พุทธะที่แท้: พระจับเงินได้!?!

กระทู้ใน 'สภากาแฟ' โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย, 17 ต.ค. 2017

  1. ดร.โสภณ พรโชคชัย

    ดร.โสภณ พรโชคชัย สมาชิกทั่วไป

    สมัคร:
    6 Dec 2016
    คะแนนถูกใจ:
    2
    มีบางท่านบอกว่าพระจับเงินไม่ได้ คนที่นับถือพุทธศาสนาที่แท้ ต้องไม่ให้เงินพระ เดี๋ยวพระเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี นี่เป็นการดูถูกวิจารณญาณพระโดยแท้ ลองมาดูเรื่องดรามา "ห้ามพระจับเงิน" จาก อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์
    ห้ามพระแตะเงิน แต่ไม่ลังเลที่จะใช้มัน โดยเฉพาะเงินคนอื่นหรือไม่ นี่คือทัศนะสุดเพี้ยนของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์หรือไม่ แถมขี้คุยอีกหรือไม่ ท่านบอกว่าท่านเป็นคนส่งพระไพศาล วิสาโล ไปอังกฤษ พระไพศาลต้องมีคนใช้ (ลูกศิษย์) ไปด้วย ไปช่วยชำระเงิน เพราะตนเองแตะเงินไม่ได้ (http://bit.ly/1WJWmpn) ข้อนี้ฟังผิวเผิน ก็จะรู้สึกได้ว่า พระไพศาลเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่แตะต้องเงินทองอะไรเลย
    แต่หากคิดให้ดีในอีกทางหนึ่ง จะต้องทบทวนว่า ความคิดและการปฏิบัตินี้เหมาะสมกับยุคสมัยหรือไม่ เนื้อหาสาระใจกลางของกรณีศึกษานี้ก็คือ
    1. การไม่คิดถึงความสิ้นเปลืองที่ต้องเดินทางไปอีกคนหนึ่งเลย ถ้าไม่ต้องเสียเงินให้คนรับใช้ไปอีก 1 คน เอาเงินที่ประหยัดได้ไปทำประโยชน์ต่อพุทธศาสนา ไม่ดีกว่าหรือ หรือเงินที่ใช้นี้ไม่ใช่เงินส่วนตัวอยู่แล้ว เลยไม่ลังเลที่จะใช้มันเสีย
    2. การมีคนรับใช้ไปด้วย กลายเป็นว่าพระไพศาลกลายเป็นศักดินาไปเลย ใช่หรือไม่ ผมเองอายุจะ 60 ปีอยู่แล้ว ไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องมีใครไปด้วย ไม่ใช่ไปอย่างข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เพราะเล็งเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง
    3. การคิดแบบนี้ตึงเกินไปหรือไม่ ไม่เดินสายกลางหรือไม่ ในสมัยพุทธกาล ฆราวาสสร้างวัด ทำทุกอย่างให้พระ แต่ในสมัยนี้ พระต้องจ่ายเงินเอง
    4. เป็นการทำเท่ ทำตัวเท่ๆ ไม่แตะเงิน แต่มีเงินซ่อนอยู่มากมายไม่ว่าใช่หรือไม่ เป็นการอวดตัวว่าตนเองบริสุทธิ์กว่าคนอื่นหรือไม่ เป็นการหลงแต่ในนิกาย ในบทบัญญัติแบบตายตัวหรือไม่ ทำไมทะไลลามะ (คนละนิกาย) ก็ยังสัมผัสมือกับผู้หญิงได้ พระนางพิมพายังกอดพระบาทพระพุทธเจ้า (http://bit.ly/2ytEYCl) เป็นต้น
    ยิ่งกว่านั้นในอีกแง่หนึ่งเป็นการดูถูกความคิดอ่านของพระ คิดอย่างเดียวว่าพระจะเอาเงินไปใช้ในทางเสื่อมเสีย หรือเอาไปใช้ส่วนตัว การโกงเงินวัดก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องตรวจสอบ แต่การตึงเกินไป ยึดถืออะไรที่คร่ำครึ ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยเกินไป ก็คงไม่ถูกต้อง การจับเงินเป็นแค่อาการที่แสดงออก แต่การถือครองเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ก็ยังเคยบริจาคเงินส่วนพระองค์ 1.615 ล้านบาท (http://bit.ly/2zeFuBN) และต่อมายังบริจาคเงินส่วนพระองค์อีก 200 ล้านบาทเพื่อสร้างอาคารในโรงพยาบาล (http://bit.ly/2gM8ryn) เป็นต้น
    ผมได้แปะข้อความทำนองนี้วิพากษ์ความคิดของอาจารย์สุลักษณ์ และมีผู้มาแสดงความเห็น (http://bit.ly/2kyzos6) จึงขอนำส่วนหนึ่งมาเพื่อเป็นข้อคิด ดังนี้:
    พระชัยมงคล ชยมงคโล: . . .ว่างๆ (อ.สุลักษณ์) ไปส่องแถวขนส่ง สถานีรถไฟดูว่า พระขึ้นรถฟรีไหม ไป รพ.ฟรีไหม ไปฉันตามร้านค้าฟรีทุกที่ไหม เจ็บป่วยพระไปซื้อยาตามร้าน คลีนิคฟรีไหม เข้าห้องน้ำตามสถานีขนส่ง สถานีรถไฟทั่วประเทศ ไปดูฟรีไหม. . .จะมีโยมสักกี่คนที่จะคอยดูแลพระสงฆ์ได้ตลอด เศรษฐีที่จะมีใจทำบุญเหมือนพระนางสุชาดา นางวิสาขา หรืออนาถบิณฑิกเศรษฐียุคนี้หาไม่มี ห้ามพระจับเงินจับทอง แต่จับกระดาษได้ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น
    Jeabby Tg: อันนี้ไปกันใหญ่แล้ว นี่มันยุคไหนแล้วลุง???? จะเผยแพร่ศาสนากันยังไง แค่กฎเกณฑ์มากมาย ของพระสงฆ์เรา ก็เป็นช่องโหว่ ให้ศาสนาอื่นกลั่นแกล้ง แล้วยังห้ามพระถือเงิน แล้วจะเผยแพร่ศาสนากันยังไง สมัยพุทธกาล นั้นมันยุค ต้นๆๆที่ยังไม่มีสกุลเงิน ไปไหนยังเดินเท้าอยู่เลยลุง ลุงต้องหลงยุคมาแน่เลย ความคิดลุงนี่ มันคงมากจากพุทธกาลแน่เลย ยุคนี้ยุคดิจิตอลแล้ว ค่ะ โอ้ย!!! เหนื่อยใจจัง
    ศัทธาแรงกล้า บารมีคุ้มกาย: ถ้าพระไม่ต้องมีเงินดีครับ..แต่ ค่าน้ำค่าไฟ ค่ารถ ค่าเล่าเรียน ของพระภิกษุ สามเณร เครื่องบริขารต่างๆ หากจำเป็นต้องใช้ บางครั้งต้องซื้อ และพระหนึ่งวัดมีกี่รูป ทั่วประเทศ ล่ะมีเท่าไหร่ใครจะคอยไปเป็นธุระให้ บางครั้งพระต้องไปซื้อเองหรือท่านจะอาสาพูดง่ายๆ คิดให้ลึกๆหน่อย ผมอยากเสนอค่าใช้จ่ายสำหรับพระ เณร การศึกษา รัฐควรจะเข้ามาดูแลให้มากกว่านี้
    Sakorn Jansamud: ส.ศิวรักษ์ น่าจะมาบวชเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา แล้วทำได้อย่างสมองคิด &ปากพูด ก็น่าจะเป็นบุญแก่พระศาสนายิ่งนัก ลูกหลาน ส.ศิวรักษ์ ที่มาบวช พากันบวชได้กี่พรรษา ทำได้อย่างที่พูดไหม สมัยนี้...แค่พระลืมจ่ายค่าน้ำค่าไฟ 15 วัน การไฟฟ้ามาตัดไฟที่กุฏิแล้ว นี้ไม่ใช่สมัยกรุงศรีอยุธยา โลกมันหมุนไปไวกว่าที่คิด ท่านอย่าเดินย่ำอยู่กับที่ ทางไหนที่มันไม่แย่จนเกินไป ถ้าจำเป็นที่จะต้องเดิน พระสงฆ์องค์เณรท่านก็ต้องเดิน เพื่อดำรงไว้ซึ่งพระศาสนา
    Apichai Mittparian: ทำอะไรให้แตกต่าง แล้วอวดโว ดีวิเศษกว่า ทั้งหลายล้วนเปลือก ที่หามาเติมแต่ง...แทนที่จะเข้าใจ แท้จริงชี้แนะอะไร ไปกำหนดอะไรให้กดตัวให้จมดิ่ง มากกว่าการปล่อยวางให้ลอยตัว...ขำๆ ความโง่เขลา ที่พยายามให้โดดเด่น เหนือธรรมชาติ...หมา แมว ทำตามธรรมชาติ แค่เลียขนก็สะอาดแล้ว..
    ที่มา: http://bit.ly/2ytHg4p
     
  2. Surawong

    Surawong อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    22 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    1,544
    ผมว่าด็อกเตอร์ต้องทำความเข้าใจกับศาสนาพุทธให้มากกว่านี้นะ เพราะอ่านที่ด็อกเตอร์เขียนและความเห็นของลิ่วล้อที่สนับสนุนด็อกเตอร์แล้ว บอกตรง ๆ ว่ารู้สึก สมเพช มาก ๆ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า คุณและลิ่วล้อ ไม่รู้ว่าการห้ามพระรับเงินเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้ากำหนดขึ้น และมีอยู่ใน พระวินัย

    การที่คุณและลิ่วล้อมาแสดงวาทะไม่เห็นด้วยโดยอ้างบ้า ๆ บอ ๆ คุณรู้หรือไม่ว่าคุณกำลังจะถกเถียงอยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ถกเถียงอยู่กับ อ สุลักษณ์ เพราะ อ สุลักษณ์ แกไม่ได้เป็นผู้ห้ามพระรับเงิน เพราะฉะนั้นคุณและบรรดาลิ่วล้อ ควรถามตัวเองก่อนว่า พวกคุณเป็นใครก่อนที่จะมาแสดงวาทะเลอะเทอะแบบนี้

    พระพุทธเจ้าท่านกำหนดห้ามไม่ให้พระรับเงิน เพราะผู้ที่เข้ามาบวชเป็นสาวกของท่านต้องการดำเนินตามแบบของท่าน ต้องการพ้นทุกข์ ต้องการพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงเล็งเห็นแล้วว่าเรื่องใดที่จะเป็นปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ ท่านก็ทรงห้ามไว้ไม่ให้ทำหลายเรื่องหลายอย่าง รวมทั้งการรับเงินด้วย แล้วพวกคุณเป็นใครที่มาแสดงวาทะไม่เห็นด้วย พวกคุณอยากใช้เงินอยากนอนกอดเงินก็อย่าเข้ามาบวชเท่านั้นเอง ไม่ได้มีใครบังคับให้พวกคุณมาบวช การอ้างนักบวชนิกายอื่น ยิ่งแสดงให้เห็นว่า จริง ๆ แล้วคุณไม่ได้สนใจเรื่องศาสนาพุทธเลย คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระสงฆ์ไทยนี่เขาถือนิกายอะไรถึงเอานิกายอื่นมาอ้าง

    คุณมันเหมือนทำได้แค่คอยจับผิดคนอื่นโดยเอาคำพูดบางคำที่เขาพูดมาโต้แย้งโดยไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง แล้วอวดรู้ตั้งชื่อกระทู้ว่า พุทธะที่แท้ พระจับเงินได้ แล้วก็พล่ามในเนื้อหาบ้า ๆ บอ ๆ แถมมีความเห็นลิ่วล้อสนับสนุนมาให้ดูด้วย มันแสดงให้เห็นว่าคุณและลิ่วล้อไม่รู้ว่าศาสนาพุทธนั้น มองเจตนาเป็นสำคัญ พระจะจับเงิน จับผู้หญิง หรือจับอะไรก็แล้วแต่ มันอยู่ที่เจตนาครับ ว่าขณะที่ท่านจับต้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นท่านมีเจตนาอย่างไร ไม่ใช่จับเป็นผิดอย่างที่พวกคุณเข้าใจว่า อ สุลักษณ์ เขาหมายความอย่างนั้น

    กรณีของ อ สุลักษณ์ แกทำถูกต้องแล้ว เพราะถ้าแกขืนให้เงินพระไพศาล ถือไปเอง ก็เท่ากับว่าพระไพศาลรับเงินจาก อ สุลักษณ์ นั่นแหละ ซึ่งมันผิดวินัยพระ แกถึงให้คนอื่นถือไปแทน แล้วพวกคุณมาโวยวายอะไร ถ้าพวกคุณไม่เห็นว่าวินัยของพระพุทธเจ้ามีความหมายอะไร อยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนตามยุคสมัย ก็อย่าเข้ามาบวชครับ เพราะคนอย่างพวกคุณเข้ามาบวชมันก็ไม่มีความหมายอะไรแตกต่างกับการไม่ได้บวชนั่นแหละ มีแต่จะทำให้วงการสงฆ์มัวหมองไปเรื่อย ๆ

    เรื่องพระรับเงินในสมัยพระพุทธเจ้าก็เคยเกิดขึ้น คุณได้ศึกษาหรือเปล่า มีพระรูปหนึ่งชื่อพระอุปนันทะ จะไปฉันอาหารที่บ้านของผู้ที่นิมนต์ท่านไปฉันเป็นประจำ วันหนึ่งเจ้าของบ้านเตรียมเนื้อไว้เพื่อถวายพระอุปนันทะในตอนเช้า แต่ปรากฎว่าพอตอนเช้าเด็กในบ้านเกิดร้องจะกินเนื้อนั้น เจ้าของบ้านก็เลยเอาเนื้อให้เด็กกินไป พอถึงเวลาพระอุปนันทะมาฉันที่บ้าน เจ้าของบ้านก็บอกพระอุปนันทะว่า ได้เตรียมเนื้อไว้ให้แล้วแต่เด็กมันร้องจะกินเลยให้เด็กกินไป เนื้อนั้นมีมูลค่ 1 กหาปณะ ท่านจะให้ไปจัดหาสิ่งใดมาให้ดี พระอุปนันทะจึงถามว่า ท่านเตรียมเงิน 1 กหาปณะไว้แล้วใช่ไหม เจ้าของบ้านก็ตอบว่าใช่ พระอุปนันทะจึงบอกว่า ถ้างั้นเอาเงินมา เจ้าของบ้านก็ให้เงินไป ซึ่งคงให้แบบไม่เต็มใจเท่าไร เพราะหลังจากให้แล้วก็ไปนินทาว่า เป็นพระสงฆ์มารับเงินแบบชาวบ้านทั่วไปได้หรือ แล้วก็นินทากันไปเรื่อยถึงวงการพระสงฆ์ จนสุดท้ายถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเรียกพระอุปนันทะ มา คำแรกที่พระพุทธเจ้าพูดกับพระอุปนันทะ คือ

    "ดูกรโมฆะบุรุษ" แล้วก็ร่ายยาวไปอีกสองสามบรรทัด ด็อกเตอร์ไปหาอ่านเองแล้วกัน

    ผมชอบตรงคำว่า "โมฆะบุรุษ" เพราะเห็นแล้วนึกถึงด็อกเตอร์ทันที ความหมายของคำว่า โมฆะบุรุษ ไปหาดูเองนะ
     

Share This Page