ถ้าวันหนึ่ง คุณนำเงินไปซื้อข้าวของในตลาดและไม่มีใครยอมรับเงินของคุณ เพราะเงินของคุณเป็นแค่เศษกระดาษด้อยค่า วันนั้นคือวันที่คุณจะเป็นทุกข์ที่สุด เพราะมันเป็นวันล้มละลายของคุณ แต่เพราะคุณต้องอยู่บนโลกนี้ คุณก็ต้องดิ้นรนสุดกำลังเพื่อหาทางให้ร้านค้าทั้งหลายยอมรับเงินของคุณ หรือไม่ก็ต้องปล้นทรัพย์สินของคนอื่นมาประทังชีวิตตัวเอง สภาพดังกล่าวมานี้ เป็นสภาพที่กำลังเกิดขึ้นกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งทำให้ประเทศอื่นพลอยเป็นทุกข์ไปด้วย (ยังมีต่อ)
เดิมทีธนบัตรหรือเงิน ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่ถูกพิมพ์ออกมาแทนมูลค่าทองคำเพื่ออำนวยความ สะดวกในการซื้อขาย โดยเฉพาะการซื้อขายระหว่างประเทศซึ่งโลกให้การยอมรับ ประเทศใดที่ต้องการค้าขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐก็จะต้องเอาทองคำไปแลกมา ธนาคารกลางของสหรัฐก็จะพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาให้ตามมูลค่าของราคาทองคำ แต่ เชื่อไหมครับว่าธนาคารกลางของสหรัฐที่มีอำนาจในการพิมพ์ธนบัตรนั้นไม่ใช่ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ แต่เป็นบรรษัทการเงินเอกชนที่มีมหาเศรษฐีนักการเงินจากยุโรปไม่กี่คนเป็น เจ้าของ คนกลุ่มนี้กุมชะตากรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐและของโลกมาตั้งแต่ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ลงนามในพระราชบัญญัติเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ค.ศ. 1912 เดิมที ธนบัตรดอลลาร์สหรัฐถูกพิมพ์ออกมาตามมูลค่าของทองคำสำรองที่ใช้หนุนหลัง แต่พอนานวันเข้า รัฐบาลสหรัฐโดยประธานาธิบดีนิกสันก็ออกประกาศว่า ต่อไปนี้สหรัฐจะยกเลิกระบบทองคำสำรองในการออกธนบัตร หมายความว่านับแต่นี้ไป ธนาคารกลางสหรัฐจะพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาเท่าใดก็ได้โดยไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง นับแต่นั้นมาธนบัตรดอลลาร์ก็มีจำนวนมากกว่ามูลค่าทองคำที่แท้จริง ดังนั้น มูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์จึงลดลงทุกวัน แต่ที่ประเทศต่างๆยัง ใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินในการซื้อขายระหว่างประเทศ ก็เพราะสหรัฐอเมริกามั่งคั่งจากการเป็นผู้ชนะสงครามโลก สหรัฐจึงเป็นตลาดใหญ่ที่ประเทศทั่วโลกส่งสินค้าไปขาย สหรัฐจึงบงการให้ประเทศต่างๆใช้เงินดอลลาร์เป็นสื่อกลางในการซื้อขายได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้ความจริงในเรื่องนี้ แต่เพราะว่าประเทศต่างๆไม่อยู่ในสภาพที่เข้มแข็งพอจะปลดพันธนาการจากสกุล เงินดอลลาร์สหรัฐได้ ธนบัตรดอลลาร์จึงไหลท้นทั่วโลก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าสหรัฐสามารถซื้อความมั่งคั่งจากทั่วโลกได้ด้วย เงินดอลลาร์ที่ราคาใกล้เศษกระดาษเข้าไปทุกวัน (ยังมีต่อ)
ในสหรัฐเอง เมื่อรัฐบาลคิดจะทำโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการอวกาศ หรือการทำสงคราม หากมีงบประมาณไม่พอ รัฐบาลสหรัฐก็จะกู้เงินจากธนาคารกลางโดยการออกพันธบัตร ธนาคารกลางก็จะให้รัฐบาลกู้โดยคิดดอกเบี้ยและให้รัฐบาลไปรีดภาษีประชาชนมา จ่ายหนี้ให้แก่ธนาคารกลางโดยที่ชาวอเมริกันไม่รู้ว่าตัวเองถูกปลิงดูดเลือด อยู่ ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ รู้เรื่องนี้ดีและเคยออกคำสั่งไม่ให้ธนาคารกลางคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากรัฐบาล อเมริกัน แต่ความพยายามของเขาก็ทำให้เขาต้องถูกลอบสังหาร ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัก เขาอาจหาญเปลี่ยนสกุลเงินในการซื้อขายน้ำมันจากดอลลาร์สหรัฐเป็นยูโรดอลลาร์ อย่างฉับพลัน ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ในเวลานั้นซึ่งตกต่ำอยู่แล้วยิ่งตกต่ำลงไปอีก ในที่สุดเขาจึงต้องพบจุดจบอย่างที่เราได้เห็นกันทางสื่อมวลชน เหตุผลประการเดียวของการบุกโจมตีอิรักก็คือ เพื่อยึดน้ำมันของอิรักไว้และบังคับให้ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐซื้อขายน้ำมันที่ปล้นมา เพื่อพยุงความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์ไว้ อิหร่านก็คิดจะทำ เช่นเดียวกับอิรักและก็คงจะพบชะตากรรมเดียวกัน แต่เนื่องจากอิหร่านมีพันธมิตรใหญ่อย่างรัสเซียและจีนที่ต้องการจะเลิกใช้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นทุนสำรองของประเทศเช่นกัน ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสหรัฐที่จะทำกับอิหร่านเหมือนกับอิรัก โลก จะวุ่นวายในวันข้างหน้าก็เพราะปัญหาเรื่องเงินๆทองๆดังที่กล่าวมานั่นเอง http://www.ranthong.com/smf/index.php?topic=28925.0;wap2
บทความ : เคาท์ดาวน์อเมริกา ผู้เขียน : อาจารย์บรรจง บินกาซัน ถ้าธนาคารคือหัวใจของระบบเศรษฐกิจ วันนี้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาก็ถูกยึดไว้แล้วโดยกลุ่มนักการเงินชาวยุโรปที่ถือหุ้นในธนาคารกลางของสหรัฐที่เรียกว่า “เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ” ธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ถูกก่อตั้งขึ้นมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1913 ตามพระราชบัญญัติเฟดเดอรัลรีเสิร์ฟที่ถูกร่างขึ้นโดยพวกนายธนาคารในยุโรปที่เชี่ยวชาญและช่ำชองในเรื่องการเงิน ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ถูกนำเข้ามาในสหรัฐอเมริกาในช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังมีการรณรงค์เลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ในช่วงเวลานั้นเองที่นักล็อบบี้จากยุโรปได้เข้าไปพบนายวูดโรว์ วิลสัน ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ โดยให้สัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินในการรณรงค์เลือกตั้งแก่เขา โดยขอแลกกับการลงนามในพระราชบัญญัติดังกล่าวหากเขาได้ชัยชนะ เมื่อการลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้นลงโดยชัยชนะเป็นของนายวูดโรว์ วิลสัน สิ่งแรกที่ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ทำก็คือ การลงนามในพระราชบัญญัติเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ค.ศ. 1912 นับแต่นั้นมา สหรัฐอเมริกาที่ภูมิใจในอิสรภาพของตนก็ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลทางการเงินของนายธนาคารที่กุมอำนาจธนาคารกลางของสหรัฐซึ่งไม่ใช่ธนาคารของรัฐบาล ธุรกิจสำคัญของธนาคารกลางคือการให้กู้และลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ก็คือรัฐบาลสหรัฐนั่นเอง ***การบุกยึดอิรักโดยคำสั่งของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ด้วยการโกหกชาวโลกว่า รัฐบาลอิรักครอบครองอาวุธทำลายร้ายแรง ***การอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการบุกยึดลิเบียโดยใส่ร้ายพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ว่าเป็นเผด็จการ ***ความพยายามจะโจมตีอิหร่านโดยโกหกชาวโลกว่าอิหร่านพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นภัยต่อสันติภาพ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะยึดบ่อน้ำมันในประเทศดังกล่าวไว้และบังคับให้ประเทศต่างๆต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายน้ำมันต่อไปเท่านั้นเอง วันนี้รัสเซียไม่ยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติ รัสเซียจึงต้องเผชิญชะตากรรมเหมือนกับชาติต่างๆที่กล่าวมา ตอนนี้มีข่าวว่าจีนกำลังลดการสำรองเงินดอลลาร์สหรัฐอีก ท่านผู้อ่านจินตนาการเอาเองก็แล้วกันครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า http://www.oknation.net/blog/knowislam/2014/08/09/entry-1
มันเฟ้อเกินไปไม่มีอะไรควบคุม เหมือนย้อนเวลาเก่าๆที่โรมันยึดทอง แล้วมูลค่าทองก็ตกลงเรื่อยๆจนต้องใช้เงินเสริม ไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป
สกุลเงินมีค่าเพราะความน่าเชื่อถือ และความน่าเชื่อถือของอเมริกาก็เสื่อมลงเรื่อย ๆ ในขณะที่จีนก็พยายามที่จะดันเงินหยวนขึ้นมาเป็นอีกสกุลหลัก เช่นการเสนอให้เข้าเป็นสกุลเงินในตะกร้าเงินของ IMF (ซึ่งโดนปฏิเสธไปแล้วตามคาด) หรือการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย แถมด้านความเป็นมหาอำนาจก็โดนรัสเซียเตะตัดขาอยู่เนือง ๆ ดอลลาร์จะถึงกับเป็นเศษกระดาษมั้ย? คงไม่หรอกครับเว้นเสียแต่ว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะพังยับเยิน ซึ่งก็เป็นไปได้ยากเพราะโลกทุกวันนี้แต่ละประเทศก็เกื้อหนุนกัน อเมริกาใหญ่เกินกว่าจะล้มครืนลงไปโดยไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเลย แต่ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นจริง เงินดอลลาร์ก็คงด้อยค่าไปไม่น้อย
ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บรรดาอาณาจักรต่างๆ มีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด แล้วก็ล่มสลายไป มันเป็นอย่างนี้มาตลอด ตอนรุ่งเรืองก็คงไม่มีใครคิดว่าจะล่มสลายได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ผมเชื่อว่าอเมริกาก็เช่นกัน อยู่ที่ว่าจะรุ่งเรืองอยู่ได้อีกสักกี่ปี
ตราบใดที่สหรัฐยังเป็นมหาอำนาจทางด้านทหาร เงินดอลล่าก็ยังมีค่าสูงตราบนั้น สหรัฐพิมพ์ 100 ดอลล่า 1 ฉบับ ใช้ต้นทุนแค่ไม่กี่เซ็น แต่สามารถเอามาแลกซื้อสินค้าจากประเทศได้ตั้งมากมาย เช่นซื้อข้าวจากไทยได้นับครึ่งตัน ซึ่งชาวนาต้องทำงานลำบากหลายเดือน กว่าจะได้เก็บเกี่ยว แต่...ประเทศอื่นจะพิมพ์ธนบัตรตามใจชอบแบบที่สหรัฐทำไม่ได้ ต้องมีทองคำสำรอง มิงั้นเงินจะด้อยค่า ไม่มีใครอยากได้
ระบบเงินดอลล่าร์กำลังจะพังทลาย !!! ปี 1971ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐ ได้ออกมาประกาศยกเลิกการใช้ทองคำหนุนหลังธนบัตร การประกาศยกเลิกนั้นทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นเพียงชาติเดียวที่สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาเป็นปริมาณเท่าใดก็ได้ และในปี 2008 เกิดวิกฤติอสังหาแตกในอเมริกา และ FED ก็ได้พิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมาใช้มากกว่าระดับปกติถึง 3 เท่าตัว เพื่อเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงเศรษฐกิจเพราะ รัฐบาลเองประสบปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่สามารถใช้นโยบายการคลังอุ้มได้แล้ว ตั้งแต่มีการตั้ง FED ในปี 1913 และประธานาธิบดีนิกสันยกเลิกผูกเงินดอลล่ากับทองคำในปี 1971 FED เองก็มีหน้าที่ในการควบคุมการผลิตเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจอเมริกาและจะเห็นว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาภาวะเงินฝืดก็แทบไม่เคยปรากฏในระบบเศรษฐกิจอเมริกาอีกเลย และด้วยเงินดอลล่าร์คือสกุลเงินหลักของโลก ทำให้ภาวะข้าวของแพงระบาดหนักไปทั่วโลก และมันเป็นจุดเริ่มความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจอเมริกันในทศวรรษหน้า http://deerfreedom.blogspot.com/2013/07/blog-post.html
แนวคิดนี้เห็นมีพูดกันมากเหมือนกัน แต่ก็มีคนเห็นต่างว่า ยาก เพราะเงินหยวนเองก็ยังไม่สามารถเข้าไปแทนที่ ดอลล่าร์ได้เท่าไหร่ และถึงแม้ว่า หยวนที่ถูกเลื่อนการบรรจุเข้าตะกร้าเงินหลัก สุดท้ายจะได้เข้าไปจริง ก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานมากครับกว่าจะแทนที่ดอลล่าร์ได้ มุมมองผมคิดว่า กว่าจะถึงตรงจุดน้ั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกิดขึ้นก่อน โดยที่ดอลล่าร์อาจไม่ล่มสลาย
เท่าที่อ่านมีครับมีบางประเทศก็พิมพ์เงิน เข้าสู่ระบบเหมือนกัน -------------------------------------------------------------------------- การพิมพ์เงินออกมาใช้ในปัจจุบันเรียกว่า QE เจ้า Quantitative Easing หรือ QE เนี่ยะ ไม่เคยปรากฏตนในหนังสือเรียนทางเศรษฐศาสตร์เลย หรือมีแต่หาไม่เจอก็ไม่ทราบได้ แต่มันเพิ่งมาดังเอาในไม่กี่ปีก่อน โดยเราได้ยินคำนี้กันมาตั้งแต่หลังเกิดวิกฤติ Subprime ที่โด่งดังในสหรัฐฯ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้า QE ที่ว่ามันก็คอยมาหลอกหลอนเรามาจนถึงทุกวันนี้ แล้วเจ้า QE มันคืออะไรล่ะ บางคนเขาบอกว่ามันคือสภาพที่ไม่มีกลไกอื่นที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่วิกฤติให้กระเตื้องขึ้นได้แล้ว จากข้อจำกัดที่ว่า ธนาคารกลางจึงใช้วิธีเสกเงินจำนวนมหาศาลโดยไม่มีอะไรมารองรับ แล้วผลักเงินเข้าสู่ระบบโดยตรงเพื่อเข้าไประดมซื้อสินทรัพย์คือตราสารทางการเงินต่างๆ ในตลาด เป็นการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมา แล้วนำเงินไปลงทุน เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือให้แบงค์ต่างๆ กู้ต่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำมากๆ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้แบงค์เหล่านั้นนำเงินไปปล่อยกู้อีกที ทำให้ระบบมีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น QE จึงเป็นการเพิ่มเงินที่คล้ายเลือดเข้าไปในระบบพร้อมกับปั๊มหัวใจที่กำลังอ่อนแรงจะหยุดเต้นให้เลือดหมุนเวียนทั่วร่างกายขึ้นมาอีกครั้ง ก็อาจจะรอดจากโคม่าบ้าง ไม่รอดบ้างมั่งแหละ และ FED ไม่ใช่แห่งแรกที่ออก QE ใครจะออกก่อนไม่รู้ แต่ไม่ได้ใช้คำว่า QE แน่ๆ อังกฤษก็เคยทำมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว ญี่ปุ่นโดย BOJ เขาก็ใช้มาตรการ QE ตั้งแต่ปี 2001 โดยเสกเงินเอาไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมาเก็บไว้ ทำให้งบดุลที่มีขนาด 5 ล้านล้านเยน พุ่งปรี๊ดไปเป็น 35 ล้านล้านเยนภายในเวลาเพียง 3 ปี และแขวนเติ่งอยู่อย่างนั้นจนถึงปี 2006 จนกลับมาอยู่ที่ไม่ถึง 10 ล้านล้านเยน แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นจริงมาจนทุกวันนี้ http://deerfreedom.blogspot.com/2013/06/blog-post_1.html
ถ้าหากดินแดนอื่นๆใดเศรษฐกิจดี ก็ส่งพ่อมดการเงินไปทุบเศรษฐกิจให้ยุบซะ จนหมดโอกาสเติบโต ก้จะไม่มีดินแดนอื่นใด มีเศรษฐกิจที่เหนือกว่าได้
QE ก็เหมือนไฮโลโกงเต๋า หรือขายตรงขยายดาว์ไลน์ ตราบใดที่มีคนโง่ไปเล่นกับมัน มันก็ไม่เจ๊งหรอกครับ แล้วคนทำกิจการแนวนี้ถ้าฉลาดพอ ก็เอาเงินที่ดูดมาได้ ไปลงทุนให้งอกเงยโดยการซื้อทรัพย์สินอื่นๆ ทำกำไร หรือสร้างธุรกิจอื่นที่มั่นคงกว่ารองรับได้ ต่อให้ในอนาคตธุรกิจบ่อนโกงเต๋าเจ๊ง ขายตรงแต่หาดาวไลน์ไม่ได้อีกแล้ว เพราะคนรู้ไต๋ แต่ก็รวยไปแล้ว การเงินมีปัญหาก็พื้นได้ กลับมามีคนนับหน้าถือตาเหมือนเดิม แม้จะมีคนเกลียดขี้หน้ามากขึ้น หากินแบบเดิมๆยากขึ้นก็ตามที แต่จะทำอะไรได้ ยังไม่นับกรณีว่ามีปืนโตอีก ทุกคนต้องเกรงใจ สะดวกหลายอย่าง รู้เค้าหลอกก็ต้องยอมให้หลอก เพราะเกรงปืน ว่างๆ ยังไปชี้หน้าด่าคนอื่น แล้วยกพวกถล่ม ปล้นเงินกันดื้อๆได้อีก
ถ้าตามประวัติศาตร์ที่ผ่านมา จะมีตัวตายตัวแทนผงาดขึ้นมาแทนที่ อาณาจักรที่ล่มจม ไม่งั้นเราคงไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้หรอกครับ
ถ้าให้รัฐบาล"นอมินีทักษิณ"บริหารประเทศต่อไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นได้ครับ ที่ประเทศเราจะต้องฉิบหาย จนมีหนี้สินล้นพ้นตัว และเงินบาทก็จะกลายเป็นเศษกระดาษแน่นอน แต่โชคดีของประเทศไทย ที่รัฐบาลห่วยๆมันโดนเบรคไปเรียบร้อยแล้ว ***ตามข้อมูลข้างล่าง เงินบาทไทย ไม่ใช่ขี้ๆนะครับ*** จำนวนประเทศ ใน โลก จากแหล่งที่เป็นที่ยอมรับ จากแหล่งต่างๆ 192 จำนวนประเทศ จาก United Nations (หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า ยูเอ็น) ยูเอ็น. กำหนดจำนวนประเทศไว้ที่ 192 ประเทศ โดยนครรัฐวาติกัน(Vatican) โคโซโว(Kosovo) และไต้หวัน(Taiwan) ไม่ได้เป็นสมาชิกของยูเอ็น. 194 จำนวนประเทศ จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (United States' State Department) ก็ตามประเทศที่สหรัฐอเมริกามีนโยบายติดต่อกันในระดับรัฐบาล(Political Agenda) โดยสหรัฐไม่นับ ไต้หวัน เป็นประเทศ เนื่องจาก เกรงใจจีน(แต่ก่อนเคยนับเป็นประเทศ แต่เมื่อจีนออกมา ประกาศว่าไต้หวันเป็นเพียงหนึ่งในจังหวัดของจีน ทุกฝ่ายก็จังหวัดก็จังหวัด) 195 จำนวนประเทศ เป็นจำนวนประเทศในโลก ที่ยอมรับไต้หวัน(Taiwan) เป็นสหาย แต่ต้องเสี่ยงบาดหมางกับพี่จีนหน่อย เนื่องจากจีนไม่ยอมรับ ไต้หวันเป็นประเทศ จีนกล่าวว่า ไต้หวันเป็นเพียงจังหวัด 1 ของจีนเท่านั้น จึงแทบไม่มีใครใช้ตัวเลขนี้ 257 จำนวนประเทศ ที่นับรวมเมืองในอาณานิคมของชาติต่าง และเขตปกครองพิเศษ เช่น ฮ่องกง http://wowboom.blogspot.com/2009/12/how-many-countries-in-world.html ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตามข้อมูลของสมาคมโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT) สกุลเงินบาทได้รับการอันดับเป็นสกุลเงินอันดับที่ 10 ของโลกที่ใช้ในการชำระเงินระหว่างประเทศ (most frequently used currencies in World Payments)[1] https://th.wikipedia.org/wiki/บาท_(สกุลเงิน)