ประเทศไทย ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นหรือเป็นอาณานิคม แต่ยังมีคนบางจำพวก ที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียกร้องให้ต่างชาติเข้ามาวุ่นวายในกิจการของประเทศ สมควรแล้วหรือที่จะใช้คำว่า "คนไทย" หรือ อยู่ในประเทศไทย
เป็นคำที่คนไทยที่ไม่ค่อยมีเครดิตชอบใช้ เพื่ออ้างฝรั่งมาด่าคนไทยครับ จะได้ดูมีเครดิตกับเขาหน่อย เอาคำนี้ไปพูดกับฝรั่ง 10 คน รับรองเอ๋อทุกคนครับเพราะไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร
ยกเว้น 10 คนนั้นจะเป็นสายนักการทูตนะครัช คำนี้เลยพบบ่อยกับพวกมีปมกับประเทศไทย ส่วนคนทั่วไปจะรู้จักพวก Siamese fighting fish มากกว่า
ไม่มีประเทศไหนหวังดีกับประเทศอื่นหรอกครับ ถ้าจะมาช่วยก็ต้องคิดบวกลบคูณหารผลประโยชน์อยู่แล้ว ลองดูสิครับประเทศซีเรียที่วอดวายคนเรารู้สึกอะไรกันแค่ไหน บางทีโทรสั่งพิซซ่าแล้วมาส่งบ้านช้ายังรู้สึกเดือดร้อนกว่าเลย เพราะงั้นถ้าประเทศไทยเป็นระดับซีเรีย ประเทศอื่น ๆ เขาก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรกันหรอกครับ
แล้วเกี่ยวอะไรกับ Siamese Talk เรารู้ที่มา แต่ไม่พูดถึง เพราะในที่นี้เราพูดถึงเรื่องการไม่เป็นอาณานิคม หรือ เป็นขี้ข้่าต่างชาติ และเพราะ Siamese Talk นั่นแหละ ที่ทำให้เรายังคงเป็นประเทศได้โดยไม่ถูกยึดครอง จำไว้
เพราะกุศโลบาย ของอดีตพระมหากษัตริย์ของไทย จึงทำให้เกิดสีส้มเล็กกระจิ๊ดริด ขึ้นในท่ามกลางสีอื่นๆ แต่พวกตัวไทยใจทาส กลับไม่เคยรู้สำนึก มันคงนึกว่าเท่ถ้าได้ตามก้นฝรั่ง.....ไอ้เนรคุณ
ความภูมิใจในความเป็นไทยมีมากมาย เพียงแต่เราใกล้เกลือกินด่าง ทั้งๆที่ประเทศเรา มีพื้นที่และประชากรน้อยนิด ถ้าเปรียบกับประเทศอื่นๆทั้งโลก ***เราเป็นครัวของโลก อาหารไทยขึ้นชื่อติดอันดับต้นๆของโลก ***ผลผลิตด้านการเกษตรของเรา มีรสชาติดีติดอันดับโลก ทั้งผลไม้ ทั้งข้าว ***ศิลปป้องกันตัว(ไม่มีอาวุธ ใช้เฉพาะร่างกาย) ของเราก็ติดอันดับโลก ทั้งสามอย่างที่กล่าวมานั้น หลายๆประเทศจึงพยายามลอกเลียนแบบ หรือขโมยเอาไปดื้อๆ ***ยังมีอีกสองอย่างที่น่าภูมิใจคือ ภาษาและตัวอักษร มีกี่ชาติในโลกที่มีทั้งภาษาและตัวอักษรของตนเอง เมกาที่ว่าใหญ่นักหนา ยกตนเป็นมหาอำนาจของโลก ยังไม่มีภาษาเป็นของตนเอง ต้องไปยืมภาษาประเทศอื่นมาใช้ ขอโทษที่จาระไนได้ไม่หมด อิ...อิ....เพราะมีมากเกินสติปัญญาของผม
สยามเคยเจริญอันดับต้น ๆ ของเอเชีย ชนิดที่ว่าพวกฝรั่งไม่สามารถใช้ข้ออ้างเรื่องการด้อยพัฒนามายึดเมืองได้ จนกระทั่งคณะร่านประชาธิปไตยเข้ามาบริหารประเทศแทน สยามก็แทบจะหยุดการพัฒนา เปลี่ยนชื่อประเทศก็ไม่ได้ช่วยอะไร
อ่านประวัติศาสตร์ เล่มอื่นบ้างนะค่ะ อ่าน ประวัติศาสตร์ แค่ จากหนังสือเรียน มันไม่ใช่ นะ ค่ะะะะ แนะนำหนังสือ หนังสือศิลปวัฒนธรรม, หนังสือเมืองโบราณ, หนังสือสารคดี, วิทยานิพนธ์ต่างๆ ที่ทำ จะได้รู้รอบค่ะ
แล้วที่ใช่มันคืออะไรล่ะ มาอ้างลอย ๆ ว่าไม่ใช่ ยกตัวอย่างที่ใช่มาสิ ขอแหล่งอ้างอิงทางวิชาการด้วยนะครับ มาแนะนำหนังสือก็ดันพูดลอย ๆ อีก ไม่ระบุว่าฉบับไหน ผมไปอ่านเล่มนี้คงจะได้ที่ใช่ของคุณหรอกมั้ง
มีผู้รู้กล่าวไว้ อ่านเล่นๆ นะค่ะ (1) กรมหลวงจันทบุรีฯ หนังสือกราบบังคมทูลร.6 วันที่ 20กพ.2457 (2) พระราชวิจารณ์หนังสือ “ทรัพยศาสตร์” 13พ.ค.2457 (3) พระราชกระแสร.6ต่อจมื่นอมรดรุณารักษ์ (จมื่นฯเล่าไว้ในหนังสือวชิราวุธานุสรณ์ ปี2508)
สรุปว่าจำขี้ปากเขามาสินะ ถึงถูกถามแล้วตอบไม่ได้แบบนี้ งั้นถามง่าย ๆ หน่อยสิว่าฝรั่งเศสกับอังกฤษตกลงให้สยามเฉพาะตรงลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นรัฐกันชน แล้วทำไมสยามถึงได้เหลือพื้นที่แบบปัจจุบันได้ เป็นเพราะเหตุใดครับ
เขาไม่ได้เรียกจำขี้ปาก ปราชญ์ ต้องอ่านมาก ฟังมาก ค้นคว้า แล้ววิเคราะห์ ข้อมูลที่ใช้ จากผู้อื่น เขาเรียกว่าอ้างอิงค่ะ
ปราชญ์ที่ผมพอรู้จักอยู่บ้างทั้งที่ติดตามงานของท่านและที่รู้จักเป็นส่วนตัว ไม่มีใครมีพฤติกรรมยกตนข่มท่านเลยครับ และอย่างน้อยแต่ละท่านชัดเจนในอัตลักษณ์ของตัวเอง ไม่หลงค่ะบ้าง ครับบ้าง ถ้าตัวตนของตัวเองยังไม่ชัดเจน มุมมองไม่สับสนแย่หรือครับ
อ่านนะครับ วิเคราะห์นะครับไม่ใช่มโน อ่านหลายเล่มหน่อยนะไม่ใช่เล่มที่ตรงจริตร่านตัวเอง แต่ละเล่มที่อ่าน เฮ้อ มิน่าพูดอยู่ ชั้นจะเชื่อแบบนี้ เปลี่ยนไม่ได้หรอก
อ่อ จะบอกว่าตัวเองเป็นปราชญ์ ปราชญอะไรวะ เขียนหนังสือถูกๆผิดๆ ทำไมอุทยานราชภักดิ์ไม่มีหลักฐานมาอ้างอิงละครับ อันนี้เขาเรียกว่าจำขี้ปากมาครับ
อ่านหนังสือเรื่องสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น เบื้องหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยหม่อมเจ้า พูนพิศสมัย ดิศกุล สิ
กลไกการเอาตัวรอด ในสถานการณ์ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันอาจกลายเป็นการถูกดูแคลนจากคนที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือคนที่หวังประโยชน์ หากเราเอาตัวรอดไม่ได้ ความจริง มันอาจเป็นความน่าภูมิใจ ที่แม้ในสถานการณ์สงครามที่เราไม่อาจควบคุมได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ในกรอบของการเป็นผู้แพ้สงคราม ซึ่งอาจหมายถึงอะไรอย่างอื่นที่พ่วงหลังตามมาด้วย (อันนี้ผมไม่รู้) ประหลาดดี ที่คำดูแคลน จากไอ้อีต่างชาติ ที่หวังอะไรจากเรา แต่ไอ้อีหัวดำๆ ในบ้านเรา กลับมาแลบเลียน้ำลายต่างชาติ ที่ถ่มถุยไว้ มาถ่มถุยต่อใส่คนชาติเดียวกัน ไอ้อีหัวดำพวกนี้ น่าขยะแขยงเสียยิ่งไปกว่าต่างชาติต่างภาษา ที่มันหวังจะหาผลประโยชน์จากชาติเราเสียอีก
ผู้กล่าวไว้ในความเห็นที่ 5... เรียงลำดับยังเหมือนกัน *****อ้างอิง***** (1) กรมหลวงจันทบุรีฯ หนังสือกราบบังคมทูลร.6 วันที่ 20กพ.2457 (2) พระราชวิจารณ์หนังสือ “ทรัพยศาสตร์” 13พ.ค.2457 (3) พระราชกระแสร.6ต่อจมื่นอมรดรุณารักษ์ (จมื่นฯเล่าไว้ในหนังสือวชิราวุธานุสรณ์ ปี2508) (4) พระราชหัตเลขาถึงพระองค์เจ้าศุภโยคเกษม มีหลายฉบับ http://pantip.com/topic/34163516
จำคำเขามานะ ไม้ยิ่งสูงยิ่งโน้มต่ำ คนยิ่งปัญญาสูงยิ่งถ่อมตัว ไอ้พวกผยองผองขนว่าข้าแน่ มักเป็นแค่สวะรู้หนังสืองูๆ ปลาๆ
ปราชญ์ เอาไว้เป็นชาติหน้าหลังใช้กรรมใน นรก หมดก่อนก็แล้วกันนะ ความคิดจัญไร ชาตินี้เป็น เปรต ไปก่อนแล้วกัน ...
หนังสืออาจมีเนื้อหาหลายส่วนก็ได้ครับ เพราะส่วนใน คห. 5 ไม่ได้ได้ช่วยตอบเรื่องพวกนี้ได้ พวกฝรั่งไม่สามารถใช้ข้ออ้างเรื่องการด้อยพัฒนามายึดเมืองได้ คณะร่านประชาธิปไตยเข้ามาบริหารประเทศแทน สยามก็แทบจะหยุดการพัฒนา เพราะคนปกติคงไม่คิดเอาเรื่องปัญหาเศรษฐกิจสมัย ร.6 ร.7 มาตอบเรื่องสมัย ร.5 หรือ ร.8 หรอกกระมังครับ
และร.7 เองตั้งใจอยู่แล้วเรื่องประชาธิปไตย แต่พวกแม่มตัดหน้าซะก่อน อ้างอิงจากพระราขหัตถเลขาฉบับที่สละพระราชบัลลังค์
ตัดหน้าได้ไม่ถึงปี พวกแม่มก็รัฐประหาร แถมนิรโทษกรรมตัวเองให้อีก เลยกลายเป็นประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยตั้งแต่นั้นมา