http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/002/1.PDF แก้ไขมาตรา 7 เรียบร้อยแล้ว "พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ" ถวายคืนพระราชอำนาจพระเจ้าแผ่นดิน แต่เพิ่มว่านายกฯ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ยังไงรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้แล้วว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ กฎมณเฑียรบาลก็กำหนดไว้ว่าผู้ที่เป็นรัชทายาทต้องเป็นพุทธมามกะ (จำได้ประมาณนี้ครับ) ผมเชื่อว่าชาวพุทธหลายคนเชื่อมั่นในพระราชวินิจฉัยของพระเจ้าแผ่นดิน ที่ีมีมาตั้งแต่โบราณกาล
พระราชบัญญัติสงฆ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาครับ ตอนนี้คนไทยกำลังรอดูว่ารัฐบาลลุงตู่จะลงมือจัดการพระสงฆ์และคณะสงฆ์ที่ทำตัวผิดเพี้ยนอย่างไร นักการเมืองอย่างไรเสียก็ยังเป็นนักการเมือง การแก้ไขต้องอาศัยเวลาและคุณภาพของคนไทยเอง แต่สงฆ์นอกรีตนี่ต้องจัดการก่อนครับ
11:07 นายกฯ บอกทูลเกล้าฯ รายนามพระสังฆราชแล้ว โดยยึดอาวุโส ความเหมาะสม และร่างกายแข็งแรง @ThanawatLive VIA ดาริน กานต์
คนในศาสนาวิ่งเข้าหาการเมืองก็เพราะกิเลส กิเลสมันไม่ได้แยกพระแยกฆราวาสหรอกครับ เพราะฉะนั้น คงต้องแยกคนเลวออกจากพระออกจากศาสนา แยกความหลงงมงายออกจากศาสนา เมื่อนั้น พุทธศาสนาจึงจะกลับมาอีกครั้ง
http://www.matichon.co.th/news/455097 วันนี้ (7 ก.พ.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แล้ว โดยมีการดำเนินการตามขั้นตอนมาโดยตลอด และได้มีการนำรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติครบตามที่ได้บอกไว้สามประการทูลเกล้าขึ้นไปทั้งห้ารูป ซึ่งคงไม่ต้องถามว่าเป็นใคร และวันเดียวกันนี้ได้รับการ แจ้งมาว่าการโปรดเกล้าฯลงมาเรียบร้อยแล้ว คือสมเด็จวัดราชบพิธ ได้ และในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ จะมีการสถาปนาที่วัดพระแก้วในเวลา 17.00 น. ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะเสด็จด้วยพระองค์เอง สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) ได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระราชาคณะ เมื่อปี 2552 นามเดิม อัมพร ประสัตถพงศ์ เป็นสมเด็จพระราชา คณะฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร และเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม และรองแม่กองงาน สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2470 (ปัจจุบันอายุ 90 ปี) ณ ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โยมบิดาชื่อนายนับ ประสัตถพงศ์ โยมมารดาชื่อนางตาล ประสัตถพงศ์ ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ 4 ตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี 2480 ณ วัดสัตตนารถปริวัตรวรวิหาร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมีพระธรรมเสนานี (เงิน นนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2491 ณ พัทธสีมาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระจินดากรมุนี (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม สามเณรอัมพร ประสัตถพงศ์ ไปอยู่จำพรรษาที่วัดตรีญาติ ต.พงสวาย เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ปี 2483 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี จากนั้นปี 2484 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท และในปี 2486 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค เมื่อปี 2488 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค เมื่อปี 2490 ท่านได้ย้ายมาอยู่จำพรรษา ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระจินดากรมุนี นำมาฝากกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) สกลมหาสังฆปริณายก และภายหลังอุปสมบทเมื่อปี 2491 ท่านศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักเรียนวัดราชบพิธฯ จน พ.ศ. 2491 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค และปี 2493 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค ต่อมา เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นนักศึกษารุ่นที่ 5 จบศาสนศาสตรบัณฑิต เมื่อปี 2500 และได้เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยพาราณสี (Banaras Hindu University) ประเทศอินเดีย จบการศึกษาเมื่อปี 2512 ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ปี 2552 สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ถวายศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสตร์ ปี 2553 สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาธรรมนิเทศ ตำแหน่งปัจจุบัน สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร, กรรมการมหาเถรสมาคม, กรรมการคณะธรรมยุต, กรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุต ฯลฯ ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 ให้พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระราชโองการ ตามที่ คณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปวัฒนธรรมและการ ท่องเที่ยว พร้อมสมาชิก สนช.กว่า 80 คน เป็นผู้เสนอ โดยตัดขั้นตอนการพิจารณาเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยมหาเถรสมาคมออกไป โดย พ.ร.บ.ฉบับที่ได้มีการแก้ไขดังกล่าว มีสาระสำคัญคือ การบัญญัติให้ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จากเดิมที่ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2535 กำหนดให้สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชนั้นจะต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมก่อน โดยให้ที่ประชุมมหาเถรสมาคมเสนอนาม สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์และนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
วันนี้ทั่วราชอาณาจักร ได้ร่วมกันเจริญชัยมงคลคาถาและย่ำระฆังในวันสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลำดับที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งพิธีย่ำระฆังถือเป็นพิธีมงคลในสมัยโบราณกาล หลังเสียงระฆังดังทิ้งช่วงมานานเกือบ 30 ปี ติดตามจากรายงาน สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ถือเป็นตําแหน่งประธานของฝ่ายสงฆ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในบวรพุทธศาสนา และทรงมีเครื่องพระยศประกอบพระอิสริยยศที่สำคัญ ติดตามจากรายงาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เสด็จเข้าพระอุโบสถ ทรงประเคนผ้าไตรแด่พระสงฆ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อพระสงฆ์ออกไปครองผ้าเสร็จแล้วกลับเข้ามานั่งยังอาสน์สงฆ์ตามลำดับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล สมเด็จพระราชาคณะถวายศีล จบแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้อาลักษณ์ กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อ่านประกาศกระแสพระราชโองการสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จบ สมเด็จพระราชาคณะนำสวดคาถา "สงฆราชฏฺฐปนานุโมทนา" แล้วพระสงฆ์กรรมการมหาเถรสมาคมนำสวด "โส อตฺถลทโธ" แล้วสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปประทับที่อาสน์สงฆ์ พร้อมด้วยกรรมการมหาเถรสมาคม ณ ท่ามกลางสังฆมณฑล ซึ่งมีเจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ ฯ ไปถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัฏแด่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และถวายพระสุพรรณบัฏ พระตราตำแหน่ง พัดยศ และเครื่องสมณศักดิ์ ขณะนี้ พระสงฆ์ในสังฆมณฑลเจริญชัยมงคลคาถา โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลา แกว่งบัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ พระสงฆ์ตามพระอารามทั่วราชอาณาจักรซึ่งชุมนุมในพระอุโบสถเจริญชัยมงคลคาถาและย่ำระฆัง เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายเครื่องสมณศักดิ์แด่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ในสังฆมณฑลตามลำดับแล้ว ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก จบแล้ว สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปประทับ ณ อาสน์สงฆ์กลางพระอุโบสถ พระมหาเถระฝ่ายคณะธรรมยุตและฝ่ายมหานิกาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานศาลฎีกา ถวายเครื่องสักการะ แด่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แล้ว สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จออกจาก พระอุโบสถทางพระทวารกลาง ทรงรับเครื่องสักการะของบรรพชิตญวนและจีน ส่วนพระสงฆ์นอกนั้นออกจาก พระอุโบสถ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับ โดยพระนามสมเด็จพระสังฆราชที่จารึกในพระสุพรรณบัฏคือ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกธราจารยอัมพราภิธานสังฆวิสุต ปาพจนุตตมสาสนโสภณ กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต วชิราลงกรณนริศรปสันนาภิสิตประกาศ วิสารทนาถธรรมภูตาภิวุฒ ทศมินทรสมมุติปฐมคณาธิเบศร ปวิธเนตโยภาสวาสนวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิบูลสีลสมาจารวัตรวิปัสนสุนทร ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฎ บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช"
พระราชโองการ ประกาศสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/B/005/1.PDF
..................... ทีฆายุโก โหตุ มหาสังฆราชา ........................... ขอประณมกรน้อมเศ๊ยรถวายอภิวาท แด่ พระสังฆราช องค์ที่ยี่สิบของปวงชนชาวไทย จากการแก้กฎหมาย พรบ.สงฆ์ ฉบับปี พ.ศ.2560 มอบพระราชอำนาจในการทรงวินิจฉัยเพื่อตั้งพระสังฆราช ให้กับพระมหากษัตริย์ ตามที่เคยทำกันมาแต่กาลก่อน ทำให้เราได้มีพระสังฆราชที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรน่าจะเป็นอุทาหรณ์ ให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่เคยหมายมั่นปั้นมือในช่วงเวลาก่อนหน้านี้กับสมเด็จบางรูป ที่มีโอกาสที่สุดที่จะได้ดำรงตำแห่งสูงสุดของสงฆ์ไทย ได้ข้อคิดไว้เตือนใจว่า .อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา. สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ทำให้เร่าร้อน และไม่ใช่ตัวตนของเรา กับ .เมื่อมี ลาภ ยศ และสรรเสริญ .ก็มี เสื่อมลาภ เสื่อมยศ และนินทา เป็นของคู่กัน หากไปยึดถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นไปตามที่คิดที่หวังที่อยากให้เป็น เกิดไม่ได้เป็นขึ้นมา มันก็เป็นทุกข์ กฎหมายสงฆ์นั้นแก้ไขกันได้ แม้จะต้องผ่านการเห็นชอบจากสภา จากผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ยากเกินถ้าต่างเห็นว่าควรแก้ไขให้เหมาะสม นิสัย-ศรัทธา-ความคิดความเห็น ถึงแม้ยากที่จะแก้ไข หากพยายามใช้สติและปัญญาตรึกตรอง ก็ทำได้โดยใช้ความอ่อนน้อมและความเพียรควบคู่กันไป
พระนามเต็ม "สมเด็จพระสังฆราช" องค์ที่ 20 12 ก.พ. 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยมีพระราชพิธีสถาปนาที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยพระนามสมเด็จพระสังฆราชที่จารึกในพระสุพรรณบัฏคือ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกธราจารย อัมพราภิธานสังฆวิสุต ปาพจนุตตมสาสนโสภณ กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต วชิราลงกรณนริศรปสันนาภิสิตประกาศ วิสารทนาถธรรมทูตาภิวุฒ ทศมินทรสมมุติปฐมสกลคณาธิเบศร ปวิธเนตโยภาสวาสนวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิบูลสีลสมาจารวัตรวิปัสสนสุนทร ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฎ บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช" ภาพสนับสนุนโดย Nation Channel http://www.msn.com/th-th/news/natio...ที่-๒๐/ar-AAmQJbm?li=BBr91nk&ocid=mailsignout
ส่วนหนึ่งของปัญหาในพุทธศาสนาไทย เพราะลูกศิษย์เล่นการเมือง(ในที่นี้หมายถึงพรรคพวกที่มีหลายฝ่ายน่ะครับ) ชาวพุทธไทยไม่สนใจว่า สมเด็จพระราชาคณะที่จะเข้ารับการคัดเลือกและสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชจะมาจากนิกายใด(ผมคนหนึ่งล่ะ) เพราะให้ความสำคัญกับวัตรปฏิบัติแต่หนหลังมากกว่า ไม่ยึดติดในทรัพย์สิน วางตัวอย่างดี ฯลฯ