เมื่อวันอาทิตย์ก่อน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม ที่ผ่านมา ตะนิ่นตาญี ต้องไปงานศพ ถึง สามงาน เรียกว่า วิ่งรอกกัน หัวปั่น ยังดีอยู่ที่สองในสามงานนั้น เป็น วัดเดียวกัน คือ วัดละหาร อยู่ บางบัวทอง สองงานนี้เป็น งานเผา ตอนสี่โมง งานหนึ่ง กับ ห้าโมง งานหนึ่ง อีก วัดหนึ่ง คือ วัดธาตุทอง อันนี้เป็น งานสวด ตอนหนึ่งทุ่มตรง ตัดสินใจจอดรถไว้ ที่ สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่องห้า โดดขึ้นรถไฟฟ้า จึงทันพระสวด กลับมาถึงบ้านตั้งใจว่าจะเขียน เรื่อง "มรณานุสติ" อีกสักครั้ง เพื่อให้ตัวเองรำลึกไว้เสมอว่า "มรณัง สุขํ อรหัง สุขโต นะโม พุทธายะ" แต่ ก็ นึกขึ้นได้ว่า วันที่ ๑๖ ที่จะถึง มี งาน พระราชทานเพลิงศพสมเด็จสังฆราช ตั้งจิต-ตั้งใจ รักษากาย-วาจา-ใจ ให้ ผ่องแผ้ว เพื่อ ระลึกถึงคุณ ของ สมเด็จฯ ท่าน ดีกว่า ************************************************************************* จักรวาล มี ขอบเขต ทะเล-มหาสมุทร มี ฝั่ง เขียนหนังสือ ต่อ ให้ ยาวขนาดอ่านจนหลับ ก็ ยังมี บทสิ้นสุด ลง ได้ นั่นคือ สรรพสิ่ง ทุกประการ ย่อม จะมี จุดเริ่มต้น-ตั้งอยู่-สิ้นสุด ดังนั้นแล้ว มรณัง จึงเป็นที่สุด ของ ชาตะ ใคร อยากเกิดก็ต้องรับให้ได้ว่า ต้องตาย จะไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ เกิดได้ ต้อง ตายได้ เป็น ธรรมดา ... แต่ถ้าไม่อยากเกิด และ ไม่เกิดอีก จะได้ไม่ต้องตาย อย่างนี้ ถือเป็น อมตธรรม ธรรม ที่ ไม่มี วันตาย! มี ปราชญ์ ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่กี่องค์หรอกกระมังครับ ที่ ไปถึง อมตธรรม และ หนึ่ง ใน จอมปราชญ์ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งเดินทางไปถึง อมตธรรม ที่ กล่าวถึง นี้ ได้แก่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จสังฆราชองค์ที่ ๑๙ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ท่าน ได้เข้าสู่ อมตธรรม แล้ว ไม่เกิด-ไม่ตาย อีกต่อไป ... ************************************************************************* ใครจะมาเป็นมาครองตำแหน่ง boss ใหญ่ ใน วงการนี้ ไม่สำคัญ จะดี-จะเลว นั้น เป็นเรื่องของเขา จะหลงไหลได้ปลื้มกับลาภยศสรรเสริญ ก็ ช่าง จะขึ้นสวรรค์ไปกับธรรมกายก็ไปเหอะ ตามสบายไม่ขัดข้อง แต่ ไม่ต้องมาชวน ตะนิ่นตาญี ไม่ไปด้วยหรอก ขออยู่ในโลกที่มีทั้งสุขและทุกข์ต่อไป อาศัย เพียงเมตตาอย่างเดียว ก็ พอจะกินจะใช้จนวันตาย และ ด้วย เมตตา อย่างเดียวนี่แหละ ที่ทำให้ อยู่ได้ ใน พุทธศาสนา เพราะ สำหรับ ตะนิ่นตาญี แล้ว "สมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้าย ของ ประเทศไทย" ท่านได้ถึงแก่ พระนิพพาน ไปแล้ว ... ที่ กราบไหว้ อยู่ ทุกวัน ที่ เหลืออยู่นี้ กราบไหว้ผ้าสามผืนเพื่อ ระลึกถึงพระคุณของศาสนาพุทธ ของ พระพุทธเจ้า หวังว่า จะได้ เจอ ภิกษุ ที่แท้จริง ... ไม่ใช่ กาฝาก ใน ผ้าเหลือง! ตะนิ่นตาญี วันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๐๖.๓๖ นาฬิกา
เรื่องจะรู้ได้ถึงอริยะสงฆ์ยากครับที่สามัญชนจะเข้าถึง ในความเห็นของผม ทำให้พุทธประวัตินึกถึงพราหมณ์ สุภัททะ ภุกษุรูปสุดท้ายที่พระพุทธองค์บวชให้ โดยมีเรื่องย่อดังนี้ " โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า สุภัททะ เดิมเป็นพราหมณ์อยู่ในตระกูลใหญ่ ต่อมาได้ออกบวชเป็นปริพาชก อยู่ในเมืองกุสินารา กระทั่งวันหนึ่งเมื่อ สุภัททะ ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าประชวรหนัก และใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน สุภัททะ ซึ่งมีข้อสงสัยอยู่ อยากจะขอให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพื่อแก้ข้อสงสัยนั้น จึงเดินทางไปยังเมืองสาลวัน โดยตรงไปหาพระอานนท์ ก่อนแจ้งความประสงค์ขอเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ด้านพระอานนท์ได้ออกมาห้ามไว้ เพราะเกรงว่า การให้ สุภัททะ เข้าพบพระพุทธเจ้านั้น อาจเป็นการรบกวนพระองค์มากขึ้น พระอานนท์ จึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงลำบากพระวรกายมากอยู่แล้ว พระองค์ทรงประชวรหนัก จะปรินิพพานในยามสุดท้ายแห่งราตรีนี้แน่นอน ฝ่าย สุภัททะ เมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ยังคะยั้นคะยอจะขอเข้าเฝ้าให้ได้ เนื่องจากเห็นว่า โอกาสของตนเหลือเพียงน้อยนิด จนพระอานนท์ต้องห้ามปรามอยู่ถึง 3 วาระ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าทรงได้ยินเสียงโต้ตอบนั้น ต่อมาพระพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งพระอานนท์ว่า สุภัททะ มุ่งหาความรู้ มิใช่ประสงค์จะเบียดเบียนพระองค์ ขอให้ปล่อยให้เขาเข้าเฝ้าเถิด เมื่อ สุภัททะ ได้เข้าเฝ้าสมประสงค์ ก็เข้ากราบลงใกล้เตียงบรรทมแล้วกล่าวว่า ตนเองนั้นเพิ่งบวชเป็นปริพาชกมาไม่นาน ได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือเกียรติคุณแห่งพระองค์ แต่ก็ไม่เคยได้เข้าเฝ้า ดังนั้น เมื่อพระองค์จะดับขันธปรินิพพานแล้ว จึงขอให้ตนได้ถามถึงข้อข้องใจบางประการ เพื่อที่จะได้ไม่เสียใจภายหลัง จากนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเปิดโอกาสให้ สุภัททะ จึงได้ถามว่า คณาจารย์ทั้ง 6 คือ ปูรณะ กัสสปะ มักขลิโคศาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธะ กัจจายนะ สัญชัย เวลัฏฐบุตร และนิครนถ์ นาฏบุตร เป็นศาสดาเจ้าลัทธิที่มีคนนับถือมาก เคารพบูชามาก ศาสดาเหล่านี้ยังจะเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสหรือไม่ประการใด ซึ่งคำถามดังกล่าว ทำให้พระอานนท์ถึงกลับกระวนกระวาย เพราะเรื่องที่ สุภัททะ มารบกวนพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระเหลือเกิน แต่พระพุทธก็ได้ตรัสขึ้นว่า เวลาของท่านนั้นเหลือน้อยแล้ว ขอให้ สุภัททะ ถามสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองเถิด ดังนั้น สุภัททะ จึงเลือกถามปัญหา 3 ข้อ คือ 1. รอยเท้าในอากาศมีอยู่หรือไม่มี 2. สมณะภายนอกศาสนาของพระองค์มีอยู่หรือไม่ 3. สังขารที่เที่ยงมีอยู่หรือไม่ ในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า รอยเท้าในอากาศนั้นไม่มี ศาสนาใดไม่มีมรรคมีองค์ 8 สมณะผู้สงบถึงที่สุดก็ไม่มีในศาสนานั้น และสังขารที่เที่ยงนั้นไม่มีเลย จากนั้นพระองค์ทรงถามว่า สุภัททะ ยังมีความแคลงใจในเรื่องใดหรือไม่ เมื่อ สุภัททะ ตอบว่า ไม่มี พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมเทศนาโดยย่อ นั่นคือ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 เป็นทางประเสริฐสามารถให้บุคคลผู้เดินไปตามทางนี้ถึงซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่ เป็นทางเดินไปสู่อมตะ ดังนั้น ถ้าภิกษุหรือใคร ๆ ก็ตามที่พึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตามมรรคาอันประเสริฐประกอบด้วยองค์ 8 โลกนี้ก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ เมื่อ สุภัททะ ได้ฟังพระพุทธดำรัสจึงเกิดความเลื่อมใส ทูลขอบรรพชาอุปสมบท โดยพระพุทธได้องค์ตรัสว่า ผู้ที่เคยเป็นนักบวชในศาสนาอื่นมาก่อน ถ้าประสงค์จะบวชในศาสนาของพระองค์จะต้องอยู่ติตถิยปริวาส คือบำเพ็ญตนทำความดีจนภิกษุทั้งหลายไว้ใจเป็นเวลา 4 เดือนก่อน แล้วจึงจะบรรพชาอุปสมบทได้ ตามประเพณีที่พระองค์ทรงตั้งไว้เป็นเวลานานมาแล้ว โดย สุภัททะ ก็ยืนยันว่า เขาพอใจอยู่บำรุงปฏิบัติภิกษุทั้งหลายสัก 4 ปี เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นความตั้งใจจริงของสุภัททะ จึงสั่งให้พระอานนท์นำสุภัททะไปบรรพชาอุปสมบท พระอานนท์รับพุทธบัญชาแล้วนำ สุภัททะ ไปปลงผมและหนวด ก่อนบอกกรรมฐานให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์และศีล สำเร็จเป็นสามเณรบรรพชา แล้วนำมาเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ทรงมหากรุณาให้อุปสมบทแก่ สุภัททะ เป็นภิกษุโดยสมบูรณ์ ก่อนตรัสกัมมัฏฐานให้อีกครั้งหนึ่ง จากนั้น สุภัททะ ภิกษุใหม่ ซึ่งตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะพยายามบรรลุอรหัตตผลให้ได้ในคืนนี้ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพาน จึงออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่สงัดแห่งหนึ่งในบริเวณอุทยานสาลวัน พร้อมด้วยพิจารณาข้อธรรมนำมาทำลายกิเลสให้หลุดร่วง แม้เหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ไม่ย่อท้อ จนกระทั่งบรรลุธรรมได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งนับว่า สุภัททะ เป็นพระอัครสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธเจ้าทรงประทานบวชให้ พร้อมกับการเป็นปัจฉิมสักขิสาวก หรือสาวกองค์สุดท้ายผู้เป็นพยานการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั่นเอง" ที่มา http://hilight.kapook.com/view/86806
พวกเพ่งโทษแต่ผู้อื่น อวดรู้ อวดตน แต่ไม่มีอะไร วัน ๆ ได้แต่โพสต์ไร้สาระน่าจะเข้าข่ายนะ ว่าแต่น่าตาดีเป็นแบบที่อ้างถึงไหมล่ะ
หวังว่า จะได้ เจอ ภิกษุ ที่แท้จริง ... ไม่ใช่ กาฝาก ใน ผ้าเหลือง! ผมหามาให้แล้ว ภิกษุที่แท้จริงที่หา พระของแผ่นดินนะเนี้ย
เล่นเรื่องจำนำข้าวก็แถไปนู่น โดนทวงเรื่องอุทยานก็ตุ้ดแตก หันไปกัดลุงกำนันก็โดนไม้ตีหมา ตอนนี้หันมากัดพุทธอิสระจนได้ สันดานควายขี้แพ้ เป็นกันได้ยากนะครับ
พระยาหน้าส้นทีนนับวันมันจะออกแนวโรคจิตหรือตอนนี้มันก็ป่วยทางจิตไปแล้ว อีกไม่นานมันคงรั่วเต็มขั้นแบบกู่ไม่กลับ
ขออภัย ตะนิ่นตาญี ผมกะมาเมนต์พอหอมปากหอมคอ แต่พวกแฟนคลับผม แห่ตามมางับแข้งงับขาจะขอส่วนบุญ ทำให้กระทู้นี้เลอะ ยังไงก็เคลียร์ปัดกวาดเช็ดถูกันเอาเอง ผมไม่ได้ทำให้เลอะนะฮ้า
555+ ขอบพระคุณ คุณ Hilton (ปาล์มมาลี) มากครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ ทราบอยู่แล้วว่า น่าจะโดน ต่อว่า-ต่อขาน พอสมควร ครับ ขอบพระคุณ คุณ Hilton (ปาลม์มาลี) คุณ ktc คุณอาวุโสฯ คุณปู่ยง คุณ jsn คุณ alamos คุณ redfrog คุณ paradon มากครับ ที่ กรุณา ตะนิ่นตาญี วันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๑.๐๙ นาฬิกา
สมเด็จพระญาณสังวรฯ ท่านเคยกล่าวไว้ในพระนิพนธ์ว่า ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก เรายังดีที่ยังมีลมหายใจ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้อยู่กับคนที่เรารัก ในขณะที่ญาติพี่น้องของผมที่ล่วงลับไป หลายๆ คน พวกเขาไม่มีโอกาสได้อยู่ถึงวันนี้แล้ว เราได้แต่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เมื่อมีโอกาส ตามความเชื่อของชาวพุทธ คิดถึงพวกเขาทัั้งตอนอยู่และตอนจาก ทุกครั้งที่วางดอกไม้จันทน์หน้าศพ ได้เห็นศพถูกเชิญไปใส่เตาเผาในเมรุ ช่วงเวลานั้นก็เคยคิดว่า ยังไงก็ต้องถึงคิวเราแน่ๆ
อ่านที่ คุณ อู๋ คาลบี้ เขียนมาแล้ว สะท้อน ให้ เห็น ได้อย่างชัดเจน ว่า ... คนเรานั้น โชคดีมากแค่ไหนที่เมื่อได้เกิดมา ... ได้ทำสิ่งที่ตนอยากทำ ... ได้อยู่กับคนที่เรารัก ดังนั้นเมื่อเกิดมาแล้ว "ต้อง" ทำความดี ... "ต้อง" ทำบุญกุศล ... ไม่ใช่เพื่อตัวเอง หากแต่เพื่อสรรพสิ่งทุกประการ เพราะ เราไม่มีทางรู้ได้เลย ว่า เมื่อไหร่เราจะตาย ขอบพระคุณ คุณอู๋ คาลบี้ มากครับที่ทำให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ตะนิ่นตาญี วันอังคารที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๐๖.๒๐ นาฬิกา
ศาสนา ใด ไม่มี มรรคมีองค์แปด ไม่มี สมณะ ผู้สงบ ใน ศาสนา นั้น ************************************************************* มรรค คือ หนทางในการดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่ง ของ อริยสัจ มรรคมีองค์แปด ได้แก่ ความเห็นที่ดี ความคิดที่ดี ฯลฯ เหล่านี้จะสร้างหนทาง ในการเข้าถึงอริยสัจ และ เข้าใจ ใน คำถามสุดท้าย คือ สังขาร เที่ยง ไหม ... เข้าใจว่า ทุก สรรพสิ่ง นั้น ย่อม มี เกิด-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่อาจยึดถือสิ่งใดไว้ได้เลย ... ขอบพระคุณ คุณอาวุโสโอเค มากครับ ตะนิ่นตาญี วันอังคารที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๐๖.๔๓ นาฬิกา
555+ ขอบพระคุณ คุณ jsn และ คุณ Paradon มากครับ ตะนิ่นตาญี วันอังคารที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๑.๑๕ นาฬิกา
เดียวนี้หากระทู้ดีๆมีสาระยากขึ้นทุกวัน ในเเต่ละวันต้องมาอ่านกระทู้ขยะๆเเล้วต้องมาตอบโต้เรื่องขยะๆ พอได้อ่านกระทู้นี้เเล้วรู้สึกสบายใจ ขอบคุณมากครับ คุณ ตะนิ่นตาญี
ขอบพระคุณ คุณ redfrog มากครับ ขอบพระคุณ คุณ emujack มากครับ ตะนิ่นตาญี วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๐๖.๔๙ นาฬิกา