ก็เพราะยังงั้นถึงได้พยายามมองหาโอกาสงัยครับ สังขาร ไม่เกี่ยว แต่ก็ให้แปลกใจอยู่อย่างว่า ทำไมถึงมาขยันเอาตอนนี้ ในการอยากแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกร
ถ้าจิ๋วได้เป็นนายกอีก เตรียมตัวเก็บเงิน ซื้ออาวุธตุนไว้ได้เลย เพราะฝันร้ายปี 40 จะกลับมาอีกครั้ง ขนาดเป็นประธานพรรคเผาไทย ยังแทบร่อแร่เลย
ไม่ได่ให้ราคา แค่ฝากมาให้อ่านขอรับ ส่วนลาว เราก็มีปัญหาเรื่องชายแดนที่บ้านร่มเกล้า เพื่อชิงพื้นที่บนเนิน 1428 ในเขตบ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก จนเกิดการปะทะระหว่างไทย - ลาว เมื่อปี 2530 หรือสมัยที่มีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารบก การปะทะหรือสงครามครั้งนั้นสร้างความเสียหายให้กับไทยอย่างย่อยยัย มีทหารเสียชีวิตไปประมาณ 1,000 นาย และยังเสียเครื่องบินขับไล่ F5 ไปอีก 1 ลำ จนเป็นที่มาของคำกล่าวเยาะเย้ยถากถาง พลเอกชวลิตฯ ว่า " รบกับลาวก็ยังแพ้ลาว " เป็นการวางแผนการรบอย่างผิดพลาด และประเมินข้าศึกหรือไอ้น้องลาวต่ำไป เรื่องบ้านร่มเกล้าจบลงที่การเจรจา โดยที่ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายริเริ่ม หลังจากเห็นว่าสงครามอาจยืดเยื้อ และไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบการรบในครั้งนี้ คงจำกันได้กับฝ่ายลาว ที่มีพลเอกสีสหวาด แก้วบุญผัน เป็นผู้บัญชาการทหารบก เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองพร้อม ภริยาและคณะ เมื่อวันที่ 16 กพ.31 เพื่อเปิดการเจรจา ซึ่งเป็นข่าวครึกโครมในครั้งนั้น คณะจากลาวเปรียบเสมือนผู้ยิ่งใหญ่ หรือผู้กำชัยในศึกครั้งนี้ ส่วนฝ่ายไทยก็มี ผบ.ทบ หรือพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ไปต้อนรับคณะของลาวจนถึงรันเวย์ สนามบิน ทันที่ที่พลเอก สีสหวาด ลงจากเครื่อง ก็เข้าสวมกอดพลเอกชวลิต ตามธรรมเนียมของพรรคคอมมิวนิสต์ ี ทำเอา บิกจิ๋วเรา ทำท่าเหรอหร่า เพราะไม่คิดมาก่อนว่า ลาวจะแสดงความเป็นมิตรแบบกอดกันแน่น ทั้งๆที่ไทยกับลาวก็มีวัฒนธรรมการยกมือไหว้ที่ไม่ต่างกัน ดีที่ตอนนั้นเป็นช่วงกลางวัน หากครึ้มฝนเมื่อไหร่ คงเกิดอาเพธฟ้าผ่าลงมาเป็นแน่ และนี่เองที่เป็นที่มาของคำว่า "กอดสามัคคี " หรือ " นอนสามัคคี " ซึ่งคำว่าสามัคคีนี้เป็นคำที่คนลาวใช้กันมาก อะไรๆก็สามัคคีไว้ก่อน เช่นในวงเหล้าก็มีการชนแก้วสามัคคี รัฐบาลไทยในสมัยพลเอกชาติชายฯในขณะนั้น ต้อนรับขับสู้ผู้แทนลาว ชนิดเอาอกเอาใจเต็มที่ สารพัดยุทธวิธีที่นำมาใช้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเจรจาราบรื่น เพราะหากไม่เป็นผล หรือทำให้ฝ่ายลาวไม่ยอมรับแล้ว สงครามบ้านร่มเกล้าก้คงต้องยืดเยื้อต่อไป ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นผลดีกับไทย เพราะเราสูญเสียนายทหารรวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปแล้วเป็นจำนวนมาก หมดงบประมาณไปมหาศาล ที่สำคัญไทยเราเสียหน้าด้วย ว่าลาวเป็นประเทศเล็กๆแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญหลังจากสงครามเย็นหรือสงครามการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์เริ่มสงบลง กำลังมันส์... ขอต่ออีกหน่อย สาเหตที่อยากเขียนต่อ เป็นเพราะเรื่องมันยังอยู่ในความทรงจำ และยังแค้นไม่หายที่ฝ่ายไทย อันมีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการ วางแผนการรบผิดพลาด จนทำให้ฝ่ายไทยเสียหายอย่างหนัก (จะเรียกว่าพ่ายแพ้ก็ไม่น่าเกลียด) เรื่องนี้ใครอยากรู้ความจริงในสนามรบ ต้องไปสอบถามจากปากของทหารที่เคยผ่านสงครามในครั้งนี้ ฟังแล้วจะรู้ว่าเลตุ้มเเป๊ะ แถมมีการทุจริตงบประมาณกันอื้อซ่า นายทหารบางคนยังบอกว่า ไทยรบกับคอมมิวนิสต์มาเป็นสิบๆปี ก็ยังไม่เสียหายมากมายเท่านี้ ทหารไทยนับจำนวนเป็นพันต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แถมยังถูกลาวสอยเครื่องบินขับไล่ F 5 ร่วงกลางป่า มันน่าอับอายขายขี้หน้ากันขนาดไหน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2531 หลังลงนามยุติหยุดยิงที่ประเทศลาว ไทยเราก็มีโอกาสต้อนรับคณะผู้แทนลาวที่เดินทางมาเจรจา ชนิดที่คณะลาวก็คาดไม่ถึง โน่นครับ...พาไปนอนโรงแรมในพัทยา พักกันสุดหรูระดับ 5 - 6 ดาว คณะลาวบอกว่า มันเริ่ดหรูอะไรกันขนาดนี้ และเกือบจะทุกคนในคณะมีโอกาสลงเล่นน้ำทะเลเป็นครั้งแรก (ในชีวิต) ต่างตื่นเต้นดีใจกันใหญ่ พักหรู ในโรงแรมสุดยอด ทานอาหารระดับราชา เลี้ยงดูปูเสื่อกันขนาดนี้ การเจรจายุติศึกมันก็ง่ายสิครับ.. ไม่พอ ขากลับ รัฐบาลไทยก็เอาอกเอาใจ ฝากทุเรียนนนท์ ที่มีรสชาติระดับอภิมหาความอร่อย ลูกละเป็นพันๆ ติดไม้ติดมือไปคนละลูกสองลูก ให้ทานกันชนิดพุงบาน หลายคนในคณะลาว คงคิดว่าประเทศลาวตั้งแต่เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ก็มีแต่สงคราม ประเทศไม่มีความสงบ ประเทศลาว(คอมมิวนิสต์)ไม่มีศาสนา ไม่มีพระมหากษัตริย์ และกษัตริย์องค์สุดท้าย หรือพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ขณะประทับอยู่เมืองหลวงพระบางก็ถูกจับไปอยู่ในค่ายกักกันของพวกเชลย จนสิ้นพระชนม์ที่นั่น ประชาชนคนลาวในยุคนั้นก็อดอยากเพราะข้าวที่ปลูกได้ต้องส่งไปให้ประเทศจีน ในฐานะที่เป็นพี่เบิ้มของค่ายคอมมิวนิสต์ ผิดกับประเทศไทยที่เป็นเมืองแห่งความศิวิไล บ้านเมืองทันสมัย คนไทยอยู่ดีกินดี ก่อนที่คณะผู้แทนลาวจะกลับประเทศ ผู้สื่อข่าวไทยได้มีโอกาสสัมภาษณ์ภริยาท่านพลเอกสีสหวาด ปรากฏว่าภริยาท่านก็พาซื่อตามประสาคนลาว บอกความในใจ โม๊ดเลย..ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชนิดที่เกิดมาก็ไม่เคยมีใครมาสัมภาษณ์ ทั้งทีวี ทั้งหนังสือพิมพ์ มากันเป็นร้อย ให้ความสำคัญกันยิ่งกว่าดาราฮอลลีวู๊ด สงสัยกลับไปแล้ว คณะผู้แทนลาวก็คงจะนอนไม่หลับไปหลายคืน กับความประทับใจที่มาเมืองไทยในครั้งนี้ ขณะเดียวกันก็คงจะเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ กับคำว่า ประเทศคอมมิวนิสต์ ว่ามันสู้ประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตยนี้ไม่ได้ มองไปทางไหนก็มีแต่ความเจริญ ประชาชนไม่ต้องมาล้มตายเหมือนประเทศตน เขีบนเรื่องน่าน แค่รู้สึกว่าจะแทรกเรื่องของลาวมากไปหน่อย อย่างน้อยๆก็จะได้ไม่ลืมว่า ลาวกับไทยเคยรบกันมาหลายครั้ง และไทยก็ชนะมาตลอด สมัยประวัติศาสตร์ไทยเราก็กวาดต้อนคนลาวเข้ามาไม่รู้ต่อกี่แสนคน จนเวียงจันทน์แทบจะเป็นเมืองร้าง ปัจจุบันคนลาว ในประเทศไทยก็มีหลายกลุ่ม กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ มีทั้งลาวพรวน ลาวโซ่ง ไทยทรงดำ ฯลฯ สมัยที่ลาวตกอยู่ในการครอบครองของพรรคคอมมิวนิสต์ ไทยกับลาวก็มีการสู้รบตามแนวชายแดน ในเขตอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน เมื่อ พ.ศ.2510 สมัยนั้นเรียกว่า " ลาวแดง " แต่ไทยเรายังตรึงพื้นที่เอาไว้ได้ ใครไปเที่ยวทุ่งช้างก็คงจะเห็นอนุสาวรีย์ทหารไทยและพิพิธภัณฑ์ทางทหาร เช่นเดียวกับเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ (อยากรู้ว่าทุ่งช้าง ที่เป็นพื้นที่การสู้รบอยู่ตรงไหน คลิกดูได้จากแผนที่ชุดที่ 1 ด้านล่าง) สำหรับการรบกับลาวครั้งหลังสุดเพื่อชิงพื้นที่ เนิน 1428 ที่บ้านร่มเกล้าในตำบลโนนหมากมุ่น เขตจังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี 2530 ถามใครๆก็บอกว่า ต่างฝ่ายต่างยุติ หรือนำปัญหามาสู่การเจรจา แต่ถ้าจะถามในเรื่องยุทธวิธีแล้ว ก็ต้องบอกแบบฟันธงว่า ไทยแพ้ลาวครับ ก็เพราะคำว่าแพ้ ที่อยู่ในส่วนลึกของฝ่ายรัฐบาลชาติชาย ไทยเราจึงต้องเร่งให้มีการเจรจาโดยด่วน คำถามง่ายๆ ว่าหากไทยชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว เราจะไปเจรจากันทำไม รบชนะก็เข้ายึดพื้นที่แล้วไล่ตะเพิดทหารลาวออกไป พร้อมปักธงชาติไทย และประกาศชัยชนะ ก็เพราะมันไม่ไช่แบบนั้น เราจึงใช้ทุกวิถีทาง ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ในที่ลับก็คือได้แอบไปเจรจากับประเทศจีนเพื่อให้ช่วยเจรจากับลาว (รวมทั้งผู้อยู่เบื้องหลัง ได้แก่ เวียดนาม คิวบา และรัสเซีย ที่สนับสนุนเรื่องอาวุธ) ซึ่งขณะนั้นประเทศจีนได้ปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศ หรือหันหลังให้กับคำว่าคอมมิวนิสต์ไปแล้ว นับจากนายเติ้ง เสี่ยวผิง ขึ้นมาเป็นผู้นำ จากนั้นจีนเปิดประเทศให้ผู้นำประเทศต่างๆเดินทางเข้าจีนเพื่อไปจับไม้จับมือกับท่านประธานเหมา พร้อมกับเปืดเจรจาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ส่วนประเทศไทยก็มี มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีฯเดินทางไปจีนเมื่อปี 2518 ลาวถูกกดดันจากจีนเพื่อให้ยุติศึกร่มเกล้า ซึ่งก็สร้างความไม่พอใจให้กีบลาวเป็นอย่างมาก ถึงขนาดตีรวน หรือทำกร่าง ในการประชุมมาตลอด ผิดกับไทยที่พยายามรักษาไมตรี ทำเป็นสุภาพบุรุษ อ้างถึงหลักฐานเขตแดนที่ถูกต้องของไทย เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ต่างกับที่นายฮุนเซ็นทำกับไทยในขณะนี้ แต่ลาวทำค่อนข้างออกหน้าออกตามากกว่า เรียกว่าไม่คิดยำเกรงไทยแม้แต่น้อย ถึงขนาดตอนแถลงข่าวหลังประชุมที่เวียงจันทน์ ที่ทั้งสองต้องออกมาแถลงร่วมกัน ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ และมีผู้สื่อข่าวต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมากที่มาทำข่าว ปรากฏว่า โฆษกของลาว กระแทกไหล่ นายสาโรจน์ ชวนะวิรัช โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยอย่างเจตนา ทำเอาโฆษกไทยไม่พอใจแต่ต้องต้องเก็บความรู้สึก เพราะโทรทัศน์กำลังถ่ายทอดสดมาถึงประเทศไทบ รบกับลาวก็ยังแพ้ลาว เป็นความทรงจำที่คนไทยไม่เคยลืม ว่าเป็นไปได้ และเกิดขึ้นแล้วในสมัยที่มีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารบก และเหตุการณ์นี้หรือเปล่าที่อาจทำให้ท่านเครียด พูดกับใครก็ไม่ค่อยจะรู้เรือง หรือประเภทต้องแปลไทยเป็นไทย จนนายแพทย์ที่เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ได้อภิปรายในสภาว่า ท่านเป็นโรคอัลไซม์เมอร์ หรือโรคสมองเสื่อม พร้อมกับแนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์ สมัยที่พลเอกชวลิตฯ เป็นนายกรัฐมนตรี บางครั้งก็ใช้คำพูดแปลกๆเช่นบอกว่า " จะไปโดดน้ำตาย " จากกรณีที่ไปรับปากว่าหากแก้ปัญหาอีสานจนไม่เป็นผลสำเร็จ หรือการอาสาเข้ามาเป็น " โซ่คล้องใจ" ในกรณีความขัดแย้งของฝ่ายทักษิณ กับพรรคประชาธิปัติย์ ทั้งๆที่รู้ว่าตนเองมีความสามารถเพียงแค่เอ็นสองสลึง (ไม่เต็มบาท) หรือ "จะขอเข้าเฝ้าเพื่อกราบบังคมทูล..." บนเวทีคนเสื้อแดงที่ท้องสนามหลวง หรือการ " แต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศพลเอก " ในวันที่ไปรายงานตัวต่อ ฉอฉ. ที่ราบ 11 ในกรณีที่มีชื่อปรากฏอยู่ในขบวนการล้มเจ้า ของหน่วยดีเอสไอ หรือกรมสอบสวนพิเศษ ก่อนที่พวกแดงจะเผาเมือง เรื่องเหล่านี้ไปพูดกับใครๆก็มีแต่สายหัวกันทุกคน ว่ามันเป็นไปไดักับนายทหารยศพลเอก และมีตำแหน่งทางการเมืองถึงระดับนายกรัฐมนตรี ในอนาคต เรื่องประเภท มันแปลกดีนะ หรือมันเพี้ยนไปแล้วนะ คงมีให้เห็นอีกเป็นระยะๆ ตราบใดที่ผีห่าทักษิณ หรือผีเจ้ามูลเมือง มันยังสิงสถิตย์อยู่ในร่างของพ่อจิ๋ว ความจริงก็น่าเห็นใจท่านนะ จากที่หลายคนตั้งฉายาว่า ขงเบ้งแห่งกองทัพบก แต่มาแพ้กองทัพไอ้แกวจากประเทศลาว บริหารประเทศก็ล้มเหลว พาประเทศลงสู่ก้นเหว จนประเทศไทยแทบจะขายประเทศกิน ค่าเงินบาทตกรูดไม่มีชิ้นดี สถาบันการเงินถูกปิดกิจการ ธนาคารหลายแห่งถูกต่างชาติเข้ามา Take Over หรือซื้อกิจการ บริษัทเล็กบริษัทใหญ่เจ้งกันระนาว บริษัทที่เป็นหนี้ต่างประเทศแทบไม่มีปัญญาจ่าย เนื่องจากหนี้ในบัญชีเพิ่มสูงขึ้นจากการที่ค่าเงินบาทตกต่ำ กิจการหลายแห่งปิดตัว พนักงานบริษัทตกงานกันชนิดเป็นประวัติการณ์ ทั้งหมดนี้คือผลงานอัปยศของรัฐบาลในสมัยที่มีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2540 โดยมีรองนายกฯ นายอำนวย วีรวรรณ รับผิดชอบดูแลเรื่องเศรษฐกิจและการคลัง จนประเทศไทยต้องบากหน้าขอความช่วยเหนือจากกองทุน ไอเอ็มเอฟ คนไทยถ้าจะลืมอะไรก็ลืมได้ แต่อย่าลืมว่า พลเอกแห่งกองทัพบกคนนี้ มีส่วนทำให้ประเทศ ฉิบหาย มาแล้ว เท่านั้นไม่พอ ยังเป็นหัวหอกในขบวนการล้มเจ้า หรือ ล้มราชวงศ์อีกด้วย และจากปากของพลเอกเปรม ติณสุลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่เคยให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย หลังจากผู้สื่อข่าวถามความเห็นเรื่องพลเอกชวลิต เข้าไปเป็นที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย ท่านบอกสั้นๆกับผู้สื่อข่าวว่า " คนขายชาติ " http://www.photoontour.com/gallery3/lampang54/4_nan_province.htm
ไอ้ตัวนี้ไม่ใช่หรอ ตอนเป็นนายก ทำให้ไทยเกิดเหตุการณ์ ต้มยำกุ้ง จนโด่งดังเหม็นเน่าไปทั่่วโลก...แล้วยังคิดอยากเป็นอีก ...สยอง
ความจริงลุงจิ๋วเหมาะเป็นนายกยุคนี้นะ เพราะเห็นอุตสหกรรมส่งออกมีปัญหาค่าเงินแข็งเกินไป ลุงจิ๋วเก่งเรื่องทำให้เงินบาทอ่อนค่า
ยอมให้แกเป็นนายกฯได้ แต่ต้องไปโดดแม่น้ำโขงตายห่าก่อนนะ ทำได้ เอาไปเรยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อ่านประวัติศาสตร์เยอรมัน เค้ามีนายพลอย่าง Heinz Guderian, Erwin Rommel, Gerd von Rundstedt แต่ประเทศกรูมี “ขงเบ้ง” โอ้ววว โคตรช้ำใจเลย ขอบอก
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.)คนสนิท"จิ๋ว" ออกมาแก้ข่าว “ท่านบอกว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ได้สำเร็จจะต้องอยู่ตรงกลาง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม มีคุณธรรมทางศาสนาที่จะลดหรือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกำกับ คือ เมตตาและอภัย มองประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้งมากกว่าประโชขน์ส่วนตนหรือหมู่คณะ ประเทศของเราก็จะหลุดพ้นกับดักแห่งความขัดแย้งไปได้ ท่านถึงพยายามให้กำลังใจคสช.ซึ่งเป็นน้องๆของท่านที่มีความตั้งใจดีที่ได้อาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง ดังได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ชัดเจนเมื่อตอนยึดอำนาจ ทั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งประสบความสำเร็จ ประเทศจะได้เดินไปข้างหน้าได้” "บิ๊กจิ๋ว" ปฏิเสธข่าว ชี้ "ไม่คิดรีเทิร์นเป็นนายกฯ"
ปู จิตกร บุษบา นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ควรจะถามประชาชนไทยทุกสาขาอาชีพในเรื่องดังต่อไปนี้ ก่อนที่จะบอกว่าพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีก คือ 1.คนไทยยินดีให้ผู้ที่มีอายุ 83 ปี พูดจาฟังไม่ค่อยรู้เรื่องต้องมีคนแปลว่า มีความหมายว่าอย่างไร พูดไปแล้วตระบัดสัตย์และจำไม่ได้ เช่น ที่เคยพูดว่า ถ้าไม่สามารถทำให้ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพ้นจากความยากจนได้ ก็จะไปไปกระโดดแม่น้ำโขงตาย เป็นนายกรัฐมนตรี อีกหรือไม่ 2 .คนไทยยินดียอมรับให้ลดค่าเงินบาท ที่เป็นผลให้ค่าเงินบาทลดลงมากกว่า 100 % แบบที่เคยเป็นในปี 2540 คือ จาก 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เท่ากับ 25 บาท เป็น 54 บาท ทำให้พ่อค้านักธุรกิจเจ๊งกันมากมาย ยกเว้นนักธุรกิจคนหนึ่งที่รู้เรื่องการลดค่าเงินบาท ในปัจจุบัน 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 33 บาท ก็อาจจะกลายเป็น 70 บาทเศษ หรือไม่ 3.คนไทยยินดีที่จะให้กู้เงินจากไอเอ็มเอฟมาใช้จ่ายโกงกินกัน เพื่อให้เป็นภาระแก่ลูกหลานไทยต้องใช้หนี้กันในอนาคตอีก หรือไม่ 4.คนไทยยังยอมรับผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ แต่นำพรรคและส.ส.ไปขายและรวมกับพรรคไทยรักไทย ตนเองเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว แต่กลับยอมมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือไม่