พล.อ.ประยุทธ์ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าสอนให้รวย

กระทู้ใน 'สภากาแฟ' โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย, 6 Jan 2017

  1. ดร.โสภณ พรโชคชัย

    ดร.โสภณ พรโชคชัย สมาชิกทั่วไป

    สมัคร:
    6 Dec 2016
    คะแนนถูกใจ:
    2
    นายกฯ ถามไม่เคยเห็นวัดไหนสอนให้คนรวยแบบธรรมกาย ดร.โสภณ ตอบ มีหลวงพ่อคูณและทุกวัดเลย ย้อนแล้วมีวัดไหนสอนให้จนไหม ความมั่งคั่งร่ำรวยไม่ใช่ผิดบาป นายกฯ ก็รวยล้นฟ้า ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ขออนุญาตถกเรื่องความมั่งคั่ง โดยมีสมติฐานว่า คนที่มั่งคั่งมักไม่โกง คนที่โกงมักขาดแคลน และขออนุญาตยกคำสอนของพระศาสดา รวมทั้งกิจของสงฆ์วัดต่าง ๆ ที่สอนให้คนรวย ไม่เป็นภาระแก่ใคร ความรวย (Wealth) ไม่ใช่บาปเคราะห์ แต่ก็เป็นสิ่งน่าละอายที่จะตายอย่างมั่งคั่ง ตามข่าวเกี่ยวกับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีถามว่า ""บิ๊กตู่"หาเวลาเหมาะจับ"ธัมมี่"เฉ่งพระสอนให้คนรวยก็มีด้วย" (http://bit.ly/2hWmN1q, http://bit.ly/2hPvkOW, http://bit.ly/2j9QPLf หรือฟังเสียงนายกฯ ได้ที่ http://bit.ly/2hWzIvL) ประเด็นนี้:
    1. แม้ว่านิพพานและการหลุดพ้นจะเป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าสอน แต่สำหรับชีวิตปุถุชน พระองค์ก็สอนให้คนรวย ด้วยคาถา “หัวใจมหาเศรษฐี” หัวใจของคามหาเศรษฐีนี้มี 4 คำสั้น ๆ และสามารถท่องได้ง่ายว่า อุ อา กะ สะ ถือเป็นหลักธรรมที่จะอำนวยประโยชน์สุขในขั้นต้นให้คนทั่วไป หรือเรียกว่า ทิฎฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 หรือ ทิฎฐธัมมิกัตถประโยชน์ ซึ่งประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ คือ 1. อุฎฐานสัมปทา 2.อารักขสัมปทา 3. กัลป์ยาณมิตตตา และ 4. สมชีวิตา
    1.1 อุ : อุฎฐานสัมปทา หมายถึง การถึงพร้อมด้วยความหมั่น คือให้มีความขยันหมั่นเพียรในการแสวงหาความรู้ ขยันทำงานและประกอบอาชีพโดยสุจริต หมั่นฝึกฝนในวิชาชีพให้มีความชำนาญ รู้จักใช้ปัญญาในการจัดการงานให้เหมาะสมและสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ด้วยความขยันหมั่นเพียรนี้เราก็จะมีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มพูนขึ้น
    1.2 อา : อารักขสัมปทา หมายถึง การถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ คือต้องรู้จักรักษาคุ้มครองทรัพย์สินที่หามาได้ไม่ให้หมดไป รวมทั้งรักษาผลงานที่สร้างมาได้โดยชอบธรรม ไม่ให้เป็นอันตรายหรือเสื่อมเสีย รวมไปถึงการรักษาความรับผิดชอบต่อภาระการงานที่ได้มอบหมายอย่างไม่ขาดตกบกพร่องด้วย
    1.3 กะ : กัลยาณมิตตตา หมายถึง การรู้จักคบคนดีเป็นมิตร คือการมีมิตรที่ดีจะช่วยสนับสนุนและนำพาเราไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ทั้งในหน้าที่การงาน สร้างความสุข ความสบายใจในการใช้ชีวิต ในทางตรงข้าม มิตรที่ไม่ดี มิตรเทียม หรือมิตรปอกลอก ก็จะนำพาเราไปสู่อบายมุขในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เราเสียทรัพย์ เสียงานเสียการ จนเสียสมดุลชีวิตไปในที่สุด
    1.4 สะ : สมชีวิตา หมายถึง การเลี้ยงชีวิตให้พอดี คือรู้จักกำหนดการใช้จ่ายให้สมควรแก่ฐานะและสมดุลกับรายได้ รู้จักใช้ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้อย่างเหมาะสม ไม่ฟุ่มเฟือยมากเกินไปจนต้องลำบากในอนาคต หรือไม่ฝืดเคืองจนสร้างความลำบกในปัจจุบัน จงดำเนินชีวิตโดยยึดทางสายกลางที่ไม่มากไปไม่น้อยไป แต่ต้องพอดี ซึ่งจุดสมดุลแห่งความพอดี อาจวัดได้จากความสุขที่อิ่มเอิบในใจ ไม่ใช่สิ่งบำเรอหรือวัตถุที่เป็น (http://bit.ly/2iHnF9h)
    2. พระพุทธเจ้ายังสอนเรื่องปาปณิกธรรม 3 (ปาปณิกังคะ หลักพ่อค้า, องค์คุณของพ่อค้า) — qualities of a successful shopkeeper or businessman) อันประกอบด้วย
    2.1 จักขุมา ตาดี (รู้จักสินค้า ดูของเป็น สามารถคำนวณราคา กะทุนเก็งกำไร แม่นยำ — shrewd)
    2.2 วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รู้แหล่งซื้อแหล่งขาย รู้ความเคลื่อนไหวความต้องการของตลาด สามารถในการจัดซื้อจัดจำหน่าย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า — capable of administering business)
    2.3 นิสสยสัมปันโน พร้อมด้วยแหล่งทุนเป็นที่อาศัย (เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจในหมู่แหล่งทุนใหญ่ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดำเนินกิจการโดยง่าย — having good credit rating) (http://bit.ly/2iOeLaJ)
    3. การที่จะรวยนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักการให้ บุญกริยาวัตถุ 10 (http://bit.ly/2ja55nm) โดยประการแรกคือการทานมัย คือการทำบุญด้วยการให้ทานนั่นเอง ในการให้ทานนั้นยังมีเรื่อง "ชายเข็ญใจยินดีรับเลี้ยงภิกษุ" นามว่า "มหาทุคตะ" ที่แม้จะขัดสนก็ยังทำดีด้วยการเลี้ยงพระภิกษุ (http://bit.ly/2hWPeY9)
    4. ที่ท่านนายกฯ อาจไม่เคยรู้เลยก็คือ มีเศรษฐีทำบุญจนหมดตัว "อนาถบิณฑิกเศรษฐี" ที่ก่อสร้างพระอารามชื่อ "พระคันธกุฎี" โดยเสียเงินไป 27 โกฏิ เป็นค่าที่ดิน และอีก 27 โกฏิ เป็นค่าก่อสร้าง ให้เป็นที่ประทับของพระบรมศาสดาและพระสงฆ์ เสร็จแล้วได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมกับจัดพิธีฉลองพระอารามอย่างมโหฬารนานถึง 5-9 เดือน ได้จัดถวายอาหารบิณฑบาตอันประณีตแก่พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ และกราบอาราธนาพระภิกษุจำนวนประมาณ ๒๐๐ รูป ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนทุกวันตลอดกาล. . .(กระทั่ง)ตนเองก็พลอยอดอยากลำบากไปด้วย ถึงกระนั้นเศรษฐีก็ยังไม่ลดละการทำบุญ ถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ได้แต่กราบเรียนให้พระภิกษุสงฆ์ทราบว่า ตนเองไม่สามารถ จะจัดถวายอาหารอันประณีตมีรสเลิศเหมือนเมื่อก่อนได้ เพราะขาดปัจจัยที่จะจัดหา (www.84000.org/one/3/02.html)
    5. พระสาวกของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะพระสงฆ์ทั้งหลายก็มักอวยชัยให้พรให้ "รวย ๆ เฮงๆ" กันทั้งนั้น เพราะอย่างน้อยก็เป็นเครื่องชะโลมใจให้กับสาธุชนที่ส่วนมากยากไร้
    6. สำหรับท่านเองก็สะสมความร่ำรวย และมีทรัพย์มาก (http://bit.ly/2jhd8mE) บุคคลทั่วไปเวลาอธิษฐานก็มักหวังให้ตนร่ำรวยเช่นท่านเช่นกัน
    7. การโกงมักเกิดจากความจนเข้าทำนอง "ยิ่งจน ยิ่งโกง" แผนภูมิท้ายนี้ เป็นการสรุปให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่งของประเทศกับการโกงกิน โดยนำผลการสำรวจ พ.ศ.2548 ว่าด้วยดัชนีการโกงกิน (ตัวเลขยิ่งน้อย ยิ่งโกงมาก) มาวางไว้ในแกนนอน และรายได้ประชาชาติต่อหัว (per capita income in US$) ของประเทศทั่วโลกมาวางเป็นแกนตั้ง ผลการทดสอบค่าทางสถิติด้วยการวิเคราะห์พหูคูณถดถอย พบว่าตัวแปรทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน โดยมีค่า R-square อยู่ที่ 0.763189412 (ยิ่งใกล้ 1 ยิ่งน่าเชื่อถือ) ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า ประเทศที่มั่งคั่งกว่า จะมีการโกงกินน้อยกว่าประเทศที่ยากจนกว่า หรืออาจกล่าวได้ว่า ประเทศที่ยิ่งมีการโกงกินกันมาก ประชาชนยิ่งยากจน (ดูรายละเอียดและ download หนังสือได้ฟรีที่ http://bit.ly/1WDogCH)
    ประเทศที่ยากจน มักมีการโกงกันมาก คนยากจนก็เช่นกัน มีโอกาสเป็นโจรมาก เราจึงต้องส่งเสริมให้คนมีฐานะพออยู่พอกิน จะได้ไม่เป็นโจร แต่คนจนมาก ๆ ที่ไม่โกงก็มีเช่นกัน แต่มีแนวโน้มวาหากเราจนมากก็จะมีโอกาสเป็นโจร ประกอบมิจฉาชีพมากกว่า ส่วนคนรวยที่ยังโกงก็มีเช่นกัน แต่เป็นข้อยกเว้น หรืออาจเป็นพวก "โรคจิต" แต่ภาพรวมที่เราไม่ควรปล่อยให้มีความยากจน ยากไร้ ก็เพื่อไม่ให้คนดิ้นรนไปในทางที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง
    ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1753.htm
     
  2. Ricebeanoil

    Ricebeanoil อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    7 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    4,482
    ตรรกะบัดซบมาอีกแล้ว
    "พระพุทธเจ้าสอนให้ปุถุชนรวย ไม่ได้สอนให้พระ(ที่เข้ามาบวชเพื่อศึกษาธรรมะ)รวย" เข้าใจตรงกันนะ
    ****************************************************
    ๓.๒ ปาราชิก สิกขาบทที่ ๒ ว่าด้วยการลักทรัพย์ที่เขาไม่ได้ให้
    พระบัญญัติ อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้….(มีเนื้อหาเหมือนอนุบัญญัติ)
    อนุบัญญัติ อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว (ให้) ประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ดังนี้ ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
    ๑) ที่มาของพระบัญญัติ สิกขาบทนี้มีพระธนิยะเป็นต้นบัญญัติ (อาทิกัมมิกะ) โดยเรื่องมีอยู่ว่า ท่านพระธนิยะได้ทำกุฎิหญ้าอาศัยอยู่ในป่า เวลาท่านไม่อยู่ถูกพวกชาวบ้านมาขโมยรื้อถอนเอาหญ้าของท่านไปหลายต่อหลายครั้ง ต่อมาท่านจึงได้นำดินมาขยำเป็นโคลนทำกุฏี จากนั้นจึงได้นำหญ้าไม้และโคมัย (มูลโค) มาเผากุฏีนั้น กุฏีเมื่อเผาสุกแล้วก็มีสีสวยงามมาก (สีเหมือนหม้อดินเผา) พระพุทธองค์ได้ตำหนิการกระทำของพระธนิยะนั้นว่า ไม่เหมาะสมไม่ควรทำ ไม่ใช่กิจของสมณะ เพราะการกระทำนั้นได้เบียดเบียนทำลายสรรพสัตว์เล็กๆ ไปเป็นอันมาก และเพื่อมิให้ภิกษุทั้งหลายทำตามอย่างนั้น พระองค์จึงสั่งให้ภิกษุไปทุบทำลายกุฏีนั้นของพระธนิยะเสีย
    ส่วนพระธนิยะเมื่อถูกพระพุทธเจ้าห้ามทำกุฏีด้วยดินแล้ว จึงคิดจะสร้างกุฏีด้วยไม้แทน (เพราะถ้าจะทำกุฏีหญ้าอีก ก็เกรงว่าชาวบ้านจะมารื้อเอาหญ้าไปอีก) ดังนั้นท่านจึงได้เข้าไปขอไม้หลวงจากเจ้าพนักงานรักษาไม้ในวัง แต่เจ้าพนักงานตอบว่าไม้ไม่มีจะถวายให้ มีแต่ที่เก็บไว้ซ่อมแซมพระนครในคราวจำเป็นเท่านั้น ถ้าพระคุณเจ้าต้องการ ต้องไปบิณฑบาตจากพระราชา (พระเจ้าพิมพิสาร) เอาเองเถิด ฝ่ายพระธนิยะเมื่อเจ้าพนักงานพูดเช่นนั้น จึงตอบไปว่า พระราชาได้พระราชทานให้แล้ว ดังนี้ ฝ่ายเจ้าพนักงานได้คิดว่า พระคุณเจ้าเป็นผู้มีศีล เป็นผู้สงบคงจะไม่กล้าพูดเล่น พระราชาคงจะพระราชทานให้จริง ดังนี้แล้ว ได้ให้ไม้เหล่านั้น ท่านพระธนิยะได้สร้างกุฏีหลังใหม่ด้วยไม้หลวงเหล่านั้น ต่อจากนั้นมาได้มีคณะผู้ตรวจราชการหลวงมาตรวจราชการไม่เห็นไม้หลวง เรื่องจึงแดงขึ้น เจ้าพนักงานรักษาไม้นั้นถูกจับไปสอบสวน ส่วนพระธนิยะเมื่อทราบเรื่องจึงได้เข้าไปในวังเพื่อแก้ข้อกล่าวหาด้วย ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารเมื่อทราบเรื่องจึงได้ตรัสกับพระธนิยะว่า “พระคุณเจ้าบอกว่าโยมได้ถวายไม้นั้นให้แล้ว เนื่องจากโยม (พระราชา) มีธุระมากมีภาระกิจมากจนจำไม่ได้ ระลึกไม่ได้ว่าได้ถวายไม้ให้พระคุณเจ้าตั้งแต่ครั้งใด ? พระธนิยะได้ตอบว่า “พระองค์ระลึกได้ไหม ! ตั้งแต่ครั้งพระองค์ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใหม่ๆ พระองค์ได้เปล่งพระวาจาเช่นนี้ว่า หญ้า ไม้ และน้ำ ข้าพเจ้าถวายแล้วแก่สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ขอสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย โปรดใช้สอยเถิด ดังนี้” ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารครั้นได้สดับคำของพระธนิยะเช่นนั้น จึงตรัสว่า “โยมระลึกได้แล้ว (แต่) คำของโยมนั้นหมายถึง หญ้า ไม้และน้ำ ที่มีอยู่ในป่า ไม่มีใครหวงแหน ซึ่งพระสงฆ์และพราหมณ์ผู้มีศีลเป็นที่รักใคร่ต่อการศึกษาย่อมรู้จักและพึงใช้สอยไม้เหล่านั้น แต่พระคุณเจ้าได้ใช้เล่ห์เพื่อนำไม้ที่เขาไม่ได้ให้ไปใช้ โยมจะพึงฆ่าหรือจองจำหรือเนรเทศ ซึ่งสมณะได้อย่างไร นิมนต์ท่านกลับเถิด ท่านรอดตัวไปได้เพราะเพศบรรพชิตแล้ว แต่อย่าได้ทำอย่างนี้อีก” ดังนี้ แล้วได้ส่งพระธนิยะกลับไป
    ความเรื่องนี้ทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประชุมพระสาวกแล้วได้บัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุนำเอาของที่เขาไม่ได้ให้มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป ผู้ใดเอาไปต้องปาราชิก หลังจากทรงบัญญัติสิกขาบทนั้นแล้ว พระฉัพพัคคีย์ได้ไปลักเอาห่อผ้าของช่างย้อมผ้ามาจากป่า แล้วถูกพวกภิกษุติเตียน พวกภิกษุฉัพพัคคีย์จึงตอบว่า สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัตินั้น คือห้ามเฉพาะของในบ้าน ไม่รวมถึงป่าด้วย ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติม (อนุบัญญัติ) อีก ให้รวมไปถึงในป่าด้วย ดังนั้น ความตอนหนึ่งว่า “…อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้….จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี …ต้องปาราชิก หาสังวาสมิได้”
     
    อาวุโสโอเค, kokkai, Apichai และอีก 3 คน ถูกใจ
  3. Alamos

    Alamos อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    13 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    7,052
    ความคิดเหมือนคนที่รู้จักเลยบอกตัวเองว่ามีรู้จริงเรื่องพุทธศาสนา พอจับได้ว่าเป็นพวกนอกรีตมารศาสนา ก็บอกว่าตัวเองทำเพื่อคุณธรรม พอจับได้ว่าเป็นคนคุณธรรมจอมปลอมก็บอกว่าตัวเองเป็นคนเลวที่ไม่โกหก สุดท้ายถูกจับได้ว่าเป็นคนเลวที่โกหก ก็หนีไปเลย
     
    อาวุโสโอเค, kokkai, apollo และอีก 2 คน ถูกใจ
  4. Ricebeanoil

    Ricebeanoil อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    7 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    4,482
    ๒) สารัตถะในทุติยปาราชิก เป้าหมายของอทินนาทานสิกขาบทนี้ มีรายละเอียดลึกซึ้งและซับซ้อนมาก โดยเฉพาะในคัมภีร์บาลีอรรถกถาฎีกา ยิ่งมีรายละเอียดซับซ้อนมากขึ้น สารัตถะสำคัญของสิกขาบทนี้ ทรงมุ่งหมายให้พระภิกษุเป็นคนซื่อตรง ให้เป็นเนื้อนาบุญเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง ดังนั้น พระภิกษุสงฆ์ควรจะต้องมีความบริสุทธิ์แห่งศีล เป็นคนปฏิบัติซื่อตรง (อุชุปฏิปนฺโน) ไม่มีมายาสาไถยหรือเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ภิกษุใด ตนเองเป็นอย่างหนึ่ง แต่แสดงอาการให้คนอื่นรู้อีกอย่างหนึ่ง (อาการแห่งมายา - เจ้าเล่ห์) การบริโภคปัจจัยสี่ ของเธอ เป็นการขโมยบริโภค เป็นเช่นเดียวกันกับนายพราน ผู้ล่อลวงดักสัตว์กิน มีภิกษุจำนวนมาก ผู้มีกาสาวพัสตร์พันคอ แต่เป็นผู้มีธรรมทาน ไม่สำรวม ย่อมเกิดในนรก เพราะ บาปกรรมนั้น ผู้ทุศีล ไม่สำรวมบริโภคเหล็กที่ร้อนเป็นเปลว ยังดีกว่าบริโภคก้อนข้าวของชาวเมือง"
    ดังนั้น พระภิกษุสงฆ์จะต้องมีความบริสุทธิ์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพราะผู้ที่บวชเป็นภิกษุแล้ว ย่อมไม่ถือเอาของ ๆ ผู้อื่น ที่เขาไม่ได้ให้ ด้วยจิตคิดจะขโมย (อทินนาทาน) โดยที่สุดแม้แต่เส้นหญ้า (อนฺตมโส ติณเสลากํ อุปาทาย) หากภิกษุใด ถือเอาของที่เขาไม่ได้ให้ ราคาบาทหนึ่ง หรือ เกินกว่าหนึ่งบาท ภิกษุนั้นไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อพระศากยบุตร (อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย) ท่านเปรียบเหมือนใบไม้เหลือง หล่นจากขั้ว แล้วไม่อาจกลับเป็นเขียวสดได้อีก พระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้พระภิกษุเป็นผู้บริสุทธิ์ ในเรื่องนี้จริง ๆ ให้น่าเคารพนับถือ เชื่อถือได้ สมกับที่ชาวบ้านเคารพกราบไหว้ เชิดชูเลี้ยงดูปัจจัยสี่ มิให้เดือดร้อน ดังนั้นจึงทรงมีนโยบาย มิให้ภิกษุสะสมทรัพย์สินเงินทอง แม้จะได้มาโดยชอบธรรม ยิ่งเป็นของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยแล้ว แม้แต่เส้นหญ้า ก็ไม่ควรถือเอา (อนฺตมโส ติณสลากํ อุปาทาย)
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พระสงฆ์มีความประพฤติซื่อตรงทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพื่อเป็นเนื้อนาบุญดังกล่าว จึงทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อฝึกหัดขัดเกลาอย่างลึกซึ้ง ถึงกับมีพระวินัยบัญญัติละเอียดให้พระสงฆ์จะบริโภคสิ่งของใดๆ จะต้องได้รับประเคน คือ ได้รับมอบถวายให้ถึงมือจริงๆ จึงจะสามารถฉันสิ่งของต่างๆ ซึ่งพระวินัยข้อนี้ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ประเพณีวินัยข้อนี้ ได้สร้างศักดิ์ศรีให้กับภิกษุสงฆ์ ในพุทธศาสนาเป็นอันมาก แต่ฆราวาสบางคน ก็รู้สึกรำคาญ เมื่อไปเลี้ยงพระที่มีอาหารมาก ๆ พระเอง บางรูปก็เคร่งในเรื่องนี้ จนน่ารำคาญเหมือนกัน เช่น เมื่อเขาประเคนอย่างหนึ่งแล้ว เอื้อมมือไปหยิบอย่างอื่นประเคน มือไปกระทบกับสิ่งที่ประเคนแล้ว โดยไม่เจตนา ก็บอกให้เขาประเคนใหม่ ความเกินพอดี ในพระบางรูป บางพวกก่อความเดือดร้อนแก่ตน และ ผู้อื่นอยู่เนือง ๆ อันที่จริงเรื่องนี้ควรคำนึกถึงความพอดี เพราะความพอดีนั้นดีเสมอ" (มตฺตญฺญุตา สทา สาธุ)” "
    แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้มุ่งหวังพระนิพพานแต่มุ่งหวังลาภสักการะ ย่อมมีปฏิปทาที่แตกต่างกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปฏิปทา ของผู้หวังลาภเป็นอย่างหนึ่ง ปฏิปทา ของผู้มุ่งนิพพานเป็นอีกอย่างหนึ่ง (เป็นคนละอย่าง) ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า รู้อย่างนี้แล้ว ไม่พึงยินดี ไม่พึงเพลิดเพลิน ในเรื่องสักการะ พึงพอกพูนให้มากซึ่งความวิเวก" แต่หากเป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่ซื่อตรงแล้ว ทำมายาให้น่าเชื่อถือ ดังมีเรื่องเล่าไว้ในกุหชาดก ว่า ดาบสผู้หนึ่ง เป็นที่เคารพเลื่อมใสของกฎุมพี (ผู้มีทรัพย์, ผู้มีอันจะกิน) ครอบครัวหนึ่งมารับอาหารที่บ้านกฎุมพีทุกวัน เป็นเวลาหลายปี กฎุมพีได้ทองมาลิ่มมาแท่งหนึ่ง นำไปฝากดาบสไว้ โดยขุดหลุมฝังไว้ใกล้อาศรม คิดว่าปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้าน ต่อมาดาบสเกิดความโลภ อยากได้ทองคำแท่ง จึงไปบอกลากฎุมพีว่า จะไปอยู่ที่อื่น เพราะ อยู่ที่นั่นนานมาแล้ว ธรรมดานักพรตไม่ควรอยู่ที่เดียวนาน กฎุมพีอ้อนวอนให้อยู่ด้วยความเลื่อมใส แต่ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ดาบสเดินออกจากเรือน ด้วยอาการสำรวม เป็นพิเศษ กฎุมพีออกมาส่ง เพิ่มพูนความเลื่อมใสยิ่งขึ้น ขอร้องให้กลับมาอีก ในโอกาสอันควรแล้วกลับเข้าบ้านไป
    สักครู่หนึ่ง ดาบสเดินกลับมา กฎุมพีดีใจ ถามว่า ท่านมีอะไรจะสั่งอีกหรือ? ดาบสบอกว่า เมื่อเดินออกไป เส้นหญ้าจากชายคาหล่นมาติดอยู่ที่ชฎา จึงเอามาคืน ธรรมดานักพรต ไม่ควรถือเอาของผู้อื่น แม้เพียงเส้นหญ้าแล้วจากไป กิริยาอาการ ของดาบสได้เพิ่มพูนความเลื่อมใส ปิติปราโมทย์ แก่กฎุมพีเป็นอย่างมาก พร้อมอุทานว่า "พระคุณเจ้าของเรา ช่างสำรวมระวัง และ ขัดเกลาดีจริงหนอ" ขณะนั้น มีบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ท่านหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นพฤติกรรมดาบสแล้ว ถามกฎุมพีว่า ได้ฝากอะไรไว้กับดาบสบ้างหรือไม่? กฎุมพีตอบว่า ได้ฝากทองไว้แท่งหนึ่ง "ท่านรีบตามดาบสไปเถอะ ช้าหน่อยทองจะหาย" "ท่านคิดอย่างนั้นกับพระคุณเจ้าได้อย่างไร?" กฎุมพีถามกึ่งไม่พอใจ กึ่งสงสัยกึ่งกังวล "เคร่งเกินเหตุ คงจะซ่อนความชั่วไว้ภายใน เอาความเคร่งออกบังหน้า" บัณฑิตตอบ"แต่ท่านรีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันกาลกฎุมพีรีบไป เจอดาบสขุดทองได้เรียบร้อยแล้ว กำลังเตรียมหนี จับได้คาจอบคาเสียม กฎุมพีจึงได้ตาสว่างขึ้น ได้เห็นแจ้งในคำของบัณฑิต ที่เตือนให้เขารีบตามดาบสมา

    ดังนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จะต้องมีความซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย จึงทรงบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรจนาไว้โดยย่อในวินัยมุข เล่ม ๑ เกี่ยวกับเรื่องการถือกรรมสิทธิ์ ทรงรจนาไว้ตอนหนึ่งว่า "การถือเอาทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์ กำหนดว่า ถึงที่สุด ด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ตัวอย่างเช่น ภิกษุกล่าวตู่ เพื่อจะเอาที่ดินของผู้ใดผู้หนึ่ง เจ้าของเป็นผู้มีวาสนาน้อย เถียงไม่ขึ้น ทอดกรรมสิทธิ์ของตนเสีย ภิกษุต้องอาบัติถึงที่สุดในขณะนั้น ถ้าเจ้าของยังไม่ปล่อยกรรมสิทธิ์ ฟ้องภิกษุในศาลเพื่อเรียกที่ดินคืน ต่างเป็นความแก้คดีกัน ถ้าเจ้าของแพ้ ภิกษุต้องอาบัติถึงที่สุด ภิกษุเป็นโจทก์ฟ้องความเอง เพื่อจะตู่เขา ที่ดินก็เหมือนกัน แต่คำว่า เจ้าของแพ้ความนั้น พึงเข้าใจว่า แพ้ในศาลสูงสุด เป็นจบลงเท่านั้น เพื่อจำง่ายควรเรียกว่า ตู่”
    ทรัพย์ตามความหมายในสิกขาบทนี้มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น วิญญาณกทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่มีวิญญาณครอง เช่น มนุษย์ และสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น หรือ อวิญญาณกทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณครอง ได้แก่ แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นต้น และไม่ว่าทรัพย์นั้นจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม เช่น อยู่ในบ้าน อยู่ในน้ำ ฝังดินไว้ หรือแม้แต่แขวนไว้ตามต้นไม้ เป็นต้น ก็ตาม ถือว่าเป็นทรัพย์ต้องห้าม ถ้าภิกษุถือเอาด้วยอาการแห่งขโมย ทรัพย์ทุกอย่างอาจทำให้ภิกษุต้องอาบัติได้ทั้งนั้น การถือเอาด้วยอาการแห่งขโมยนั้น เรียกว่า อวหาร ซึ่งมาจากศัพท์ว่า อว + หาร + (อว = ลง ในทางที่ไม่ดี + หาร = การนำไป ) เมื่อรวมกันแล้ว ก็แปลว่า การลัก การขโมย เป็นต้น ท่านจำแนกไว้ ๑๓ ลักษณะ คือ ลัก ชิงหรือวิ่งราว ลักต้อน แย่ง ลักสับ ตู่ ฉ้อหรือฉ้อโกง ยักยอก ตระบัด ปล้น หลอกลวง กดขี่หรือกรรโชก ลักซ่อน อวหารทั้ง ๑๓ ประการนี้ ถ้าภิกษุลงมือทำด้วยตนเอง เรียกว่า สาณัตติกะ คือ การทำความผิดด้วยตนเอง แต่ถ้าสั่ง คือให้ผู้อื่นทำแทนตน เรียกว่า อาณัตติกะ ต้องอาบัติเพราะสั่งให้เขาทำ และต้องอาบัติในเวลาที่ผู้รับคำสั่งนั้นไปลักทรัพย์หรือทำอวหารได้ของมา ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สิกขาบทนี้เป็นทั้งสาณัตติกะ และ อาณัตติกะ คือ ทำเองก็ต้อง สั่งผู้อื่นทำก็ต้องเหมือนกัน
    เรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวินิจฉัยไว้ในวินีตวัตถุ มีทั้งหมด ๑๕๓ เรื่อง เช่น เรื่องช่างย้อม ภิกษุพระฉัพพัคคีย์ รูปหนึ่งลักห่อผ้าของช่างย้อม เกิดความรังเกียจว่าตนต้องอาบัติปาราชิกแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่าพวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว และเรื่องนำแก้วมณีล่วงด่านภาษี มีบุรุษคนหนึ่งนำแก้วมณีราคาแพงเดินทางไกลไปกับภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นเห็นด่านภาษีแกล้งทำว่าเป็นไข้ ฝากห่อของของตนไว้กับภิกษุโดยที่ภิกษุไม่รู้ว่ามีของหนีภาษีซ่อนอยู่ด้านใน เมื่อเดินทางพ้นด่านภาษีไปแล้ว ขอห่อของคืนพร้อมกับบอกพระภิกษุว่าตนไม่ได้เป็นไข้ แต่ต้องการหนีภาษี ภิกษุนั้นเกิดความรังเกียจว่า ตนต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสตอบว่าภิกษุผู้ไม่รู้ ไม่ต้องอาบัติ จากตัวอย่างในวินีตวัตถุ แสดงให้เห็นว่า ในสิกขาบทนี้ เป็นสจิตตกะ คือ จะต้องมีเจตนาจึงจะเป็นอาบัติ ซึ่งเกณฑ์ในการปรับอาบัติในสิกขาบทนี้ คือ ในการตัดสินว่าภิกษุถือเอาทรัพย์เช่นไรต้องอาบัติ เช่นไรไม่ต้องอาบัติ หรือทรัพย์เช่นไรเป็นข้อห้าม สำหรับภิกษุนั้นท่านให้ถือเอาหลักวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์นั้นด้วยอาการ ๕ อย่าง เหล่านี้ คือ
    ๑) ทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน
    ๒) มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน
    ๓) ทรัพย์มีค่าได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสกนั้นขึ้นไป
    ๔) มีไถยจิตปรากฎขึ้น (จิตคิดจะลัก)
    ๕) ภิกษุทำทรัพย์ (นั้น) ให้เคลื่อนจากฐาน
    ถ้าพร้อมด้วยอวหาร ๕ อย่างนี้ ในขณะที่ภิกษุลูบคลำทรัพย์นั้นต้องทุกกฏ ขณะทำให้เคลื่อนไหวต้องถุลลัจจัย เมื่อทำทรัพย์นั้นให้พ้นจากที่ตั้ง หรือเคลื่อนจากฐาน ต้องปาราชิก ส่วนในข้อ ๓ นั้น ถ้าทรัพย์มีค่า ๑ มาสก (หรือน้อยกว่า) ต้องทุกกฏ มีค่า ๒ - ๓ - ๔ มาสก ไม่เกินนี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้ามีค่า ๕ มาสกขึ้นไป ต้องปาราชิก
    วิเคราะห์ของที่ทำให้ ภิกษุผู้ลัก เป็นปาราชิก ที่ว่า ๑ บาท (เป็นเงินตรา) ราคาเท่า ๑ บาท หรือ เกิน ๑ บาท (ปาทารหํ วา อติเรกปาทํ วา) เล็งว่าเป็น สิ่งของซึ่งจะต้องตีราคา คำว่า ๑ บาท ในสมัยพุทธกาลนั้น ๕ มาสก เป็น ๑ บาท ๕ บาท เป็น ๑ กหาปณะ คิดเป็นมาตราทองคำ คือ ทองคำหนัก ๔ เมล็ดข้าวเปลือก เท่ากับ ๑ มาสก ๕ มาสก เท่ากับ ๑ บาท เพราะฉะนั้น ๑ บาท จึงเท่ากับ ทองคำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก ยี่สีบคูณสี่ เท่ากับ แปดสิบ ทองคำหนัก ๘๐ เมล็ดข้าวเปลือก ๑ กหาปณะ เป็นราคาเงินไทย เวลานี้เท่าใด ๑ บาทขึ้นไป อันเป็นวัตถุแห่งปาราชิกนั้น คิดเป็นราคาเงินไทยเท่าใด ถ้าขโมยเงิน หรือ ขโมยของต่ำกว่า ๑ บาท ลงมา อาบัติก็ต่ำลงมา คือ ๒-๔ มาสก เป็นอาบัติถุลลัจจัย (หยาบ) ตั้งแต่ ๑ มาสก ลงมาเป็นทุกกฏ (ไม่ดี ไม่งาม ไม่เหมาะ ไม่ควร ทำชั่ว)
    ในสิกขาบทนี้ ลักษณะที่ภิกษุไม่ต้องอาบัติมี ๘ ประการ คือ ๑) ภิกษุถือเอาด้วยเข้าใจว่าเป็นของตน ๒) ภิกษุถือเอาด้วยความคุ้นเคยกันหรือถือเอาด้วยวิสาสะ• ๓) ภิกษุถือเอาด้วยเข้าใจว่าเป็นของยืม ๔) ภิกษุถือเอาของผู้ตายหวงแหน เว้นแต่จะมีผู้รับมรดกต่อ ๕) ภิกษุถือเอาของที่สัตว์หวงแหน เช่น เสือกัดเนื้อตาย ถือเอาบางส่วนมาทำเป็นอาหาร ๖) ภิกษุถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญา คือเข้าใจว่าเป็นของที่เขาทิ้งแล้ว ๗) ภิกษุเป็นบ้า ๘) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ

    https://th.wikisource.org/wiki/พระว...-_วิเคราะห์ปาราชิก_เป็นต้น_-_วิเคราะห์ปาราชิก
     
    อาวุโสโอเค, kokkai, ridkun_user และอีก 3 คน ถูกใจ
  5. AlbertEinsteins

    AlbertEinsteins อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    13 Dec 2014
    คะแนนถูกใจ:
    4,479
    :D:D:D:D:D
    คนโกงค่าโดยสารรถไฟ
    มาสอนธรรมให้คนอื่น
    แถมสอนผิดอีกต่างหาก
    :giggle::giggle::giggle::giggle::giggle:

    นี่แหละกูไม่รู้ตัวจริง
    :rofl::rofl::rofl::rofl::rofl:
     
  6. ฟักแม้ว

    ฟักแม้ว อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    29 Dec 2015
    คะแนนถูกใจ:
    3,518
    นับว่าเป็นบุญของคน กทม ที่ไม่เลือก ไอ้ "โสโครก" มาเป็นผู้ว่า :giggle::giggle::giggle::giggle:
     
  7. อู๋ คาลบี้

    อู๋ คาลบี้ อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    15 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    12,204
    รวยเพราะทำบุญโดยขาดสติเนี่ยนะถูกต้อง ??
     
    อาวุโสโอเค, kokkai, apollo และอีก 2 คน ถูกใจ
  8. apollo

    apollo อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    13 Mar 2015
    คะแนนถูกใจ:
    5,703
    ด็อกที่สุดยอดจริง ๆ เก่งไปหมดทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง

    แม้แต่เรื่องธรรมะก็รู้ พระพุทธเจ้าสอนอะไรก็รู้

    แต่ทำไม๊ กลับมีความคิดที่จะให้เปิดบ่อนกาสิโน ตัดไม้ทำลายป่า แถมยังแอบขึ้นรถไฟไม่จ่ายค่าโดยสารด้วย

    มันย้อนแย้งในตัวเนอะ

    :D:D
     
  9. ParaDon

    ParaDon อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    2 Aug 2015
    คะแนนถูกใจ:
    3,168
    Location:
    Thai


    ด็อกโสฯ
    กับอีเพ็ญปากเบี้ยว สวีเดน
    ตอนนี้เป็นไอดอลพวกเควี้ยแดงทางยูทูป
    558000001861703.jpg

    จบด็อกเตอร์เขียนตัว N ยังผิดเอากับมัน เสือกไปเขียนใส่รถคนอื่นอีกเกรียนได้ทุกที่นะมึง
    Image.aspx?ID=3485948.jpg
    รู้ตัวเขียนผิดเลยย้ายมาเขียนคันใหม่ เกรียนไปเรื่อยๆ

    โลกนี้มีคนจบด็อกเตอร์แบบโสภณกับมีไฮโสฯอย่างอีเพ็ญด่าสลิ่ม,หมิ่นสถาบันฯ
    ชีวิตผมดูดีขึ้นเยอะเลยถ้าไปไปเปรียบเทียบกับคนพวกนี้ :D
     
    Last edited: 7 Jan 2017
  10. AlbertEinsteins

    AlbertEinsteins อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    13 Dec 2014
    คะแนนถูกใจ:
    4,479
    บางทีความชั่วมันอยู่ในกมลสันดาน
    ทำให้ชีวิตคิดแต่จะทำชั่ว
     
    อาวุโสโอเค และ apollo ถูกใจ.
  11. Apichai

    Apichai อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    13 Dec 2014
    คะแนนถูกใจ:
    1,042
    สั้น ๆ ครับ
    ไปเล่นที่อื่นเถอะ
    พุทธศาสนา ไม่ใช่ที่เล่นของ ดอกเตอร์
     
    อาวุโสโอเค และ kokkai ถูกใจ.
  12. ParaDon

    ParaDon อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    2 Aug 2015
    คะแนนถูกใจ:
    3,168
    Location:
    Thai
    มูลนิธิอิสรชนร่วมจัดเลี้ยงอาหารผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ในโอกาสครบรอบวันเกิด 45 ปี ไม้หนึ่ง ก.กุนที ผู้ล่วงลับ โดยมี จนท.นอกเครื่องแบบ มาร่วมสังเกตการ

    คณะกรรมการ มูลนิธิอิสรชน
    1. ดร.โสภณ พรโชคชัย – ประธานกรรมการ
    2. นางวิไลพรรณ หลวงยา – รองประธานคนที่ 1/เหรัญญิก
    3. นายรัฐศักดิ์ อนันตริยะ – รองประธานคนที่ 2
    4. นางกรองทอง สรวารี – กรรมการ
    5. นางงามจิต แต้สุวรรณ – กรรมการ
    6. นางสาวเหมพรรษ บุญย้อยหยัด – กรรมการ
    7. นายชาตรี ฝากตัว – กรรมการ
    8. นายยิ่งเกีรติ เหล่าศรีศักดากุล – กรรมการ
    9. นายพรสรวง โพธิ์ทอง – กรรมการ
    10. นายอภิชาติ ประสิทธิ์นฤทธิ์ – กรรมการ
    11. นายนที สรวารี – กรรมการเลขาธิการ

    http://issarachon.org/executive-committee/

    ธาตุแท้โยงใยถึงกันหมด...ตุ๊ยยยย
     
    Last edited: 7 Jan 2017
  13. gaiser

    gaiser สมาชิกทั่วไป

    สมัคร:
    29 พ.ย. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    87
    ด็อก คุณมึงนี่มันมนุษย์พรรค์สวะจริงๆนะครับ
     
    อาวุโสโอเค และ AlbertEinsteins ถูกใจ.
  14. AlbertEinsteins

    AlbertEinsteins อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    13 Dec 2014
    คะแนนถูกใจ:
    4,479
    โอ๊ววววววว
    ด๊อกโสมม พรรค์สวะ
     
    อาวุโสโอเค และ gaiser ถูกใจ.
  15. 5555

    5555 อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    18 พ.ย. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    3,450
    "ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ขออนุญาตถกเรื่องความมั่งคั่ง"

    ถุย เลยด็อค

    แบบด๊อคเค้าไม่เรียกถกหรอกน๊ะ
    แปะแล้วเปิดตูดหนี


    5555
     
    อาวุโสโอเค และ AlbertEinsteins ถูกใจ.
  16. HiddenMan

    HiddenMan อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    11,779
    :giggle: ถกกระโปรงครับ...
     
    อาวุโสโอเค, kokkai, 5555 และอีก 1 คน ถูกใจ.
  17. Anduril

    Anduril อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    4 Jun 2015
    คะแนนถูกใจ:
    5,268
    เป็นถึงด็อกเตอร์ แต่แยกแยะพระธรรมคำสอน กับคำให้พรของพระสงฆ์ไม่ได้
    แต่แนวคิดนี้เหมือนกับเหล่าสาวกลัทธิที่ออกมาเพ่นพล่านตามโซเชียลเลย
     
  18. gaiser

    gaiser สมาชิกทั่วไป

    สมัคร:
    29 พ.ย. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    87
    คราวนี้ถึงกับมาบิดเบือนพระธรรมอีก สุดจะทนจนต้องออกมาด่าเลยนะครับ ว่าจะอ่านเงียบๆแล้วนะ
     
  19. ParaDon

    ParaDon อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    2 Aug 2015
    คะแนนถูกใจ:
    3,168
    Location:
    Thai
    ไอ้ด็อกเตอร์ มันศึกษาตำราใหนมา

    สมองมันเลอะเลือนหรือมันโง่ที่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายว่าที่
    กษัตริย์ที่จะต้องครองแผ่นดินแต่สละทรัพย์สมบัติหนีไปบวช
    ไปถามเด็กประถมที่ไม่จบด็อกเตอร์ยังรู้

    เจ้าชายสิทธัตถะ
    เสด็จหนีออกบรรพชา

    ครั้นพระสิทธัตถะทรงน้อมพระทัยเสด็จออกบรรพชาเช่นนั้น ก็ทรงเห็นมีทางเดียว คือ เสด็จหนีออกจากพระนคร ตัดความอาลัย ความเยื่อใย ในราชสมบัติ พระชายา และพระโอรส กับทั้งพระประยูรญาติ ตลอดราชบริพารทั้งสิ้น ด้วยหากจะทูลพระราชบิดา ก็คงจะถูกทัดทาน ยิ่งมวลพระประยูรญาติทราบเรื่อง ก็จะรุมกันห้ามปราม การเสด็จออกซึ่งหน้า ไม่เป็นผลสำเร็จได้ เมื่อทรงตั้งพระทัยเสด็จหนีเช่นนั้นแล้ว ในเวลาราตรีนั้น เสด็จบรรทมแต่หัวค่ำ ไม่ทรงใยดีในการขับประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีของพวกราชกัญญาทั้งหลาย ที่ประจงจัดถวายบำรุงบำเรอทุกประการ

    มื่อพระสิทธัตถะทรงตื่นบรรทมในเวลาดึกสงัดแห่งราตรีนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นนางบำเรอฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีเหล่านั้น นอนหลับอยู่เกลื่อนภายในปราสาท ซึ่งสร้างด้วยแสงประทีป บางนางอ้าปาก กัดฟัน น้ำลายไหล บางนางผ้านุ่งหลุด บางนางกอดพิณ บางนางก่ายเปิงมาง บางนางบ่น ละเมอ นอนกลิ้งกลับไปมา ปรากฏแก่พระสิทธัตถะ ดุจซากศพ อันทิ้งอยู่ในป่าช้าผีดิบ ปราสาทอันงามวิจิตรแต่ไหนแต่ไรมา ได้กลายเป็นป่าช้า ปรากฏแก่พระสิทธัตถะในขณะนั้น เป็นการเพิ่มกำลังความดำริในการออกบรรพชาในเวลาย่ำค่ำเพิ่มขึ้นอีก ทรงเห็นบรรพชาเป็นทางที่ห่างอารมณ์อันล่อให้หลงและมัวเมา เป็นช่องที่จะบำเพ็ญปฏิบัติ เป็นประโยชน์ตนและผู้อื่น ทำชีวิตให้มีผลไม่เป็นหมัน ทรงตกลงพระทัยเช่นนี้ ก็เตรียมแต่งพระองค์ทรงพระขรรค์ รับสั่งเรียกนายฉันนะ อำมาตย์ ให้เตรียมผูกม้ากัณฐกะ เพื่อเสด็จออกในราตรีนั้น

    ครั้นตรัสสั่งแล้วก็เสด็จไปยังปราสาทพระนางพิมพาเทวี เพื่อทอดพระเนตรราหุลกุมาร พระโอรสพระองค์เดียวของพระองค์ เผยพระทวารห้องบรรทมของพระนางพิมพาเทวี เห็นพระนางบรรทมหลับสนิท พระกรกอดโอรสอยู่ ทรงดำริจะอุ้มพระโอรสขึ้นชมเชยเป็นครั้งสุดท้าย ก็เกรงว่าพระนางพิมพาจะทรงตื่นบรรทม เป็นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออกบรรพชา จึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาในพระโอรส เสด็จออกจากห้องเสด็จลงจากปราสาท พบนายฉันนะเตรียมม้าพระที่นั่งไว้พร้อมดีแล้ว ก็เสด็จขึ้นประทับม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะตามเสด็จหนึ่งคน เสด็จออกจากพระนครในราตรีกาล ซึ่งเทพยดาบรรดาลเปิดทวารพระนครไว้ให้เสด็จโดยสวัสดี

    เมื่อเสด็จข้ามพระนครไปแล้ว ขณะนั้นพญามารวัสวดี ผู้มีจิตบาป เห็นพระสิทธัตถะสละราชสมบัติ เสด็จออกจากพระนคร เพื่อบรรพชา จะล่วงพ้นบ่วงของอาตมาซึ่งดักไว้ จึงรีบเหาะมาประดิษฐานลอยอยู่ในอากาศ ยกพระหัตถ์ขึ้นร้องห้ามว่า

    "ดูกร พระสิทธัตถะ ท่านอย่ารีบร้อนออกบรรพชาเสียก่อนเลย ยังอีก 7 วันเท่านั้น ทิพยรัตนจักรก็จะปรากฏแก่ท่าน แล้วท่านก็จะได้เป็นองค์บรมจักรพรรดิ์ เสวยสมบัติเป็นอิสราธิบดี มีทวีใหญ่ทั้ง 4 เป็นขอบเขต ขอท่านจงนิวัตนาการกลับคืนเข้าพระนครเถิด"


    พระสิทธัตถะจึงตรัสว่า ดูกรพญามาร แม้เราก็ทราบแล้วว่า ทิพยรัตนจักรจะเกิดขึ้นแก่เรา แต่เราก็มิได้มีความต้องการด้วยสมบัติบรมจักรพรรดิ์นั้น เพราะแม้สมบัติบรมจักรพรรดิ์นั้น ก็ตกอยู่ในอำนาจไตรลักษณ์ ไม่อาจนำผู้เสวยให้พ้นทุกข์ได้ ท่านจงหลีกไปเถิด เมื่อทรงขับพญามารให้ถอยไปแล้ว ก็ทรงขับม้ากัณฐกะราช ชาติมโนมัยไปจากที่นั้น บ่ายหน้าสู่มรรคา เพื่อข้ามให้พ้นเขตราชเสมาแห่งกบิลพัสดุ์บุรี เหล่าเทพยดาก็ปลาบปลื้มยินดี บูชาด้วยบุบผามาลัยมากกว่ามาก บ้างก็ติดตามห้อมล้อมถวายการรักษาพระมหาบุรุษเจ้าตลอดไป

    จึงพอสรุปได้ว่าพวกชอบสะสมทรัพย์คือพวกมารหรือพวกที่ถูกมารครอบงำ
    ไอ้ด็อกเตอร์โสมมนี่มันบิดเบือนได้ใจพวกเลวจริงๆ
    หวังว่ามันคงไม่ได้ไปเป็นที่ปรึกษาของธัมมี่ด้วยล่ะแต่รูปกาลมันเริ่มชี้ไปทางนั้น

    พระบางรูปที่เป็นมารในคราบนักบุญ คอยหลอกล่อญาติโยมให้หลงทางมัวเมาญาติโยมด้วยกิเลสตัณหา
    เพื่อไม่ให้เขาไปถึงนิพพานคือความดับทุกข์การพ้นทุกข์

    ไม่อยากคิดเลยว่า วัดธรรมกายคือสำนักงานใหญ่ของ ชูชก เฒ่านักขอ



     
    Last edited: 8 Jan 2017
  20. Strangerman

    Strangerman อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    25 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    885
    แย่ว่ะ ไอ้ด๊อกโสมมฯ การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยจริงๆ สินะ
     
  21. plunk

    plunk อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    13 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    1,509
    รถไฟยังแอบขึ้นเลย อนาทครับ
     
  22. Surawong

    Surawong อำมาตย์ฝึกงาน

    สมัคร:
    22 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    1,544
    ความจริงแล้ว ท่านนายกเขาไม่ได้ถาม เขาแค่พูดเป็นประโยคบอกเล่าว่า "ไม่เคยเห็นวัดไหนสอนให้คนรวยแบบธรรมกาย" เท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนด็อกเตอร์คงอยากจะอวดภูมิปัญญา ก็เลยเข้ามาตอบโดยที่เขาไม่ได้ถาม

    ดูจากคำตอบแล้วมองเห็นได้เลยว่า เป็นแหล่งรวม ความบิดเบือน จำแพะชนแกะ โง่เขลาเบาปัญญา อย่างไม่น่าเชื่อ

    แค่คำพูดของนายก ก็ยังอ่านไม่หมดเลยแล้วแค่นมาตอบเขา เขาพูดว่า "ไม่เคยเห็นวัดไหนสอนให้คนรวยแบบธรรมกาย" ด็อกเตอร์ก็บอกว่า มี แล้วไปยกตัวอย่างหลวงพ่อคูณ และวัดต่าง ๆ แถมยังบอกอีกว่า เขาอวยชัยให้พรว่าให้ รวย รวย เฮง เฮง เอาคำสอนกับคำอวยชัยให้พรไปปนกันซะงั้น แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะมันขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละคนว่ามีสติปัญญาที่จะแยกแยะอะไรได้แค่ไหน ก็เอาเป็นว่าถ้าด็อกเตอร์เห็นว่าคำอวยชัยให้พรคือคำสอนแล้วมันเหมือนกับธรรมกายหรือเปล่าล่ะ หรือไม่รู้อีกว่าธรรมกายเขาสอนให้คนรวยอย่างไร

    ย้อนถามนายก วัดที่สอนคนให้จนมีไหม มีแน่นอน แต่ไม่บอกปล่อยให้โง่อย่างนี้ดีกว่า อยากรู้ไปหาดูเอาเอง เพราะวัดนี้สอนตรงข้ามกับธรรมกายเลย ประเภทสุดโต่งนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งคู่ เพียงแต่สุดโต่งไปคนละด้านเท่านั้น

    "เฉ่งพระสอนให้คนรวยก็มีด้วย" อันนี้ไม่แน่ใจว่า ที่เขียนมาเพราะต้องการบิดเบือน หรือ เพราะโง่ ที่ไม่รู้ว่าเขาจับเรื่องอะไร

    พระพุทธเจ้าสอนให้คนรวย อันนี้ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี เอาคำว่า "บัดซบ" ของคุณ Ricebeanoil มาใช้น่าจะเหมาะสม เพราะมันเหมือน "คนบาป" ที่พูดไปเรื่อยแบบไม่มีความนับถือพระพุทธเจ้าเลย แค่ไปจำขี้ปากคนที่เขาเขียนว่า คาถาหัวใจมหาเศรษฐี ก็มาทึกทักเอาแล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนให้คนรวย โดยไม่ได้อ่านเลยว่าที่ยกมาอ้าง 4 ข้อนั้นเขาสอนเรื่องอะไร (หรืออ่านแล้วแต่ไม่รู้เรื่อง เห็นเขาบอกว่าเป็นคาถาหัวใจมหาเศรษฐี ก็ใช้ได้ละ)

    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ทำบุญจนหมดตัว ยกมาทำไม หรือแค่อยากอวดว่าข้ารู้ รู้แล้วยังไง มันแปลกตรงไหน ที่อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีความเลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้ามาก จึงอยากที่จะสละทรัพย์สินทุกอย่างที่มีให้หมดเพื่อมิให้เป็นภาระในการแสวงหาทางหลุดพ้นตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เขามิได้ทำบุญจนหมดตัวเพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้ไป นรก หรือสวรรค์ ตามคำสอนของศาสดาเก๊ ในปัจจุบัน

    อันนี้บอกให้เอาบุญ ถ้าด็อกเตอร์ไม่อยากให้ นรกกินหัว ก็ควรศึกษาพุทธวัจนไว้บ้าง

    "ความเสื่อมโภคทรัพย์เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ความเสื่อมปัญญาเลวร้ายกว่าความเสื่อมทั้งหลาย"

    "ความเจริญด้วยโภคทรัพย์เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ความเจริญด้วยปัญญา ยอดเยี่ยมกว่าความเจริญทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า "เราทั้งหลายจักเจริญด้วยความเจริญทางปัญญา" เธอทั้งหลายพึงสำเหนียก
     
  23. อาวุโสโอเค

    อาวุโสโอเค อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    8,527
    เฮ้อ.... พวกรู้ไม่จริงแล้วอวดรู้อย่างด๊อก บางครั้งก็เหมือนใส่รองเท้าผิดข้าง

    ยิ่งฝืนเดินไปก็เชื่อได้ว่าระหว่างก้าวไปก็ไม่สบายเท้า มีแต่ทำตัวเองและคนรอบข้าง

    ล้มอยู่นั่น หาประโยชน์ไม่ได้ หากคิดว่าจะเหยียบเรือสองแคมเพื่ออะไรก็แล้วแต่

    ขอบอกได้เลยว่ามีแต่จะทำชีวิตตนเองเสื่อมลงทุกวัน ที่เตือนเพราะหวังดี

    อย่างในหัวข้อมที่ว่ามา ก็เอาแค่ความจริงเพียงครึ่งเดียวมาพูด พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้บูชาความร่ำรวย

    แต่ทรงสอนให้ยอมรับความจริง ใช้ชีวิตอยู่กับความจริงอย่างมีสติและสงบสุขต่างหาก
     
    apollo, Apichai, gaiser และอีก 1 คน ถูกใจ.
  24. ชายน้ำ

    ชายน้ำ อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    9 Feb 2015
    คะแนนถูกใจ:
    7,081
    จนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าล็อคอินนี้เป็นของดร.โสมมจริงๆหรือพวก3กระทู้20ยืมมาใช้

    เนื้อหาสาระกระทู้ก็มั่วสมกับชื่อเจ้าของและเป็นแค่โพสท์แล้วหายหัว

    หรือนี่จะเป็นเจ้าตัดแปะ?
     
  25. เผด็จการที่รัก

    เผด็จการที่รัก อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    9,076
    12419233_10153490359157507_426201896038749362_o.jpg




    อย่ามาแถว่านี้คือศาสนาพุทธ
     
  26. อาวุโสโอเค

    อาวุโสโอเค อำมาตย์น้อย

    สมัคร:
    1 ต.ค. 2014
    คะแนนถูกใจ:
    8,527
    อันนี้แถมให้ครัช ด๊อกโส วิจารณ์ พระพยอม กรณีวัดพระธรรมกาย :giggle:
     
    gaiser และ apollo ถูกใจ.

Share This Page