เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่ารัฐบาลจะเข็น พรบ.น้ำ ถ้าออกมาได้ ก็จะสร้างปัญหาให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง หนักกว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) กล่าวว่าร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรนํ้าฉบับใหม่ (http://bit.ly/2y89Klu) ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช. มีหลักการที่ดีก็คือ ใครที่ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมต้องจ่ายภาษี ไม่ใช่นำไปใช้ฟรี ๆ เช่น ในกรณีโรงงาน "กระทิงแดง" หากมีการใช้น้ำจำนวนมหาศาลจากเขื่อนอุบลรัตน์ (น้ำพอง) ก็ควรที่จะเสียภาษี หรืออีกนัยหนึ่งควรที่ซื้อน้ำไปใช้จึงจะสมควร แต่สำหรับชาวนาที่ต้องเสียค่าน้ำอัตราลูกบาศก์เมตรละ 0.5 บาทนั้น เป็นวิธีคิดที่ "ชั่วช้า" มาก เพราะคิดบนฐานว่าประชาชนชาวนา ใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง เพราะขาดความรู้ ความเข้าใจในการใช้น้ำเพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอ จากข้อมูลการเกษตรพบว่า การใช้น้ำทำนานั้น มีปริมาณประมาณ 600 - 1,100 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ (http://bit.ly/2xKQ85W) สมมติหากใช้น้ำ 900 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ก็ต้องเสียภาษีไร่ละ 450 บาท ถ้าทำนาได้ 2 ครั้งก็เสีย 900 บาท ถ้าทำนาปีละ 3 ครั้ง ก็จะเสียเป็นเงิน 1,350 บาท ถ้าสมมติให้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสียปีละ 1,000 บาท และที่ดินเพื่อการเกษตร มีมูลค่าไร่ละ 100,000 บาท ก็เท่ากับเสียภาษี 1% ในขณะที่ที่ดินเกษตรกรรมตามร่าง พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เกษตรกรที่มีที่ดินที่มีราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี และหากต้องเสียก็จะเสียภาษีในอัตราเพดานเพียง 0.2% (http://bit.ly/2ysmcbR) ตามข้อมูลของทางกรมชลประทานในประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำรวมของทั้งประเทศ ในปี พ.ศ. 2560 อยู่ที่ประมาณปีละ 151,750 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นความต้องการน้ำเพื่อการเกษตร สูงถึง 113,960 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 75 ของความต้องการน้ำทั้งหมด (http://bit.ly/2hxrjAq) ถ้ามีการเก็บภาษีที่ 0.5 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ก็เท่ากับจะได้ภาษีถึง 56,980 ล้านบาท ถ้ามีการเก็บภาษีจำนวนนี้ ก็คงทำให้สินค้าต่าง ๆ พาเหรดกันขึ้นราคากันยกใหญ่ อีกประเด็นหนึ่งก็คือ รายได้จากการจัดเก็บภาษีนี้อาจไปสู่ "25 ลุ่มน้ำ" ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่า ใครจะเป็นคนได้รับภาษีนี้ไปใช้ แตกต่างจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เก็บในท้องถิ่นและใช้ในท้องถิ่น ถ้าท้องถิ่นใดเสียภาษีน้ำแล้ว แต่เงินไม่ได้เข้าท้องถิ่น แต่ไปเข้าที่อื่น ก็คงจะเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นอีก และหากเงินเข้าท้องถิ่น ก็จะสามารถตรวจสอบได้ชัดเจนกว่าที่จะเข้าสู่ส่วนกลางหรือผ่าน "25 ลุ่มน้ำ" สิ่งที่รัฐควรดำเนินการก็คือการขายน้ำ ให้กับกิจการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น บริษัทกระทิงแดงแถวเขื่อนอุบลรัตน์ บริษัทเบียร์ เช่น เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง บริษัทของนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่นำน้ำดิบมาใช้ เป็นต้น แต่คงไม่ใช่ ณ อัตรา 3 บาทต่อลูกบาศก์เมตร เพราะเป็นอัตราที่สูงเกินจริง การจัดเก็บภาษีนี้ และโดยเฉพาะค่าสัมปทานน้ำบาดาล ยิ่งต้องมีการจัดเก็บที่สมเหตุสมผล หาไม่ก็จะสร้างความไม่เท่าเทียมในสังคม ที่มา: http://bit.ly/2xEZFLo
(ปัญญาประดิษฐ์) ท่านนี้ที่พันทิปเขียนไว้ดี ชอบคำว่า "นักการเมืองสายเปย์" (อิอิ เปย์โดยไม่ได้จกเงินตัวเอง แต่เอาเงินหลวงมาเปย์) ขออนุญาตยกมาตอบ " ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่เลยนะ ขาดจิตสำนึก และชอบของฟรีจนเคยตัว จะให้ควักจ่ายอะไร จะบ่นไปเรื่อย.. เพราะตรรกะคนส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหาประเทศ คือพวกมักง่าย ก็คิดได้แค่นี้..ถึงได้รัก ได้หลง นักการเมืองสายเปย์ จนเกิดความวุ่นวายมาถึงวันนี้ แค่เจอของฟรี เงินทอง หรืออะไรที่นักการเมืองมายื่นให้ ก็รีบรับทันที ไม่รู้จักคิด วันนี้เจอ..ชนชั้นปกครองที่เขามาเปลี่ยนพฤติกรรม ความมักง่ายของคนไทยส่วนใหญ่ ก็ออกมาร้อง ...หุหุ หลายเรื่องแล้ว ท้องเรื่อง หาบเร่ทางเท้า..เรื่องนั่งท้ายรถกระบะ... มาถึงเรื่องเก็บค่าน้ำ...นี่มันคือการดัด..แบบตรงๆ พฤติกรรมเปลี่ยน..สังคมมันจะเปลี่ยนครับ แต่เชื่อเถอะ..คนไทยที่มักง่าย จะต้องออกมาร้อง.. เรื่องนี้..เราแบ่งสีไม่ได้..เอาเป็นว่า มันเยอะมากนะคนไทยที่มีพฤติกรรมและวิธีคิด..แบบนั้น " สมาชิกหมายเลข 4078553 ขอขอบคุณ ^^
แต่ว่าไปแล้ว เรื่องจัดเก็บค่าน้ำ อยู่ที่ สนช. ยังไม่ได้บังคับใช้ อย่าเพิ่งตื่นตูม ให้รอผลที่ออกมาก่อนดีกว่า มันจะเป็นการติเรือทั้งโกลนนะ
พิจารณาไปแล้ว 95 มาตรา แขวนมาตรา 39 เรื่องจัดเก็บค่าน้ำไว้ก่อน ไม่มีคำว่า "ภาษีน้ำ" ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก กฎหมายนี้จะประกาศใช้ล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมที่กะว่าจะใช้ในเดือน ม.ค. 2561 https://today.line.me/TH/pc/article/ประกาศแขวนมาตรา+39+จัดเก็บค่าน้ำ+เหตุละเอียดอ่อนกระทบวงกว้าง-vk6aoK
มันก็น่าแปลกนะ รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารยังกลับรับฟังเสียงประชาชนคนเล็กคนน้อยบ้าง ต่างกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบางรัฐบาลที่ดันทุรังแม้มีเสียงค้านดังกระหึ่มเรื่องนิรโทษกรรมสุดซอย จนตัวเองต้องพังไปเองด้วยการลอบออกกฎหมายตอนตีสี่ คริคริ คริคริ
คงเพราะเราถูกทำให้เชื่อว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้นครับ ทั้งที่ความเป็นจริง วิธีการปกครองคือตัวบ่งบอกว่า ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ