วันนี้ เรามา"ปรองดอง" รักกัน รักกัน นะ พี่น้อง ที่ผ่านมา หากผมล่วงเกินประการใด ให้ถือซะว่า ครูบาอาจารย์ดุด่าว่ากล่าว ให้ความรู้ นะ นะ ......... ส่วนผมจะไม่ติดใจ จะถือว่า หมามันเห่าใบตองแห้ง ....... ที่มา: มาจากวาทกรรมและเหตุการณ์ทางสังคมการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการปรองดองนับตั้งแต่หลังการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ จนถึงต้นปี ๒๕๕๕. https://thaipolitictionary.com/2012/04/03/ปรองดอง/
สงสัยนายจ้างยังไม่จ่ายเงินเดือนเดือนที่ผ่านมา เลยไปว่ากระทบกระเทียบแม้วตอนรัฐบาลปูออกกฎหมายนิรโทษกรรม นิสัยแว้งกัดอย่างนี้มิน่าถึงต้องมาทำงานรับจ้างโพสต์ตัดแปะอย่างนี้
โอ้ ผมไม่ใส่ใจอะไรที่มือด้วนทำหรอก เพราะรู้ว่าเป็นธรรมชาติของเด็กไร้เพื่อนบางคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยพยายามเรียกร้องความสนใจและยัดเยียดให้คนอื่นแย่กว่าเพื่อให้ตัวเองดูดี แต่จะไม่ให้อภัยถ้ายังไม่เลิกรับจ้างงานชั้นต่ำและกลับไปขอโทษคนที่แอบอ้าง และช่วยเพื่อนที่ติดคุกซะ
นายกรัฐมนตรีลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณากลั่นกรอง เรื่อง เสนอคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ ป.ย.ป. ทั้ง 4 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์, คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ, คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ และ คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ทั้ง 4 คณะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานทุกคณะและรองนายกรัฐมนตรีแต่ละด้านแยกเป็นรองประธาน ขณะที่มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ ในแต่ละด้านแบ่งงานดูแล พร้อมกับประธาน รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานและรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นกรรมการ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวกับงบประมาณ กฎหมายร่วมด้วย โดยคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ซึ่งเป็นคณะใหญ่ที่สุดมีจำนวน 33 คน ที่นอกจากคณะรัฐมนตรี หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังมีนักวิชาการ ผู้แทนกระบวนการยุติธรรม และผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สำหรับการประชุมนัดแรกนั้น ยังต้องรอนายกรัฐมนตรี นัดประชุมอีกครั้ง วันนี้มีการประชุมคณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดองนัดแรก โดยมีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นหัวเรือใหญ่ตามการมอบหมายของนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเจ้าตัวย้ำชัดจะเร่งรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อจัดทำร่างสัญญาประชาคมร่วมกันให้เสร็จภายใน 3 เดือน โดยไม่มีข้อตกลงร่วมเกี่ยวกับการรัฐประหาร การประชุมคณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น ที่กระทรวงกลาโหม โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการชุดนี้ เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยปลัดกระทรวงหลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึง นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ในฐานะผู้แทนของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. สำหรับคณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง มีอนุกรรมการย่อย 4 คณะ ประกอบด้วย 1.อนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปองดอง มี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน / 2.อนุกรรมการพิจารณาบูรณาการข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ เพื่อสร้างความสามัคคีปองดอง มี พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน / 3.อนุกรรมการจัดทำข้อเสนอกระบวนการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง มี พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธาน / และ 4.อนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปองดอง มี พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน การประชุมใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง จากนั้น พลเอก ประวิตร แถลงว่า ความปรองดองต้องเกิดจากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และจะมีการพูดคุยทั้งส่วนกลางและภูมิภาค โดยส่วนกลางคือการพูดคุยกับพรรคการเมือง นักธุรกิจ จัดที่กระทรวงกลาโหม ส่วนภูมิภาคก็ทำควบคู่กันไป เบื้องต้นกำหนดกรอบเวลาในการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย 3 เดือน คือจบในเดือนเมษายน จากนั้นข้อมูลจะถูกรวบรวมส่งต่อให้คณะอนุกรรมการชุดต่างๆ เพื่อสรุปทำเป็นสัญญาประชาคม แต่ไม่ได้บังคับว่าจะต้องลงนามรับรอง เพราะประชาชนจะรับรู้และตัดสินเองหากไม่มีใครทำตามสัญญาประชาคม ขณะที่ทหารไม่จำเป็นต้องลงนามในสัญญาประชาคมว่าจะไม่ทำรัฐประหารตามที่บางฝ่ายเสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ / รองนายกรัฐมนตรี (ทหารไม่เซ็นสัญญาประชาคมว่าจะไม่ปฏิวัติ เพราะที่ผ่านมาทหารไม่ได้คิดที่จะทำอยู่แล้ว หากประชาชนไม่เห็นด้วย และที่สำคัญการทำรัฐประหารหากไม่สำเร็จ มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต) พลเอก ประวิตร ยังบอกด้วยว่า การให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ เนื่องจากมีความเหมาะสม เพราะมีความรู้ความสามารถ มีความเป็นผู้นำ ขณะที่ พลเอกคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ประเด็นการพูดคุยเน้นไปที่ 10 หัวข้อหลัก คือ ด้านการเมือง / ความเหลื่อมล้ำ / ด้านกฎหมาย / ด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา สาธารณสุข / ด้านสื่อสารมวลชน / ด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม / ด้านการต่างประเทศ / ด้านการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น / ด้านการปฏิรูป / และด้านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี /นอกจากนี้ ยังเพิ่มเติมให้คณะกรรมการฯ เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาและหาทางออกจากความขัดแย้ง เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติในอนาคตด้วย ยืนยันว่าการทำงานของคณะกรรมการฯมีความเป็นกลางและไม่เลือกปฏิบัติอย่างแน่นอน
5555 เห็นแง่เห็นมุมของฝั่งเผาไทย โดยเฉพาะจากวรชัยและจาตุรนต์ ผมฟันธงได้เลยว่าเรื่องปรองดองนี้ล้มเหลว เพราะธงของเผาไทย หลังจากคัดเอาหลักการสวยหรูออกไป การปรองดองขึ้นอยู่กับแค่สองข้อ ทักษิณสามารถกลับบ้านได้โดยไม่ต้องติดคุก ปูและรัฐบาลเผาไทยไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายเจ็ดแสนล้านจากโครงการจำนำข้าว ถ้าผิดไปจากนี้เราจะได้ยินวาทกรรมเก่าๆของเผาไทยอีกเช่น คสช.ไม่มีความจริงใจจะปรองดอง มีการตั้งธงไว้แล้วล่วงหน้า ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน คนที่ทำการปรองดองไม่ได้ยึดโยงอยู่กับประชาชน มีคนที่สนับสนุนรัฐประหารอยู่ในคณะทำงานมากเกินไป ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
เมื่อโยนเงื่อนไขที่เหมาะสมลงไป ประชาชนจะปรองดองกันได้ แต่.... เราต้องยอมรับความจริงว่าคนส่วนน้อยสุดโต่ง ของทั้งสองฝั่งยังไงก็ปรองดองไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากประชาชนส่วนใหญ่ปรองดองกันได้ โดยนักการเมืองและกลุ่มสุดโต่งทั้งสองฝ่ายไม่สามารถชักจูงให้ขัดแย้งเป็นอื่นได้ ยังไงนักการเมืองก็ต้องปรองดองตาม สุดท้ายพวกสุดโต่งบางกลุ่มก็จะสงบลง ปล่อยให้พวกสุดโต่งอีกพวก มีชะตากรรมขึ้นอยู่กับอำนาจสูงสุดทางการเมืองภายหลังการปรองดอง ว่าจะเลี้ยงเอาไว้สั่งสอนลูกหลานของเราในอนาคต ที่มหาลัยชื่อดังบางแห่ง หรือจะทำใช้ประโยชน์ด้านอื่นเช่นบำรุงรากมะม่วง
เท่าที่ผมสังเกตุพฤติกรรมของนักการเมืองฝั่งที่อ้างคำประชาธิปไตยและคนรากหญ้าออกหน้า ตัวหัวหน้าพักนี้สงบปากสงบคำ คนที่ต้องคดีความเช่นคุณบุญทรง ที่ดิ้นสุดตัววิ่งขึ้น-ลงศาลเป็นว่าเล่น คุณปูที่ออกเดินสายทำบุญเรียกร้องความเห็นใจทั่วประเทศ ลดการพูดเรื่องสองมาตรฐาน ราการกล่าวถึงความไม่ยุติธรรมที่อ้างว่าไม่ได้รับกันแล้วนะครับ บรรดาแกนนำ นปช.ก็หายศีรษะกันไปหลายคน ทีวีของคนเสื้อแดงก็มักนำรายการธรรมะมานำเสนอ แถมผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยก็ขานรับกระบวนการปรองดองที่รัฐบาลจะจัดให้กันเป็นอย่างดี ไม่ตั้งแง่เช่นที่ผ่านมา มันแสดงถึงอะไร พลพรรคลิ่วล้อของคุณทักษิณ ตามทันเกมส์ของเจ้านายกันหรือไม่ ว่างจากการโพสท์กระทู้ก่อกวนผู้อื่นเมื่อไร ลองๆไปนั่งคิดพิจารณากันดูนะครับ ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เพราะการเลือกตั้ง สส.มีทีท่าว่าจะได้เลือกกันแน่แล้ว ใกล้เข้ามาแล้ว คำกล่าวที่ว่าได้รับเลือกเข้ามาจากประชาชนเป็นสิบล้านคน มันจะยังใช้ได้หรือไม่ในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ ถ้าได้จำนวนเสียงมากกว่าหรือเท่าเดิม ก็จะยังแอ่นอกพูดได้ แต่ถ้ามันลดลงไปและลดลงมากกว่าเดิมเหลือไม่ถึงสิบล้านคน แล้วจะทำกันอย่างไร ผมคิดว่านี่คือโจทย์ที่คนในพรรคเพื่อไทย กำลังตรึกตรองกันอยู่นะครับ อย่ามัวมาหลับหูหลับตาคิดว่า พรรคที่ตนเองช่วยเหลืออยู่จะได้เป็นรัฐบาลอีกครั้งเลยครับ เพราะของมันไม่แน่ เกิดพลาดท่าเสียทีต้องเป็นฝ่ายค้านแล้ว พรรคย่อมช่วยตัวเองก่อนมาช่วยพวกปลาซิวปลาสร้อยในเน็ทแน่นอน
อีกหนึ่งภารกิจของรัฐบาลที่ถือฤกษ์วันแห่งความรัก เป็นวันเริ่มต้นการพูดคุยกัน คือ ภารกิจการสร้างความปรองดอง ซึ่งคณะอนุกรรมการปรองดอง ได้เชิญพรรคการเมือง เข้ารับฟังความคิดเห็นเรียงตามลำดับตัวอักษร โดยใช้สถานที่ ที่กระทรวงกลาโหม วันนี้เป็นคิวของพรรคการเมืองในหมวดอักษร ค.ควาย มีทั้งหมด 3 พรรค คือ พรรคความหวังใหม่ พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย และ พรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย โดยมีพลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง นั่งหัวโต๊ะรับฟังความคิดเห็นภายใต้ 10 หัวข้อ ที่คณะกรรมการ ป.ย.ป.กำหนดไว้ คือ ด้านการเมือง ด้านความเหลื่อมล้ำ ด้านกฎหมาย ด้านป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น ด้านการปฏิรูป และ ด้านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึง วิธีแก้ปัญหาและการหาทางออกจากความขัดแย้งอย่างสันติในอนาคต ทั้งนี้การพูดคุยในวันนี้ เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ และสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมเวทีพูดคุย สำหรับท่าทีของ 2 พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ชัดเจนแล้วว่าพร้อมเข้าสู่กระบวนการปรองดอง แม้จะมีความเห็นต่างกันบ้างในบางเรื่อง เริ่มจากพรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ย้ำว่าจุดยืนของพรรคในการพูดคุยครั้งนี้ คือ ต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และไม่มีการนิรโทษกรรม โดยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้มากที่การพูดคุยครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ ขณะที่พรรคเพื่อไทย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย มองว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้การพูดคุยครั้งนี้ได้รับการยอมรับ คือ กระบวนการและกลไกที่จะต้องดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ไม่เลือกปฏิบัติ ใช้หลักนิติธรรม และยอมรับความเห็นที่แตกต่าง
