ในอดีตที่ผ่านมา กรณีพระพยอมซื้อที่ดินที่ได้จากการครอบครองปรปักษ์ แต่กลับเป็นการออกโฉนดที่มิชอบ พระพยอมจึงต้องคืนที่ดินที่ซื้อมา 10 ล้านบาท และถมดินไปอีก 1 ล้านบาท แก่เจ้าของไป ข้อนี้ให้ข้อคิดอะไรในแง่ของเอกสารสิทธิ์บ้าง เรื่องที่เกิดขึ้น ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวถึงกรณีที่ดินดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 ศาลจังหวัดนนทบุรีได้ตัดสินให้เพิกถอนการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่ 1 คือ นางวันทนา สุขสำเริง และจำเลยที่ 2 คือ มูลนิธิสวนแก้ว โดยให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา กลับไปเป็นของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ ตามเดิม (http://bit.ly/2iDUj9V) การซื้อที่ดินด้วยเงิน 10 ล้านบาทในปี 2547 ก็เป็นโมฆะด้วย สำหรับการครอบครองปรปักษ์นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ได้บัญญัติว่า "บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี. . .ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์" (http://bit.ly/2iDNJ3l) โดยในการนี้จะต้องเป็นที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน แต่ถ้ามีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 น.ส.3ก น.ส.3ข) ก็สามารถ "แย่งการครอบครองได้ภายใน 1 ปี ไม่ทวงเงินคืนจากผู้ขาย พระพยอมไม่ฟ้องผู้ขายที่ดินแปลงนี้ (http://bit.ly/2hRv2Mv) ท่านกล่าวว่า มีตัวละครหลายตัว (รวมศาลและกรมที่ดิน) ไม่ใช่มีเฉพาะผู้ขาย แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นที่ไม่ควรฟ้องผู้ขาย เพราะผู้ขายได้เงินจากมูลนิธิวัดสวนแก้วไป 10 ล้านบาท แม้ผู้ขายได้เสียใช้จ่ายและลูกหลานใช้เงินไปแล้ว (ตามที่พระพยอมกล่าวซึ่งไม่ทราบว่าจริงหรือไม่) พระพยอมจึงควรเรียกร้องเงินมาคืนวัด การไม่ทวงค่าเสียหายจากผู้ขายเพื่อเอาเงินวัดที่ได้จากสาธุชนผู้บริจาคคืนมา ก็เท่ากับทำเงินของส่วนรวมสูญไป พระพยอมและมูลนิธิจึงควรใช้คืนแก่วัดเองหรือไม่ นางวันทนา (ผู้ขาย) อ้างว่าตนและมารดาอยู่มา 30 ปีก่อนไปขอจดครอบครองปรปักษ์ แต่พระพยอมอยู่วัดสวนแก้วนี้ก่อนเสียอีก คือมาอยู่ตั้งแต่ปี 2521 (http://bit.ly/2iC6ztp) หรือ 36 ปีก่อนซื้อที่ดินแปลงนี้ พระพยอมก็เป็นคนที่เกิดแถวนี้ ท่านเดินบิณฑบาตผ่านที่ดินนี้ทุกวัน เจ้าของที่ดินและทายาทอาจเคยใส่บาตรท่านก็ได้ ท่านน่าจะพอรู้ว่าใครคือเจ้าของที่ดินแปลงข้างวัดนี้ นอกจากพระพยอมไม่ฟ้องนางวันทนาแล้ว ในภายหลังท่านยังเมตตาให้ที่พักอาศัยระยะหนึ่งโดยท่านบอกว่ามีคนตามล่านางอยู่ซึ่งเป็นข้อที่ไม่อาจพิสูจน์ (http://bit.ly/2iFmNA5) เพ่งโทษไปที่กรมที่ดิน พระพยอมเคยกล่าวว่า ". . .เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน น่าจะช่วยกันคิด ช่วยค่าเสียหายทางวัดบ้าง ซึ่งหากทางวัดไม่ได้รับการเยียวยาเลย ก็อยากจะปิดวัดประท้วง. . .ถ้าไม่ทำอะไรเราจะดับเครื่องชน. . .ตอนนี้ร่างกายอาตมาก็ไม่ค่อยจะดี ถ้าอาตมาเป็นอะไรหรือตายไปก็ขอให้ญาติโยมรู้ไว้ว่าอาตมาตาย เพราะกรมที่ดิน. . .หากปีนี้เรียกร้องไม่ได้ผล ไม่ได้รับการเยียวยาให้ทางวัด 10 กว่าล้านบาท คงต้องปิดโครงการหลายอย่าง ทั้งให้ทุนการศึกษาเด็กนักเรียนปีละ 2-3 ล้านบาท ช่วยเหลือคนชรา หรือโครงการต่างๆ บวชเณรภาคฤดูร้อน คงต้องหยุดไว้อาลัย ไว้ทุกข์กับข้าราชการไทย" (http://bit.ly/2hSUhMN) นอกจากนี้พระพยอมยังกล่าวด้วยอารมณ์ว่า "อาตมาคงถึงขั้นต้องเอาโฉนดไปขยายใหญ่แล้วทาสีดำ พร้อมพวงหรีดขึ้นป้ายหน้าวัด และเขียนลงไปว่า “โฉนดอัปยศ ออกโดยกรมที่ดิน บางใหญ่” แล้วอาตมาจะปิดวัด 9 เดือน หลบไปพักผ่อนที่สาขาบุรีรัมย์ เพราะคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วมันแสลงใจที่ต้องเห็นที่ดินที่ถูกหลอกทุกวัน ต้องผ่านเข้าออกทุกวัน ทนไม่ได้จริงๆ และถ้าเจ้าหน้าที่ที่ดินบางใหญ่ยังไม่รู้สึกสำนึกที่จะเยียวยา ก็จะไปปักกลดประท้วงหน้าสำนักงานที่ดินบางใหญ่ ให้มันรู้ไปเลยพระก็ถูกหลอกได้" แต่สุดท้ายทำอนุสาวรีย์โฉนดถุงกล้วยแขก http://bit.ly/2iPHYiH) และมอบถุงกล้วยแขกที่ทำด้วยโฉนดดังกล่าวให้อธิบดีกรมที่ดิน (พ.ศ.2557 http://bit.ly/2iPKGVx) กรณีนี้ไม่อาจเอาผิดใครอื่น กรณีนี้ไม่อาจเอาผิด 1. กรมที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิ์ตามคำสั่งศาล ไม่อาจขัดได้ 2. ศาลก็ไม่ได้ผิด เพราะพิพากษาตามข้อมูลที่ได้รับมา ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ก็ยังกล่าวว่ากรมที่ดินก็ไม่ได้ผิด ศาลก็ไม่ได้ผิด ต้องไปเอาเงินคืนจากนางวันทนา (คนขาย) (http://bit.ly/2j6hCIl) และในการสู้คดี ผู้ขายก็กลับยอมยกที่ดินคืนแก่เจ้าของที่ดินอย่างง่ายดาย แสดงว่าผู้ขายคงมีพฤติกรรมน่าสงสัย ความผิดของคนขายที่ได้เงินไปเต็มๆ แม้อาจไม่มีเงินเหลือเพราะส่วนหนึ่งใช้เพื่อการเสียภาษี ให้คนช่วยวิ่งเต้น หรือลูกหลานรวมทั้งตัวเองใช้เงินไปหมดแล้ว ดังนั้นในการซื้อที่ดินควรดูว่าเป็นที่ดินที่ได้จากการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ หากใช่และมีโฉนดถูกต้อง ก็ต้องสืบทราบให้ชัดเจนว่ายังมีกรณีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นได้หรือไม่ หาไม่จะเป็นความเสี่ยงประการหนึ่ง แม้แต่ในกรณีโฉนดที่ดินที่สร้างหลังปี 2497 ที่มีพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า และมีการประกาศเขตป่าสงวน ก็สามารถถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ได้หากอยู่ในเขตป่าสงวนดังกล่าว ตอนนี้ราคาเท่าไหร่ อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ราคาที่ดินแปลงนี้ที่พระพยอมซื้อในราคา 10 ล้านสำหรับที่ดิน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา หรือ 555 ตารางวา เป็นเงินตารางวาละ 18,000 บาทโดยประมาณ ในขณะนั้นที่ดินแถวนั้นขายกันในราคาประมาณตารางวาละ 21,000 บาท แสดงว่าท่านคงซื้อได้ต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย อย่างไรก็ตามในขณะนี้ราคาที่ดินแปลงดังกล่าว ควรจะเพิ่มเป็นเงินตารางวาละ 60,000 บาท เพราะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงผ่าน ดังนั้นหากจะซื้อมาอีกครั้งหนึ่ง ก็คงเป็นเงินรวม 33.3 ล้านบาท ราคาที่ดินแถวนั้นในช่วงปี 2546-2559 เพิ่มขึ้นประมาณ 8.4% ต่อปี ทั้งนี้จากฐานข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) การสูญเสียโอกาสจากที่ดิน 10 ล้านบาทเป็น 33 ล้านบาท ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะคนขาย และทั้งฝั่งคนซื้อที่เป็นผู้ตัดสินใจทำนิติกรรม แต่ไม่ทวงเงินจากคนขายและครอบครัว ก็ควรรับผิดชอบ ไม่ควรให้เงินหายไปเฉยๆ ในการทำนิติกรรมที่ดินใด ๆ เราจึงต้องมีการตรวจสอบให้ดีเสียก่อน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายพอสมควร แต่ก็ไม่มากนัก เข้าทำนอง "ฆ่าควาย อย่าเสียดายเกลือ" ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1749.htm
เป็นอะไรไปครับ ถ้าดึงดันว่าตัวเองเป็นด็อกโสจริง ช่วยแสดงอะไรที่ควรค่าแก่การเรียกว่านักวิชาการหน่อยซิครับ อะไรที่มากกว่าตัดแปะที่แม้แต่เด็กยังทำได้หรือกล้าตอบคำถามโดยไม่หนีเหมือนคนขี้ขลาดที่ผมรู้จัก
ชาวบ้านทั่วไปคงจะไม่รู้อะไรมากหรอกครับด๊อก แค่มีโฉนดแล้วไปที่ที่ดิน โอนได้เรียบร้อย ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แล้วเรื่องราคาที่ดินบางใหญ่ด๊อกบอกว่าโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 8.4 % ก็แค่ตัวเลขประมาณการ ด๊อกก็รู้ว่าว่ารายละเอียดการซื้อขายมีมากกว่านั้นแน่นอน ไม่ใช่ที่ทุกแปลงเป็นไปตามนั้น ขนาดที่เจ๋ง ๆ ยังเห็นปักป้ายขายกันสลอน
ด็อกมันบ่นอะไร คดีสิ้นสุดไปแล้ว ด็อกมีความรู้ทำไมไม่ไปฟ้องแทนพระพยอมล่ะ เห็นว่าเคยเข้าวัดไม่ใช่เหรอ อวดรู้ก็ไปฟ้องให้วัดสิ มึงจะมาบ่นอะไรแถวนี้ ขนาดพระยังทำใจไม่ฟ้องเพราะไม่อยากให้ทนายหลอกแดก สังคมไทยยังมีเรื่องลักลั่นอีกเยอะที่รอการสะสาง
ได้ติดตามคุณอลามอสตามล้างตามผลาญไอ้ด็อกมาระยะหนึ่ง สรุปก็คือ เป็นเพราะไอ้มือดีหรือไอ้ตัดแปะมันได้เข้าอ่างทองไอ้ด็อกอยู่ใช่ไหม คือมันพยายามเข้าสิง แต่มันไม่เนียนใช่ไหมละครับ ผมว่านะครับ ไม่ว่าจะเป็นไอ้ด็อกจริงหรือไอ้ด็อกปลอม มันก็ติงต๊องพอๆกัน เชื่อผมไหมละครับ ว่าเรื่องที่มันจะเล่นละเลงต่อไปหนีไม่พ้นเรื่อง สนับสนุนให้สมเด็จช่วงเป็นสังฆราช โรดแม็บต้องจบในปี 60 ฯสฯ คนอย่างนี้ มีปมในชีวิตที่แก้ไขไม่ได้ เพราะตัวเขาเองยังไม่เข้าใจตัวเอง แล้วจะให้คนอื่นมาเข้าใจตัวมันเรอะ
ผมก็คิดทฤษฎีได้แบบนี้ละครับ 1. มือดี หมดเครื่องมือทำมาหากิน ทิ้งเพื่อน ทิ้งฝ่าย ด่าคนที่ตัวเองรักแล้ว นายจ้างก็คงไม่เอาเพราะฝีมือไม่ได้เรื่องแปะยังกับเด็ก แต่สร้างกระแสอะไรไม่ได้ ไปๆมาๆแว้งกัดนายจ้างอีก แถมอ้างชื่อเดิมอยู่ต่อก็ไม่คุ้ม เกิด นปช. ท้วงบุญคุญ หรือตำรวจเอาจริงจับอาชญากรไซเบอร์ เงินที่ตัวเองรับจ้างมาจะหายไป แถมติดคุกอีก 2. หนีมารับจ้างด๊อกโสมาโฆษณา เพราะเงินดีกว่า (เดาว่าคงให้กระทู้ละ 30) ปลอดภัยกว่า คิดว่าเกิดอะไรก็อ้างว่าด๊อกโสจ้างหรือตัวเองเป็นด๊อกโส ด๊อกโสก็ซวยไป ตัวเองก็ทิ้งด๊อกโสแล้วหนีไปเหมือนที่ทำกับคนอื่น 3. ด๊อกโสคนแรกที่เข้ามาก็อาจเป็นตัวปลอมเหมือนด๊อกโสคนนี้ก็ได้ เพราะขนาดใจดี20ยังปลอมเอกสารมาแล้ว 4. เกิดความขี้ขลาด อยากยั่วโมโหคนอื่น แต่กลัวว่าตัวเองจะโดนตอกกลับหน้าหงาย เลยเอาชื่อด๊อกโสบังหน้า เป็น loser ทั้งชีวิตจริงและชีวิตโซเชียล 5. นิยายหักมุม ด๊อกโสคือมือดีปลอมตัวมาตลอด อยากเล่นอะไรที่ไร้ศีลธรรมต่ำทรามจึงใช้ชื่อปลอม สนุกกับการเล่นต่ำๆมากไปจนลืมความเป็นนักวิชาการ จิตสำนึกกลายเป็นมือดีโดยไม่รู้ตัว และเละเลือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไร จนเผลอใช้ชื่อจริง แต่โดยรวม ที่สังเกตหลายอย่าง ผมว่าก็คงเป็นข้อ 1 รวมกับข้อ 2 ละ ปล. ไม่ต้องเชื่อก็ได้นะครับ เป็นความคิดเห็นสมมติฐานส่วนตัว