอำเภอไปรักษาแล้วเบิกจ่ายไม่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ว่าทำไมที่โรงพยาบาลนี้ ถึงเบิกจ่ายตรงไม่ได้เขาบอกว่า โรงพยาบาลไม่ผ่านมาตราฐาน ต้องไปรักษาโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตราฐานเท่านั้นถึงจะเบิกจ่ายตรงได้ เขาจะมีลิสต์รายชื่อโรงพยาบาลไว้ว่าโรงพยาบาลใหนเบิกจ่ายตรงได้ เพราะโรงพยาบาลของบางอำเภอไม่ผ่านมาตราฐานรองรับต้องไปรักษาเพื่อเบิกจ่ายตรงที่โรงพยาบาลอำเภออื่น ไปกันข้ามอำเภอเลยถ้ามีรถมีลาก็ดีไม่มีก็เดินทางไปวันๆ นึกถึงพ่อแม่ของข้าราชการที่ตรงใช้สิทธิ์รักษาแบบจ่ายตรงสิต้องเดินทางไปรักษาข้ามอำเภอ ขอพูดหยาบๆหน่อยนะครับ "กูงง" มึงบอกว่าเบิกไม่ได้เพราะโรงพยาบาลไม่ผ่านมาตราฐาน ถ้าเป็นโรงพยาบาลชุมชนหรือสถานีอนามัยก็พอจะเข้าใจได้นี่มันโรงพยาบาลระดับอำเภอ เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ผ่านมาตราฐานแล้วที่ประชาชนตาดำๆเขารักษากันอยู่มันคืออะไรหรือว่ามันเป็นแค่โรงฆ่าสัตว์ แค่คิดก็ผิดแล้ว ความจริงโรงพยาบาลไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ทุกโรงพยาบาลต้องผ่านมาตราฐาน ไม่งั้นมันจะเหมือนเป็นโรงพยาบาลเถื่อน ที่ประชาชนต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงวัดดวงเอาว่า ไปโรงพยาบาลคราวนี้จะมีชีวิตรอดกับมาไม๊หรือว่าต้องตายคาเตียง รัฐบาลเน้นยํ้าจํ้าจี้จํ้าไชให้องค์กรบริษัทเอกชนต้องมีมาตราฐาน มี ISO แล้วตัวหน่วยงานรัฐเองมีอะไรมารับรอง การเป็นองค์กรที่มีมาตราฐานแค่มีงบสร้างอาคารมีเจ้าหน้าที่เข้าไปทำงานแล้วจบที่เหลือก็แล้วแต่เวรกรรม มันเป็นมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งเป็น แต่ยังดีที่มีผอ.ของบางโรงพยาบาลที่มีวิสัยทัศน์ เพราะพยายามทำทุกวิถีทางผลักดันพัฒนาโรงยาบาลของตังเองให้ยกระดับ จนผ่านเกณฑ์ประเมินจนได้ใบรับรองมาตราฐานทำให้โรงพยาบาลระดับอำเภอ เป็นที่คลายทุกข์ของประชาชนยามเจ็บไข้ เป็นความคาดหวังของญาติพี่น้องคนป่วยว่าไปรักษาแล้วจะต้องหาย ไม่ใช่ว่าพอพาญาติไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วนอนเฝ้าไข้ก็เครียดว่าคนป่วยที่เฝ้ามันจะตายเมื่อไหร่
โรงบาลไหนเบิกตรงไม่ได้ ขอชื่อหน่อย ของรัฐฯ เบิกได้หมด มีเหรอไม่ได้มาดถาน ฟังมาหรือป่าว!! ไปรักษาสุขศาลาหรือป่าววววว??? กรู ก้อ งง??? เอกชน กี่คน โรงบาลรัฐ กี่คน หมอตรวจวอร์ดอีก ฉุกเฉินอีก ขนาดตรูข้าไปขูดหินปูนอุดฟัน หมอยังอุดให้วันละซี่ ต้องไปจองคิวก่อน ทำไมไม่อุดให้หมดแบบเอกชน ตรูข้าถาม หมอบอกว่า จะได้ทำให้ได้หลายๆคน คิวใส่ฟัน อันดับที่ 1254 นะ ปีหน้านู็นนนนนนนนนนนนนนนนนนน นะเอ็ง เอกชนจ่าย 2หมื่นกว่าๆๆๆๆๆๆ สักไม่กี่อาทิตย์ ก้อเสร็จ ต่างกันตรงไหน ท่านดอนฯ น่าจะตอบได้เหนี้ยยย
เรื่องฟันพูดแล้วเซ็ง ขนาดไปคลีนิคนอกเวลาแบบจ่ายเองยังทำให้วันละอย่าง ถ้ามาขูดหินปูนก็ขูดอย่างเดียว เจอฟันผุไม่อุดให้ ไล่ให้ไปนัดมาวันหลัง ....
ผมขอโทษ อ่านเรื่องฟันคงท่านเรื่องของผมมันเล็กไปถนัดตา ผมจะไม่บ่นอีกละ อ่านแล้วพานํ้าตาจะไหล ผมยังคิดถ้าท่านทำฟันสัก 5 ซี่ ท่านคิดว่าจะอยู่ทำได้ครบไม๊ ปวดหัวจี๊ดเลย
ไม่ต้องสงสัยคราบท่าน ไปครับบบ 2อาทิตย์ เสร็จแล้ว ตามคิวไม่มีลัดคิว ไปถึงคิวเต็มก้อกลับ ไปใหม่วันรุ่งขี้น ถอดฟันด้วยต้องไปหาคิวใหม่ พะนะท่านใช้เอกชน คงไม่ต้องรอนะ ถ้าใช้บริการ รพ. รัฐ แผนกอายุรกรรมนี้ ต้องเตรียมใจมากๆ ไหนที่มาใหม่+หมอนัด +คนไข้ใน ไหนรอผลเลือด ที่ไหนบริการแบบเอกชนได้ ขอแค่ 50/50 พอ คนแน่นยังกะปลวกเลย จะเอาแบบพยาบาลสวย ทาแป้งหน้าขาว เดินยิ้มไปยิ้มมา หายากนะ แบบสวยๆมีไหมมั้ย ก้อมี แต่ไม่มาบริการท่านแบบเอกชนหรอกนะ
